การพัฒนาแนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจภายในโรงพยาบาล โดยใช้แนวคิดวงจรเดิมมิ่ง
คำสำคัญ:
ผู้ป่วยวิกฤต, เครื่องช่วยหายใจ, วงจรเดมมิ่งบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจภายในโรงพยาบาลโดยใช้แนวคิดวงจรเดิมมิ่ง และ 2. เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจต่อการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเคลื่อนย้าย ได้แก่ ภาวะออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้วต่ำ ภาวะหายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ และหัวใจหยุดเต้น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดแนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจ และแบบประเมินผลแบบบันทึกข้อมูลการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเคลื่อนย้าย โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยวิกฤตที่ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจที่เข้ารับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน ทั้งเพศชายและหญิง อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายภายในโรงพยาบาล ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 74 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ก่อนใช้แนวปฏิบัติและหลังใช้แนวปฏิบัติ กลุ่มละ 37 คน แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบบันทึกข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ Mann Whitney U Test ทดสอบความแตกต่างกันของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจของ 2 กลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจภายในโรงพยาบาลโดยใช้แนวคิดวงจรเดิมมิ่ง ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การประสานงานและการสื่อสารก่อนการเคลื่อนย้ายที่ดี บุคลากรที่ร่วมเคลื่อนย้าย และอุปกรณ์ที่ใช้เคลื่อนย้ายและการติดตามอาการผู้ป่วยระหว่างการเคลื่อนย้ายที่เหมาะสมพร้อมใช้งาน และ 2) ผลการเปรียบเทียบการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจภายในโรงพยาบาลระหว่างกลุ่มใช้แนวปฏิบัติกับกลุ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตแบบปกติ พบว่า เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจภายในโรงพยาบาลกลุ่มใช้แนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตด้วยเครื่องช่วยหายใจต่ำกว่ากลุ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p = .026)
