การศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
คำสำคัญ:
น้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม, พฤติกรรมผู้บริโภค, ปัจจัยทางการตลาดบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม 2. เพื่อศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยทางการตลาดของผู้บริโภคน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม และ 4. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาดกับพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ มีเครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ จำนวน 400 คน ที่มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของทาโร่ ยามาเน่ และทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยจับฉลากเลือกเขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 10 ของเขตทั้งหมด ได้จำนวน 5 เขต คือ เขตบางเขน เขตปทุมวัน เขตคันนายาว เขตบางกอกน้อย และเขตมีนบุรี แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรโดยการทดสอบค่าสถิติไคสแควร์ (Chi-Square) ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มจากเหตุผล ดื่มเพื่อสุขภาพ โดยซื้อ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ปริมาณ 1 ขวด/กล่อง/ถุง ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่ 51-100 บาท และเลือกซื้อจากร้านสะดวกซื้อ 2) ปัจจัยทางการตลาดในการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มของกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ( = 4.43) 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม พบว่า เพศ มีความสัมพันธ์กับความถี่ในการซื้อและค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง ส่วนระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับเหตุผลที่เลือกซื้อ ความถี่ในการซื้อ และค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง ส่วนอายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทุกคือ เหตุผลที่เลือกซื้อ ความถี่ในการซื้อ สถานที่ซื้อ ปริมาณการซื้อต่อครั้ง และค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาดกับพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม พบว่า ภาพรวมของปัจจัยทางการตลาด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทุกด้านคือ เหตุผลที่เลือกซื้อ ความถี่ในการซื้อ สถานที่ซื้อ ปริมาณการซื้อต่อครั้ง และค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
