วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal <p>วารสารศึกษาศาสตร์ &nbsp;มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการของคณาจารย์นักวิชาการทางการศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน และ 2) เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์&nbsp;กำหนดออกวารสาร ปีละ 2 ฉบับ 1) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และ &nbsp; &nbsp;2) ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>การจัดทำวารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีการจัดทำวารสาร เป็น 2 รูปแบบ คือ 1) แบบตีพิมพ์ (Print) &nbsp;ISSN 1686-3089 &nbsp;ตั้งแต่ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2555 และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) &nbsp;ISSN 2672-9571 ตั้งแต่ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน – กันยายน 2561</p> <p>&nbsp;</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 1686-3089 ปริทัศน์การสอนภาษาและวัฒนธรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262297 <p>การเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนในปัจจุบันถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน หากทั้งภาษาและวัฒนธรรมสามารถจัดการเรียนการสอนผสมผสานกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ จะสามารถทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมทุกด้าน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการเรียนภาษาให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น บทบาทสำคัญของครูผู้สอนภาษาต่างประเทศและครูผู้สอนภาษาที่สองจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านคุณลักษณะภาษาและคุณลักษณะทางสังคมของภาษา ซึ่งจะทำให้วิธีการเรียนการสอนดังกล่าวเป็นที่ยอมรับและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการทบทวนวรรณกรรมการสอนภาษาและวัฒนธรรมจากในประเทศจีนและต่างประเทศ ไปจนถึงการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าความสำคัญของการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรม ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการสอนภาษาต่างประเทศและภาษาที่สองได้&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> JINGYING ZHANG JIANING ZHUANG KETVIRUN TUNGSIRIVAT Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-08 2024-01-08 21 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ด้วยระบบออนไลน์เรื่อง “สถิติเพื่อการวิจัยทางการบัญชี” ของนักศึกษาหลักสูตรบัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262439 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ภายหลังการฝึกอบรมออนไลน์เรื่อง “สถิติเพื่อการวิจัยทางการบัญชี” กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการฝึกอบรมออนไลน์ โดยศึกษาจากประชากรคือนักศึกษารายวิชาการวิจัยทางบัญชี หลักสูตรบัญชีบัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) โปรแกรม ZOOM 2) หลักสูตรฝึกอบรมประกอบด้วยภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ JAMOVI 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าขนาดอิทธิพล และทดสอบค่าเฉลี่ยกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่มด้วยค่าที ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.28 คิดเป็นร้อยละ 88.52 ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ภายหลังการฝึกอบรมออนไลน์จึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ขณะที่ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อวิทยากร และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ประกอบการทำวิจัยอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความพึงพอใจต่อการจัดการอยู่ในระดับมาก</p> kanyaprin tongsamsi Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 21 2 51 67 Expectations of Teachers and Educational Personnel in Bangkok Metropolitan on Competencies of the National Education Policy Commission https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262705 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ เพื่อศึกษาระดับความคาดหวังของครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครต่อสมรรถนะของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ และเพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังของครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครต่อสมรรถนะของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 457 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติพรรณนาที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การทดสอบที (t-Test) การเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการเปรียบเทียบพหุคูณเชฟเฟ่ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ 0.05<br>ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีความคาดหวังของต่อสมรรถนะของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">=4.44, S.D.=0.56) และผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ระดับการศึกษา ประเภทของบุคลากร และประเภทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ที่ต่างกัน มีความคาดหวังต่อสมรรถนะของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติแตกต่างกัน แต่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในทางตรงกันข้าม เพศ ประสบการณ์การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อความคาดหวังต่อสมรรถนะของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติที่แตกต่างกันดังนั้น คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติควรเป็นกลุ่มบุคคลที่มีสมรรถนะอันจะส่งผลให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นอิสระทางการตัดสินใจ และมีความสรรถนะในการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงและยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย</p> กัมพล ธรรมหมื่นยอง Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 68 87 การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/261965 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD 2) ศึกษาจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD กลุ่มตัวอย่างที่ของการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มหามงคล ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD เรื่องวัสดุและการใช้ประโยชน์ 2) แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ และ 3) แบบสังเกตจิตวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย () ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบหาค่าที (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรีย สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับ เทคนิค STAD อยู่ในระดับมาก</p> Juthamas Jamjumras Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 88 106 การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2561) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/260392 <p>การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2561)&nbsp; คณะศึกษาศาสตร์&nbsp; มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1)&nbsp; เพื่อประเมินบริบทของหลักสูตร 2) เพื่อประเมินปัจจัยนำเข้าของหลักสูตร 3) เพื่อประเมินกระบวนการของหลักสูตร 4) เพื่อประเมินผลผลิตของหลักสูตร และ 5) เพื่อประเมินผลกระทบของหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPPI Model&nbsp; กลุ่มเป้าหมาย&nbsp; มีทั้งสิ้น&nbsp;&nbsp; 91&nbsp; คน&nbsp; ได้แก่ ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน นักศึกษาระดับปริญญาโท มหาบัณฑิต และผู้ใช้มหาบัณฑิต เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย&nbsp; แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และ ประเด็นการสนทนากลุ่ม &nbsp;วิเคราะห์ข้อมูด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย &nbsp;ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ผลการประเมินบริบทมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด <em>(</em><em>M</em> = 4.58, <em>SD</em> = 0.57)&nbsp;&nbsp; ข้อเสนอแนะ: ควรปรับรายวิชานวัตกรรมทางหลักสูตรและการสอน หลักสูตรวิชาชีพครู รายวิชาเลือกที่หลากหลาย</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลการประเมินปัจจัยนำเข้ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.50, <em>SD</em> = 0.70) ข้อเสนอแนะ: ควรมีการพัฒนาอาจารย์ในเรื่องใหม่ๆ และนักศึกษาสามารถเสนอนวัตกรรมทางด้านหลักสูตรและการสอนได้</li> <li class="show">ผลการประเมินกระบวนการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.68, SD = 0.52) ข้อเสนอแนะ: สนับสนุนทุนแก่นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามที่หลักสูตรกำหนด และจัดการเรียนการสอนควรเน้นวิจัยเป็นฐาน</li> <li class="show"> <ol start="4"> <li class="show">ผลการประเมินผลผลิต มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.57, <em>SD</em> = 0.72) ข้อเสนอแนะ: ควรเพิ่มเติมการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาและเป็นผู้นำการจัดการเรียนรู้ทาง Online</li> <li class="show">ผลการประเมินผลกระทบ พบว่า ผู้ที่สำเร็จการศึกษามีความสามารถในการประยุกต์ใช้หลักสูตรเพื่อการปฏิบัติงานและการพัฒนาวิชาชีพ&nbsp;&nbsp; ข้อเสนอแนะ:&nbsp; ควรเพิ่มเรื่องชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อให้บัณฑิตได้เป็นผู้นำทางวิชาการ</li> </ol> </li> </ol> Chanasith Sithsungnoen Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 107 121 ผลของการฝึกโปรแกรมปฏิกิริยาตอบสนองที่มีผลต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไว ของนักกีฬาบาสเกตบอลหญิงมหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/261695 <p>วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการฝึกปฏิกิริยาตอบสนองที่มีผลต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาบาสเกตบอลหญิงมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักกีฬาบาสเกตบอลหญิง มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ปีการศึกษา 2564 โดยใช้การเลือกเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 18 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้โปรแกรมการฝึกปฏิกิริยาตอบสนองที่มีผลต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไว วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเมื่อมีการวัดซ้ำ (One-Way ANOVA with Repeated Measure) และทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธีของ บอนเฟอโรนี (Bonferroni’s Method) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li class="show">ผลการทดสอบความเร็วจากแบบทดสอบความเร็วในการวิ่ง ก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.97±0.59, 3.77±0.45, 3.45±0.20 วินาที ตามลำดับ และผลการเปรียบเทียบความเร็ว พบว่า หลังการฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกปฏิกิริยาตอบสนอง 8 สัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ผลการทดสอบความความคล่องแคล่วว่องไวจากแบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว T-Test ก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 13.29±1.23, 11.67±1.23, 10.83±0.39 วินาที ตามลำดับ และผลการเปรียบเทียบความคล่องแคล่วว่องไวพบว่า หลังการฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกปฏิกิริยาตอบสนอง 8 สัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> <p>สรุปได้ว่า การฝึกปฏิกิริยาตอบสนองมีผลต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไวในนักกีฬาบาสเกตบอลหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำการฝึกตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป โดยท่าทางในการฝึกต้องมีความสอดคล้องการกับเคลื่อนไหวของชนิดกีฬานั้น ๆ&nbsp; เพื่อทำให้ร่างกายเกิดการเรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจง และนำไปใช้ในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฝึกปฏิกิริยาตอบสนองต้องฝึกในขณะที่ร่างกายมีความแข็งแรงเป็นพื้นฐานและความพร้อมของร่างกาย ไม่มีอาการเมื่อยล้าจะทำให้ร่างกายสามารถฝึกได้อย่างเต็มที่และก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ</p> Narinthra Chanatsorn ชลลดา พันธ์หวยพงษ์ ศิวะรักษ์ พวงทอง โรม วงศ์ประเสิร์ฐ Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 122 132 ผลการใช้แนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262388 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบการส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อแนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานในการส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ชั้นปี 2 จำนวน 20 คน วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ ที่เรียนรายวิชาการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษ (20000-1203) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน 2) แบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อแนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หลังเรียนโดยใช้แนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานสูงกว่าก่อนเรียน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแนวการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานอยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> Darika Kammee Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 133 145 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262558 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาสาขาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2) ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาสาขาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาสาขาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 66 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.825 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ &nbsp;</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการวิจัย พบว่า 1) พฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาสาขาจุลชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก &nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาได้แก่ ประสิทธิภาพแห่งตน การมุ่งอนาคตควบคุมตน และการได้รับแบบอย่างความรับผิดชอบ ตามลำดับ ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาได้ร้อยละ 66.2 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .813</p> tranuk somnate sumrit prawittana worapon surapat Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 146 161 การปรับตัวกลับสู่การเรียนออนไซต์ของนักศึกษาปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/263373 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวกลับสู่การเรียนออนไซต์ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ของนักศึกษาปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2565 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ จำนวนตัวอย่าง 203 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือแบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล และการปรับตัวของนักศึกษา 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเรียนและการบริหารเวลา ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านอารมณ์และสุขภาพจิตและด้านการเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ข้อมูลถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ สถิติทดสอบไคสแควร์ และเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับการปรับตัวกลับสู่การเรียนออนไซต์ระหว่างชั้นปีการศึกษาโดยใช้สถิติทดสอบครัสคัล-วอลลิส</p> <p>&nbsp;ผลการศึกษาพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีระดับการปรับตัวมากที่สุดในด้านการเรียนและการบริหารเวลา ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมนักศึกษามีระดับการปรับตัวมากที่สุดในเรื่องการให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม และการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบของคณะ นักศึกษาส่วนใหญ่มีระดับการปรับตัวน้อยถึงน้อยที่สุดในเรื่องความรู้สึกกังวลหรือกลัวในการออกจากบ้าน ความรู้สึกกังวลหรือกลัวเมื่อต้องเรียนในห้องที่มีผู้เรียนจำนวนมาก ในด้านการเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย นักศึกษาต้องปรับตัวมากที่สุดในเรื่องการดำเนินงานเกี่ยวกับงานทะเบียนและเอกสารต่างๆ ที่ต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยากและขั้นตอนที่มากขึ้น แต่นักศึกษามีความเต็มใจในการเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ผลการวิเคราะห์ความเกี่ยวพันระหว่างระดับการปรับตัวกลับสู่การเรียนออนไซต์ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 และตัวแปรอิสระ พบว่าตัวแปรที่ส่งผลต่อระดับการปรับตัวกลับสู่การเรียนออนไซต์ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 คือ ชั้นปีที่ศึกษา โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 มีระดับการปรับตัวมากที่สุดในทุกด้าน</p> นลิณี ยันตรีสิงห์ วรวรรณ เขียวหอม Kamolchanok Panishkan Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 162 177 ผลของการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/260174 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ก่อนและหลังเรียน โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพที่มีต่อการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกช่างซ่อมบำรุง วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสสมติและ<br>วีดิทัศน์ จำนวน 3 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน 3) แบบประเมินความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบแบบไม่เป็นอิสระจากกัน&nbsp; (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมบทบาทสมมติและวีดิทัศน์อยู่ในระดับมาก</p> Papatchaya Orndang Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 178 190 การศึกษาผลการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและการเห็นคุณค่าในตนเอง โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262442 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลการประเมินผลการสร้างสรรค์งานศิลปะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) 2) เพื่อศึกษาการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนซึ่งกำลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ &nbsp;&nbsp;4/2&nbsp; ปีการศึกษา 2564 &nbsp;จำนวน 33 คน และครูประจำวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศิลปะ คณิตศาสตร์ โรงเรียนบ้านเกริงกระเวีย ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 &nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบประเมินการ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ 2) แบบประเมินการเห็นคุณค่าในตนเอง 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมฯ ผลการวิจัยพบว่า ผลประเมินการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education ) โดยภาพรวม นักเรียนมีผลคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอยู่ในระดับดี (&nbsp;&nbsp;= 2.84 &nbsp;&nbsp;S.D. = 0.10 ) การเห็นคุณค่าในตนเอง อยู่ในระดับดี &nbsp;( &nbsp;&nbsp;= 2.66 , S.D. = 0.09 ) ผลระดับความพึงพอใจจากการร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมาก (&nbsp;&nbsp;= 2.63 ,S.D. = 0.37) &nbsp;&nbsp;</p> Panarat Pimpat วิสูตร โพธิ์เงิน Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 191 207 การพัฒนาทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262361 <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยครั้งนี้การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา และ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนภาษาญี่ปุ่น โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) จังหวัดนครปฐม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 17 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา จำนวน 6 แผน 2) เกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา 3) แบบวัดทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่น ประเภทปรนัย 4 ตัวเลือก เป็นแบบทดสอบคู่ขนาน ใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ฉบับละ 20 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา หลังเรียน (<img title="\large \mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\mu">= 15.76, <img title="\large \sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\sigma">= 2.99) สูงกว่าก่อนเรียน (<img title="\large \mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\mu">= 10.65, <img title="\large \sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\sigma">= 6.61) และนักเรียนมีพัฒนาการทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.87 และ 2) ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมดิจิทัลเพื่อการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับ เห็นด้วยมากที่สุด (<img title="\large \mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\mu">= 4.74, <img title="\large \sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\large&amp;space;\sigma">= 0.25)</p> Panitta Sinbua Siriwan Vanichwatanavorachai Saranya Chanchusakun Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 208 225 ผลการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิกเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262326 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิก 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี จำนวน 30 คน จำนวน 1 ห้องเรียน ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ อ่าน-เขียน (อ33203) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ดำเนินการทดลองงานวิจัยเชิงกึ่งทดลองพื้นฐาน โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิก จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi">) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของผู้เรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิกสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผู้เรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้สตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่ออินโฟกราฟิกในระดับดีมากและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> Pannarat Supapan Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 226 242 The Effects of the Instruction Based on Content and Language Integrated Learning (CLIL) Approach for Developing Reading Comprehension in English Language for grade 5 Students https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262359 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการสอนบูรณาการเนื้อหาและภาษา(CLIL) 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา(CLIL) กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลบางแพ(ชุมชนวัดบางแพใต้วันชัยประชาสรรค์) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 29 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ15101 โดยใช้การสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา(CLIL) จำนวน 3 แผน ใช้เวลาในการทดลองสอน 3 ชั่วโมง ได้แก่ 1) Solar System 2) Food and Nutrients และ 3) Love Our Environment 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อเพื่อใช้ในการทดสอบก่อนและหลังเรียนด้วยการสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา(CLIL) 3) แบบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา(CLIL) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน &nbsp;<strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลบางแพ (ชุมชนวัดบางแพใต้วันชัยประชาสรรค์) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 หลังใช้การสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา (CLIL) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสถิติที่ระดับ.05 2) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลบางแพ (ชุมชนวัดบางแพใต้ฯ) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีความพึงพอใจต่อการสอนแบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา (CLIL) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> Phatthanan Sangploy Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 243 260 ผลของการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262513 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน กลุ่มตัวอย่าง&nbsp; คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 จำนวน 29 คน โดยวิธีการเลือกสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน จำนวน 3 แผนการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จำนวน 1 ฉบับ&nbsp; 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน จำนวน 1 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<em>X</em>) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า&nbsp; (t-test) แบบ dependent ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้าน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความ&nbsp; พึงพอใจต่อการใช้เทคนิค Storyline และนิทานพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับ มาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.16</p> Pichamon Piw-orndee Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 261 277 The Development of Health Promotion Based on the King's Philosophy for Teachers' Physical Fitness in The Secondary Educational Service Area Office Si Sa Ket Yasothon in Uthumphon Phisai Sisaket https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/262234 <p>The purposes of this research were to&nbsp; 1) develop a health promotion program based on the King's Philosophy for the teachers in the Secondary Educational Service Area Office Si Sa Ket, Yasothon in Uthumphon Phisai District, Sisaket,&nbsp; 2) to compare the result of the physical fitness for health before and after the program, and 3) to examine the satisfaction of the health promotion program The sample used in this research was 40 teachers in the Secondary Educational Service Area Office Si Sa Ket Yasothon in Uthumphon Phisai District, Sisaket in academic year 2022. They were randomly assigned The research instruments used in the research were 1) the health promotion program based on the King's Philosophy had content validity between 0.60 and 1.00, which means it was an effective program, 2) a questionnaire about the satisfaction of health promotion program based on the King's Philosophy had reliability 0.97 &nbsp;and 3) the physical fitness test based on the manual for physical fitness test &nbsp;Department of Physical Education, The statistics used in the research were percentage, mean, standard deviation, and t-test for dependent. The results of the research were found that 1) the health promotion program based on the King's Philosophy which means it was an effective program, 2) the compare the result of the physical fitness before and after the program based on the King's Philosophy had significantly higher physical fitness at .05, and 3) the satisfaction of health promotion program based on the King's Philosophy was found to be the highest.</p> phanuphat phira Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 278 293 Development of Research Article Reading Ability for English Major Students Using Reading Instructional Model Based on Task- Based Learning Approach https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/258510 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านงานวิจัยภาษาอังกฤษของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษก่อนและหลังการที่ได้รับการสอนด้วยรูปแบบวิธีการสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน และ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาครูสาขาภาษาอังกฤษที่มีต่อรูปแบบวิธีการสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 73 คน ที่ได้มาจากการเลือกโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โดยใช้เวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวม 24 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวิธีสอนอ่านแบบเน้นภาระงาน&nbsp; 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการบทความวิจัยภาษาอังกฤษ และ 3) แบบสอบถามวัดความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบวิธีสอนอ่านแบบเน้นภาระ โดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสถิติที (t-test) แบบไม่เป็นอิสระต่อกันในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านงานวิจัยภาษาอังกฤษของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษหลังเรียนด้วยรูปแบบวิธีการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษมีความคิดเห็นต่อรูปแบบวิธีการสอนอ่านแบบเน้นภาระงานโดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด</p> WIPADA PRASANSAPH Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 294 308 ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/263602 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้ กลุ่มประชากรเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 15 รูป โรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ (อ22102) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งได้มาจากการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนหลังจากการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> saksit tunkhamnoi Assistant Professor Dr. Suneeta Kositchaivat Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 309 329 รูปแบบการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ (Hybrid Learning) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้และความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาครู https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/260679 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ เพื่อศึกษาความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาโปรแกรมวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 25 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โครงการสอนรายวิชา EDP2201 วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ แบบประเมินความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา มีผลวิจัย ดังนี้</p> <ol> <li class="show">รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 62 (S.D.=0.54) มี 5 ขั้น คือ 1) เตรียมความพร้อม 2) นำสู่ความรู้ 3) สร้างองค์ความรู้ 4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ 5) สะท้อนคิด มีลักษณะการเรียนรู้ คือ F2F SDL Online และ Offline</li> <li class="show">ความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้และความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">ความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ นักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> สุดาพร ปัญญาพฤกษ์ Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 330 349 การพัฒนากิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสานด้วยการสอนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดราชบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/350-372 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสานด้วยการสอนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดราชบุรี 2) เพื่อศึกษาสมรรถนะด้านการสร้างนวัตกรรมการสอน ของครูและบุคลากรทางการศึกษาในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดราชบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 2) กิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสานด้วยการสอนเชิงสร้างสรรค์ 3) แบบประเมินคุณภาพกิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสาน 4) แบบประเมินผลงานการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ 5) แบบวัดความรู้ 6) แบบวัดเจตคติที่มีต่อนวัตกรรมการสอน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย &nbsp;และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณภาพกิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสานด้วยการสอนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับคุณภาพอยู่ในระดับดี (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 4.40, S.D. = 0.49) 2) ผลการศึ<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">กษาสมรรถนะการสร้างนวัตกรรมการสอน ของครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วย 2.1) ผลการวัดความรู้หลังกิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสานด้วยการสอนเชิงสร้างสรรค์ ของครูและบุคลากรทางการศึกษา พบว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้&nbsp; (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 17.88, S.D. = 1.69) 2.2) ผลงานการสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ ของครูและบุคลากรทางการศึกษา มีคะแนนอยู่ในระดับดี โดยมีคะแนนผลงานเฉลี่ยเท่ากับ 9.61 คิดเป็นร้อยละ 89.4 ผ่านเกณฑ์การประเมิน 2.3) ผลการประเมินเจตคติที่มีต่อนวัตกรรมการสอนของครูและบุคลากรทางการศึกษา อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 4.15, S.D. = 0.71)</p> สุดารัตน์ บุญญานุกูลกิจ วรวุฒิ มั่นสุขผล Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และสมรรถนะการคิดขั้นสูง ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/373-387 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป และ 2) พัฒนาสมรรถนะการคิดขั้นสูง ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีผลการประเมินสมรรถนะการคิดขั้นสูงอยู่ในระดับสามารถขึ้นไป กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนสนามบิน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประกอบด้วย 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีมิติเสมือนจริงจำนวน 6 แผน เวลา 12 ชั่วโมง แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและครู แบบบันทึกผลการจัดการเรียนการสอน แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบทดสอบสมรรถนะการคิดขั้นสูง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เฉลี่ยเท่ากับ 24.13 คิดเป็นร้อยละ 75.39 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ 29 คน คิดเป็นร้อยละ 72.5 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) นักเรียนมีผลการประเมินสมรรถนะการคิดขั้นสูงอยู่ในระดับสามารถขึ้นไปจำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 87.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p> Supassara Pimpo สิทธิพล อาจอินทร์ Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 การวิเคราะห์ SWOT ต่อการจัดทำ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ 2563-2567 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/388-408 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>งานวิจัยชิ้นนี้ นำเอาเทคนิค SWOT นำเสนอข้อมูลภายในและภายนอกทั้งหมดที่มีอิทธิพลต่อหน่วยงาน และใช้ TOWS matrix เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อสร้างกลยุทธ์จากปัจจัย 5 อันดับแรกที่มีอิทธิผลทั้ง 4 ด้านของ SWOT เพื่อนำมาใช้ในการจัดทำ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ 2563-2567 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล การได้มาของข้อมูลนั้นมาจากแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง 4 กลุ่มได้แก่ กลุ่มบุคลากรสายวิชาการและบุคลากรสายสนับสนุน กลุ่มนักศึกษา กลุ่มศิษย์เก่า และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีผู้ตอบจำนวน 252 คนจากแบบสอบถามทั้งหมด 461 ชุด คิดเป็นร้อยละ 54.6 หลังจากการวิเคราะห์ด้วย SWOT จะได้ปัจจัยที่เป็นตัวแปรที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรกของทั้ง 4 ด้าน (S,W,O,T) รวมทั้งสิ้น 20 ตัวแปร ต่อมาจึงใช้ TOWS matrix มาจับคู่ตัวแปรแต่ละคู่ของแต่ละกลยุทธ์อันได้แก่ (SO) กลยุทธ์เชิงรุก (SO) &nbsp;&nbsp;(ST) กลยุทธ์ป้องกัน (ST) &nbsp;(WO) กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO) และ (WT) กลยุทธ์เชิงรับ (WT) ผลลัพธ์ถูกนำมาตีความในการใช้สร้างยุทธ์ศาสตร์คณะตามลักษณะใน 4 ด้านของ TOWS ได้ดังนี้ 1) การสร้างความเป็นเลิศด้านการวิจัย บริการวิชาการ ฝึกอบรม เทคโนโลยีและนววัตกรรมทางด้านวิ่งแวดล้อม 2) การสร้างความเป็นเลิศทางการศึกษา 3) การเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม และ 4) การสร้างและการบริการองค์กรอย่างยั่งยืน ตามลำดับ ด้วยการวิเคราะห์ของเครื่องมือทั้ง 2 แบบทำให้คณะทราบถึงจุดแข็งหรือจุดเด่นของคณะที่สามารถใช้เป็นโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดเพิ่มศักยภาพได้ และใช้จุดอ่อนของคณะเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของคณะ ซึ่งผลที่ได้สามารถลดอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ หรือสามารถใช้สร้างโอกาสในการแข่งขันเพื่อนำไปสู่องค์กรที่เป็นเลิศ</p> <p>&nbsp;</p> อภิสรา โชติภาภรณ์ Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 21 2 การสร้างเสริมความสุขในชีวิตด้วยแนวคิด ความเมตตากรุณาต่อตนเอง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/264245 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ความเมตตากรุณาต่อตนเองเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่ช่วยให้คนเกิดความเข้าใจตนเอง เห็นอกเห็นใจตนเองโดยปราศจากการตำหนิตนเองและต้องทนทุกข์ทรมานใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง&nbsp; โดยจะต้องมองว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วและไม่ใช่ปัญหาสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความรู้สึกด้านลบต่อตนเองจนไม่สามารถทำอะไรต่อไม่ได้ &nbsp;แต่แนวคิดนี้กลับทำให้มองว่า ความผิดพลาดจากการทำงานใดๆก็ตามเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน &nbsp;ความเมตตากรุณาต่อตนเองเป็นคุณลักษณะสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของคนเรามีความสุข เนื่องจากเราจะรู้เท่าทันชีวิตตามความเป็นจริง &nbsp;พบว่า มีการศึกษาวิจัยเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนให้เห็นว่า &nbsp;ความเมตตากรุณาต่อตนเองมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนเรา &nbsp;องค์ประกอบของความเมตตากรุณาต่อตนเองประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ การมีเมตตาหรือความการุณย์ต่อตนเอง &nbsp;ความเป็นมนุษย์ปุถุชนและการมีสติ ในขณะที่แนวทางในการเสริมสร้างความสุขในชีวิตด้วยแนวคิดความเมตตากรุณาตนเอง จะมี 5 แนวทางสำคัญด้วยกัน คือ ฝึกเผชิญหน้าความจริง &nbsp;มองข้ามความคิดเชิงลบต่อตนเอง &nbsp;เปลี่ยนมุมมองใหม่เมื่อใจเป็นทุกข์ &nbsp;ควบคุมอารมณ์ไม่ให้จมดิ่ง และต้องหันหน้าสู้โดยไม่หลีกหนีปัญหา</p> <p>&nbsp;</p> กมล โพธิเย็น Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 21 2 11 23 “ลำพู” นิเวศริมน้ำกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/254514 <p>“ลำพู” (Cork tree) เป็นพรรณไม้ขนาดใหญ่พบขึ้นอยู่ชายเลน มีคุณลักษณะเฉพาะตัว &nbsp;มีรากหายใจหรือรากอากาศชูขึ้นเหนือพื้นดินรอบลำต้น กิ่งค้อมลงสู่พื้นดิน ใบโปร่ง เป็นที่อาศัยของสัตว์หลายชนิด บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของ “ลำพู” ที่เป็นพรรณไม้หลักของนิเวศริมน้ำที่มีความสำคัญและมีคุณค่า ลำพู เป็นพรรณไม้ที่น่าสนใจเรียนรู้เพื่อต่อยอดในการเป็นสัญลักษณ์หรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวในการส่งเสริมอาชีพให้แก่ชุมชนพื้นถิ่น จากด้วยความงดงามระยิบระยับที่มหัศจรรย์เมื่อมีแสงของฝูงหิ่งห้อยบินวนภายในพุ่มใบในยามค่ำคืน มลภาวะที่เกิดขึ้น เข่น ขยะ น้ำเสีย สารเคมี ฝุ่น ควัน ทำให้ระบบนิเวศริมน้ำขาดความสมดุล การแก้ปัญหาที่ถูกต้องและยั่งยืนของนิเวศริมน้ำคือการสร้างการเรียนรู้ และการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติคือ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ที่เน้นการเรียนรู้จากความต้องการของตนเอง อันจะนำมาซึ่งความรู้และความสามารถในการแก้ไขและป้องกันปัญหา เกิดผลการเรียนรู้ที่มีความยั่งยืนที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต เป็นภูมิปัญญาส่งต่อคนรุ่นต่อไปให้เห็นคุณค่าใน “ลำพู” แหล่งกำเนิดนิเวศริมน้ำกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> ประพันธ์ศักดิ์ ตวงสุวรรณ Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 21 2 วินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย : สร้างเสริมได้ด้วยแนวทางการสร้างวินัยเชิงบวก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/243529 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอการสร้างเสริมวินัยในตนเองด้วยแนวทางการสร้างวินัยเชิงบวก ซึ่งวินัยในตนเองเป็นคุณลักษณะสําคัญของบุคคลซึ่งนําไปสู่การดําเนินชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม มีความสุข และประสบความสําเร็จ วินัยในตนเองเป็นพื้นฐานของบุคคลที่มีคุณภาพ เพราะบุคคลจะสามารถควบคุมตนเอง พัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการและความจําเป็นในการดําเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เหมาะสมโดยที่ไม่ต้องให้บุคคลอื่นมาควบคุมบังคับ วินัยในตนเองที่ควรสร้างเสริมสําหรับเด็กปฐมวัยประกอบด้วย การรับผิดชอบ การตรงต่อเวลาการอดทน อดกลั้น การมีเหตุผล การซื่อสัตย์ การยอมรับผู้อื่น และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กติกา ข้อตกลง ซึ่งวินัยในตนเองเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยควรให้ความสําคัญในการเสริมสร้าง ด้วยวินัยในตนเองเป็นคุณลักษณะภายในของบุคคลที่จําเป็นต้องได้รับการสร้างเสริมตั้งแต่ในช่วงปฐมวัยเนื่องด้วยเป็นช่วงระยะเวลาที่สําคัญในการพัฒนาบุคคล โดยการสร้างเสริมวินัยในตนเองสําหรับเด็กปฐมวัยควรเริ่มที่ครอบครัว และเชื่อมต่อมายังโรงเรียนด้วยแนวทางการสร้างวินัยเชิงบวก เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาจนกลายเป็นพฤติกรรมที่มีความคงทนติดตัวบุคคลไปตลอด</p> สิรินทร์ ลัดดากลม บุญเชิดชู Copyright (c) 2023 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 21 2 36 50