https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/issue/feed วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2025-07-04T10:05:27+07:00 รศ.ดร.ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย edu.journal.su@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารศึกษาศาสตร์ &nbsp;มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการของคณาจารย์นักวิชาการทางการศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน และ 2) เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์&nbsp;กำหนดออกวารสาร ปีละ 2 ฉบับ 1) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และ &nbsp; &nbsp;2) ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>การจัดทำวารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีการจัดทำวารสาร เป็น 2 รูปแบบ คือ 1) แบบตีพิมพ์ (Print) &nbsp;ISSN 1686-3089 &nbsp;ตั้งแต่ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2555 และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) &nbsp;ISSN 2672-9571 ตั้งแต่ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน – กันยายน 2561</p> <p>&nbsp;</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/280286 บทบรรณาธิการ 2025-07-04T10:05:27+07:00 Siriwan Vanichwatanavorachai Siriwan Vanichwatanavorachai wexogi7709@luravell.com <p data-start="222" data-end="476">คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ดำเนินบทบาทสำคัญในฐานะแหล่งผลิตครูและนักวิชาการที่มีคุณภาพมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี พ.ศ. 2506 คณะฯ มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งด้านวิชาการและวิจัย โดยยึดมั่นในเจตนารมณ์ในการยกระดับการศึกษาไทยให้ก้าวหน้าและยั่งยืน</p> <p data-start="478" data-end="838">ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา คณะฯ ได้ส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัยที่เข้มแข็ง และเปิดพื้นที่ทางวิชาการให้กับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ผ่านการจัดพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ วารสารฉบับนี้จึงมิได้เป็นเพียงแหล่งรวมบทความวิชาการและบทความวิจัยเท่านั้น หากยังเป็นเวทีสำหรับแลกเปลี่ยนแนวคิด และนำเสนอแนวทางใหม่ในการพัฒนาการศึกษาของประเทศอีกด้วย</p> <p data-start="840" data-end="1072">ในฉบับปัจจุบันนี้ วารสารได้นำเสนอผลงานวิชาการที่หลากหลาย ทั้งในด้านการจัดการเรียนรู้ การบริหารการศึกษา จิตวิทยา และนวัตกรรมทางการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นประเด็นร่วมสมัยที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทยและระดับสากลได้อย่างน่าสนใจ</p> <p data-start="1074" data-end="1344">ขอขอบคุณผู้เขียนทุกท่านที่มอบผลงานอันทรงคุณค่ามาเผยแพร่ และขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามวารสารอย่างต่อเนื่อง กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวารสารฉบับนี้จะเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการวิจัยและพัฒนาด้านการศึกษาอย่างยั่งยืน</p> <p data-start="1346" data-end="1415"><strong data-start="1346" data-end="1413">“การศึกษาเปลี่ยนชีวิตได้ และความรู้จะเติบโตได้ เมื่อเราแบ่งปัน”</strong></p> <p data-start="1420" data-end="1511">&nbsp;</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/280157 สารบัญ 2025-06-29T20:30:18+07:00 Journal of Education Silpakorn University dejemi7131@asimarif.com 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/251538 การออกแบบการวิจัย 2021-08-28T18:18:17+07:00 นาย สุวรรณ saransuwan@gmail.com <p>-</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/259350 แนวทางการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาโดยประยุกต์แนวคิดชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ 2023-09-04T16:15:16+07:00 Natthawut Jongjid punthakit@gmail.com Phanthakit Chaisombat punthakit@gmail.com Phenphanor Phuangphae punthakit@gmail.com <p>การพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม มีปัจจัยที่สำคัญคือการพัฒนา<br>ประชากรให้มีคุณภาพ ซึ่งการพัฒนามนุษย์ให้เป็นพลเมืองดีตามจุดมุ่งหมายของวิชาสังคมศึกษานั้น <br>ต้องพึ่งพาอาศัยแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ในการพัฒนามนุษย์ ชุมชนเป็นอีกหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งสามารถ<br>เรียนรู้ด้วยตนเองได้โดยตรง การจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาโดยประยุกต์แนวคิดชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้<br>จึงสอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกลยุทธ์หรือรูปแบบการ<br>จัดการเรียนรู้ที่บูรณาการเนื้อหาตามหลักสูตรให้เชื่อมโยงกับชุมชนโดยใช้การปฏิบัติงานเป็นฐาน ให้ผู้เรียนเกิด<br>การเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติงานจากสถานการณ์จริงในชุมชน ภายใต้การมีส่วนร่วมระหว่างครู ผู้เรียน <br>และกลุ่มคนในกระบวนการสำคัญของการเรียนรู้ใช้การสะท้อนคิดเชิงวิพากษ์ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ในเนื้อหา<br>ตามหลักสูตรและเข้าใจชุมชนมากขึ้น ผลจากการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาโดย<br>ประยุกต์แนวคิดชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ได้ตอบสนองจุดมุ่งหมายที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนด้าน<br>ความรู้และทักษะอย่างหลากหลายที่เป็นไปตามเป้าหมายของความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21<br>คำสำคัญ แนวทางการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา, แนวคิดชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/269488 การสอนวิชาพลศึกษาเพื่อพัฒนาความฉลาดรู้ทางกาย 2024-04-01T15:46:17+07:00 Titsana Choptham titsana_ch@rmutto.ac.th คณาธิป จิระสัญญาณสกุล khanathip_ji@rmutto.ac.th ประจักษ์ อินทร์โต prajak_in@rmutto.ac.th สารัช ดีงาม sarach_de@rmutto.ac.th <p><strong>&nbsp;</strong><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>แนวคิดเรื่องความฉลาดรู้ทางกายเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับวิชาพลศึกษาโดยตรง เพราะเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมกิจกรรมพลศึกษา ดังนั้นการสอนพลศึกษาถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาความฉลาดรู้ทางกาย โดยการพัฒนาความฉลาดรู้ทางกายด้วยการสอนพลศึกษานี้ ต้องพยายามจัดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาองค์ประกอบสำคัญในแต่ละด้าน ซึ่งประกอบไปด้วย 1)ด้านร่างกาย 2)ด้านจิตใจ 3)ด้านสังคม และ 4)ด้านความรู้ สติปัญญา โดยครูผู้สอนจำเป็นต้องมีการวางแผน ดำเนินการจัดการเรียนรู้อย่างรัดกุมเป็นขั้นตอน ให้ครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของความฉลาดรู้ทางกาย รวมถึงใช้เทคนิคการสอน วิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การสาธิต การให้คำแนะนำต่าง ๆ กระตุ้นความสนใจใคร่รู้ ออกแบบกิจกรรมที่มีความเหมาะสม ท้าทาย และจัดสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาความฉลาดรู้ทางกายของผู้เรียนให้เกิดขึ้นแบบองค์รวมและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านความฉลาดรู้ทางกายให้กว้างขวาง และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้จัดการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/273579 การพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่ 2024-09-19T12:16:57+07:00 natirach khamkon s64561802041@ssru.ac.th <p>การบริหารสถานศึกษาเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะต้องวางแผนการบริหารงานตามโครงสร้างของสถานศึกษา ซึ่งแต่ละงานมีความสำคัญที่แตกต่างกันออกไป สถานศึกษาอาชีวศึกษาก็เช่นเดียวกัน มีการบริหารงานตามโครงสร้างภายใต้ระเบียบว่าด้วยการบริหารสถานศึกษาและมีการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อให้การจัดการศึกษาอาชีวศึกษามีคุณภาพตามมาตรฐานและการประกันคุณภาพ และสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนมีคุณสมบัติตามคุณภาพผู้สำเร็จการศึกษาอาชีวศึกษา ดังนั้นการบริหารงานวิชาการจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่จะให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามที่กล่าวมา โดยผู้บริหารต้องเข้าใจถึงปัจจัยในการส่งเสริมในการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา และเข้าใจหลักการที่เอื้อต่อความสำเร็จด้านต่างๆในงานวิชาการ เห็นถึงความสำคัญในงานวิชาการอันจะเป็นส่วนที่พัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275895 หลักสูตรฐานสมรรถนะในประเทศไทย: การปรับการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการระดับโลกและระดับท้องถิ่น 2025-05-02T14:11:30+07:00 Soranabordin Prasansaph tea9796@hotmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสำคัญ แนวคิด และคุณลักษณะสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ รวมทั้งความสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะในบริบทประเทศไทย และความท้าทายของการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) ไปใช้ในประเทศไทย โดยเน้นบทบาทของหลักสูตรดังกล่าวในการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล หลักสูตรฐานสมรรถนะมุ่งพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนผ่านการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้แบบบูรณาการ และการประเมินผลเชิงปฏิบัติ บทความนี้ยังวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของหลักสูตรกับนโยบายการศึกษาของไทย เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และการปฏิรูปหลักสูตรโดยกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงความท้าทายที่สำคัญ เช่น การปรับระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม การพัฒนาศักยภาพของครู และการจัดสรรทรัพยากร แนวทางที่เสนอประกอบด้วยการอบรมครู การสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ บทความสรุปว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะมีความสำคัญในการเตรียมผู้เรียนให้มีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะดิจิทัล และความสามารถในการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตในยุคดิจิทัล</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/268528 การพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัฏจักร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ร่วมกับโปรแกรมสถานการณ์จำลอง PhET 2024-02-23T23:16:58+07:00 Kitsana Ratanapan drsiriwankief@pkru.ac.th ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ drsiriwankief@pkru.ac.th <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 เรื่องวัฎจักรโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ร่วมกับโปรแกรมสถานการณ์จำลอง PhET และเพื่อพัฒนาตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โปรแกรมสถานการณ์จำลองPhET ร่วมในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 41 คนที่ได้จากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โดยจัดระเบียบวิธีวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ครูผู้สอนมีบทบาทหน้าที่เป็นนักวิจัย โดยการจัดการเรียนรู้มีการบูรณาการกระบวนการวิจัยที่มีการใช้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ร่วมกับโปรแกรมสถานการณ์จำลอง PhET และแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ เป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีการพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องวัฏจักรของน้ำสอดคล้องกับกับแนวคิดวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์ โดยนักเรียนในกลุ่มที่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ไม่ถูกต้องและถูกต้องบางส่วนมีการปรับเปลี่ยนแนวคิดสอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในแนวคิดที่มีความเป็นนามธรรมอาศัยจินตนาการของนักเรียนเพื่อให้เข้าใจในแนวคิดนั้น การใช้โปรแกรม PhET เข้าร่วมในการสืบเสาะของนักเรียนในขั้นตรวจสอบความรู้เดิม ขั้นการสำรวจและขั้นสรุปองค์ความรู้เป็นกลวิธีที่ส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงแนวคิดย่อยเป็นแนวคิดหลักได้ถูกต้อง ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้จากผลวิจัยพบว่าเมื่อนักเรียนมีการสร้างแนวคิดที่ถูกต้องสมบูรณ์แล้ว นักเรียนควรนำมาต่อยอดในการสร้างสรรค์แบบจำลองของตนเองเพื่ออธิบายปรากฏการณ์นั้น เป็นกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียนร่วมในการรู้</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/278244 ความคาดหวังและแนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2025-04-10T16:16:04+07:00 คุณากร สายลวดคำ kunasa@kku.ac.th Nattapon Meekaew kunasa@kku.ac.th Angkana Tungkasamit kunasa@kku.ac.th Montha Chumsukon kunasa@kku.ac.th Saksit Husmin kunasa@kku.ac.th <p>การวิจัยเรื่อง ความคาดหวังและแนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความคาดหวังต่อการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ (2) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย คณาจารย์ระดับอุดมศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรสนับสนุนทางการศึกษา จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และ (2) การสนทนากลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) ความคาดหวังต่อการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา คือ การพัฒนาบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา ให้มีองค์ความรู้ที่ลุ่มลึกและมีทักษะที่หลากหลาย คณาจารย์ผู้สอน ที่มีความสามารถใน&nbsp; เรื่องเทคนิคการสอนและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทั้ง 5 สาระการเรียนรู้ มีการสนับสนุนด้านทุนการศึกษา และ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; มีการเปิดสอนหลักสูตร ที่ตรงกับความต้องการของผู้เรียนและเป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน และ (2) แนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา คือ การเพิ่มทักษะความเป็นครูและทักษะความเป็นครูสังคมศึกษาสมัยใหม่ &nbsp;&nbsp;การวิเคราะห์ SWOT analysis ของหลักสูตร การต่อยอดเนื้อหาทางสังคมศึกษา และการเพิ่มเนื้อหาทางสังคมศึกษาที่ลุ่มลึกควบคู่กับการทำวิจัย</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/274044 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัลที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-11-14T11:05:58+07:00 จิตติวรรณ ยมรัตน์ jittiwan72@gmail.com มนตรี เด่นดวง montree.de@skru.ac.th ชุติมา จันทรจิตร chutima.ch@skru.ac.th <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจหลังการจัดการเรียนรู้ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนเทศบาล ๔ (วัดคลองเรียน) จำนวนนักเรียน 30 คน ได้มาด้วยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล 2) สื่อดิจิทัล 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัล สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ ร่วมกับสื่อดิจิทัลอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275879 ผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือประกอบปริศนาคำทายที่มีต่อความสามารถด้านการอ่านและเขียนของเด็กปฐมวัย โรงเรียนเทพรัตน์ จังหวัดชัยนาท 2025-01-03T14:41:52+07:00 เจนจิรา ทิมงาม janejaojung@gmail.com Dararat Uthaipayuck Dararat Uthaipayuck janejaojung@gmail.com Supawan Lekvilai Supawan Lekvilai janejaojung@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ของความสามารถด้านการอ่านและเขียน และ 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านและเขียนของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือประกอบปริศนาคำทาย ประชากร คือ เด็กปฐมวัย ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 อายุระหว่าง 5-6 ปี จำนวน 15 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ที่โรงเรียนเทพรัตน์ จังหวัดชัยนาท เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือประกอบปริศนาคำทาย จำนวน 24 แผน มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถด้านการอ่านและเขียนของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือประกอบปริศนาคำทายมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือประกอบปริศนาคำทายสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมทั้งโดยภาพรวมและจำแนกรายด้าน</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>&nbsp;:</strong> ศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือ, ปริศนาคำทาย, ความสามารถด้านการอ่านและเขียน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/274442 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถใน การคิดเชิงวิพากษ์ด้านคุณค่าทางสังคมในวรรณคดีไทยสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู 2024-10-24T10:57:28+07:00 ชนิตตา โชติช่วง chanitta104@gmail.com ทรงกลด จารุนนทรากุล chanitta104@gmail.com นพวรรณ เนตรธานนท์ chanitta104@gmail.com อุบลวรรณ ส่งเสริม chanitta104@gmail.com <p>การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ด้านคุณค่าทางสังคมของวรรณคดีไทยสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ประกอบด้วยประเด็นย่อย 2.1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษาวิชาชีพครูก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนฯ และ 2.2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครูต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนฯ โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&amp;D) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาวิชาชีพครู จำนวน 50 คนที่เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอนแบบปรากฏการณ์เป็นฐาน 2) คู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบปรากฏการณ์เป็นฐาน 3) แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน 4) แบบประเมินความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครูก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนฯ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครู สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <ol> <li class="show">1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบปรากฏการณ์เป็นฐานที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ปัจจัยสนับสนุน จำนวน 2 ปัจจัย ได้แก่ ด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านนักศึกษา 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ O2PSG แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ 4.1) การสังเกตปรากฏการณ์ 4.2) การให้คำอธิบายเบื้องต้น 3) การสืบเสาะหาความรู้ 4.4) การสังเคราะห์ความรู้และสรุป 4.5) การให้เหตุผล และ 5) การวัดและประเมินผล</li> <li class="show">ประสิทธิผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้ พบว่า 1) นักศึกษาวิชาชีพครูมีความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักศึกษาวิชาชีพครูมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการสอนฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.73, SD. = 0.32)</li> </ol> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/277476 การพัฒนาบอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2025-04-26T13:30:28+07:00 ชยารักษ์ แก้วมณี chayarak24@gmail.com ชลธิชา หอมฟุ้ง cholticha207@hotmail.com ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม chaiyos.pai@gmail.com <div><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ </span>1) <span lang="TH">เพื่อพัฒนาบอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทยเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ </span>6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) <span lang="TH">เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทย และ </span>3) <span lang="TH">เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ </span>6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/7 โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) <span lang="TH">เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ บอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการศึกษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที่แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (</span>t-test dependent)</div> <div><span lang="TH">ผลการวิจัยพบว่า </span>1) <span lang="TH">ประสิทธิภาพของบอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทย มีค่าเท่ากับ </span>87.17/86 เป็นไปตามเกณฑ์ 85/85 2) <span lang="TH">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ </span>6 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทยสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3)<span lang="TH">ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ </span>6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการศึกษาวรรณคดีไทยอยู่ในระดับมากที่สุด</div> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/278176 การตรวจสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และวิเคราะห์โครงข่ายของแบบวัดทัศนติความเป็นครูต้นแบบสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู 2025-04-05T21:37:59+07:00 Chinun Boonroungrut Chinun Boonroungrut chayapon.soon@hotmail.com Manthana Pandee Manthana Pandee chayapon.soon@hotmail.com Vachira Jantarach Vachira Jantarach chayapon.soon@hotmail.com Chayapon Soontornwiwattana chayapon.soon@hotmail.com Kanit Kheovichai Kanit Kheovichai chayapon.soon@hotmail.com <p>ทัศนคติความเป็นครูต้นแบบถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาและประเมินนักศึกษาวิชาชีพครูให้เป็นผู้ตระหนักถึงความสำคัญของครูที่ส่งผลดีและผลเสียต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของศิษย์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของแบบวัดทัศนคติความเป็นครูต้นแบบของนักศึกษาวิชาชีพครู โดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่ประกอบด้วยนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาชีพครู รวมทั้งสิ้น 301 คน ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นทั้ง 18 ข้อคำถามใช้มาตราวัดแบบ 9-Likert Scale ผ่านการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) และการวิเคราะห์โครงข่าย (Network Analysis) เพื่อประเมินคุณสมบัติการวัด จากการศึกษาพบว่าแบบวัดมีความตรงเชิงโครงสร้างที่ยอมรับได้ในระดับปานกลาง (χ2/df = 1.72, CFI = .89, TLI = .80, RMSEA = .07) และมีค่าความเชื่อมั่นในระดับสูงที่ .93 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ นอกจากนี้การวิเคราะห์โครงข่ายยังแสดงให้เห็นว่าโหนดที่มีความสำคัญสูงสุดในเครือข่ายคือ Q14 ซึ่งอาจมีอิทธิพลสูงต่อการเชื่อมโยงกับโหนดอื่น ๆ ผลการวิจัยนี้ช่วยยืนยันว่าแบบวัดทัศนคติความเป็นครูต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีคุณสมบัติทางจิตวิทยาที่เหมาะสมในการประเมินทัศนคติของนักศึกษาวิชาชีพครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ<span class="Apple-converted-space">&nbsp;</span></p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275993 การพัฒนาหลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง ภูมิปัญญาการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติที่เน้นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 2025-01-10T11:15:54+07:00 Natnicha Saosaksa natnicha.s@lawasri.tru.ac.th <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องภูมิปัญญาการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติที่เน้นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการใช้หลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ภูมิปัญญาการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติที่เน้นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 &nbsp;กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดโพธิ์ศรี (สังวรราษฎร์นุสรณ์) อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 16 คน โดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง&nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) หลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) 4) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 5) แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์&nbsp; สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทดสอบ t-test แบบ Dependent Samples</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) หลักสูตรประกอบด้วยองค์ประกอบ 12 ส่วน ได้แก่ 1. ความเป็นมา 2. วิสัยทัศน์ 3. หลักการ 4. จุดหมาย 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6. ผลการเรียนรู้ 7. สาระการเรียนรู้ 8. คำอธิบายรายวิชา 9. โครงสร้างหลักสูตร 10. แนวทางการจัดการเรียนรู้ 11. สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 12. การวัดและประเมินผล 2) ผลเปรียบเทียบการเรียนรู้จากการทดลองใช้หลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ภูมิปัญญาการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติที่เน้นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านความรู้ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังทดลองใช้หลักสูตรสูงกว่าก่อนทดลองใช้หลักสูตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275145 การพัฒนารูปแบบและแนวทางการบริหารความร่วมมือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2024-11-23T22:25:30+07:00 ดิเรก เตชะมา Direkthachama@gmail.com เทื้อน ทองแก้ว Direkthachama@gmail.com สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ Direkthachama@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการของการบริหารความร่วมมือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) พัฒนารูปแบบและแนวทางการบริหารความร่วมมือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) นำเสนอรูปแบบและแนวทางการบริหารความร่วมมือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยเป็นแบบผสมผสาน คือ การวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ มีค่า IOC 1.00 ทุกข้อ วิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุป การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 592 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบจัดชั้น เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม มีค่า IOC ระหว่าง 0.60-1.00 วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นด้วยเทคนิค PNI <sub>Modified</sub>จากนั้นนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นร่างรูปแบบและแนวทางฯ และนำไปตรวจสอบ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม&nbsp; มีค่า IOC ระหว่าง 0.80-1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยเชิงคุณภาพที่พบ จำแนกได้ 4 ด้าน คือ 1) คนหรือบุคคล 2) เงินหรืองบประมาณ 3) วัสดุสิ่งของและวัสดุอุปกรณ์ 4) การบริหารจัดการ และผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า สภาพที่เป็นจริง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง &nbsp;(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.43, S.D. = .154) สภาพที่ควาดหวัง อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 4.55, S.D. = .385) และค่า PNI <sub>Modified</sub> = 0.32</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275559 แนวทางพัฒนาการจัดการเรียนรวมสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 2024-12-12T16:55:05+07:00 Thanadet Tewwong 666150110219@npu.ac.th Pratya Thongpanit Pratya Thongpanit 666150110219@npu.ac.th Sumalee Sriputtarin Sumalee Sriputtarin 666150110219@npu.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการจัดการเรียนรวม (2) ประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรวม (3) พัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรวม และ (4) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางพัฒนาการจัดการเรียนรวม การวิจัยดำเนินการใน 2 ระยะ ได้แก่ (1) การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น และ (2) การพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรวมสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาและครูจำนวน 272 คน ซึ่งสุ่มเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบประเมินแนวทางพัฒนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนรวมอยู่ในระดับมาก ในขณะที่สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม ด้านส่งเสริมร่วมมือ และด้านการจัดกิจกรรมการเรียน แนวทางพัฒนาประกอบด้วย 1) การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม 2) การสนับสนุนการเรียนรวมด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน 3) การพัฒนาหลักสูตรและแผนเฉพาะบุคคล (IEP/IIP) 4) การอบรมและพัฒนาบุคลากร และ 5) การจัดหาเทคโนโลยีที่ตอบสนองความหลากหลาย การประเมินแนวทางพัฒนาพบว่ามีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด จากการวิจัยให้ข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรวมที่มีประสิทธิภาพต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และชุมชน พร้อมทั้งใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างเต็มที่</p> <p>&nbsp;</p> <p>คำสำคัญ: การจัดการเรียนรวม นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ความต้องการจำเป็น</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/278260 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวโดยใช้กลวิธี SQRQCQ ร่วมกับการสอนที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงเพื่อส่งเสริมทักษะ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-04-09T12:19:32+07:00 nurheedayah barataya 736504015@yru.ac.th Vorrapot Sealee Vorrapot Sealee 736504015@yru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้กลวิธี SQRQCQ ร่วมกับการสอนที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และทดสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2) เพื่อศึกษาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนบันนังสตาวิทยานุสรณ์ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา จำนวน 35 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบกลุ่ม(Cluster Random Sampling) ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ก่อนเรียนแล้วดำเนินการจัดการเรียนรู้<br>ด้วยชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จากนั้นทำแบบทดสอบหลังเรียนและตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นผู้วิจัยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมตามเกณฑ์ &nbsp;เท่ากับ 75/75 จากนั้นใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบทีเพื่อเปรียบเทียบคะแนนทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียน เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและเปรียบเทียบคะแนนทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 นอกจากนี้ยังใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์มีค่าเท่ากับ76.73/77.03 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) คะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และคะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) คะแนนเฉลี่ยระดับความพึงพอใจของนักเรียนมีค่าเท่ากับ 4.16</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/276436 แนวทางการสร้างความสุขในการทำงานของผู้บริหารและบุคลากรสายสนับสนุนสังกัดสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ 2025-01-30T13:43:35+07:00 prasertsak aimsai prasertsak.a@rmutsb.ac.th Chaiyong Siripornmongkolchai Chaiyong Siripornmongkolchai prasertsak.a@rmutsb.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสุขในการทำงานของผู้บริหารและบุคลากรสายสนับสนุนและเพื่อพัฒนาแนวทางในการสร้างความสุขในการทำงานให้กับผู้บริหารและบุคลากรสายสนับสนุน สังกัดสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้บริหารและบุคลากรสายสนับสนุน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงได้ จำนวน 116 คน ใช้เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม ที่ผ่านการทดสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญเท่ากับ 1.00 ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป (SPSS) ทำการวิเคราะห์ ข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงาน ความสุขในการทำงานตามแนวคิดของสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใน 8 มิติ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของผู้บริหาร ภาพรวม อยู่ในระดับ มาก (=4.46,S.D=0.28) &nbsp;และ ความสุขในการทำงานตามแนวคิดของสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใน 8 มิติ ภาพรวมของผู้บริหาร ภาพรวม อยู่ในระดับ มาก (&nbsp;= 4.23,S.D=0.40)</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/273835 การพัฒนาชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้แอปพลิเคชัน Mathigon เรื่อง กราฟและความสัมพันธ์เชิงเส้น เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-09-29T01:00:33+07:00 รูไซนี ดือรามะ 736504019@yru.ac.th วรพจน์ แซ่หลี vorrapot.s@yru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้แอปพลิเคชัน Mathigon เรื่อง กราฟและความสัมพันธ์เชิงเส้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นกับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 4) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของห้องเรียนปกติกับห้องเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี จำนวน 2 ห้อง คือ ห้องกลุ่มทดลอง และห้องควบคุม ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.21/85.09 2) คะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์หลังใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) คะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) คะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของห้องเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สูงกว่าทักษะการคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของห้องเรียนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/276107 แนวทางการส่งเสริมการประสานงานระหว่างครูแนะแนวและครูที่ปรึกษาในการบริการแนะแนวสำหรับนักเรียนช่วงรอยต่อระหว่างการศึกษาภาคบังคับและมัธยมศึกษาตอนปลาย 2025-01-14T16:29:14+07:00 Wipaporn Panompong wipaporn.pa@ku.th วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง wanwisa.sue@ku.th พร้อมพิไล บัวสุวรรณ prompilai.b@ku.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังของการบริการแนะแนวช่วงรอยต่อระหว่างการศึกษาภาคบังคับและมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) วิเคราะห์ลำดับความต้องการจำเป็น ในการพัฒนาการบริการแนะแนว และ 3) พัฒนาแนวทางการส่งเสริมการประสานงานระหว่างครูแนะแนวและครูที่ปรึกษาในการบริการแนะแนว ประชากร คือ ครูที่ปรึกษาและครูแนะแนวในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริการแนะแนวช่วงรอยต่อระหว่างการศึกษาภาคบังคับและมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่คาดหวัง มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ลําดับความต้องการจําเป็นในการพัฒนาการบริการแนะแนว พบว่า บริการที่มีความต้องการจําเป็นเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ บริการให้การปรึกษา บริการติดตามผล บริการสารสนเทศ บริการจัดวาง ตัวบุคคล และบริการสำรวจข้อมูลเป็นรายบุคคล 3) แนวทางการส่งเสริมการประสานงานระหว่างครูแนะแนวและครูที่ปรึกษาในการจัดบริการแนะแนวที่มีค่าความถี่สูงสุด คือ ครูแนะแนวและครูที่ปรึกษาประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับนักเรียนที่มีปัญหาซับซ้อนเพื่อส่งต่อนักเรียนให้กับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่อไป</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/278238 การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (5E) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิก ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2025-04-08T14:59:25+07:00 Wiphawi Daengrayub teacherview05@gmail.com Maream Nillapun Maream Nillapun krubow.nattaya@gmail.com <p>The objectives of this research were to: 1) study the creative thinking skills of the eighth grade students after learning by the Inquiry-Based Learning and infographic 2) develop the ability to create infographic of the eighth grade students after learning by the Inquiry-Based Learning and infographic 3) study the satisfaction of the eighth grade students on learning by the Inquiry-Based Learning and infographic. The sample of this research consisted of 10 eighth grade students studying in the second semester during the academic year 2024 at Banprutoei School, Klongthom District, Krabi. The research instruments included: 1) a lesson plan using the Inquiry-Based Learning and infographic 2) evaluation on creative thinking skills 3) evaluation on creativity of infographic and 4) a satisfaction questionnaire. The collect data were analyzed by mean, standard deviation, and content analysis. The finding revealed that 1) The creative thinking skills of the eighth grade students after learning by the Inquiry-Based Learning and infographic was at the high level. 2) The ability to create infographics of the eighth grade students after learning by the Inquiry-Based Learning and infographic was at the high level. 3) The satisfaction of the eighth grade students on learning by the Inquiry-Based Learning and infographic was at the highest level.</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/275396 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษากับภาวะถดถอย (Burnout) ในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2024-12-03T16:52:17+07:00 wirakan sriduang wirakan.k38@gmail.com Ratana Karnjanapun Ratana Karnjanapun wirakan.k38@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ภาวะถดถอย(Burnout) ในการปฏิบัติงานของครู และ 3) หา&nbsp; &nbsp; ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษากับภาวะถดถอย (Burnout) ในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่ปฏิบัติการสอน ปีการศึกษา 2567 จำนวน 322 คน โดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา และการสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) &nbsp;สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะถดถอย (Burnout) ในการปฏิบัติงานของครู ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และ 3) พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะถดถอย (Burnout)ในการปฏิบัติงานของครู ภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/268177 การใช้กระบวนการโค้ชเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ 2024-02-07T14:52:30+07:00 suchawadee somsamran suchawadee.vru@gmail.com Thapana Choicharoen Thapana Choicharoen suchawadee.vru@gmail.com <p>วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนถือเป็นความท้าทายสำหรับครูและนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพเป็นอย่างมาก พบว่ามีครูและนักศึกษาครูจำนวนมากเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน เกิดความกังวลเกี่ยวกับการทำวิจัยทั้งการออกแบบงานวิจัย การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย หรือการเลือกใช้สถิติเพื่อการวิจัย งานวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการโค้ชเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำวิจัยในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาครุศาสตร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองดำเนินการตามแบบแผนวิจัยศึกษากลุ่มเดียววัดเฉพาะหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาชีววิทยาและวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ ที่กำลังฝึกประสบการณ์สอนในสถานศึกษา ชั้นปีที่ 5 จำนวน 12 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงกำหนดคุณสมบัติเป็นนักศึกษาที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้วิจัย ผลการศึกษาพบว่าความสามารถในการทำปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูหลังการใช้กระบวนการโค้ชมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 คะแนน ตีความได้ว่าความสามารถในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณาความสามารถรายบุคคลคลพบว่า หลังจากใช้กระบวนการโค้ชนักศึกษามีความสามารถในการทำวิจัยผ่านเกณฑ์ที่ผู้วิจัยตั้งไว้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 การใช้กระบวนการโค้ชกับนักศึกษาฝึกประสบการณ์สอนช่วยให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับทักษะการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น สามารถทำวิจัยได้ดีและถูกต้องตามหลักวิชาการ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/274183 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยาโดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ กระบวนการคิดรวบยอดเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์และ การรู้ดิจิทัลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2024-10-13T18:26:46+07:00 สุภสิตา เย็นอก supasita0507@gmail.com ทัศนีย์พร กลิ่นแก้ว klinkaew_t@silpakorn.edu Sutasinee kawsumarng kawsumarng@gmail.com Mariem Nilapun Mariem Nilapun supasita0507@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) พัฒนาและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้<br>ชีววิทยา 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา โดย 2.1) ศึกษาความสามารถ<br>การสื่อสารวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา <br>&nbsp;2.2) ศึกษาการรู้ดิจิทัลชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 &nbsp;ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 42 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบประเมินความสามารถการสื่อสารวิทยาศาสตร์ 4) แบบประเมินการรู้ดิจิทัล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย(M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ชีววิทยาที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.1) หลักการ 1.2) วัตถุประสงค์ 1.3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 สร้างความสนใจ (Motivate: M) ขั้นตอนที่ 2 สำรวจและสรุปความคิดรวบยอด (Explore &amp; Summarize of concepts : E) ขั้นตอนที่ 3 อภิปราย (Discuss: D) ขั้นตอนที่ 4 ขยายความรู้ (Expand: E) และขั้นตอนที่ 5 ประเมินผล (Assess: A) 1.4 การวัดและประเมินผล 1.5 ปัจจัยสนับสนุน 2. ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1 ความสามารถในการสื่อสารวิทยาศาสตร์ด้านการนำเสนอของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีพัฒนาการสูงขึ้น 2.2 การด้านการรู้ดิจิทัลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีพัฒนาการสูงขึ้น</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/280161 การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2025-06-29T21:57:13+07:00 Ackara Phosri Ackara Phosri dejemi7131@asimarif.com Suphirun Jantarak Suphirun Jantarak dejemi7131@asimarif.com <p>This research aims to study the components of innovative leadership among school <br>administrators. It consists of two steps: step 1 synthesizing the components from studying <br>concepts, documents, and related research from 10 academic and educational sources. Step <br>2 Evaluating the appropriateness of the components of innovative leadership among school <br>administrators by 5 experts. The research tools include a document synthesis table and a 5<br>point Likert scale questionnaire. The statistics used for data analysis include frequency, percentage, mean, and standard deviation. The research results indicate that the innovative <br>leadership of school administrators consists of 7 components: 1) Creative thinking 2) Creating <br>an atmosphere of organizational innovation 3) Teamwork and participation 4) Visionary <br>change 5) Use of information and communication technology 6) Risk management and 7) <br>Motivation. All components were found to be highly appropriate.</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/article/view/280155 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2025-06-29T20:25:03+07:00 Journal of Education Silpakorn University dejemi7131@asimarif.com <p>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2568) Vol. 23 No. 1 (January– June 2025)</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025