วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขต</strong><strong>ของวารสารสังคมศาสตร์วิจัย</strong></p> <p> วารสารสังคมศาสตร์วิจัย (Journal for Social Sciences Research) เกิดจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏภูมิภาคตะวันตก 4 มหาวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี) โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่งานวิจัยของนักศึกษา อาจารย์ และบุคคลทั่วไป ที่เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์<br /> วารสารสังคมศาสตร์วิจัย กำหนดตีพิมพ์วารสารราย 6 เดือน ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม วารสารสังคมศาสตร์วิจัยเน้นการนำเสนอบทความวิจัย และบทความที่จะตีพิมพ์ในวารสารต้องได้รับผลการประเมินให้ผ่านจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนอย่างน้อย 2 คน จาก 3 คน ชื่อผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิถือเป็นความลับ และการประสานงานระหว่างผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิต้องผ่านกองบรรณาธิการเท่านั้น<br /> ผู้ประสงค์จะส่งบทความ ให้เตรียมบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียน และต้องรับรองว่าผลงานดังกล่าวเป็นของตนจริงและเป็นผลงานใหม่ไม่เกิน 2 ปี ไม่เคยเผยแพร่ในที่ใด ไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อเผยแพร่ในที่ใด และจะไม่ส่งเพื่อพิจารณาเผยแพร่ในที่ใดภายใน 90 วัน จากวันที่รับบทความ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยหของนักศึกษา อาจารย์ และบุคคลทั่วไป</p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับบทความ</strong></p> <p> 1) สังคมศาสตร์ทั่วไป 2) การศึกษา 3) จิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการศึกษา 4) ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี 5) สุขภาพ (สังคมศาสตร์)</p> <p><strong>ประเภทบทความ</strong></p> <p> บทความวิจัย </p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์วารสาร</strong></p> <p> กำหนดตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN)</strong></p> <p> - รูปแบบตีพิมพ์ : <br /> ISSN 3027-7604 (Print)<br /> เริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 14 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2566)<br /> ISSN 2228-8287 (Print) <br /> วารสารปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2553) - ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566)<br />- รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ : ISSN 2985-2374 (Online)<br /> เริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ (Language) : </strong>ภาษาไทย (Thai)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ : </strong>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม</p> <p><strong>เงื่อนไข</strong></p> <ol> <li>ผู้ประสงค์จะส่งบทความ ต้องเตรียมบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียนของวารสาร โดยบทความต้องเป็นศาสตร์ในสาขาที่วารสารกำหนด</li> <li>บทความที่จะตีพิมพ์ในวารสารต้องได้รับผลการประเมินให้ผ่านจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนอย่างน้อย 2 คน จาก 3 คน</li> <li>ชื่อผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิถือเป็นความลับ และการประสานงานระหว่างผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิต้องผ่านกองบรรณาธิการเท่านั้น (double-blind peer review)</li> <li>ผู้เขียนต้องรับรองว่าผลงานดังกล่าวเป็นของตนจริงและเป็นผลงานใหม่ไม่เกิน 2 ปี ไม่เคยเผยแพร่ในที่ใด ไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อเผยแพร่ในที่ใด และจะไม่ส่งเพื่อพิจารณาเผยแพร่ในที่ใดภายใน 90 วัน จากวันที่ส่งบทความ</li> <li>ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามจริยธรรมในการตีพิมพ์วารสารสังคมศาสตร์วิจัยอย่างเคร่งครัด</li> <li>กรณีที่บทความเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ควรใส่ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้เขียนร่วมด้วย</li> </ol> en-US <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม</p> <p>เนื้อหาของแต่ละบทความเป็นทัศนะของผู้เขียน ซึ่งที่ปรึกษา บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการบริหารวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> jssrnpru@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.สมจิต จันทร์ฉาย) gradnpru@hotmail.com (นางสาววรวรรณ ตันสกุล) Sun, 29 Jun 2025 13:43:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 รูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271029 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 2) พัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษา และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ที่เรียนรายวิชาหลักสุขศาสตร์สัตว์และมาตรฐานฟาร์ม ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ชั้นเรียน มีจำนวน 45 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบประเมินทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมและแบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ มี 4 องค์ประกอบ 1) หลักการ กระบวนการคิดเชิงออกแบบเป็นกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา มีทักษะที่จำเป็นและมีเจตคติที่ดีต่อการออกแบบเพื่อพัฒนาแนวคิดใหม่เพื่อตอบโจทย์ตามสภาพปัญหาด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุดและสร้างเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ 2) วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาและศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ร่วมรู้สึก (2) กำหนด (3) ร่วมคิด (4) สร้างต้นแบบ (5) ทดสอบ และ 4) การวัดและประเมินผล หลังทดลองใช้รูปแบบนักศึกษามีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x = 4.54, S.D. = 0.40) และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (x = 4.59, S.D. = 0.33)</p> มหิศร ประภาสะโนบล, วัชราภรณ์ ประภาสะโนบล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271029 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ยุทธศาสตร์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271744 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับยุทธศาสตร์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ 2) ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน และ 3) ยุทธศาสตร์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับยุทธศาสตร์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รองลงมา คือ การพัฒนาบุคลากร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การพัฒนากระบวนการติดตามและประเมินผล 2) ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความสามารถในการพัฒนาศักยภาพ รองลงมา คือ ความสามารถในการปรับตัว ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ความสามารถในการผสมผสาน และ 3) ยุทธศาสตร์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการพัฒนากระบวนการติดตามและประเมินผล (X<sub>5</sub>) การพัฒนาบุคลากร (X<sub>2</sub>) การพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (X<sub>1</sub>) และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ (X<sub>4</sub>) ร่วมกันทำนายประสิทธิผลของโรงเรียน ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการผันแปร ได้ร้อยละ 63.60</p> <p>สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังต่อไปนี้ </p> <p>Y<sup>'</sup> = 24.33 + 0.70(X<sub>5</sub>) + 1.12(X<sub>2</sub>) + 0.59(X<sub>1</sub>) + 0.48(X<sub>4</sub>)</p> ณัฏฐ์ธีตา มาลาพันธุ์, ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยุธยา, วิเชียร อินทรสมพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271744 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคพลิกผันที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/272005 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคพลิกผันของโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ศึกษาคุณภาพผู้เรียนในยุคพลิกผันของโรงเรียนขนาดเล็ก และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคพลิกผันที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 205 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัยมีค่าความตรงด้านเนื้อหาเท่ากับ 0.67 และ 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารในยุคพลิกผันของโรงเรียนขนาดเล็กเท่ากับ 0.99 และด้านคุณภาพผู้เรียนในยุคพลิกผันของโรงเรียนขนาดเล็กเท่ากับ 0.99 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคพลิกผันโรงเรียนขนาดเล็ก โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) คุณภาพผู้เรียนในยุคพลิกผันของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคพลิกผันที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนขนาดเล็ก ประกอบด้วย การจัดตั้งควบคุมองค์การให้สมดุล (X<sub>5</sub>) และการบริหารทรัพยากรในองค์การ (X<sub>2</sub>) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนขนาดเล็ก โดยสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 64 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสมการวิเคราะห์การถดถอย คือ Y<sup>'</sup> = 1.211 + .415(X<sub>5</sub>) + .191(X<sub>2</sub>) </p> อานันท์ ปรีเปรม, พัชราภา ตันติชูเวช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/272005 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้คุณค่าและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการแอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/270860 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้คุณค่าและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและความตั้งใจใช้บริการแอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2) ศึกษาการรับรู้คุณค่าและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการแอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมด้วยแบบสอบถาม จำนวน 400 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับการรับรู้คุณค่าและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและความตั้งใจใช้บริการแอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่ในระดับมาก และการรับรู้คุณค่าด้านอารมณ์ คุณค่าด้านสังคม คุณค่าด้านคุณภาพหรือประสิทธิภาพ คุณค่าด้านตัวเงิน ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ปัจจัยด้านบุคคล ปัจจัยด้านกระบวนการ ส่งผลต่อความตั้งใจใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพ ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีค่า Sig. .52 มากกว่าระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> กชพรพรรณ วงศ์รัชชพัชร์, กฤษติญา มูลศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/270860 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาที่เหมาะสมกับผู้เรียนยุคเจเนอเรชันแอลฟาของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/273032 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน และ 2) นำเสนอกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาที่เหมาะสมกับผู้เรียนยุคเจเนอเรชันแอลฟา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 จำนวน 255 คน ได้มาโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย และผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ จำนวน 8 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัย มีค่าความเที่ยงตรงด้านเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 ประเด็นการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>สภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 ทั้งภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การบริหารงานวิชาการ และการบริหารงบประมาณ ตามลำดับ</li> <li>กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาที่เหมาะสมกับผู้เรียนยุคเจเนอเรชันแอลฟา ได้แก่ 1) ส่งเสริมการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบในการบริหารจัดการศึกษาสู่สถานศึกษาให้มีอิสระและคล่องตัว 2) พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถและนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการเรียนการสอน 3) นำผลการวิจัย ผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ นวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ไปใช้เป็นฐานในการพัฒนาวิชาชีพและพัฒนาการจัดการศึกษา 4) ส่งเสริมให้นักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถ และสมรรถนะเพื่อรองรับสถานการณ์ปัจจุบัน และ 5) แนะนำการใช้สื่อออนไลน์ในการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม</li> </ol> สุกัญญา อินทรแปลง, สุมิตร สุวรรณ, พัชราภา ตันติชูเวช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/273032 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับเทคนิค POE เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/272537 <p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน เรื่อง พอลิเมอร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิค POE 2) ศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย การตั้งสมมติฐาน การกำหนดและควบคุมตัวแปรและการสร้างแบบจำลอง และ 3) ศึกษาเจคติต่อวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค POE ตัวอย่างในงานวิจัยนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จำนวน 20 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดทักษะการตั้งสมมติฐาน การกำหนดและควบคุมตัวแปรและการสร้างแบบจำลอง 4) แบบวัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง พอลิเมอร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิค POE สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการตั้งสมมติฐาน การกำหนดและควบคุมตัวแปรและการสร้างแบบจำลองหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิค POE อยู่ในระดับดี และ 3) เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิค POE อยู่ในระดับดี</p> ชนิกานต์ บัวล้อม, สุธิดา กรรณสูตร, วัชราภรณ์ ประภาสะโนบล, เวธกา เช้าเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/272537 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271959 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล และ 2) รับรองกลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 10 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ตัวอย่างในการศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 345 แห่ง ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนกระจายตามเขตตรวจราชการ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มบริหารงาน และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 1,380 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โดยใช้ตัวแบบ 2S4M การวิเคราะห์โอกาส ภาวะคุกคาม โดยใช้ตัวแบบ PEST และการวิเคราะห์ TOWS Matrix และระยะที่ 2 การรับรองกลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การประเมินกลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 การนำกลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัลไปปฏิบัติในโรงเรียน จำนวน 1 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มบริหารงาน และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 4 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสะท้อนผลจากการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>กลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) จัดวางระบบการพัฒนาโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัลให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล 2) จัดรูปแบบโครงสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัลให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดการศึกษาระดับชาติ 3) เพิ่มงบประมาณในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรให้สอดคล้องกับภารกิจที่ปรับเปลี่ยนของโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล 4) ยกระดับการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัล และ 5) ปรับระบบการติดตามพัฒนาการประเมินผลการดำเนินงานของโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัล</li> <li>กลยุทธ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดิจิทัล ได้รับฉันทามติว่า มีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ ผลจากการนำ 5 กลยุทธ์ไปใช้ พบว่า โรงเรียนได้ดำเนินการปรับปรุงแผนงานการยกระดับการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ และความร่วมมือของเครือข่ายการฝึกปฏิบัติทางวิชาชีพครู วางแผนการจัดระบบบูรณาการใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ กำหนดแนวทางปรับปรุงระบบการวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับสมรรถนะของผู้เรียนจากการวิเคราะห์บริบททางด้านเศรษฐกิจ และสังคมระดับพื้นที่ และกำหนดแนวทางการพัฒนาหลักสูตรที่ส่งเสริมสมรรถนะการเรียนรู้ของผู้เรียนในยุคดิจิทัล</li> </ol> สุกัญญา สุขสมบูรณ์, นภาเดช บุญเชิดชู, จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย, อรพรรณ ตู้จินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/271959 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคลองเจดีย์บูชา จังหวัดนครปฐมอย่างยั่งยืน โดยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน ราชการ) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/273594 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บทบาทภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคลองเจดีย์บูชาจังหวัดนครปฐม และ 2) รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคลองเจดีย์บูชาอย่างยั่งยืน โดยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน ราชการ) โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้นำชุมชน ผู้นำจิตอาสา ผู้นำทางศาสนา ปราชญ์ชุมชนและนักวิชาการท้องถิ่น จำนวน 14 คน เครื่องมือในการศึกษา คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ได้แก่ 1) ด้านข้อมูล 2) ด้านรวบรวมข้อมูล และ 3) การสร้างบทสรุปและยืนยันบทสรุป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>บทบาทของภาคีเครือข่ายในการอนุรักษ์คลองเจดีย์บูชา แบ่งเป็น 1) บ้าน เป็นชุมชนทำหน้าที่เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ดูแลรักษาคลอง ลดการทิ้งขยะ และส่งเสริมกิจกรรมอนุรักษ์ในพื้นที่บ้าน 2) วัด เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมอนุรักษ์เชิงพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญเพื่อสิ่งแวดล้อม การเสริมสร้างจิตสำนึกในการดูแลรักษาคลองผ่านศาสนกิจ และการรณรงค์ให้ชุมชนร่วมรักษาความสะอาด 3) โรงเรียน เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกฝังจิตสำนึกในนักเรียนให้รักและหวงแหนคลอง และสอนให้เข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลรักษาลำน้ำ และ 4) ราชการ เป็นหน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่ให้การสนับสนุนด้านทรัพยากร จัดทำแผนแม่บท สนับสนุนงบประมาณ และให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแก่ชุมชนและภาคีเครือข่าย</li> <li>รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคลองเจดีย์บูชา ประกอบด้วย 1) บ้าน คนในชุมชนเข้าร่วมการประชุมและจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคลอง เป็นอาสาสมัครในการดูแลรักษาความสะอาดคลอง รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) วัด จัดกิจกรรมทางศาสนาที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ เช่น สร้างจิตสำนึกผ่านเทศนาธรรมในการพัฒนาสิ่งแวดล้อม 3) โรงเรียน จัดโครงการปลูกต้นไม้และทำความสะอาดคลองกับนักเรียน สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนาคลองในหลักสูตรการเรียนรู้ และ 4) ราชการ จัดทำแผนและนโยบายพัฒนาคลองที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคีเครือข่าย จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรให้แก่โครงการที่สนับสนุนการอนุรักษ์คลองเจดีย์บูชา เพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ</li> </ol> แพรภัทรา เขียวชะอุ่ม, จุฑาทิพย์ ถาวรรัตน์, ประสงค์ ตันพิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/273594 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดราชบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/275504 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับปัจจัยในการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา และ 2) พัฒนาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง โดยการกำหนดคุณสมบัติ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ข้าราชการครู จำนวน 9 คน โดยใช้วิธีการสังเกตและสัมภาษณ์ความคิดเห็น กลุ่มที่ 2 ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และข้าราชการครู จำนวน 3 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มที่ 3 ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 6 คน และข้าราชการครู จำนวน 6 คน โดยใช้วิธีการสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันเกี่ยวกับปัจจัยในการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา พบว่า ด้านการเรียนรู้เป็นทีม ผู้บริหารสถานศึกษายึดหลักการมีส่วนร่วมและแบ่งปันประสบการณ์ ครูทำงานร่วมกันเป็นทีม ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน มีนโยบายร่วมกันเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้โรงเรียนขนาดเล็ก ด้านการคิดอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการบริหารสถานศึกษาในรูปแบบ PDCA เพื่อให้เกิดมาตรฐานการดำเนินงานตามขอบข่ายและภารกิจการบริหารโรงเรียนที่เป็นระบบ ด้านการเป็นบุคคลผู้รอบรู้ สนับสนุนให้ครูมีการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามแนวทาง Active Learning และด้านการมีแบบแผนความคิดร่วม ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียนเป็นต้นแบบในความสำเร็จ เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นต้นแบบในการปฏิบัติงาน และ 2) แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 2.1) กำหนดกลยุทธ์และแผนงานอย่างมีส่วนร่วม 2.2) เสริมสร้างเครือข่ายผู้ปกครอง องค์กร และชุมชน 2.3) บริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล 2.4) ทำงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน 2.5) น้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษา รัชกาลที่ 10 มาใช้ 2.6) ส่งเสริมสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย 2.7) ยกระดับคุณภาพการศึกษา 2.8) สร้างความสุขในองค์กร 2.9) มีการส่งเสริมอิสระในการคิด 2.10) วางแผนด้วยกระบวนการทำงาน PDCA 2.11) ดำเนินงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของโรงเรียนมัธยมศึกษาอย่างเป็นระบบ 2.12) มีภาวะผู้นำทางวิชาการ 2.13) จัดการเรียนรู้เชิงรุก 2.14) ส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นเลิศ 2.15) พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 2.16) มีบุคคลที่เป็นต้นแบบแห่งการเรียนรู้ 2.17) มีแผนพัฒนาที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และนโยบายที่ชัดเจน และ 2.18) มีรูปแบบในการปฏิบัติงาน ผลการยืนยันแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดราชบุรี พบว่า มีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์</p> ศมณพร เรืองสิทธิ์, พิชญาภา ยืนยาว, ณัฐวรรณ พุ่มดียิ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/275504 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความสามารถในการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/275580 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความสามารถในการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลโดยรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และ 2) ความสามารถในการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลรายด้านของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการประเมิน 5 ด้าน ได้แก่ การเขียนประโยคนำเสนอแนวคิดหลัก การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผล การเขียนประโยคสรุปใจความสำคัญ การจัดระเบียบย่อหน้า และการใช้กฎเกณฑ์ทางภาษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 40 คน ที่กำลังศึกษารายวิชาภาษาอังกฤษอ่านและเขียน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ งานการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผล พร้อมเกณฑ์การให้คะแนนการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.78 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ และร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีความสามารถในการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ตามเกณฑ์ค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้ โดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนเฉลี่ยทั้ง 5 ด้าน เท่ากับ 2.45 (S.D. = 0.72) จากคะแนนเต็ม 4 คะแนน ส่วนผลรวมของคะแนนเฉลี่ยทุกด้านเท่ากับ 12.06 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 60.30 ซึ่งผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ที่กำหนดไว้</li> <li>นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีความสามารถในการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลรายด้าน จากคะแนนเต็ม 4 คะแนน ดังนี้ 1) ด้านการเขียนประโยคนำเสนอแนวคิดหลัก ได้คะแนนเฉลี่ย 2.52 (S.D. = 0.74) คิดเป็นร้อยละ 63 2) ด้านการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผล ได้คะแนนเฉลี่ย 2.57 (S.D. = 0.77) คิดเป็นร้อยละ 64.25 3) ด้านการเขียนประโยคสรุปใจความสำคัญ ได้คะแนนเฉลี่ย 2.35 (S.D. = 0.72) คิดเป็นร้อยละ 58.75 4) ด้านการจัดระเบียบย่อหน้า ได้คะแนนเฉลี่ย 2.45 (S.D. = 0.70) คิดเป็นร้อยละ 61.25 และ 5) ด้านการใช้กฎเกณฑ์ทางภาษา ได้คะแนนเฉลี่ย 2.17 (S.D. = 0.67) คิดเป็นร้อยละ 54.25 และเมื่อพิจารณารายด้านตามเกณฑ์ร้อยละ 60 ที่กำหนดไว้ พบว่า ด้านที่ไม่ผ่านเกณฑ์มีจำนวน 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการเขียนประโยคสรุปใจความสำคัญ (ร้อยละ 58.75) และด้านการใช้กฎเกณฑ์ทางภาษา (ร้อยละ 54.25)</li> </ol> <p>ผลการศึกษาของงานวิจัยนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาทักษะการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษเชิงเหตุและผลของนักเรียน</p> เลิศวุฒิ ศรีพรหม, กันต์ดนัย วรจิตติพล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ssr/article/view/275580 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700