สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart <p><strong>ชื่อวารสาร</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p> <p> </p> <p><strong>ชื่อย่อวารสาร</strong></p> <p>SJSSH</p> <p> </p> <p><strong>ชื่อย่อวารสารสำหรับการอ้างอิง</strong></p> <p>Sahasat J. Soc. Sci. Hum.</p> <p> </p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการในกลุ่มสหวิทยาการที่เปิดรับบทความทั้งในรูปแบบบทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Original Article) และบทความปริทัศน์ (Review Article) โดยมุ่งเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ในกลุ่มสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการบูรณาการองค์ความรู้แบบสหศาสตร์ โดยบทความที่ส่งเข้ามาเพื่อตีพิมพ์ต้องแสดงให้เห็นความชัดเจนในแนวคิดและกรอบทฤษฎี พร้อมกับมีการนำเสนอผลการวิเคราะห์หรือผลการวิจัยที่เป็นระบบแบบแผน และสนับสนุนการพัฒนาทางวิชาการในบริบทของสหศาสตร์อย่างมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ</p> <p>วารสารรับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยบทความต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในแหล่งใดมาก่อน และไม่มีการส่งซ้ำเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ทั้งนี้ วารสารมีนโยบายการเข้าถึงแบบเปิด (Open Access) โดยเผยแพร่บทความฉบับเต็มผ่านเว็บไซต์ของวารสาร ซึ่งเปิดให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการอย่างเสรี ภายใต้หลักจริยธรรมและการคุ้มครองลิขสิทธิ์อย่างเหมาะสม</p> <p> </p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รับพิจารณาบทความ 3 ประเภท ได้แก่</p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article) ต้องมีการดำเนินงานวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยอย่างเคร่งครัด ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดที่ชัดเจน พร้อมรายงานผลการวิจัยที่น่าเชื่อถือ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และมีการอภิปรายผลอย่างรอบด้าน โดยยึดหลักฐานเชิงทฤษฎีและนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือการประยุกต์ใช้ที่เป็นประโยชน์</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article) ควรนำเสนอแนวคิดและเนื้อหาเชิงลึก มีการวิเคราะห์ วิพากษ์ และอภิปรายที่สร้างสรรค์ พร้อมนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงวิชาการที่เสริมสร้างองค์ความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บทความปริทัศน์ (Review Article) ควรเป็นการรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้หรือผลงานวิจัยในประเด็นเฉพาะอย่างเป็นระบบ โดยมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจน พร้อมทั้งแสดงให้เห็นพัฒนาการ แนวโน้ม หรือช่องว่างขององค์ความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้อง บทความควรเสนอข้อวิจารณ์เชิงวิเคราะห์ที่มีเหตุผล และข้อเสนอแนะที่มีคุณค่าเชิงวิชาการ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาองค์ความรู้หรือทิศทางการวิจัยในอนาคตได้</li> </ul> <p> </p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รับตีพิมพ์บทความ 2 ภาษา ดังนี้</p> <ul> <li>ภาษาไทย</li> <li>ภาษาอังกฤษ</li> </ul> <p> </p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความที่ส่งพิจารณาตีพิมพ์ต้องเป็นผลงานวิชาการต้นฉบับที่ไม่เคยเผยแพร่ในที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาในวารสารอื่น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการซ้ำซ้อนและการละเมิดลิขสิทธิ์ บทความจะได้รับการกลั่นกรองเบื้องต้นโดยกองบรรณาธิการก่อนส่งต่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาอย่างน้อย 3 ท่าน ทำการประเมินตามกระบวนการผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind peer review) ซึ่งเป็นกระบวนการที่รักษาความเป็นกลาง และส่งเสริมคุณภาพของบทความตามมาตรฐานการตีพิมพ์ในระดับสากล</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดออก</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ดังนี้</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</li> </ul> <p> </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ กำหนดนโยบายด้านค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จากผู้นิพนธ์ตลอดกระบวนการพิจารณาบทความและการตีพิมพ์เผยแพร่</p> <p>ทั้งนี้ หากมีการถอนบทความระหว่างกระบวนการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ภายหลังจากที่ได้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนแล้ว หรือการถอนบทความภายหลังจากได้รับการตอบรับเพื่อตีพิมพ์ (Accepted) วารสารกำหนดให้ผู้นิพนธ์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการดังกล่าว</p> <p> </p> <p><strong>หน่วยงานเจ้าของวารสาร</strong></p> <p>คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (Faculty of Social Sciences of Humanities, Mahidol University)</p> <p> </p> <p><strong>หมายเหตุ</strong></p> <p>เพื่อให้การดำเนินงานของวารสารเป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาการ และสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ กองบรรณาธิการจึงมีมติปรับเปลี่ยนนโยบายบางประการของวารสารตามที่ได้ระบุไว้ข้างต้น ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2569) เป็นต้นไป</p> th-TH <p>สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิของผู้นิพนธ์ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส ความถูกต้องตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล ทั้งนี้ วารสารกำหนดนโยบายดังต่อไปนี้</p> <p> </p> <table> <tbody> <tr> <td width="664"> <p><strong>1. การยอมรับเงื่อนไขการเผยแพร่</strong></p> <p>- ผู้นิพนธ์ที่ส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ ต้องปฏิบัติตามนโยบายและเงื่อนไขการเผยแพร่ของวารสารโดยเคร่งครัด</p> <p>- การส่งบทความถือเป็นการยอมรับให้นำบทความเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและการเผยแพร่ตามมาตรฐานของวารสาร</p> </td> </tr> <tr> <td width="664"> <p><strong>2. การโอนลิขสิทธิ์</strong></p> <p>- เมื่อบทความได้รับการตอบรับเพื่อตีพิมพ์ ผู้เขียนโอนลิขสิทธิ์ของบทความให้แก่วารสาร</p> <p>- วารสารมีสิทธิ์เผยแพร่ ทำซ้ำ และเผยแพร่บทความในทุกรูปแบบ ทั้งสิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ และสื่อออนไลน์อื่น ๆ</p> </td> </tr> <tr> <td width="664"> <p><strong>3. สิทธิ์ของผู้นิพนธ์หลังการโอนลิขสิทธิ์</strong></p> <p>- ผู้นิพนธ์ยังคงมีสิทธิ์ใช้บทความเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัยส่วนบุคคล การใช้ประกอบวิทยานิพนธ์ หรือการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์</p> <p>- การนำบทความไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากวารสารก่อนเป็นลายลักษณ์อักษร</p> </td> </tr> <tr> <td width="664"> <p><strong>4. การเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตสาธารณะ (Creative Commons License)</strong></p> <p>- บทความทั้งหมดในวารสารจะเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</p> <p>- บุคคลอื่นสามารถเผยแพร่หรือแบ่งปันบทความได้โดยต้องให้เครดิตแก่ผู้นิพนธ์ต้นฉบับ แต่ห้ามแก้ไข ดัดแปลง หรือใช้ในเชิงพาณิชย์</p> </td> </tr> <tr> <td width="664"> <p><strong>5. ความถูกต้องของเนื้อหาและการใช้สื่อจากบุคคลที่สาม</strong></p> <p>- ผู้เขียนต้องรับรองว่าบทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์เป็นผลงานต้นฉบับของตนเอง ไม่ได้ส่งซ้ำซ้อน (duplicate submission) และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์หรือคัดลอกผลงานของผู้อื่น รวมถึงไม่มีการปลอมแปลงข้อมูล การตีพิมพ์ซ้ำ หรือการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อหลักจริยธรรมทางวิชาการ</p> <p>- ผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการขออนุญาตใช้สื่อจากบุคคลที่สาม เช่น ภาพ ตาราง หรือกราฟิก และต้องอ้างอิงหรือให้เครดิตอย่างถูกต้องน</p> </td> </tr> <tr> <td width="664"> <p><strong>6. ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer)</strong></p> <p>- บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารสหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</p> <p>- ข้อความ ข้อมูล และข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่ละท่านโดยตรง มิได้สะท้อนถึงทัศนะหรือจุดยืนของกองบรรณาธิการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> <p>- หากบทความมีข้อผิดพลาดหรือการละเมิดสิทธิ์ใด ๆ ความรับผิดชอบทั้งหมดเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว</p> <p>- การนำบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบรรณาธิการวารสารก่อน ทั้งนี้ ผู้ขออนุญาตต้องจัดทำคำชี้แจงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานอย่างชัดเจน การใช้บทความในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว</p> </td> </tr> </tbody> </table> shmujournal@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.ภัทรานิษฐ์ ศรีจันทราพันธุ์) shmujournal@gmail.com (ฐานิดา สุวลักษณ์) Mon, 19 May 2025 15:05:36 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจำหน่ายกาแฟออร์แกนิคเพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271618 <p>การบริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาและแรงจูงใจในการทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค 2) ศึกษาข้อมูลที่ร้านกาแฟออร์แกนิคสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อสร้างความเชื่อมั่น 3) ศึกษากลยุทธ์ที่ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ในการขายกาแฟออร์แกนิคให้แก่ผู้บริโภคและ 4) ศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ขาย และให้ผู้บริโภคที่เขียนบรรยายประสบการณ์จากการใช้บริการร้านกาแฟออร์แกนิค</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าที่มาในการเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ ความชอบและความสนใจทั้งในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์กาแฟและแนวคิดธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี ความต้องการสนับสนุนเกษตรกรไทย และการต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ สำหรับแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจพบว่าผู้ประกอบการมีแรงจูงใจ 3 เป้าหมาย ได้แก่ การขยายธุรกิจออร์แกนิคให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น การได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และการเห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจจากผลกำไรของการประกอบการ ร้านกาแฟออร์แกนิคมีการสื่อสารเรื่องการบริโภคที่ยั่งยืนในประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยของอาหาร ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น นอกจากนี้ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการดึงดูดให้ผู้บริโภคซื้อกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ การแสดงมาตรฐานอาหารอินทรีย์ การอำนวยความสะดวก และการให้ข้อมูลสินค้าและแนวคิดของร้านผ่านการโฆษณาและพนักงานขาย สำหรับผลการศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคประทับใจกับบรรยากาศร้านที่มีการตกแต่งแนวธรรมชาติ ราคาที่สมเหตุสมผล รสชาติดี และการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค &nbsp;ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ได้แก่ ร้านกาแฟออร์แกนิคควรทำการฝึกอบรมทักษะการสื่อสารและการบริการให้แก่พนักงานเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภค หน่วยงานภาครัฐควรใช้กลไกการลดภาษีแก่ผู้ประกอบการร้านกาแฟออร์แกนิค</p> Peamanee Chansorklin, Supaporn Songpracha, Wanippol Mahaarcha, Kanang Kantamaturapoj ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Peamanee Chansorklin, Supaporn Songpracha, Wanippol Mahaarcha, Kanang Kantamaturapoj https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271618 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 CORAL REEF ECOSYSTEM CONSERVATION BEHAVIORS OF SNORKELERS IN TRANG https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271598 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง<br>ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง<br>ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น ในพื้นที่จังหวัดตรัง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักท่องเที่ยว<br>ชาวไทยที่เดินทางมาดำน้ำตื้น ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ<br>เชิงพรรณนา ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมานแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และ เปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีของ Scheffé</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังในระดับสูง <br>ร้อยละ 89.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง พบว่า <br>อาชีพแตกต่างกัน การให้คุณค่า ความรู้ และทัศนคติในการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง มีพฤติกรรม<br>การอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05</p> <p>ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยคือ ภาครัฐควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศแนวปะการัง เน้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว และมัคคุเทศก์ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องการอนุรักษ์ และผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง จากการใช้ประโยชน์การท่องเที่ยวทางทะเล การบังคับใช้กฎหมายยังไม่รัดกุม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจน เกี่ยวกับการละเมิด และทำลายระบบนิเวศแนวปะการัง</p> <p>&nbsp;</p> rusrawee lopetch ลิขสิทธิ์ (c) 2025 rusrawee lopetch https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271598 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ จังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/275649 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยโดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนามี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ&nbsp; จังหวัดนนทบุรี กำหนดระยะการวิจัยเป็น 2 ระยะคือระยะที่ 1 การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ ระยะที่ 2 ศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ&nbsp; กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 3 แห่งในเขตพื้นที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 37 คนและกลุ่มควบคุม 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ส่วนได้แก่ 1)เครื่องมือดำเนินการวิจัยเป็น แนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ และ 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test และ Paired t-test</p> <p>&nbsp; การศึกษาพบว่า ภายหลังการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ย&nbsp;&nbsp; ด้านความรู้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายสูงกว่าก่อนการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001) ค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม ดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอว ลดลงกว่าก่อนการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001) และลดลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001 , P&lt;.05 และ P&lt;.05 ตามลำดับ) ดังนั้นแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ใช้เป็นแนวทาง&nbsp; ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ โดยทำให้ระดับน้ำตาลสะสม ดัชนีมวลกาย และ&nbsp;&nbsp;&nbsp; เส้นรอบเอวลดลง นำไปสู่การลดการใช้ยาหรือหยุดยาโรคเบาหวานได้</p> สันติ โพธิ์ทอง, ประเสริฐ เล็กสรรเสริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ประเสริฐ เล็กสรรเสริญ, สันติ โพธิ์ทอง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/275649 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 Right in Marriage of Gender Diverse Peoples : Study of Marriage Problems On The Civil and Commercial Code Section 1448 And The Protection by Constitutional Court https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269810 <p>งานวิจัยนี้&nbsp; มุ่งศึกษาถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; <br>ในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่มีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; ปัญหาเกี่ยวกับรูปแบบในการรับรองสิทธิดังกล่าว&nbsp; และปัญหาเกี่ยวกับหน่วยงานผู้มีหน้าที่ในการตรา<br>หรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความคุ้มครองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; โดยจะทำการศึกษาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย&nbsp; โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์&nbsp; <br>มาตรา&nbsp; 1448&nbsp; รวมถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว&nbsp; วิเคราะห์เปรียบเทียบกับกฎหมายและกรณีศึกษาของต่างประเทศ</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>จากการศึกษาพบว่า&nbsp; ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์&nbsp; มาตรา&nbsp; 1448&nbsp; ที่บัญญัติว่า&nbsp; “การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว &nbsp;...”&nbsp; เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับมาเป็นเวลาช้านาน&nbsp; เกิดความไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่มุ่งคุ้มครองความเสมอภาคของบุคคล&nbsp; <br>ไม่เท่าทันกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศซึ่งได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในการสมรสซึ่งถือสิทธิมนุษยชนประการหนึ่ง&nbsp; รวมถึงยังไม่ตอบโจทย์กับสภาพของสังคมที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย&nbsp; จึงก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม&nbsp; กระทบต่อสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในการชีวิตคู่ร่วมกันโดยปริยาย&nbsp; และทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศตามมา&nbsp; ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทและหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ<br>ของประชาชน&nbsp; ได้คำนึงถึงและให้ความสำคัญกับปัญหาของกลุ่มบุคคลดังกล่าว&nbsp; จึงมีข้อแนะนำให้รัฐสภา&nbsp; คณะรัฐมนตรี&nbsp; และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสมควรพิจารณาดำเนินการตรากฎหมายเพื่อรับรองสิทธิและหน้าที่ของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเหมาะสมต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดังนั้น&nbsp; จึงเห็นควรให้มีการตราหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับ<br>การคุ้มครองทางกฎหมายเฉกเช่นเดียวกับการสมรสของชายและหญิง&nbsp; เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ&nbsp; และกฎหมายในลำดับรองลงมา&nbsp; เพื่อให้กฎหมายสามารถให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิ<br>ในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างเหมาะสมและตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ<br>แห่งราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน&nbsp; รวมถึงสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้ข้อแนะนำไว้</p> Chakkrit Auttamo ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Chakkrit Auttamo https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269810 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 The Significance of Food Consumption Behaviors in Health Protection during High PM2.5 Levels in the Bangkok Metropolitan Region https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/270522 <p>ปริมาณฝุ่น PM<sub>2.5</sub> สูงต่อเนื่องนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจากมลพิษทางอากาศของประชาชนในประเทศไทย การวิจัยนี้ศึกษาพฤติกรรมการรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระที่มีผลกระทบของต่ออาการผิดปกติจากฝุ่น PM<sub>2.5 </sub>เพื่อช่วยหาแนวทางการดูแลสุขภาพของประชาชนไทยในช่วงวิกฤตฝุ่น PM<sub>2.5</sub> โดยการสำรวจและเก็บข้อมูลในประชากรจำนวน 370 คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผ่านแบบสอบถามออนไลน์โดยสุ่มผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ผลวิเคราะห์การสำรวจพบว่าประชากรทั้งหมดได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> และสามารถแบ่งกลุ่มประชากรออกได้เป็น 3 กลุ่มตามระดับความรุนแรงของอาการผิดปกติโดยรวมเมื่อเทียบระหว่างช่วงก่อนและหลังมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> ได้แก่ กลุ่มที่มีอาการโดยรวมดีขึ้น กลุ่มที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง และกลุ่มที่มีอาการแย่ลง โดยพบว่าประชากรในทั้ง 3 กลุ่ม มีพฤติกรรมการป้องกันตัวเองจากฝุ่นไม่ต่างกัน แต่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดที่แตกต่างกัน พบว่ากลุ่มประชากรที่มีอาการผิดปกติลดลงแม้อยู่ในช่วงมลพิษฝุ่น (กลุ่มอาการดีขึ้น) มีความถี่ในการรับประทาน พืชผักผลไม้ น้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน ถั่วเหลือง ปลาแซลมอน และ ปลาชนิดต่างๆ ได้ถึง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิด โอเมก้า 3 และวิตามินอี มากกว่ากลุ่มที่มีอาการแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษานี้สรุปว่าอาหารต้านอนุมูลอิสระเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันสุขภาพตนเองในช่วงที่มีมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> และการรับประทานอาหารในกลุ่มวิตามินอี และกลุ่มโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันปลาและปลาแซลมอน ร่วมกับการรับประทานผัก ผลไม้ และ น้ำสะอาด มีผลสำคัญต่อสุขภาพในช่วงมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> ของคนไทย</p> Puttachart Chuaynarong ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Puttachart Chuaynarong https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/270522 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจในการท่องเที่ยวและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทาง มาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269466 <p><strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2)ศึกษาประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 4) ศึกษาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการมาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 392 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญและใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน และ การวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านประสบการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดด้านความพึงพอใจในการมาท่องเที่ยว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษาและรายได้ ต่างกัน มีแรงจูงใจและประสบการณ์การเดินทางมาท่องเที่ยวไม่ต่างกัน</strong></p> สุชาติ ปรักทยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุชาติ ปรักทยานนท์ สุชาติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269466 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269467 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) ศึกษาคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้แทนจำหน่าย ผู้ประกอบการ และผู้จัดการของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 383 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่ายและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการบริการ ด้านความเชื่อมั่น ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า ด้านความมีประสิทธิภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านการปฏิบัติงาน มีอิทธิพลต่อคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย 2) คุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ด้านความไว้วางใจ ด้านคำมั่นสัญญา ด้านความพึงพอใจ และ ด้านความร่วมมือ มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงาน 3) คุณภาพการบริการ ด้านความเชื่อมั่น ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า ด้านความมีประสิทธิภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านการปฏิบัติงาน มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>คำสำคัญ: &nbsp;</strong>ผลการดำเนินงาน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า</p> ฐนันวริน โฆษิตคณิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ฐนันวริน โฆษิตคณิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269467 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 Public Policy Evaluation to Maintain Fiscal Discipline of Public Sector in Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/260548 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษา วิเคราะห์ และวิพากษ์แนวคิดร่วมสมัยในวงจรนโยบายสำหรับการประเมินผลนโยบายสาธารณะเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย และ (2) เสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย จากสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างมาก ดังนั้น การประเมินผลนโยบายดังกล่าวจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ผลการศึกษาพบว่า (1) ในวงจรการกำหนดนโยบาย ปัจจัยความต้องการของเครือข่ายนโยบายมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยนำเข้าด้านงบประมาณส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลผลิตนโยบาย (3) การประเมินผลนโยบาย การกำกับดูแลที่มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาแนะนำและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายส่งผลต่อความคุ้มค่าในการส่งมอบบริการสาธารณะ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของนโยบาย (ภาพรวมของการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ) และเกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหนี้สาธารณะและการจัดหารายได้ และจากผลการศึกษาได้เสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับรัฐไทย ดังนี้ (1) กำหนดนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเงิน&nbsp; (2) ดำเนินการสร้างนวัตกรรมจัดเก็บรายได้และระดมทุนสาธารณะ และ (3) ประเมินผลนโยบายเพื่อคาดการณ์อนาคต</p> สิทธิศักดิ์ ไชยสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิทธิศักดิ์ ไชยสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/260548 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 การสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นในโรงเรียนไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/248849 <p>ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ แทบไม่มีเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกได้เท่ากับปรากฏการณ์โรคระบาด COVID-19 เหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและมีหลาย ๆ กรณีที่กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเกินความเป็นจริง โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องการศึกษา การระบาดของ COVID-19 ทำให้สถานศึกษาหลายๆ แห่งจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์แทบจะในทันทีทันใด ทั้งครูและนักเรียนจำเป็นต้องปรับตารางเวลาในชีวิตประจำวันของตนเองและปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รายงานฉบับนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในการเรียนการสอนของหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 โดยเป็นการศึกษาวิเคราะห์ตามแนวทางการสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ Emergency Remote Teaching (ERT) รายงานฉบับนี้ถือเป็นการแบ่งปันความรู้ที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนจริง ๆ ตามหลัก ERT&nbsp; รายงานฉบับนี้กล่าวถึงการแบ่งเนื้อหาที่ต้องเรียนเป็นหน่วยเล็ก ๆ การประเมินแบบต่อเนื่อง การปรับการจัดการด้านความปลอดภัยในการประเมิน การสร้างชุมชนการเรียนทางออนไลน์ เนื้อหาในรายงานฉบับนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อทั้งบุคลากรในระบบการสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินและนักวิชาการท่านอื่น ๆ ที่ต้องการพัฒนาวิธีการสอนของตนเอง</p> Joseph Serrani, Alexander Chabot Nanni ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Joseph Serrani https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/248849 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700