วารสารสหศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart <p><strong>วารสารสหศาสตร์ ISSN: 1513-8429 &nbsp;E-ISSN: N/A รับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยมีกำหนดออก 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม&nbsp;</strong></p> <p><strong>ความเป็นมาวารสารสหศาสตร์</strong><br>เป็นวารสารวิชาการของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีแนวทางการจัดทำวารสารอยู่ภายใต้ฐานคิดเรื่องการรวมหน่วยความรู้ ซึ่งจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ใช้ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลจริงและทฤษฎีต่างๆ ในความหลากหลายมิติของสาขาวิชาต่างๆ เพื่อสร้างพื้นฐานของเนื้อหาทางวิชาการในการอธิบายร่วมกัน ด้วยเหตุนี้วารสารฉบับนี้จึงใช้ชื่อว่า “สหศาสตร์” หมายถึง การเสนอศาสตร์ต่างๆ ร่วมกันอย่างเป็นระบบ อันเป็นธรรมชาติของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ พยายามที่จะรวมความเหมือนบนความแตกต่างของวิชาการด้าน สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและทางสังคม”&nbsp;</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br>1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ ของนักวิชาการทั้งภายใน และภายนอกมหาวิทยาลัย<br>2. เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางวิชาการในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ ของนักวิชาการทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย<br>3. เพื่อให้บริการวิชาการแก่สังคมในรูปแบบของวารสารวิชาการ<br>4. เพื่อให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์<br>5. เพื่อให้เป็นเอกสารประกอบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา</p> <p><strong>ประเภทบทความ</strong><br>1. บทความวิชาการ<br>2. บทความวิจัย</p> <p><strong>การนำบทความไปใช้ประโยชน์</strong><br>วารสารสหศาสตร์ไม่สงวนสิทธิ์ในการนำบทความไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษา แต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มาให้ครบถ้วนสมบูรณ์</p> <p><strong>กระบวนการประเมิน</strong><br>บทความที่รับพิจารณาตีพิมพ์ต้องผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่าน และเป็นแบบ Double blinded และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และผู้เขียนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนด และยินยอมให้บรรณาธิการแก้ไขบทความเพื่อความสมบูรณ์ได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่</p> <p><strong>ระยะเวลาการตีพิมพ์<a href="shorturl.at/rsuPW">shorturl.at/rsuPW</a></strong><br>วารสารสหศาสตร์ออกปีละ 2 ฉบับ ตามปีปฏิทิน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม ของทุกปี</p> <p><strong>รูปแบบการตีพิมพ์วารสาร</strong><br>ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ (Print) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online)</p> <p><strong>ระเบียบการเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารสหศาสตร์</strong><br>1. เป็นบทความทางด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน<br>2. ความยาวไม่เกิน 12 หน้า เขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยโปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด (Microsoft Word) บนกระดาษขนาด A4 ระยะขอบตามที่โปรแกรมกำหนดโดยปริยาย (default) ใช้ตัวอักษร&nbsp;TH Sarabun New ขนาด 16 pt เว้นช่วง 1 บรรทัด (single-spacing)<br>3. ต้องมีบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ประกอบบทความแต่ละบทคัดย่อมีความยาวไม่เกิน 1 หน้า และต้องมีชื่อนามสกุลผู้แต่ง พร้อมด้วยตำแหน่งวิชาการ<br>4. ในบทคัดย่อ ที่ชื่อนามสกุลผู้เขียนทุกคน ใช้เครื่องหมายลำดับเลข (1, 2, 3,..) ทำเชิงอรรถท้ายหน้า (footnote) เพื่อระบุตำแหน่งและหน่วยงาน<br>5. ในบทความ ที่ชื่อนามสกุลผู้เขียนทุกคน ใช้เครื่องหมายลำดับเลขทำเชิงอรรถท้ายเรื่อง (endnote) เพื่อระบุตำแหน่งและหน่วยงาน<br>6. ถ้ามีกิตติกรรมประกาศ (acknowledgment) (เช่น แหล่งทุน) ให้เขียนไว้ท้ายบทความ ก่อนที่จะขึ้นในส่วนบรรณานุกรม<br>7. การระบุแหล่งอ้างอิงในเนื้อเรื่อง ใช้วิธีการอ้างแทรกตามระบบ APA<br>8. การเขียนบรรณานุกรมใช้ระบบ APA (สามารถดาวน์โหลดตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรมได้ใน <a href="shorturl.at/rsuPW">shorturl.at/rsuPW</a>)<br>9. ถ้ามีเชิงอรรถอธิบายเนื้อหาในเนื้อเรื่อง ให้ใช้ระบบเชิงอรรถท้ายเรื่อง (endnote) โดยทำเชิงอรรถด้วยเครื่องหมายลำดับเลข (1, 2, 3,..)<br>10. กองบรรณาธิการสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ส่งคืนต้นฉบับพิมพ์และแผ่นบันทึกข้อมูล ต้นฉบับจะต้องผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้กองบรรณาธิการอาจขอให้ผู้เขียนปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาและ/หรือรูปแบบบทความก่อนการตีพิมพ์<br>11. ส่งไฟล์ต้นฉบับ (Microsoft Word) ที่ E-mail: shmujournal@gmail.com<br>12. ผู้เขียนบทความจะได้รับการติดต่อกลับเพื่อการแจ้งเนื้อหาการปรับปรุงบทความ หรือ เพื่อแจ้งผลการประเมินภายในเวลา 1-2 เดือน</p> th-TH <p>บทความหรือข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารสหศาสตร์เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกบทความเพื่อการศึกษาแต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มาให้ครบถ้วนสมบูรณ์</p> <p>ท่านที่ประสงค์จะส่งบทความ ผลงานวิจัย ข้อคิดเห็นทางวิชาการลงตีพิมพ์วารสารสหศาสตร์ กรุณาส่งมาที่คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</p> <p>&nbsp;</p> shmujournal@gmail.com (ผศ.ดร. โสวริทธิ์ธร จันทร์แสงศรี) shmujournal@gmail.com (กนกรัตน์ รีป) Thu, 06 Feb 2025 20:50:07 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจำหน่ายกาแฟออร์แกนิคเพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271618 <p>การบริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาและแรงจูงใจในการทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค 2) ศึกษาข้อมูลที่ร้านกาแฟออร์แกนิคสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อสร้างความเชื่อมั่น 3) ศึกษากลยุทธ์ที่ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ในการขายกาแฟออร์แกนิคให้แก่ผู้บริโภคและ 4) ศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ขาย และให้ผู้บริโภคที่เขียนบรรยายประสบการณ์จากการใช้บริการร้านกาแฟออร์แกนิค</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าที่มาในการเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ ความชอบและความสนใจทั้งในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์กาแฟและแนวคิดธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี ความต้องการสนับสนุนเกษตรกรไทย และการต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ สำหรับแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจพบว่าผู้ประกอบการมีแรงจูงใจ 3 เป้าหมาย ได้แก่ การขยายธุรกิจออร์แกนิคให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น การได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และการเห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจจากผลกำไรของการประกอบการ ร้านกาแฟออร์แกนิคมีการสื่อสารเรื่องการบริโภคที่ยั่งยืนในประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยของอาหาร ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น นอกจากนี้ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการดึงดูดให้ผู้บริโภคซื้อกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ การแสดงมาตรฐานอาหารอินทรีย์ การอำนวยความสะดวก และการให้ข้อมูลสินค้าและแนวคิดของร้านผ่านการโฆษณาและพนักงานขาย สำหรับผลการศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคประทับใจกับบรรยากาศร้านที่มีการตกแต่งแนวธรรมชาติ ราคาที่สมเหตุสมผล รสชาติดี และการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค &nbsp;ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ได้แก่ ร้านกาแฟออร์แกนิคควรทำการฝึกอบรมทักษะการสื่อสารและการบริการให้แก่พนักงานเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภค หน่วยงานภาครัฐควรใช้กลไกการลดภาษีแก่ผู้ประกอบการร้านกาแฟออร์แกนิค</p> Peamanee Chansorklin, Supaporn Songpracha, Wanippol Mahaarcha, Kanang Kantamaturapoj Copyright (c) 2025 Peamanee Chansorklin, Supaporn Songpracha, Wanippol Mahaarcha, Kanang Kantamaturapoj https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271618 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 CORAL REEF ECOSYSTEM CONSERVATION BEHAVIORS OF SNORKELERS IN TRANG https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271598 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง<br>ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง<br>ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น ในพื้นที่จังหวัดตรัง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักท่องเที่ยว<br>ชาวไทยที่เดินทางมาดำน้ำตื้น ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ<br>เชิงพรรณนา ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมานแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และ เปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีของ Scheffé</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังในระดับสูง <br>ร้อยละ 89.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง พบว่า <br>อาชีพแตกต่างกัน การให้คุณค่า ความรู้ และทัศนคติในการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง มีพฤติกรรม<br>การอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05</p> <p>ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยคือ ภาครัฐควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศแนวปะการัง เน้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว และมัคคุเทศก์ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องการอนุรักษ์ และผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง จากการใช้ประโยชน์การท่องเที่ยวทางทะเล การบังคับใช้กฎหมายยังไม่รัดกุม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจน เกี่ยวกับการละเมิด และทำลายระบบนิเวศแนวปะการัง</p> <p>&nbsp;</p> rusrawee lopetch Copyright (c) 2025 rusrawee lopetch https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/271598 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ จังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/275649 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยโดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนามี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ&nbsp; จังหวัดนนทบุรี กำหนดระยะการวิจัยเป็น 2 ระยะคือระยะที่ 1 การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ ระยะที่ 2 ศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ&nbsp; กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 3 แห่งในเขตพื้นที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 37 คนและกลุ่มควบคุม 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ส่วนได้แก่ 1)เครื่องมือดำเนินการวิจัยเป็น แนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ และ 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test และ Paired t-test</p> <p>&nbsp; การศึกษาพบว่า ภายหลังการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ย&nbsp;&nbsp; ด้านความรู้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายสูงกว่าก่อนการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001) ค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม ดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอว ลดลงกว่าก่อนการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001) และลดลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;.001 , P&lt;.05 และ P&lt;.05 ตามลำดับ) ดังนั้นแนวทางการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ใช้เป็นแนวทาง&nbsp; ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ โดยทำให้ระดับน้ำตาลสะสม ดัชนีมวลกาย และ&nbsp;&nbsp;&nbsp; เส้นรอบเอวลดลง นำไปสู่การลดการใช้ยาหรือหยุดยาโรคเบาหวานได้</p> สันติ โพธิ์ทอง, ประเสริฐ เล็กสรรเสริญ Copyright (c) 2025 ประเสริฐ เล็กสรรเสริญ, สันติ โพธิ์ทอง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/275649 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 Right in Marriage of Gender Diverse Peoples : Study of Marriage Problems On The Civil and Commercial Code Section 1448 And The Protection by Constitutional Court https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269810 <p>งานวิจัยนี้&nbsp; มุ่งศึกษาถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; <br>ในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่มีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; ปัญหาเกี่ยวกับรูปแบบในการรับรองสิทธิดังกล่าว&nbsp; และปัญหาเกี่ยวกับหน่วยงานผู้มีหน้าที่ในการตรา<br>หรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความคุ้มครองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ&nbsp; โดยจะทำการศึกษาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย&nbsp; โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์&nbsp; <br>มาตรา&nbsp; 1448&nbsp; รวมถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว&nbsp; วิเคราะห์เปรียบเทียบกับกฎหมายและกรณีศึกษาของต่างประเทศ</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>จากการศึกษาพบว่า&nbsp; ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์&nbsp; มาตรา&nbsp; 1448&nbsp; ที่บัญญัติว่า&nbsp; “การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว &nbsp;...”&nbsp; เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับมาเป็นเวลาช้านาน&nbsp; เกิดความไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่มุ่งคุ้มครองความเสมอภาคของบุคคล&nbsp; <br>ไม่เท่าทันกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศซึ่งได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในการสมรสซึ่งถือสิทธิมนุษยชนประการหนึ่ง&nbsp; รวมถึงยังไม่ตอบโจทย์กับสภาพของสังคมที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย&nbsp; จึงก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม&nbsp; กระทบต่อสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในการชีวิตคู่ร่วมกันโดยปริยาย&nbsp; และทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศตามมา&nbsp; ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทและหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ<br>ของประชาชน&nbsp; ได้คำนึงถึงและให้ความสำคัญกับปัญหาของกลุ่มบุคคลดังกล่าว&nbsp; จึงมีข้อแนะนำให้รัฐสภา&nbsp; คณะรัฐมนตรี&nbsp; และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสมควรพิจารณาดำเนินการตรากฎหมายเพื่อรับรองสิทธิและหน้าที่ของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเหมาะสมต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดังนั้น&nbsp; จึงเห็นควรให้มีการตราหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับ<br>การคุ้มครองทางกฎหมายเฉกเช่นเดียวกับการสมรสของชายและหญิง&nbsp; เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ&nbsp; และกฎหมายในลำดับรองลงมา&nbsp; เพื่อให้กฎหมายสามารถให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิ<br>ในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างเหมาะสมและตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ<br>แห่งราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน&nbsp; รวมถึงสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้ข้อแนะนำไว้</p> Chakkrit Auttamo Copyright (c) 2025 Chakkrit Auttamo https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269810 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 The Significance of Food Consumption Behaviors in Health Protection during High PM2.5 Levels in the Bangkok Metropolitan Region https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/270522 <p>ปริมาณฝุ่น PM<sub>2.5</sub> สูงต่อเนื่องนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจากมลพิษทางอากาศของประชาชนในประเทศไทย การวิจัยนี้ศึกษาพฤติกรรมการรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระที่มีผลกระทบของต่ออาการผิดปกติจากฝุ่น PM<sub>2.5 </sub>เพื่อช่วยหาแนวทางการดูแลสุขภาพของประชาชนไทยในช่วงวิกฤตฝุ่น PM<sub>2.5</sub> โดยการสำรวจและเก็บข้อมูลในประชากรจำนวน 370 คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผ่านแบบสอบถามออนไลน์โดยสุ่มผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ผลวิเคราะห์การสำรวจพบว่าประชากรทั้งหมดได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> และสามารถแบ่งกลุ่มประชากรออกได้เป็น 3 กลุ่มตามระดับความรุนแรงของอาการผิดปกติโดยรวมเมื่อเทียบระหว่างช่วงก่อนและหลังมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> ได้แก่ กลุ่มที่มีอาการโดยรวมดีขึ้น กลุ่มที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง และกลุ่มที่มีอาการแย่ลง โดยพบว่าประชากรในทั้ง 3 กลุ่ม มีพฤติกรรมการป้องกันตัวเองจากฝุ่นไม่ต่างกัน แต่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดที่แตกต่างกัน พบว่ากลุ่มประชากรที่มีอาการผิดปกติลดลงแม้อยู่ในช่วงมลพิษฝุ่น (กลุ่มอาการดีขึ้น) มีความถี่ในการรับประทาน พืชผักผลไม้ น้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน ถั่วเหลือง ปลาแซลมอน และ ปลาชนิดต่างๆ ได้ถึง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิด โอเมก้า 3 และวิตามินอี มากกว่ากลุ่มที่มีอาการแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษานี้สรุปว่าอาหารต้านอนุมูลอิสระเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันสุขภาพตนเองในช่วงที่มีมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> และการรับประทานอาหารในกลุ่มวิตามินอี และกลุ่มโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันปลาและปลาแซลมอน ร่วมกับการรับประทานผัก ผลไม้ และ น้ำสะอาด มีผลสำคัญต่อสุขภาพในช่วงมลพิษฝุ่น PM<sub>2.5</sub> ของคนไทย</p> Puttachart Chuaynarong Copyright (c) 2025 Puttachart Chuaynarong https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/270522 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจในการท่องเที่ยวและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทาง มาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269466 <p><strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2)ศึกษาประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 4) ศึกษาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการมาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 392 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญและใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน และ การวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านประสบการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดด้านความพึงพอใจในการมาท่องเที่ยว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษาและรายได้ ต่างกัน มีแรงจูงใจและประสบการณ์การเดินทางมาท่องเที่ยวไม่ต่างกัน</strong></p> สุชาติ ปรักทยานนท์ Copyright (c) 2025 สุชาติ ปรักทยานนท์ สุชาติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269466 Thu, 06 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269467 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) ศึกษาคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้แทนจำหน่าย ผู้ประกอบการ และผู้จัดการของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 383 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่ายและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการบริการ ด้านความเชื่อมั่น ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า ด้านความมีประสิทธิภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านการปฏิบัติงาน มีอิทธิพลต่อคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย 2) คุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ด้านความไว้วางใจ ด้านคำมั่นสัญญา ด้านความพึงพอใจ และ ด้านความร่วมมือ มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงาน 3) คุณภาพการบริการ ด้านความเชื่อมั่น ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า ด้านความมีประสิทธิภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านการปฏิบัติงาน มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>คำสำคัญ: &nbsp;</strong>ผลการดำเนินงาน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า</p> ฐนันวริน โฆษิตคณิน Copyright (c) 2025 ฐนันวริน โฆษิตคณิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/269467 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 Public Policy Evaluation to Maintain Fiscal Discipline of Public Sector in Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/260548 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษา วิเคราะห์ และวิพากษ์แนวคิดร่วมสมัยในวงจรนโยบายสำหรับการประเมินผลนโยบายสาธารณะเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย และ (2) เสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย จากสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างมาก ดังนั้น การประเมินผลนโยบายดังกล่าวจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ผลการศึกษาพบว่า (1) ในวงจรการกำหนดนโยบาย ปัจจัยความต้องการของเครือข่ายนโยบายมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยนำเข้าด้านงบประมาณส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลผลิตนโยบาย (3) การประเมินผลนโยบาย การกำกับดูแลที่มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาแนะนำและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายส่งผลต่อความคุ้มค่าในการส่งมอบบริการสาธารณะ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของนโยบาย (ภาพรวมของการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ) และเกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหนี้สาธารณะและการจัดหารายได้ และจากผลการศึกษาได้เสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับรัฐไทย ดังนี้ (1) กำหนดนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเงิน&nbsp; (2) ดำเนินการสร้างนวัตกรรมจัดเก็บรายได้และระดมทุนสาธารณะ และ (3) ประเมินผลนโยบายเพื่อคาดการณ์อนาคต</p> สิทธิศักดิ์ ไชยสุข Copyright (c) 2025 สิทธิศักดิ์ ไชยสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/260548 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700 การสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นในโรงเรียนไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/248849 <p>ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ แทบไม่มีเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกได้เท่ากับปรากฏการณ์โรคระบาด COVID-19 เหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและมีหลาย ๆ กรณีที่กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเกินความเป็นจริง โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องการศึกษา การระบาดของ COVID-19 ทำให้สถานศึกษาหลายๆ แห่งจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์แทบจะในทันทีทันใด ทั้งครูและนักเรียนจำเป็นต้องปรับตารางเวลาในชีวิตประจำวันของตนเองและปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รายงานฉบับนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในการเรียนการสอนของหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 โดยเป็นการศึกษาวิเคราะห์ตามแนวทางการสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ Emergency Remote Teaching (ERT) รายงานฉบับนี้ถือเป็นการแบ่งปันความรู้ที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนจริง ๆ ตามหลัก ERT&nbsp; รายงานฉบับนี้กล่าวถึงการแบ่งเนื้อหาที่ต้องเรียนเป็นหน่วยเล็ก ๆ การประเมินแบบต่อเนื่อง การปรับการจัดการด้านความปลอดภัยในการประเมิน การสร้างชุมชนการเรียนทางออนไลน์ เนื้อหาในรายงานฉบับนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อทั้งบุคลากรในระบบการสอนทางไกลในสถานการณ์ฉุกเฉินและนักวิชาการท่านอื่น ๆ ที่ต้องการพัฒนาวิธีการสอนของตนเอง</p> Alexander Chabot Nanni Copyright (c) 2025 Alexander Chabot Nanni https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/sahasart/article/view/248849 Mon, 10 Mar 2025 00:00:00 +0700