วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr
<p>วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นวารสารวิชาการ (ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม) </p> <p>มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการเผยแพร่บทความทางด้านวิชาการ บทความทางด้านวิจัย และบทความปริทรรศน์ ของคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นิสิต นักศึกษา ข้าราชการ และนักวิจัย/นักวิชาการ ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัย บทความปริทรรศน์ ทางสังคมศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ จิตวิทยา รัฐประศาสนศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย สังคมวิทยา พัฒนาสังคม/สังคมสงเคราะห์ มานุษยวิทยา ภาษาศาสตร์/ศิลปศาสตร์ ศาสนา/วัฒนธรรม ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่สังคม อันเป็นประโยชน์แก่การต่อยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาชุมชนและสังคม ตลอดจนประเทศชาติ</p> <p>บทความที่ส่งมารับการตีพิมพ์ใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความ เพื่อตีพิมพ์ใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของวารสาร ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้รับการตรวจสอบทางวิชาการจากผู้ทรงคุณ (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่านต่อบทความ</p> <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดขอบของกองบรรณาธิการวารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์บทความ กองบรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มีข้อผูกพันหรือประการใด ๆ ทั้งปวง</p>
วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
en-US
วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
2697-4177
-
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253795
<p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนาห่อม อำเภอทุ่งศรีอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2563 จำนวน 13 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้สถานศึกษาเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) ชุดกิจกรรมเรียนรู้ 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม 5) แบบประเมินทักษะทางภาษา 6) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.ผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับสูง ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มอยู่ในระดับดีมาก ทักษะทางภาษา อยู่ในระดับดีมาก และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> 2.การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนร่วมกับรูปแบบการสอนแบบ CIPPA จะทำให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p>
สุทธิดา แก้วกัญญา
วิวัฒน์ เพชรศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
94
101
-
การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264595
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะทางภาษาอังกฤษและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน อีต้อม โรงเรียนในเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 (เขื่องใน 6) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 16 คน จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STAD เรื่อง Nouns จำนวน 5 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STAD เรื่อง Nouns จำนวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง Nouns เป็นข้อสอบปรนัย แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ เรื่อง Nouns และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง Nouns โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD มีดังนี้</li> </ol> <p> 1.1 ผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า ก่อนเรียนนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับอ่อน โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 9.88 คิดเป็นร้อยละ 49.88 ส่วนหลังเรียนนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับดี โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 16.44 คิดเป็นร้อยละ 82.19</p> <p> 1.2 ผลการประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ หลังการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ครั้งที่ 1 (ชุดที่ 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 16 คน มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.25 คิดเป็นร้อยละ 77.08 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 2 (ชุดที่ 2) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.56 คิดเป็นร้อยละ 79.69 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 3 (ชุดที่ 3) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.69 คิดเป็นร้อยละ 80.73 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 4 (ชุดที่ 4) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.81 คิดเป็นร้อยละ 81.77 อยู่ในระดับมาก และครั้งที่ 5 (ชุดที่ 5) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.88 คิดเป็นร้อยละ 82.29 อยู่ในระดับมาก</p> <p> 1.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา ต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol>
ภัณฑิลา วงศาสนธิ์
ผศ.ดร.เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
รองศาสตราจารย์ ดร.จรูญ คูณมี
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
34
44
-
แนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอำนาจเจริญ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264599
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อสภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ เมื่อจำแนกตามขนาดของโรงเรียน และ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 99 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร โรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร จำแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อพิจารณารายด้าน ด้านการบริหารงานวิชาการและด้านการบริหารงานทั่วไปแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) แนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา นำเทคโนโลยีมาพัฒนาทั้ง 4 ด้านการบริหารงาน เช่น ด้านงานวิชาการมีการแข่งขันออนไลน์ การให้ความรู้ทางเว็บไซต์ การพัฒนาสื่อการสอนให้เข้ากับปัจจุบัน ควรจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของงานสารสนเทศ ควรพัฒนาเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลและทำให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน ควรใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการบริหารงานงบประมาณ จัดอบรม สัมมนาเพิ่มเติมประสบการณ์และความรู้</p>
ธนภัทร พรมสุวงค์
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
54
64
-
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษา ที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264600
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 และเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอนจำนวน 118 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และเปรียบเทียบ เป็นรายคู่ โดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และเมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้วพบว่าผู้บริหารโรงเรียนมีภาวะผู้นำเหนือผู้นำโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
สุพัตรา ตุละพิภาค
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
สุรศักดิ์ หลาบมาลา
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
87
93
-
การศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่องการสร้างตัวอักษร และข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253774
<p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่อง การสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 1.1) ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 1.2) ทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน 1.3) ด้านความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น ปีที่ 1 พณิชยกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม ปีการศึกษา 2563 จำนวน 2 ห้อง นักเรียน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่าง่าย โดยใช้ห้องเรียนในการสุ่ม เครื่องที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 2) แบบฝึกทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบก่อนเรียน การทดสอบหลังเรียน หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที กรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li class="show">ผลการเรียนรู้เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความโดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน<strong><br> </strong>1.1 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 รายวิชาโปรแกรมกราฟิก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม กรณีก่อนเรียน นักเรียนมีคะแนนผลการเรียนอยู่ในระดับ น้อย และกรณีหลังเรียนนักเรียนมีด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับ ดี</li> </ol> <p> 1.2 .ด้านทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 โดยรวมและรายทักษะ 4 ทักษะ อยู่ในระดับดีมาก ทั้ง 3 ทักษะ ทักษะร่วมวางแผน ทักษะร่วมปฏิบัติงานกลุ่ม ทักษะผลงานกลุ่ม อยู่ในระดับดีมาก และทั้ง 1 ทักษะ ทักษะการวิเคราะห์งาน อยู่ในระดับดี</p> <p> 1.3. ด้านความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้พบว่านักเรียน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ <br>ชั้นปีที่ 1 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.87 อยู่ในระดับมาก</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่องการสร้าตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
ณชฎาสุนันท์ ชินโนนจันทร์
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
สิริมา บูรณ์กุศล
กนกกาญจน์ ศรีสุรินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
45
53
-
ผลการใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA เรื่อง What sport do you like? สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/265042
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หน่วย What sport do you like? โดยใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านทักษะทางภาษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน จากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับสูง ทักษะทางภาษาด้านการฟัง พูด อ่านและเขียน อยู่ในระดับดี ทุกด้าน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หน่วย What sport do you like? โดยใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านทักษะทางภาษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน จากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับสูง ทักษะทางภาษาด้านการฟัง พูด อ่านและเขียน อยู่ในระดับดี ทุกด้าน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
วัชราภรณ์ จันเขียว
ผศ.ดร.วิวัฒน์ เพรชศรี
ผศ.ดร.เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
14
23
-
แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลาง ที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253775
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการและเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 24 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญสำหรับ ไดแก ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน ครูในโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 3 คน ตัวแทนศิษย์เก่าโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 2 คน รวม 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.80 ถึง 1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .91 และค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.2-0.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยในแต่ละด้านจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน ด้านการเรียนการสอนและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในสถานศึกษา ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และอยู่ในระดับมากคือด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา</li> <li class="show">แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 คือ 1) มีการประชุมคณะครูวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผลการสอบวางแผนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน 2) ครูได้จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ มีการนิเทศติดตามมีคู่สังเกตการสอนมีกระบวนการ PLC มีการสร้างสื่อเพื่อพัฒนาการจัดการสอน 3) คณะครูได้มีการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรตามกลุ่มสาระโดยยึดหลักสูตรแกนกลาง 2551 เป็นหลักมีการวิเคราะห์หลักสูตรและบูรณาการเนื้อหาสาระสร้างเป็นองค์ความรู้รวม และมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมากำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา 4) ครูมีการพัฒนาสื่อนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำสื่อที่หลากหลายน่าสนใจเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 5) มีการจัดทำแผนการนิเทศภายในสถานศึกษาและนิเทศติดตาม 6) คณะครูร่วมกำหนดแนวทางการวัดประเมินผลและดำเนินการตามแนวทางตามตัวชี้วัด 7) สถานศึกษามีการส่งเสริมให้ครูมีทักษะความรู้ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และให้ครูมีการทำวิจัยในชั้นเรียน </li> </ol>
ทรงลักษณ์ ทองปน
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
ชารี มณีศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
65
78
-
วิเคราะห์การจัดการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/265055
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในด้านการจัดการผลิต การตลาด และการ SWOT รวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจลงพื้นที่ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม พบว่า 1) การจัดการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และปราชญ์ชาวบ้านเพื่อมุ่งเน้นที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่จากครัวเรือนภายในชุมชน คือ มันเทศ หรือหัวมันเทศ โดยมีสมาชิกที่ร่วมจัดตั้งที่เป็นกลุ่มแม่บ้าน จำนวน 15 คน การผลิต มีการดำเนินงานเป็นระบบและมีแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ขนมมันรังนกให้มีรสชาติที่อร่อย และรักสุขภาพ การตลาด มีการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกระดับอายุ สร้างรสชาติให้มีรสมันเค็มหวานในตัวซึ่งเป็นรสชาติที่ติดปากลูกค้ามากที่สุดและคุณภาพดี สะอาด ถูกหลักอนามัย ในส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายมีทั้งการขายปลีกและขายส่ง ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด จนยกระดับสินค้าขึ้นเป็นสินค้าประจำหมู่บ้านและพัฒนาถึงระดับธุรกิจขนาดย่อม และ 2) ผลการวิเคราะห์ SWOT Analysis โดยจุดแข็ง ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานไม่มีสารพิษตกค้างเนื่องจากผลผลิตที่นำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ จุดอ่อน ผลิตภัณฑ์และผลผลิตที่นำมาแปรรูปมีช่วงอายุในการเก็บรักษาที่สั้น โอกาส เริ่มมีกระแสความนิยมบริโภคผักเพิ่มขึ้น และอุปสรรค คือ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลิตภัณฑ์ยังไม่แพร่หลาย</p>
ภมรรัตน์ ชุมภูปะวิโร
พระมหานพดล สุจิณฺโณ
พระมหากริช ถิรธมฺโม
ภัทรานิษฐ์ จันสีสุก
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
24
33
-
การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253790
<p> บทความวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการจัดแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย โดยใช้เทคนิค KWDL มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด : 75/75 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ก่อนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิค KWDL และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปี่ที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 22 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม จำนวน 3 แผน ซึ่งผลการประเมินคุณภาพ อยู่ในระดับเหมะสมมากที่สุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค KWDL จำนวน 40 ข้อ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4</p> <p> </p> <p><strong>ผลการวิจัยปรากฏว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ประสิทธิภาพกระบวนการของแผนการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 82.18 และประสิทธิภาพผลลัพธ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 81.25 ผลปรากฎว่า แผนการจัดการเรียนรู้จึงมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.18 / 81.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม โดยใช้เทคนิค KWDL มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</li> </ol>
ดนิตา ปัสสา
วิวัฒน์ เพชรศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
79
86
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/267044
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้ และ3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเปรมติณสูลานนท์ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการเรียนการสอนเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบการคิดแก้ปัญหา และแบบถามสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน</p> <p> </p> <p>________________________</p> <p>[1]โรงเรียนเปรมติณสูลานนท์ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น</p> <p>กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p>เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน</p> <p>มาตรฐาน สถิติทีแบบไม่อิสระ (t - test dependent Samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีชื่อเรียกว่า “PICPIPRE Model” มี 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 6 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมพร้อมในการเรียน (Preparation & Infographic : P&I) ขั้นสร้างความรู้ (Construction : C) ขั้นฝึกปฏิบัติ (Practice : P) ขั้นนำเสนอผลงาน (Present & Infographic : P&I) ขั้นสะท้อนความคิด (Reflection : R) ขั้นการประเมินผล (Evaluation : E) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่า (2.1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ (E1 /E2) เท่ากับ 80.32 / 81.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 75/75 2.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2.3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2.4) ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7198 หมายความว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 71.98 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
วิไลวรรณ ศรีคำมี
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-31
2023-12-31
5 10
102
109