วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr <p>วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นวารสารวิชาการ (ปีละ 2 &nbsp;ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม)&nbsp;</p> <p>มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการเผยแพร่บทความทางด้านวิชาการ บทความทางด้านวิจัย และบทความปริทรรศน์ ของคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นิสิต นักศึกษา ข้าราชการ และนักวิจัย/นักวิชาการ ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัย บทความปริทรรศน์ ทางสังคมศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ จิตวิทยา รัฐประศาสนศาสตร์ &nbsp;ประวัติศาสตร์ กฎหมาย สังคมวิทยา พัฒนาสังคม/สังคมสงเคราะห์ มานุษยวิทยา ภาษาศาสตร์/ศิลปศาสตร์ ศาสนา/วัฒนธรรม ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่สังคม อันเป็นประโยชน์แก่การต่อยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาชุมชนและสังคม ตลอดจนประเทศชาติ</p> <p>บทความที่ส่งมารับการตีพิมพ์ใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความ เพื่อตีพิมพ์ใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของวารสาร ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้รับการตรวจสอบทางวิชาการจากผู้ทรงคุณ (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่านต่อบทความ</p> <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความใน วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดขอบของกองบรรณาธิการวารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์บทความ กองบรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มีข้อผูกพันหรือประการใด ๆ ทั้งปวง</p> วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย en-US วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2697-4177 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253795 <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6&nbsp; 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนาห่อม อำเภอทุ่งศรีอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2563 จำนวน 13 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้สถานศึกษาเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) ชุดกิจกรรมเรียนรู้ 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5) แบบประเมินทักษะทางภาษา 6) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้&nbsp; สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent Samples</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.ผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดเรียนรู้ร่วมกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับสูง ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มอยู่ในระดับดีมาก ทักษะทางภาษา อยู่ในระดับดีมาก และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนร่วมกับรูปแบบการสอนแบบ CIPPA จะทำให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> สุทธิดา แก้วกัญญา วิวัฒน์ เพชรศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 94 101 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264595 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะทางภาษาอังกฤษและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อีต้อม โรงเรียนในเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 (เขื่องใน 6​) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต​ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 16 คน จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STAD เรื่อง Nouns จำนวน 5 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STAD เรื่อง Nouns จำนวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง Nouns เป็นข้อสอบปรนัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน&nbsp; 20 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ เรื่อง Nouns และ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง Nouns โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD มีดังนี้</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.1 ผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า&nbsp; ก่อนเรียนนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับอ่อน โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 9.88 คิดเป็นร้อยละ 49.88 ส่วนหลังเรียนนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับดี โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 16.44 คิดเป็นร้อยละ 82.19</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.2 ผลการประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ หลังการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD ครั้งที่ 1 (ชุดที่ 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 16 คน มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.25 คิดเป็นร้อยละ 77.08 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 2 (ชุดที่ 2) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.56 คิดเป็นร้อยละ 79.69 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 3 (ชุดที่ 3) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.69 คิดเป็นร้อยละ 80.73 อยู่ในระดับมาก ครั้งที่ 4 (ชุดที่ 4) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.81 คิดเป็นร้อยละ 81.77 อยู่ในระดับมาก และครั้งที่ 5 (ชุดที่ 5) มีคะแนนทักษะทางภาษา โดยรวมเฉลี่ย เท่ากับ 9.88 คิดเป็นร้อยละ 82.29&nbsp; อยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา ต่างประเทศ เรื่อง Nouns ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Nouns โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบ STAD มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> ภัณฑิลา วงศาสนธิ์ ผศ.ดร.เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม รองศาสตราจารย์ ดร.จรูญ คูณมี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 34 44 แนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอำนาจเจริญ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264599 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อสภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ เมื่อจำแนกตามขนาดของโรงเรียน และ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 99 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพและปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร โรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มโรงเรียนพระศรีเจริญรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร จำแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อพิจารณารายด้าน ด้านการบริหารงานวิชาการและด้านการบริหารงานทั่วไปแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) แนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา นำเทคโนโลยีมาพัฒนาทั้ง 4 ด้านการบริหารงาน เช่น ด้านงานวิชาการมีการแข่งขันออนไลน์ การให้ความรู้ทางเว็บไซต์ การพัฒนาสื่อการสอนให้เข้ากับปัจจุบัน ควรจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของงานสารสนเทศ ควรพัฒนาเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลและทำให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน ควรใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการบริหารงานงบประมาณ จัดอบรม สัมมนาเพิ่มเติมประสบการณ์และความรู้</p> ธนภัทร พรมสุวงค์ เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 54 64 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษา ที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/264600 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 และเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอนจำนวน 118 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และเปรียบเทียบ เป็นรายคู่ โดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 13 โพธิ์ไทร-สารภี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และเมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้วพบว่าผู้บริหารโรงเรียนมีภาวะผู้นำเหนือผู้นำโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สุพัตรา ตุละพิภาค เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม สุรศักดิ์ หลาบมาลา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 87 93 การศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่องการสร้างตัวอักษร และข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253774 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่อง การสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 1.1) ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 1.2) ทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน 1.3) ด้านความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ &nbsp;2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น ปีที่ 1 พณิชยกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ &nbsp;สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม ปีการศึกษา 2563 จำนวน 2 ห้อง นักเรียน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่าง่าย โดยใช้ห้องเรียนในการสุ่ม เครื่องที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 2) แบบฝึกทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบก่อนเรียน การทดสอบหลังเรียน หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที กรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li class="show">ผลการเรียนรู้เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความโดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน<strong><br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>1.1 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 รายวิชาโปรแกรมกราฟิก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม กรณีก่อนเรียน นักเรียนมีคะแนนผลการเรียนอยู่ในระดับ น้อย และกรณีหลังเรียนนักเรียนมีด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับ ดี</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.2 .ด้านทักษะกระบวนการจัดทำโครงงาน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 โดยรวมและรายทักษะ 4 ทักษะ อยู่ในระดับดีมาก ทั้ง 3 ทักษะ &nbsp;ทักษะร่วมวางแผน ทักษะร่วมปฏิบัติงานกลุ่ม ทักษะผลงานกลุ่ม อยู่ในระดับดีมาก และทั้ง 1 ทักษะ &nbsp;ทักษะการวิเคราะห์งาน อยู่ในระดับดี</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.3. ด้านความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้พบว่านักเรียน เรื่องการสร้างตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ <br>ชั้นปีที่ 1 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.87 อยู่ในระดับมาก</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ เรื่องการสร้าตัวอักษรและข้อความ โดยการจัดการเรียนรู้ใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> ณชฎาสุนันท์ ชินโนนจันทร์ เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม สิริมา บูรณ์กุศล กนกกาญจน์ ศรีสุรินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 45 53 ผลการใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA เรื่อง What sport do you like? สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/265042 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หน่วย What sport do you like?&nbsp; โดยใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านทักษะทางภาษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน จากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน&nbsp; 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับสูง ทักษะทางภาษาด้านการฟัง พูด อ่านและเขียน อยู่ในระดับดี ทุกด้าน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หน่วย What sport do you like?&nbsp; โดยใช้ชุดกิจกรรมในการสอนแบบ CIPPA ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านทักษะทางภาษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนอนุบาลโพธิ์ไทร อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน จากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน&nbsp; 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะทางภาษาอังกฤษ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับสูง ทักษะทางภาษาด้านการฟัง พูด อ่านและเขียน อยู่ในระดับดี ทุกด้าน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> วัชราภรณ์ จันเขียว ผศ.ดร.วิวัฒน์ เพรชศรี ผศ.ดร.เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 14 23 แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลาง ที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253775 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการและเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 24 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญสำหรับ ไดแก ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 1 คน ครูในโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 3 คน ตัวแทนศิษย์เก่าโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 2 คน รวม 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.80 ถึง 1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .91 และค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.2-0.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยในแต่ละด้านจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน ด้านการเรียนการสอนและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในสถานศึกษา ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และอยู่ในระดับมากคือด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา</li> <li class="show">แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดกลางที่ประสบผลสำเร็จ : กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านหนองเม็ก สพป.อุบลราชธานี เขต 3 คือ 1) มีการประชุมคณะครูวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผลการสอบวางแผนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน 2) ครูได้จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ มีการนิเทศติดตามมีคู่สังเกตการสอนมีกระบวนการ PLC มีการสร้างสื่อเพื่อพัฒนาการจัดการสอน 3) คณะครูได้มีการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรตามกลุ่มสาระโดยยึดหลักสูตรแกนกลาง 2551 เป็นหลักมีการวิเคราะห์หลักสูตรและบูรณาการเนื้อหาสาระสร้างเป็นองค์ความรู้รวม และมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมากำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา 4) ครูมีการพัฒนาสื่อนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำสื่อที่หลากหลายน่าสนใจเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 5) มีการจัดทำแผนการนิเทศภายในสถานศึกษาและนิเทศติดตาม 6) คณะครูร่วมกำหนดแนวทางการวัดประเมินผลและดำเนินการตามแนวทางตามตัวชี้วัด 7) สถานศึกษามีการส่งเสริมให้ครูมีทักษะความรู้ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และให้ครูมีการทำวิจัยในชั้นเรียน&nbsp; &nbsp; &nbsp;</li> </ol> ทรงลักษณ์ ทองปน เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม ชารี มณีศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 65 78 วิเคราะห์การจัดการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/265055 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในด้านการจัดการผลิต การตลาด และการ SWOT รวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจลงพื้นที่ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม พบว่า 1) การจัดการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปขนมมันรังนก บ้านทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และปราชญ์ชาวบ้านเพื่อมุ่งเน้นที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่จากครัวเรือนภายในชุมชน คือ มันเทศ หรือหัวมันเทศ โดยมีสมาชิกที่ร่วมจัดตั้งที่เป็นกลุ่มแม่บ้าน จำนวน 15 คน การผลิต มีการดำเนินงานเป็นระบบและมีแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ขนมมันรังนกให้มีรสชาติที่อร่อย และรักสุขภาพ การตลาด มีการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกระดับอายุ สร้างรสชาติให้มีรสมันเค็มหวานในตัวซึ่งเป็นรสชาติที่ติดปากลูกค้ามากที่สุดและคุณภาพดี สะอาด ถูกหลักอนามัย ในส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายมีทั้งการขายปลีกและขายส่ง ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด จนยกระดับสินค้าขึ้นเป็นสินค้าประจำหมู่บ้านและพัฒนาถึงระดับธุรกิจขนาดย่อม และ 2) ผลการวิเคราะห์ SWOT Analysis โดยจุดแข็ง ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานไม่มีสารพิษตกค้างเนื่องจากผลผลิตที่นำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ จุดอ่อน ผลิตภัณฑ์และผลผลิตที่นำมาแปรรูปมีช่วงอายุในการเก็บรักษาที่สั้น โอกาส เริ่มมีกระแสความนิยมบริโภคผักเพิ่มขึ้น และอุปสรรค คือ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลิตภัณฑ์ยังไม่แพร่หลาย</p> ภมรรัตน์ ชุมภูปะวิโร พระมหานพดล สุจิณฺโณ พระมหากริช ถิรธมฺโม ภัทรานิษฐ์ จันสีสุก ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 24 33 การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/253790 <p>&nbsp;บทความวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการจัดแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย โดยใช้เทคนิค KWDL&nbsp; มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด&nbsp; : 75/75&nbsp;&nbsp; เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ก่อนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิค KWDL และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปี่ที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยฝ้าย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 22 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL &nbsp;เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม จำนวน 3 แผน ซึ่งผลการประเมินคุณภาพ อยู่ในระดับเหมะสมมากที่สุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค KWDL จำนวน 40 ข้อ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัยปรากฏว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ประสิทธิภาพกระบวนการของแผนการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 82.18 และประสิทธิภาพผลลัพธ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 81.25 ผลปรากฎว่า แผนการจัดการเรียนรู้จึงมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.18 / 81.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม โดยใช้เทคนิค KWDL มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค KWDL อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</li> </ol> ดนิตา ปัสสา วิวัฒน์ เพชรศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 79 86 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mcupnpbcr/article/view/267044 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้ และ3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเปรมติณสูลานนท์ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการเรียนการสอนเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบการคิดแก้ปัญหา และแบบถามสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน</p> <p>&nbsp;</p> <p>________________________</p> <p>[1]โรงเรียนเปรมติณสูลานนท์ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น</p> <p>กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน</p> <p>มาตรฐาน สถิติทีแบบไม่อิสระ (t - test dependent Samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ &nbsp;&nbsp;เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีชื่อเรียกว่า “PICPIPRE Model”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;มี 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล&nbsp;&nbsp; มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 6 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมพร้อมในการเรียน (Preparation &amp; Infographic : P&amp;I) ขั้นสร้างความรู้ (Construction : C) ขั้นฝึกปฏิบัติ (Practice : P) ขั้นนำเสนอผลงาน (Present &amp; Infographic : P&amp;I) ขั้นสะท้อนความคิด (Reflection : R) ขั้นการประเมินผล (Evaluation : E) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่า (2.1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ (E1 /E2) เท่ากับ 80.32 / 81.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 75/75 2.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2.3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2.4) ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7198 หมายความว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 71.98 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถ&nbsp;&nbsp; ในการคิดแก้ปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> วิไลวรรณ ศรีคำมี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารมหาจุฬาตานี ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 5 10 102 109