https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/issue/feed วารสารการบัญชีและการจัดการ 2025-12-15T16:26:21+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.จรวย สาวิถี (Asst. Prof. Dr. Charuay Savithi) Kittipol.w@acc.msu.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารการบัญชีและการจัดการ ISSN : 1906-7933, ISSN : 2730-3276 (online)</p> <p>วารสารการบัญชีและการจัดการ เป็นวารสารวิชาการ กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันได้รับการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการให้อยู่ในฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) รอบที่ 5 อยู่ในกลุ่ม 1 (2568-2572) สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ </p> <p>มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยที่มีคุณค่าและประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ โดยวารสารมีขอบเขตครอบคลุมหลายสาขาวิชาทางด้านธุรกิจได้แก่ การบัญชี การจัดการ การบริหารธุรกิจ การจัดการการประกอบการเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ การบริหารการเงิน ธุรกิจระหว่างประเทศ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/278293 การตระหนักรู้กฎหมายธุรกิจเช่าซื้อของลูกค้าที่ใช้บริการด้านสินเชื่อ เช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารชั้นนำ จังหวัดเชียงใหม่ 2025-05-27T09:21:21+07:00 ธิดารัตน์ ชลประเสริฐสุข tc_ple@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาการตระหนักรู้และความเข้าใจของลูกค้าเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารชั้นนำ จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความใส่ใจและประสบการณ์การทำงาน กับการตระหนักรู้กฎหมายของลูกค้า และ 3)เสนอแนวทางในการพัฒนาสื่อและวิธีการสื่อสารความรู้ความเข้าใจกฎหมายเช่าซื้อรถยนต์ให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลจาก 1) การใช้แบบสอบถามในกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการ จำนวน 100 คน และ 2) วิธีการสนทนากลุ่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จำนวน 6 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า แบบสอบถามลูกค้าที่ใช้บริการ จำนวน 100 คน ลูกค้ามากกว่าร้อยละ 73 ทราบและเข้าใจกฎหมายทั้ง 6 ประเด็น เนื่องจากธนาคารชั้นนำ มี Sales Sheet และมี QR Code ให้ลูกค้าอ่านและรับชมข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ เพื่อให้ลูกค้าได้ทำความเข้าใจก่อนทำสัญญา นอกจากนี้พบว่าความใส่ใจ และประสบการณ์การทำงานมีผลต่อการตระหนักรู้กฎหมายของลูกค้าแต่ละบุคคลที่ในระดับดี และถึงแม้ว่าลูกค้าส่วนมากจะทราบและเข้าใจกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่ด้วยภาษากฎหมายที่เข้าใจยาก จึงทำให้มีผลการวิจัยเห็นควรให้มีการพัฒนาสื่อการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเช่าซื้อรถยนต์ ให้เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย (กว่าภาษากฎหมาย) พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เห็นด้วยร้อยละ 99 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาจากการสนทนากลุ่ม จำนวน 6 ท่านที่มีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าภาษากฎหมายมีโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนและเป็นศัพท์เฉพาะทางตัวอักษรใน Sales Sheet มีขนาดเล็กมาก อ่านลำบาก และลูกค้าบางคนไม่มีเวลาที่จะสแกน QR Code เพื่อดูสื่อภาพเคลื่อนไหวจึงเห็นควรมีการปรับปรุงพัฒนาสื่อการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเช่าซื้อรถยนต์ให้เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ออกแบบขนาดตัวอักษรให้เหมาะสมกับการอ่าน และมีความน่าสนใจทางสายตา (Visual Appeal) เพื่อถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการ ด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ได้ทราบและเข้าใจง่ายขึ้นถึงสิทธิและหน้าที่ในทางกฎหมายก่อนและหลังทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ต่อไป</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/278713 การประยุกต์ระบบต้นทุนงานสั่งทำในการวิเคราะห์ต้นทุนผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดแปรรูป : แนวทางบัญชีต้นทุนเพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมอาหารทางเลือก 2025-06-04T15:06:09+07:00 สิริยุพา เลิศกาญจนาพร kaysiriyupa@gmail.com อิศรา วัฒนนภาเกษม watta.isara@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้ระบบต้นทุนงานสั่งทำ ในการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินต้นทุนของผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดแปรรูป ได้แก่ จิ้งหรีดทอดสุญญากาศ และโปรตีนไฮโดรไลเสตอัดเม็ด ในระดับห้องปฏิบัติการ (Lab Scale) และระดับอุตสาหกรรม (Pilot Scale) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทางเลือก การรวบรวมข้อมูลดำเนินการผ่านบัตรต้นทุนงาน (Job Cost Sheet) และเอกสารต้นทุนที่เกี่ยวข้องจากผู้ประกอบการ 3 ราย จากนั้นวิเคราะห์ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิ เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างสองระดับการผลิต ผลการวิจัยพบว่า การขยายกำลังการผลิตช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของจิ้งหรีดทอดสุญญากาศจาก 39.75 บาท เหลือ 14.57 บาทต่อซอง ขณะที่โปรตีนไฮโดรไลเสตอัดเม็ดมีต้นทุนเฉลี่ยต่อซองเพิ่มจาก 8.67 บาท เป็น 16.30 บาท เนื่องจากปริมาณบรรจุต่อซองเพิ่มขึ้นจาก 10 เป็น 25 กรัม แต่เมื่อตรวจสอบต้นทุนเฉลี่ยต่อกรัมพบว่าลดลงจาก 0.867 บาท เหลือ 0.652 บาทต่อกรัม สะท้อนถึงประสิทธิภาพตามหลักการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 63.57 และ 34.80 สำหรับจิ้งหรีดทอดสุญญากาศและโปรตีนไฮโดรไลเสตอัดเม็ดตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิคิดเป็นร้อยละ 45.70 และ 29.80 ตามลำดับ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบต้นทุนงานสั่งทำในการให้ข้อมูลต้นทุนที่แม่นยำและตรวจสอบได้ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนราคา การผลิต และการตัดสินใจด้านการลงทุนอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เสริมสร้างองค์ความรู้ด้านบัญชีต้นทุนสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทางเลือกในบริบทของประเทศไทย</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/276300 ผลกระทบของปัจจัยความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 2025-06-14T09:26:16+07:00 ณฐมนพร วรรณชัย kloyjai.w@rmutp.ac.th <p>ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยบริหารจัดการกระบวนการทางธุรกิจยุคใหม่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สามารถบูรณาการข้อมูลขององค์กร ลดความซับซ้อนของกระบวนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลกระทบความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพใน การปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าหน้าที่การเงิน บัญชีและพัสดุของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จำนวน 75 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ได้แก่ ด้านคุณภาพของระบบ ด้านผู้ใช้งาน และด้านองค์กรส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ในด้านคุณภาพของข้อมูลไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ทั้งในเชิงทฤษฎี เชิงปฏิบัติ และเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเน้นการส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรและการสนับสนุนจากหน่วยงาน รวมถึง การพัฒนาคุณภาพระบบให้ตอบสนองต่อบริบทการใช้งานอย่างต่อเนื่องขององค์กร</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/278786 แนวทางการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย จังหวัดขอนแก่น 2025-06-19T13:15:57+07:00 อนุชัย ภูแสนศรี anuchaipoosaensri@gmail.com รุจิรัตน์ พัฒนถาบุตร pruchi@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสิ่งแวดล้อมทางการจัดการของกลุ่มผู้ประกอบการผ้าไหมไทย ในพื้นที่อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย 3) นิยามชื่อและให้ความหมายองค์ประกอบของการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย และ 4) นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย จังหวัดขอนแก่น งานวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธีการ ใช้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพประกอบด้วยด้วยการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ การระดมสมองระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ประกอบการผ้าไหม และการวิเคราะห์เชิงปริมาณประกอบด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคที่นิยมสวมใส่ผ้าไหมโดยมีอัตราเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จำนวน 384 คน ผลการวิจัยการศึกษา พบว่า ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการสร้างแบรนด์ผ้าไหมมัดหมี่ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากผ้าไหมเพื่อจับกลุ่มตลาดระดับบนหรือกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง การยกระดับศูนย์การเรียนรู้ชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทั้งระบบ การวิจัยนี้ได้องค์ประกอบ 2 องค์ประกอบซึ่งมีนิยามและความหมายดังนี้ 1) องค์ประกอบที่ 1 การจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการผลิตผ้าไหมให้เกิดอัตลักษณ์ หมายถึง การจัดการเพื่อการผลิตผ้าไหมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในรูปแบบที่หลากหลายมีมาตรฐานและสะท้อนถึงอัตลักษณ์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) องค์ประกอบที่ 2 การจัดการมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย หมายถึง การจัดการเพื่อนำเสนอมูลค่าเพิ่มต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ซึ่งทั้ง 2 องค์ประกอบสามารถอธิบายการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย ได้ร้อยละ 56.733 ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็นแนวทางการบริหารจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการผ้าไหมไทย จังหวัด</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/276353 Enhancing Financial Transparency: The Impact of TFRS Adoption and Best Practices on SMEs in Thailand’s EEC 2025-04-22T14:15:07+07:00 pattama karam pattama0903@gmail.com <p>This study develops a structural equation model to explore the causal relationships between the adoption of Thai Financial Reporting Standards (TFRS), accounting best practices, and financial reporting quality among small and medium-sized enterprises (SMEs) in Thailand’s Eastern Economic Corridor (EEC), a strategic development zone aimed at promoting investment and economic growth. Despite increasing efforts to improve financial transparency among Thai SMEs, there remains limited empirical evidence on how accounting practices influence the adoption of TFRS and the resulting quality of financial reports, particularly within the EEC context. This study addresses this research gap. </p> <p>A survey of 300 SMEs was conducted, and Structural Equation Modeling (SEM) was employed to analyze the direct effects among key constructs. The results show that accounting best practices significantly and positively influence the adoption of TFRS. Furthermore, both accounting best practices and TFRS adoption directly and positively impact financial reporting quality. Accounting best practices also indirectly enhance financial reporting quality through the mediation of TFRS adoption.</p> <p>The finding contributes to the literature by highlighting the mechanism through which internal accounting practices drive compliance and reporting quality. Policymakers and stakeholders are encouraged to invest in capacity-building programs, digital tools, and institutional support systems to enhance SMEs' transparency and competitiveness, thereby fostering sustainable development in the EEC.</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/278853 การจัดการเงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการในหมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย 2025-08-17T15:40:25+07:00 วัลลพ ล้อมตะคุ wanlop_ltk@mju.ac.th สิทธิชัย ลีวิวัฒน์วงศ์ wanlop_ltk@mju.ac.th สิริเกียรติ รัชชุศาสติ wanlop_ltk@mju.ac.th <p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์การบริหารเงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการในเขตหมู่บ้านแม่กำปอง อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจภายในหมู่บ้านแม่กำปอง อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 88 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคาะห์ถดถอยพหุ และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจมากกว่า 1 ประเภท ส่วนใหญ่ทำธุรกิจนำเที่ยว ส่วนใหญ่ออมเงินโดยการฝากเงินกับสถาบันการเงิน แหล่งเงินทุนที่นำมาใช้ดำเนินธุรกิจ คือ เงินออม ผู้ประกอบการจะมีรายได้ต่อเดือนมากกว่ารายจ่ายต่อเดือน ในช่วงฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) ธุรกิจส่วนใหญ่มีเงินสด เพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญ กับการบริหารเงินสดและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในภาพรวมในระดับมาก ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจภายในหมู่บ้านแม่กำปอง ได้แก่ ปัจจัยด้านการสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีขนาดของอิทธิพล เท่ากับ 0.400 ที่ระดับนัยสำคัญ 0.01</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/277105 ผลกระทบของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศต่อความระมัดระวังทางบัญชี ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2025-04-01T16:08:23+07:00 สิทธิ์ชัย ลิมาพร sitchai.l@psu.ac.th พลอยพฤษ ลิมาพร sitchai.l@psu.ac.th <p>ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลขององค์กร Germanwatch ที่เผยแพร่เมื่อต้นปี พ.ศ.2568 ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเฉลี่ยในรอบ 30 ปี (พ.ศ. 2536 - 2565) อยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก สอดรับกับความสนใจของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเรื่องการรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance : ESG) ที่เพิ่มมากขึ้น การศึกษานี้จึงมุ่งวิเคราะห์ผลกระทบของความเสี่ยงดังกล่าวต่อ การจัดทำรายงานทางการเงินในแบบที่มีความระมัดระวังทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน 1,934 ตัวอย่าง จาก 371 บริษัท ในช่วงปี พ.ศ. 2557 ถึง 2565 ไม่รวมกลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสาธารณูปโภค และบริษัทที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน การวิจัยนี้ใช้ดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Global Climate Risk Index: CRI) ขององค์กร Germanwatch เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยง และใช้ตัวแบบของ Ball and Shivakumar (2005) ในการวัดระดับความระมัดระวังทางบัญชี <br />ซึ่งทดสอบสมมติฐานการวิจัย ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับความระมัดระวังทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียน หมายความว่าความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่สูงขึ้นส่งผลให้การจัดทำรายงานทางการเงินที่มีความระมัดระวังทางบัญชีลดน้อยลง ผลการวิจัยนี้ มีส่วนช่วยให้เข้าใจกลไกการปรับตัวของบริษัทต่อความเสี่ยงสภาพภูมิอากาศ และมีความสำคัญต่อหน่วยงานกำกับดูแลและผู้กำหนดมาตรฐาน ในการพิจารณากำหนดแนวทางการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศให้มากขึ้นได้ในอนาคต</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/279710 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานในสถานประกอบการจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-07-09T20:11:13+07:00 ธนายุ ภู่วิทยาธร tanayumsc@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานในสถานประกอบการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เก็บข้อมูลจากพนักงาน 364 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วนตามประเภทธุรกิจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานในสถานประกอบการจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยการวิเคราะห์อิทธิพลทางตรง พบว่า การปฏิบัติด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ส่งผลเชิงบวกต่อความผูกพันธ์องค์กร ความผูกพันธ์องค์กรส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของพนักงาน แต่การปฏิบัติด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ไม่ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของพนักงาน ส่วนการวิเคราะห์อิทธิพลทางอ้อม พบว่า การปฏิบัติด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ส่งผลเชิงบวกทางอ้อมต่อประสิทธิภาพของพนักงานผ่านความผูกพันธ์องค์กร ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความผูกพันองค์กรเป็นตัวแปรสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างการปฏิบัติ ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ กับประสิทธิภาพของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น สถานประกอบการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีควรเน้นพัฒนา และปรับใช้กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งเสริมความผูกพันองค์กร เช่น การพัฒนาบุคลากรที่เหมาะสม ระบบค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในที่สุด</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/277967 ความเป็นผู้นำที่แท้จริง วัฒนธรรมจริยธรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กร 2025-06-04T14:33:24+07:00 ธาริณี อังค์ยศ tharinee_aun@vu.ac.th สมทรง คันธนที somsong_kha@vu.ac.th <p>งานวิจัยนี้ 1) พัฒนาแบบจำลองความเป็นผู้นำที่แท้จริง วัฒนธรรมจริยธรรมองค์กร ความผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กร : การรับรู้ของนักบัญชี 2) วิเคราะห์อิทธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ้อมของความเป็นผู้นำที่แท้จริง วัฒนธรรมจริยธรรมองค์กร ความผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กร : การรับรู้ของนักบัญชี เพื่อทดสอบสมมติฐานเชิงสาเหตุตามโมเดลโครงสร้าง โดยใช้สถิติการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้างผลการวิจัย พบว่า แบบจำลองความเป็นผู้นำที่แท้จริง วัฒนธรรมจริยธรรมองค์กร ความผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กร : การรับรู้ของนักบัญชี มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ สามารถร่วมกันอธิบายประสิทธิผลขององค์กรได้ร้อยละ 58 (R2 = 0.58) นอกจากนี้ การวิเคราะห์อิทธิพลทางตรง พบว่า วัฒนธรรมจริยธรรมองค์กรได้รับอิทธิพลทางตรงเชิงบวกสูงสุดจากความเป็นผู้นำที่แท้จริง ประสิทธิผลขององค์กรได้รับอิทธิพลทางตรงเชิงบวกสูงสุดจากวัฒนธรรมจริยธรรมองค์กร ความเป็นผู้นำที่แท้จริง และความผูกพันต่อองค์กร ในขณะที่ความผูกพันต่อองค์กรยังได้รับอิทธิพลทางตรงเชิงบวกสูงสุด จากวัฒนธรรมจริยธรรมขององค์กร ส่วนการวิเคราะห์อิทธิพลทางอ้อม พบว่า ประสิทธิผลขององค์กรได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากความเป็นผู้นำที่แท้จริงผ่านวัฒนธรรมจริยธรรมองค์กร และ รับอิทธิพลทางอ้อมจากความเป็นผู้นำที่แท้จริงผ่านความผูกพันต่อองค์กร ในขณะเดียวกันยังได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากวัฒนธรรมจริยธรรมองค์กรผ่านความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/279910 การบูรณาการซัพพลายเชนและคุณภาพบริการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ในเขตพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา 2025-07-09T21:15:40+07:00 ภคพร ผงทอง pakaporn.p@nrru.ac.th <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบูรณาการซัพพลายเชน คุณภาพบริการโลจิสติกส์ ความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน และตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลสมการโครงสร้างการบูรณาการซัพพลายเชนและคุณภาพบริการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ในเขตพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนในพื้นที่ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา กำหนดขนาดตัวอย่าง 15 เท่าของค่าพารามิเตอร์และจำนวนตัวแปรสังเกตุ จำนวน 300 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า การบูรณาการซัพพลายเชน คุณภาพบริการโลจิสติกส์ และความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน อยู่ในระดับที่สูง ( = 3.71, S.D. = 0.525) ผลตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลสมการโครงสร้างสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square = 38.813, df = 26, Relative Chi-square = 1.493, p-value = 0.051, GFI = 0.979, AGFI = 0.938, RMSEA = .041, RMR = .011) ผลจากการวิจัยสามารถนำไปใช้ในเชิงปฏิบัติด้วยการให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การมีส่วนร่วมของชุมชน ความยืดหยุ่นของการดำเนินงาน การใช้เทคโนโลยีสนับสนุน การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยว รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้การท่องเที่ยวในพื้นที่เติบโตอย่างยั่งยืนและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/mbs/article/view/278292 ปัจจัยภายในสหกรณ์ที่มีผลต่อการดำเนินงานสหกรณ์ในประเทศไทย 2025-05-04T14:57:24+07:00 ธิดารัตน์ คุ้มกิจ fecotrk@ku.ac.th บวร ตันรัตนพงศ์ borworn.t@ku.th สุวรรณา สายรวมญาติ suwanna.s@ku.th <p>ปัจจัยภายในสหกรณ์ส่งผลต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ที่แตกต่างกัน เช่น อายุสหกรณ์ ประเภทสหกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับการศึกษาของผู้จัดการสหกรณ์ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานของสหกรณ์ในประเทศไทยและวิเคราะห์ปัจจัยภายในของสหกรณ์ที่มีผลต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ในประเทศไทย โดยตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ดีของสหกรณ์ คือ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ที่สามารถแสดงประสิทธิภาพการบริหารเงินได้ และ Debt ratio ที่สามารถแสดงการบริหารความเสี่ยงของสหกรณ์ การศึกษาครั้งนี้ใช้ข้อมูลทุตติยภูมิของสหกรณ์จำนวน 372 แห่ง ระหว่างปี 2559-2563 โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ สถิติเชิงอนุมาน ในการวิเคราะห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สหกรณ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีอายุมากกว่า 20 ปี และเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2561 ผลการดำเนินงานสหกรณ์ในภาพรวมลดลงจากปี 2560 อย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะความเชื่อมั่นที่สมาชิกมีต่อระบบการสหกรณ์ลดลงจากคดีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่มีการบริหารธรรมาภิบาลที่บกพร่อง จึงทำให้สมาชิกได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และผลการศึกษาจากแบบจำลองเชิงประจักษ์ พบว่า ROA มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อจำนวนสมาชิก อายุของสหกรณ์ และผลประกอบการ (กำไร/ขาดทุน) ของสหกรณ์ ในขณะที่ทุนสหกรณ์และระดับการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรีของผู้จัดการมีความสัมพันธ์เชิงลบต่อ ROA และ Debt Ratio จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่า ปัจจัยภายในที่ควรพิจารณาให้ความสำคัญ และมีบทบาทต่อผลการดำเนินงานของสหกรณ์ คือ ผู้จัดการสหกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาถึงระดับการศึกษาของผู้จัดสหกรณ์ เป็นคุณสมบัติที่สหกรณ์ควรให้ความสนใจ</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบัญชีและการจัดการ