วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> วารสารบัณฑิตแสงโคมคำเป็นวารสารวิชาการ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการ การศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความต่าง ๆ ในสาขาวิชาที่วิทยาเขตพะเยาได้เปิดสอน คือ (1) พระพุทธศาสนาเเละปรัชญา (2) การสอนสังคมศึกษา (3) การสอนภาษาไทย เเละ (4) รัฐศาสตร์ 2) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้พระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ตลอดถึงการบูรณาการสหวิทยาการต่าง ๆ ของคณาจารย์ บุคลากร นิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานอื่น อันเป็นการบริการวิชาการแก่สังคม 3) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา และสร้างความร่วมมือในการบูรณาการการเรียนการสอนกับการเผยแพร่ผลงาน องค์ความรู้ของคณาจารย์ บุคลากรและนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (ราย 4 เดือน)</p> <p> ทั้งนี้ ต้องเป็นบทความที่ไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นในบทความวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ</p> <p> ในกรณีกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองบทความมีความเห็นว่า ควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นหลัก และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตีพิมพ์ในกรณีที่บทความไม่ตรงกับวัตถุประสงค์และรูปแบบของวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ หากบทความใดได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิโดยเสียงข้างมากให้ตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับหนังสือรับรองการตีพิมพ์จากวารสาร (เฉพาะผู้เเจ้งความประสงค์เท่านั้น)</p> <p><strong>อัตราค่าตีพิมพ์บทความ </strong></p> <p> กำหนดค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ บทความละ 6,000 บาท</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong></p> <p> หลังจากผู้เขียนส่งบทความต้นฉบับและกรอกแบบฟอร์มเสนอผลงานเพื่อตีพิมพ์ (ใบสมัคร) เข้าระบบวารสารออนไลน์ และผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการแล้ว จึงจะแจ้งให้ผู้เขียนชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ จำนวน 6,000 บาท/บทความ ตามรายละเอียด ดังนี้ </p> <p> <strong>ชื่อธนาคาร: ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยพะเยา</strong></p> <p><strong> ชื่อบัญชี: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ มจร.พะเยา</strong></p> <p><strong> บัญชีเลขที่: 020320117631</strong></p> <p> จากนั้น ให้ผู้เขียนแจ้งผลการโอนพร้อมหลักฐานการโอนมาในระบบ ThaiJo โดยระบุชื่อผู้โอนและชื่อบทความ (หากประสงค์จะให้ออกใบเสร็จในนามหน่วยงานหรือองค์กรใด กรุณาระบุให้ชัดเจน)</p> <p> ***ทั้งนี้ ทางวารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียม ในกรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจากค่าธรรมเนียมได้นำไปเป็นค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว</p> <p> อนึ่ง ในกรณีบทความใด ถูกปฏิเสธโดยเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณากลั่นกรอง (2 ใน 3) วารสารจะยึดเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการปฏิเสธหรือยุติการดำเนินการตีพิมพ์บทความนั้นทันที ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้ 1) ผู้เขียนยืนยันที่จะตีพิมพ์บทความนั้นอีกครั้ง 2) ผู้เขียนได้ปรับแก้บทความตามผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเสียงข้างมากที่ปฏิเสธการตีพิมพ์นั้นแล้ว และ 3) กองบรรณาธิการเห็นสมควรให้บทความที่ปรับแก้ใหม่นั้นส่งประเมินอีกรอบได้ จากนั้น วารสารจึงจะดำเนินการต่อในขั้นตอนต่อไป โดยผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม (2 ท่าน) ตามที่วารสารกำหนดค่าตอบแทนไว้</p> <p><strong>กำหนดออกเผยเเพร่</strong> </p> <p> ปีละ 3 ฉบับ</p> <p><strong> </strong>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 30 เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 ธันวาคม </p> <p> E-mail: jsbsmcu@gmail.com, Facebook Page: วารสารบัณฑิตเเสงโคมคำ </p> <p> Website: <a href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index">https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index</a></p> <p><strong>© เจ้าของ (Owner)</strong></p> <p>บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา 566 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา 56000</p> th-TH jsbsmcu@gmail.com (พระเมธีวชิรคุณ, รศ.ดร.) jsbsmcu@gmail.com (นายนพดล อินปิง) Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 พระภิกษุกับการบริหารกาย: สอดคล้องหรือขัดแย้งกับพระวินัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/276941 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารกายของพระภิกษุว่า มีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกับพระวินัยหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาด้านสุขภาพของพระภิกษุ มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยปัจจุบัน แต่เป็นปัญหาที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล การเดินจงกรมเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุปฏิบัติเพื่อให้มีอาพาธน้อย หากมองตามรูปแบบนี้การบริหารกายก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดเดียวกัน คือ เพื่อการมีอาพาธน้อย รูปแบบการบริหารกายของพระภิกษุแม้จะไม่ได้มีรูปแบบที่ชัดเจนในพระไตรปิฎก แต่ก็ถูกมองว่า รูปแบบวิถีชีวิตของพระภิกษุนั่นเองเป็นการประยุกต์การบริหารกายไปในตัว คือ การเดินจงกรม การเดินบิณฑบาต การจาริกเพื่อการเผยแผ่ธรรมหรือการปฏิบัติกิจวัตรอื่น ๆ เช่น การทำความสะอาดบริเวณวัดหรือที่อยู่อาศัย แต่รูปแบบเหล่านี้ถูกตั้งคำถามว่า เพียงพอหรือไม่ต่อการดูแลสุขภาพ แต่การที่พระภิกษุจะบริหารกายด้วยรูปแบบที่ต่างไปจากนี้ก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมด้วยเช่นเดียวกัน ตามหลักมหาปเทส 4 การบริหารกายที่มุ่งฟื้นฟูสุขภาพ บำบัดโรคและทำในที่ปกปิดมิดชิด อย่างนี้จัดว่า สอดคล้องกับพระวินัย ส่วนการบริหารกายที่มุ่งความสวยงามของร่างกาย แม้จะทำในที่ปกปิดหรือเปิดเผยก็ตาม อย่างนี้จัดว่า ขัดแย้งกับพระวินัย องค์ความรู้ใหม่ คือ การห้ามมิให้พระภิกษุบริหารกายคงมิใช่ทางออกที่ดี การบริหารกายของพระภิกษุจึงต้องพิจารณาถึงรูปแบบที่เหมาะสมกับความเป็นสมณสารูป ความเหมาะสมด้านสถานที่และความเหมาะสมทางพระวินัยไปพร้อมกัน</p> พระมหาขนบ สหายปญฺโญ, จันทิมา แสงแพร, บุญช่วย ศรีเปรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/276941 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 Thung Sai's Local History and Human Capital on Traditions, Cultures, and Natural Resources Awareness of Thung Sai Municipality Sichon District of Nakhon Si Thammarat Province, Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277842 <p>The research aims to (1) examine the historical development of Thung Sai Sub-district Municipality Sichon District of Nakhon Si Thammarat, Thailand across three main aspects: (a) perceptions related to initial settlement and governance structures prior to the formation of the sub-district municipality; (b) recognition of Wat Suchon and the Ta Pha Khao symbol; and (c) memories surrounding the 100-year-old Hua Tha Market community; (2) develop a local studies curriculum. This qualitative research employs in multiple research mythologies, including document analysis, fieldworks, group discussions, interviews, observations, and participatory action research. The researchers compiled the information from reliable and logical sources and had its content—analyzed based on the objectives and research frameworks. The researchers used the information gained to make local history presentations.</p> <p>The findings revealed that (1) the perception of early settlement and governance reflects that approximately 200 years ago, a group of villagers from Khanom District, Nakhon Si Thammarat Province, and Koh Samui District, Surat Thani Province, arrived to travelled by boat near present-day Bang Por Beach; (2) the recognition of Wat Suchon and Ta Pha Khao coincided with villagers' arrival, as a spiritual symbol, developed in parallel, initially marked by a simple white flag at Bang Por Beach Cave, culminating in 2006 with the construction of a large pavilion housing the Ta Pha Khao statue for community worship; (3) memories of the Hua Tha Market, which emerged around 1937 due to limited boat-only transport to Thung Sai and Sichon, where goods were exchanged at a large port-side market till it was declined due to the highway construction in 1977. As part of the action research, the research team developed resources such as books, a mobile exhibition, and a documentary on Thung Sai’s historical heritage, provided to the community through Wat Suchon and local primary and secondary schools in Thung Sai Sub-district. These activities have contributed to strengthening community citizenship awareness and preserving local traditions, cultures, and resources. The body of knowledge of this participatory research, the researchers applied the body of knowledge of the Thung Sai’s settlement and its administration development, the perception of Suchon Temple and Ta Pha Khao together with a 100-year-old market to make local history presentations.</p> Chanikarn Saikuea, Umaporn Kanjanaklod, Tharinee Jariyapayuklert, Jumpol Nimpanich, Somporn Nuttapon ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277842 Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อการรู้สารสนเทศของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/275576 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 2) เพื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศก่อนกับหลังการใช้ชุดกิจกรรมของนักเรียนกลุ่มทดลอง และ 3) เพื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศหลังการใช้ชุดกิจกรรมของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคต้น ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม 2 ห้องเรียน จำนวน 76 คน ได้มาอย่างเจาะจง และมีการเก็บข้อมูลโดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 2) แบบประเมินการรู้สารสนเทศ แบบมาตรประมาณค่า 3 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.71 3) แบบวัดการรู้สารสนเทศฉบับย่อย แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 12 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.60 และ 4) แบบวัดการรู้สารสนเทศ แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 18 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.73 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานใช้การทดสอบค่าทีของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการรู้สารสนเทศหลังเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=11.00; S.D.=3.22) สูงกว่าก่อนเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=8.95) และค่าเฉลี่ยคะแนนการรู้สารสนเทศของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=11.00) สูงกว่าผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=7.42) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการวิจัยนี้ทำให้ได้องค์ความรู้ของชุดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการรู้สารสนเทศ ซึ่งมีลักษณะที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดคำถาม ความคิดและลงมือเสาะแสวงหาสารสนเทศด้วยตนเองเพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุป อีกทั้งการเพิ่มระดับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนซึ่งสามารถใช้กับนักเรียนประถมศึกษาได้</p> มัลธิดา ศรีประสาท, ฉัตรวรรณ์ ลัญฉวรรธนะกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/275576 Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริม กำกับติดตามเพื่อการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ในการบริหารคุณภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่จัดการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล จังหวัดเชียงราย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/276681 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมและกำกับติดตาม 2) ศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของการส่งเสริมและกำกับติดตาม 3) สร้างและประเมินรูปแบบ การส่งเสริมและกำกับติดตาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง แบบสอบถาม แบบสรุปแนวทาง และแบบประเมินคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจงเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารคุณภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 44 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจงเป็นผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์ในด้านการประเมินคุณภาพภายนอกและเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการส่งเสริมและกำกับติดตาม ได้แก่ (1) หลักการการส่งเสริมและกำกับติดตาม (2) วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมและกำกับติดตาม (3) วิธีการดำเนินงานการส่งเสริมและกำกับติดตาม (4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินผลการส่งเสริมและกำกับติดตาม 2) สภาพที่เป็นจริง ผลโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.02; S.D.=0.65) สำหรับสภาพที่ควรจะเป็น ผลโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.95; S.D.=0.64) 3) รูปแบบการส่งเสริมและกำกับติดตามประกอบด้วย (1) หลักการการส่งเสริมและกำกับติดตาม (2) วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมและกำกับติดตาม (3) วิธีการดำเนินงานการส่งเสริมและกำกับติดตาม (4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินผลการส่งเสริมและกำกับติดตาม โดยรูปแบบมีคุณภาพด้านความถูกต้องและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ องค์ความรู้จากการวิจัยพบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีวิธีการดำเนินงานการส่งเสริมและกำกับติดตามที่เรียกว่า D-A-E-M Quality Model ประกอบด้วย D (Design) การวิเคราะห์และออกแบบกิจกรรม A (Action) การดำเนินกิจกรรมตามแผนพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีการศึกษาทางไกล E (Evaluation) การประเมินผลกิจกรรมในทุกขั้นตอน และ M (Modify) การปรับปรุง แก้ไขและการพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรม</p> วิชชากรณ์ กาศโอสถ, หาญศึก เล็บครุฑ, สุวดี อุปปินใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/276681 Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาร่วมกับปัญญาประดิษฐ์เรื่อง การถ่ายโอนความร้อนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277995 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาร่วมกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเรื่อง การถ่ายโอนความร้อน 2. เพื่อศึกษาผลการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเรื่อง การถ่ายโอนความร้อน เมื่อจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำนวน 34 คน และใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน จำนวน 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน 2) แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ 3) ใบกิจกรรม 4) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาร่วมกับปัญญาประดิษฐ์มี 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นการระบุปัญหาหรือสถานการณ์ ซึ่งเป็นสถานการณ์ปัญหาจริงที่ท้าทาย 2) ขั้นวิเคราะห์สถานการณ์ โดยนักศึกษาร่วมกันระดมสมองวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและกลุ่มเป้าหมายเพื่อสรุปแนวคิดและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะและคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัญหา 3) ขั้นศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อมูลร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ไมโครซอฟต์ คอไพลอต ก่อนนำไปใช้ออกแบบนชิ้นงานแก้ไขปัญหา 4) ขั้นการประยุกต์ นำข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมาออกแบบผลงานร่วมกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ไมโครซอฟต์ คอไพลอต ในการสร้างชิ้นงานตามเงื่อนไข 5) ขั้นนำเสนอผลงาน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการแก้ปัญหากับเพื่อนกลุ่มอื่น 6) ขั้นประเมินและปรับปรุง เพื่อนำข้อเสนอแนะไปแก้ไขปรับปรุงชิ้นงานให้ดีขึ้น และ 2. ผลการจัดการเรียนรู้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมจากขั้นพื้นฐานเป็นขั้นชำนาญและขั้นสูงได้ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ สถานการณ์ปัญหาต้องสอดคล้องกับบริบทชีวิตจริงที่ท้าทายและชัดเจน โดยคำนึงถึงความรู้หรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เน้นการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันของผู้เรียน ซึ่งปัญญาประดิษฐ์ไมโครซอฟต์ คอไพลอต ได้เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูลและช่วยจุดประกายความคิดการออกแบบและสร้างชิ้นงาน โดยผู้เรียนเป็นผู้วิเคราะห์และเลือกใช้ข้อมูลที่เหมาะสมในการสร้างชิ้นงานเพื่อแก้ไขปัญหาได้ตามเงื่อนไข</p> จิตตานันท์ ประสิทธิ์วิเศษ, สุรีย์พร สว่างเมฆ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277995 Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 นโยบายน้ำแบบรวมศูนย์: ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมในพื้นที่รับน้ำบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277155 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาโครงสร้างและกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่รับน้ำบางบาล และ (2) วิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบรวมศูนย์ที่มีต่อความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมในพื้นที่รับน้ำบางบาล งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารนโยบายและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ เกษตรกร ผู้นำชุมชน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รวมทั้งหมด 31 คน การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการผ่านการวิเคราะห์เนื้อหาตามประเด็นหลัก ได้แก่ นโยบายการบริหารจัดการน้ำ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่รับน้ำบางบาลอยู่ภายใต้การควบคุมของภาครัฐในลักษณะของการรวมศูนย์อำนาจ โดยมีกรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักที่กำหนดนโยบายและจัดสรรทรัพยากรน้ำ การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทจำกัดในกระบวนการตัดสินใจ แม้ว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำ แต่ยังขาดอำนาจต่อรองที่แท้จริง ผลกระทบของนโยบายการบริหารจัดการน้ำแบบรวมศูนย์สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสามมิติ ได้แก่ (1) ความยุติธรรมในการกระจายพบว่า ทรัพยากรน้ำถูกจัดสรรโดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจมากกว่าชุมชนเกษตรกรรม ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงน้ำ (2) ความยุติธรรมในกระบวนการพบว่า กลุ่มชุมชนมีโอกาสจำกัดในการเข้าร่วมกำหนดนโยบายเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ และ (3) ผลกระทบทางสังคมและความขัดแย้งในชุมชนพบว่า การบริหารจัดการน้ำที่ไม่คำนึงถึงบริบทของชุมชนได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเกษตรกร และทำให้ประชาชนขาดความไว้วางใจในนโยบายของรัฐ องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบรวมศูนย์และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกระจายอำนาจเพื่อให้ชุมชนมีบทบาทที่แท้จริงในการจัดสรรและบริหารจัดการน้ำของตนเอง แนวทางการพัฒนานโยบายในอนาคตควรเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง และการพัฒนาโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำที่คำนึงถึงความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น</p> ลดาวัลย์ ไข่คำ, เทียนชัย สุริมาศ, อาทิตย์ ภูบุญคง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277155 Fri, 22 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/278575 <p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยอาศัยวิธีการวิจัยแบบผสมวิธี แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาทักษะอาชีพ และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 237 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และระยะที่ 3 ตรวจสอบรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการศึกษาเพื่ออาชีพ จำนวน 10 คน โดยใช้แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นพัฒนาองค์ประกอบทักษะอาชีพของนักเรียนด้วยดัชนีความจำเป็นต้องการพบว่า มีลำดับความต้องการจำเป็น คือ ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการจัดการ ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะความยืดหยุ่นและการปรับตัว และทักษะการสื่อสารและความสัมพันธ์ ขั้นตอนการดำเนินการพัฒนาทักษะอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐานพบว่า มีลำดับความต้องการจำเป็น คือ การศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนา การสะท้อนผลและการประเมินผล การดำเนินการ การปรับปรุงแก้ไขและการวางแผน 2) ผลการพัฒนาและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานพบว่า รูปแบบการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษามีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ หลักการ วัตถุประสงค์ องค์ประกอบของทักษะอาชีพ ขั้นตอนการดำเนินการพัฒนาทักษะอาชีพและเงื่อนไขความสำเร็จ และรูปแบบมีความถูกต้อง มีความเหมาะสม มีความเป็นประโยชน์และมีความเป็นไปได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ สรุปองค์ความรู้ที่ได้ คือ การได้รูปแบบการพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ หลักการ วัตถุประสงค์ องค์ประกอบของทักษะอาชีพ ขั้นตอนการดำเนินการและเงื่อนไขความสำเร็จ</p> กฤชภร สุวรรณวิหค, ชูศักดิ์ เอกเพชร, วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/278575 Sat, 23 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ย่านชุมชนเก่าพิจิตร เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่ โดยการขับเคลื่อนของเยาวชนแกนนำนักสืบน้อยย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองพิจิตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277596 <p>การวิจัยนี้มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่โดยการขับเคลื่อนของเยาวชนแกนนำรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและปลูกฝังจิตสำนึกรักบ้านเกิดอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ย่านชุมชนเก่าพิจิตรเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่ โดยการขับเคลื่อนของเยาวชนแกนนำนักสืบน้อยย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองพิจิตร กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้ร่วมภาคีเครือข่ายการวิจัย จำนวน 140 คน โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสังเกตการณ์ 2) แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม 3) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ 4) รูปแบบการเรียนรู้ 5) แบบประเมินภาวะชนบทอย่างเร่งด่วน วิเคราะห์ข้อมูลและตีความข้อมูลโดยการวิเคราะห์และอภิปรายร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปตีความและตรวจสอบความถูกต้องตรงประเด็นของผลการวิจัยและคืนข้อมูลสู่ชุมชน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการสร้างรูปแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ย่านชุมชนเก่าพิจิตรเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่ โดยการขับเคลื่อนของเยาวชนแกนนำเมืองพิจิตรพบว่า มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) ปรัชญา หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎี 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้และขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) การวัดและประเมินผล และ 5) สิ่งแวดล้อมสนับสนุนการเรียนรู้ 2. ผลการสังเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ย่านชุมชนเก่าพิจิตรเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่ โดยการขับเคลื่อนของเยาวชนแกนนำนักสืบน้อยย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองพิจิตรพบว่า รูปแบบการเรียนรู้ PAR YOUNG YUEN Learning Model (พายั่งยืน) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวมิติใหม่ ซึ่งได้รับผลการรับรองรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิวิพากษ์ตรวจสอบประเมินให้ข้อเสนอแนะและนำมาปรับปรุง สามารถดำเนินการใน 3 ระบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยเน้นเยาวชนแกนนำในการขับเคลื่อน ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงด้านบุคคล การเปลี่ยนแปลงด้านชุมชน และการเปลี่ยนแปลงด้านการท่องเที่ยว อันเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเยาวชนจะได้รับความรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อไปเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และกระตุ้นบทบาทของชุมชนเป็นเจ้าของและมีความรู้สึกภูมิใจในแหล่งท่องเที่ยวของตนเอง</p> ชุติมา มั่นเหมาะ, อัจฉรา ศรีพันธ์, วศิน ปัญญาวุธตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277596 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/279125 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา และ 3) เพื่อตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี แบ่งเป็น 3 ระยะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในระยะที่ 1 คือ ผู้บริหารสถานศึกษา 108 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ผู้ให้ข้อมูลระยะที่ 2 คือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบริหารการศึกษา 9 คน ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ ผู้ให้ข้อมูลระยะที่ 3 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่ได้รับรางวัลด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 12 คน ซึ่งผู้วิจัยได้จัดการสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา มีความต้องการจำเป็นจากมากที่สุดและลดลงตามลำดับ โดยเริ่มจากการสร้างบารมี การมุ่งความสัมพันธ์รายบุคคล การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจและการสร้างวิสัยทัศน์ และความต้องการเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา มีความต้องการจำเป็นจากมากที่สุดและลดลงตามลำดับ โดยเริ่มจากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง การมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ การมุ่งเน้นที่บุคลากร การมุ่งเน้นผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ 2) ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา จากการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญพบว่า ร่างรูปแบบและร่างคู่มือการใช้รูปแบบมีความถูกต้องและเหมาะสม และ 3) ผลการตรวจสอบรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบ จากการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิพบว่า มีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในเรื่องดังกล่าว สำหรับองค์ความรู้ที่ได้ คือ รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ หลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงของสถานศึกษา วิธีการดำเนินการพัฒนาและปัจจัยสู่ความสำเร็จ</p> ธิดารัตน์ ประจักษ์, ชนิกานต์ ใสยเกื้อ, วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/279125 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมทักษะอาชีพของเยาวชนผู้บกพร่องทางสติปัญญา บ้านเปียงหลวง ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/275012 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบททักษะในการเรียนรู้และการประกอบอาชีพของเยาวชนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) เพื่อส่งเสริมทักษะการประกอบอาชีพของเยาวชนผู้บกพร่องทางสติปัญญา โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่บ้านเปียงหลวง ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการเสริมสร้างเครือข่ายการประกอบอาชีพของเยาวชนผู้บกพร่องทางสติปัญญา เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการศึกษาเอกสาร เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแนวทางการสนทนากลุ่มย่อย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ เยาวชนผู้บกพร่องทางสติปัญญา ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่บ้าน ครูผู้สอน เจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 25 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การโยกย้ายถิ่นฐานในชุมชนบ้านเปียงหลวงสร้างความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่เกิดปัญหาสถานะบุคคลและเอกสาร ส่งผลต่อสิทธิพื้นฐานและคุณภาพชีวิต การพัฒนาทักษะอาชีพและการสนับสนุนจากครอบครัว-ชุมชน เน้นทักษะสื่อสารและสังคม ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล เพื่อส่งเสริมความสำเร็จระยะยาว 2) โครงการทำกระดุมเสื้อไทยใหญ่และไม้กวาดดอกหญ้า ช่วยพัฒนาในด้านทักษะอาชีพและความมั่นใจ การยอมรับจากครอบครัวและชุมชน ทำให้เด็กพิเศษมีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองในอนาคต โดยความร่วมมือระหว่างครอบครัว ผู้นำชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น และองค์กรภาคเอกชน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะและโอกาสในการประกอบอาชีพ 3) การเสริมสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาอาชีพ การเข้าถึงโอกาสในการฝึกอบรมทักษะ และการจ้างงาน ซึ่งส่งเสริมให้พวกเขามีชีวิตที่มั่นคงและพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต องค์ความรู้จากการวิจัย คือ เยาวชนผู้บกพร่องทางสติปัญญาในบ้านเปียงหลวงประสบปัญหาการเข้าถึงสิทธิพื้นฐาน ด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานะบุคคลและทรัพยากร การส่งเสริมทักษะอาชีพที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของเยาวชนเหล่านี้ จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากครอบครัว ชุมชน หน่วยงานรัฐ องค์กรเอกชน และเครือข่ายสนับสนุน เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ สร้างโอกาสการทำงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในสังคม</p> พรพรรณ -, พระครูสิริบรมธาตุพิทักษ์, ทิพาภรณ์ เยสุวรรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/275012 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำตามหลักพุทธธรรมของนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อพัฒนาการบริหารงานของเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277793 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นในการบริหารงานของเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อภาวะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นในการบริหารงานของเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว 3) นำเสนอภาวะผู้นำตามหลักพุทธธรรมของนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อพัฒนาการบริหารงานของเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี การวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 381 คน โดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน คือ การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเคราะห์เนื้อหาข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นในการบริหารงานของเทศบาลตำบลบ่อแฮ้วพบว่า ภาพรวมของภาวะผู้นำ 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.94; S.D.=0.49) 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนพบว่า ประชาชนที่มีสถานภาพและระดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นโดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย ส่วนประชาชนที่มีเพศ อายุ อาชีพและรายได้ต่างกันมีความคิดเห็นโดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย 3. ภาวะผู้นำตามหลักพุทธธรรมของนักการเมืองท้องถิ่นพบว่า 1) ด้านจักขุมา ผู้นำควรมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนและกำหนดนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน 2) ด้านวิธูโร ผู้นำควรมีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความรู้เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการบริหารงบประมาณเพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพ 3) ด้านนิสสยสัมปันโน ผู้นำควรมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รับฟังเข้าใจปัญหาของประชาชน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ มีความจริงใจและความอดทน องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ผู้นำที่ดีควรประกอบด้วย 1) มีอุดมการณ์ในการบริหารงานที่โปร่งใส 2) ใส่ใจความแตกต่าง 3) เป็นแบบอย่างที่ดีมีคุณธรรม และ 4) ส่งเสริมการศึกษาและการมีส่วนร่วม บนพื้นฐานของหลัก<br />ปาปณิกธรรม</p> พระมงคล สุนฺทรเมธี, ยุทธนา ปราณีต, ศิลาวัฒน์ ชัยวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277793 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดลำปาง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277848 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนฯ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนฯ 3) เพื่อนำเสนอพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ในการวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 397 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.26; S.D.=0.23) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความคิดเห็นมากที่สุด คือ ด้านการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.28; S.D.=0.36) ด้านที่น้อยที่สุด คือ ด้านการลงคะแนนเลือกตั้ง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.24; S.D.=0.38) ทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมฯ พบว่า ประชาชนที่มีเพศ อายุ การศึกษา อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดลำปาง โดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย 3. พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมฯ พบว่า 1) ด้านฉันทาคติ ประชาชนใช้หลักธรรมในการป้องกันอคติ เช่น หลักสังคหวัตถุ 4 เลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีนโยบายที่ดี 2) ด้านโทสาคติ ประชาชนได้ละเว้นความขัดแย้งและยอมรับความเห็นต่าง 3) ด้านโมหาคติ ประชาชนได้พิจารณาเลือกตั้งอย่างมีเหตุผล สนับสนุนผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย 4) ด้านภยาคติ ประชาชนยอมรับหลักประชาธิปไตย กล้าตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติแนวทางพัฒนาจังหวัดลำปาง องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย คือ พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งประกอบ 3 ขั้นตอน คือ (1) ด้านการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้งในฐานะพลเมือง (2) ด้านการลงคะแนนเลือกตั้ง ควรลงคะแนนเลือกตั้ง 1 สิทธิ์ 1 เสียง ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง (3) ด้านระยะเวลาการตัดสินใจเลือกตั้ง ควรพิจารณาในช่วง 7 ถึง 15 วันก่อนวันเลือกตั้ง</p> อนุรักษ์ วงค์เขียว, ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์, พระมหาบวรวิทย์ รตนโชโต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/277848 Wed, 27 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/278230 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการงานศพ พัฒนารูปแบบการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ และหาแนวทางส่งเสริมรูปแบบการจัดงานศพเชิงสร้างสรรค์ ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 30 คน ได้แก่ ผู้มีความเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีศพ 18 คน ครอบครัวผู้ตาย /ผู้มาร่วมงาน 9 คน และนักวิชาการ 3 คน ใช้แบบสัมภาษณ์และแนวคำถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยสัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการงานศพในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ด้านความเชื่อได้มีการทำบุญอุทิศเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ปัจจุบันต่างเพียงเล็กน้อย ด้านการดำเนินงานได้จัดงานที่บ้านด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเลือกจัดในสถานที่ที่เป็นสัปปายะ ด้านผู้ที่เกี่ยวข้องยังคงมีการช่วยเหลือกัน ปัจจุบันเน้นการจัดจ้าง ด้านสถานที่วัสดุอุปกรณ์ได้มีการจัดงานที่บ้านของตนเอง จึงยืมอุปกรณ์จากวัดและหมู่บ้าน ปัจจุบันเน้นจัดงานในวัดซึ่งมีอุปกรณ์พร้อมกว่า และด้านงบประมาณมีการจ้างเหมาแทนการช่วยกัน 2) การพัฒนารูปแบบการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงใหม่ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดงานศพ ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์โดยใช้หลักความคิดสร้างสรรค์ หลักบริหารจัดการ และหลักการมีส่วนร่วม ขั้นตอนที่ 3 การปฏิบัติการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลการจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ 3) การส่งเสริมรูปแบบการจัดงานศพเชิงสร้างสรรค์ ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ ทำคู่มือการจัดงานศพเชิงสร้างสรรค์ ทำคลิปวิดีโอการจัดงานศพเชิงสร้างสรรค์ และจัดทำชุดนิทรรศการจัดงานศพเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเผยแพร่การจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์ องค์ความรู้จากการวิจัยพบว่า การจัดการงานศพเชิงสร้างสรรค์เป็นการปรับแนวคิดและรูปแบบการจัดการงานศพให้มีความเรียบง่าย ลดขั้นตอน ประหยัดค่าใช้จ่าย</p> พระกฤตชญา ธีรปญฺโญ, สหัทยา วิเศษ, ทิพาภรณ์ เยสุวรรณ์, พิพัฒน์พงศ์ มาศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/278230 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700