วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> วารสารบัณฑิตแสงโคมคำเป็นวารสารวิชาการ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการ การศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความต่าง ๆ ในสาขาวิชาที่วิทยาเขตพะเยาได้เปิดสอน คือ (1) พระพุทธศาสนาเเละปรัชญา (2) การสอนสังคมศึกษา (3) การสอนภาษาไทย เเละ (4) รัฐศาสตร์ 2) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้พระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ตลอดถึงการบูรณาการสหวิทยาการต่าง ๆ ของคณาจารย์ บุคลากร นิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานอื่น อันเป็นการบริการวิชาการแก่สังคม 3) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา และสร้างความร่วมมือในการบูรณาการการเรียนการสอนกับการเผยแพร่ผลงาน องค์ความรู้ของคณาจารย์ บุคลากรและนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (ราย 4 เดือน)</p> <p> ทั้งนี้ ต้องเป็นบทความที่ไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นในบทความวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ</p> <p> ในกรณีกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองบทความมีความเห็นว่า ควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นหลัก และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตีพิมพ์ในกรณีที่บทความไม่ตรงกับวัตถุประสงค์และรูปแบบของวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ หากบทความใดได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิโดยเสียงข้างมากให้ตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับหนังสือรับรองการตีพิมพ์จากวารสาร (เฉพาะผู้เเจ้งความประสงค์เท่านั้น)</p> <p><strong>อัตราค่าตีพิมพ์บทความ </strong></p> <p> กำหนดค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ บทความละ 6,000 บาท</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong></p> <p> หลังจากผู้เขียนส่งบทความต้นฉบับและกรอกแบบฟอร์มเสนอผลงานเพื่อตีพิมพ์ (ใบสมัคร) เข้าระบบวารสารออนไลน์แล้ว กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้เขียนชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ จำนวน 6,000 บาท/บทความ ตามรายละเอียด ดังนี้ </p> <p> <strong>ชื่อธนาคาร: ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยพะเยา</strong></p> <p><strong> ชื่อบัญชี: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ มจร.พะเยา</strong></p> <p><strong> บัญชีเลขที่: 020320117631</strong></p> <p> จากนั้น ให้ผู้เขียนแจ้งผลการโอนพร้อมหลักฐานการโอน โดยระบุชื่อผู้โอนและชื่อบทความ มาที่ Email: <a href="mailto:jsbsmcu@gmail.com">jsbsmcu@gmail.com</a> (หากประสงค์จะให้ออกใบเสร็จในนามหน่วยงานหรือองค์กรใด กรุณาระบุให้ชัดเจน)</p> <p> ***ทั้งนี้ ทางวารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียม ในกรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจากค่าธรรมเนียมได้นำไปเป็นค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว</p> <p> อนึ่ง ในกรณีบทความใด ถูกปฏิเสธโดยเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณากลั่นกรอง (2 ใน 3) วารสารจะยึดเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการปฏิเสธหรือยุติการดำเนินการตีพิมพ์บทความนั้นทันที ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้ 1) ผู้เขียนยืนยันที่จะตีพิมพ์บทความนั้นอีกครั้ง 2) ผู้เขียนได้ปรับแก้บทความตามผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเสียงข้างมากที่ปฏิเสธการตีพิมพ์นั้นแล้ว และ 3) กองบรรณาธิการเห็นสมควรให้บทความที่ปรับแก้ใหม่นั้นส่งประเมินอีกรอบได้ จากนั้น วารสารจึงจะดำเนินการต่อในขั้นตอนต่อไป โดยผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม (2 ท่าน) ตามที่วารสารกำหนดค่าตอบแทนไว้</p> <p><strong>กำหนดออกเผยเเพร่</strong> </p> <p> ปีละ 3 ฉบับ</p> <p><strong> </strong>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 30 เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 ธันวาคม </p> <p> E-mail: jsbsmcu@gmail.com, Facebook Page: วารสารบัณฑิตเเสงโคมคำ </p> <p> Website: <a href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index">https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index</a></p> <p><strong>© เจ้าของ (Owner)</strong></p> <p>บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา 566 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา 56000</p> th-TH jsbsmcu@gmail.com (พระเมธีวชิรคุณ, รศ.ดร.) jsbsmcu@gmail.com (นายนพดล อินปิง) Tue, 21 May 2024 15:00:39 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีโฟนิกส์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลลำปาง (เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/259187 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์โดยวิธีโฟนิกส์ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านคำศัพท์ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีโฟนิกส์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลลำปาง (เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนอนุบาลลำปาง (เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 40 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 7 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์โดยวิธีโฟนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 คนอยู่ในระดับเหมาะสมมากถึงมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.09-4.58 และมีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับ 40.35/64.50 มีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีโฟนิกส์ คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย 8.08 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่า 12.09 และหลังเรียนค่าเฉลี่ย 12.90 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่า 3.09 ซึ่งคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การเรียนด้วยวิธีโฟนิกส์ช่วยให้ผู้เรียนออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและเสริมทักษะการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าการเรียนโฟนิกส์จะช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำ แต่ผู้เรียนสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไป</p> ชญานิศ เนียมสุวรรณ, อนงค์ศิริ วิชาลัย, วารุณี โพธาสินธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/259187 Tue, 21 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262871 <p>การวิจัยกึ่งทดลองเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติ และเปรียบเทียบความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติ มีตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ฝ่ายมัธยมศึกษา) จำนวน 36 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติ แบบวัดความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรม แบบสะท้อนคิด และแบบสัมภาษณ์ความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนด้วยการทดสอบทีแบบประชากรสองกลุ่มไม่เป็นอิสระต่อกัน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติ นักเรียนมีความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.07; S.D.=0.49) แต่ผลการเปรียบเทียบความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติพบว่า ค่าเฉลี่ยไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 การวิจัยครั้งนี้ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานร่วมกับบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่สำคัญ 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ขั้นกระตุ้นความสนใจ ขั้นจัดกลุ่มร่วมมือ ขั้นแสวงหาความรู้ ขั้นสรุปสิ่งที่เรียนรู้ และขั้นนำเสนอผลงานและประเมินผล</p> นิลุบล เกตุแก้ว, วิมลมณี นิลมณี, จุฑา ธรรมชาติ, บุษบรรณ เชิดเกียรติสกุล Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262871 Mon, 03 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้สูงอายุ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/265926 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น (2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ (3) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้สูงอายุ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 32 คน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแนวทางการสนทนากลุ่ม จากนั้น วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนกลุ่มตัวอย่างมี 300 คน สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณด้วยการใช้แบบสอบถามร่วมกัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ในอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงรายมีปัญหาในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้สูงอายุ โดยหน่วยงานภาครัฐไม่ให้ความสำคัญและขาดการจัดเก็บและเผยแพร่ความรู้ภูมิปัญญาที่เป็นระบบ ทำให้การถ่ายทอด และการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นใหม่มีจำนวนน้อยลง (2) องค์ประกอบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้สูงอายุ ประกอบด้วยการสำรวจความรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ และ (3) รูปแบบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้สูงอายุ ประกอบด้วยบริบทภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำเภอเวียงชัย ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต ผลลัพธ์ และประโยชน์ที่จะได้รับ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นผู้สูงอายุต้องปรับปรุง โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีและการจัดเก็บความรู้ท้องถิ่นให้ทันสมัยเพื่อสืบสานและพัฒนาความรู้ในชุมชน รวมถึงการสนับสนุนผู้สูงอายุในการแบ่งปันความรู้แก่คนรุ่นใหม่</p> วราดวง สมณาศักดิ์, จุมพล หนิมพานิช, ภัทรีพันธุ์ พันธุ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/265926 Mon, 10 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดฝึกสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261428 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ขึ้นไป และ (2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การพัฒนาทักษะด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟังและการพูดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ จำนวน 8 ชุด คือ 1. My Body 2. My Classroom 3. My Place 4. My Family 5. My Favorite Hobby 6. My Favorite Food 7. My Favorite Fruit 8. My Favorite Sport (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการฟังและการพูด จำนวน 30 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ค่าประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 82.66/87.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน .05 องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การใช้ชุดฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ ใช้เทคนิคการเรียนร่วมโดยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่เน้นพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ และเน้นความเข้าใจในการฟัง เช่น ประโยคคำสั่งแบบสั้น คำศัพท์หรือวลี และมีความสนุกสนาน เพลิดเพลินในการเรียนรู้และนำมาซึ่งการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร </p> รัชกร สุดสงวน, ชนินทร์ ยาระนะ, วารุณี โพธาสินธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261428 Sat, 15 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลด้วยกระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263587 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลด้วยกระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 4 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มเป้าหมายได้จากการเลือกแบบเจาะจงจำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการจัดประชุมกลุ่มย่อยของผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาครูมืออาชีพมี 7 ด้าน ได้แก่ (1) ความเป็นครู (2) จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครู (3) ความสามารถด้านวิชาการ (4) คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล (5) การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี (6) ความมีประสิทธิภาพและความมีประสิทธิผล (7) นักวิจัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=3.19; S.D.=0.88) ส่วนปัญหาการพัฒนาครูมืออาชีพโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.11; S.D.=0.70) 2) การพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลโดยได้รูปแบบ POSES TEACHER ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ (1) P: Principle (หลักการ) (2) O: Objective (วัตถุประสงค์) (3) S: System (ระบบกลไกการพัฒนารูปแบบ) ได้แก่ 3.1 T: Teacher (ความเป็นครู) 3.2 E: Ethics (จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ) 3.3 A: Academic (ความสามารถด้านวิชาการ) 3.4 C: Computer &amp; Digital Technology (คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล) 3.5 H: Human Relationship (การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี) 3.6 E: Efficiency &amp; Effectiveness (ความมีประสิทธิภาพและความมีประสิทธิผล) 3.7 R: Researcher (การเป็นนักวิจัย) (4) E: Evaluation (การวัดและประเมินผล) (5) S: Success (เงื่อนไขความสำเร็จ) องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ได้รูปแบบการพัฒนาครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลที่เรียกว่า POSES TEACHER</p> สุชาดา เมฆพัฒน์, ถนัด บุญชัย, ภูเบศ พวงแก้ว, ศิริมาศ โกศัลย์พิพ้ฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263587 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถการปักซาชิโกะโดยใช้สะดึงสำหรับนักเรียนหูหนวกตาบอด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263783 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถการปักซาชิโกะโดยใช้สะดึงสำหรับนักเรียนหูหนวกตาบอด เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา กรณีศึกษาเป็นนักเรียนหูหนวกตาบอดระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) สะดึง 5 รูปแบบ ได้แก่ สะดึงวงกลม สะดึงวงรี สะดึงสามเหลี่ยม สะดึงสี่เหลี่ยมและสะดึงหกเหลี่ยม 2) แผนการสอนเฉพาะบุคคล จำนวน 5 แผน 3) แบบประเมินความสามารถการปักซาชิโกะโดยใช้สะดึง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาความสามารถการปักซาชิโกะโดยใช้สะดึงรูปแบบต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่ระหว่างร้อยละ 5.55-11.11 รูปแบบสะดึงที่พัฒนาความสามารถนักเรียนหูหนวกตาบอดปักซาชิโกะได้ดีที่สุด คือ สะดึงวงกลมและสะดึงวงรี ส่วนสะดึงสามเหลี่ยม สะดึงสี่เหลี่ยมและสะดึงหกเหลี่ยมมีมุมและด้านเข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่สะดวกในการปัก ผู้วิจัยจึงช่วยเหลือโดยการให้สัมผัสตัวอย่างของการปักซาชิโกะเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสัมผัสเตือนและนำทางอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะการปักที่ต้องเลี้ยวตามมุมของสะดึงจึงสามารถทำได้ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ 1. การพัฒนาความสามารถการปักซาชิโกะโดยใช้สะดึงด้วยการสัมผัสมือแบบมือใต้มือ ทำให้ผู้เรียนรับรู้สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวมือของผู้ช่วยเหลือและผู้เรียนรู้สึกสบายใจและควบคุมการปักได้ 2. การเลือกและปรับอุปกรณ์สำหรับปักซาชิโกะให้เหมาะกับสภาพของผู้เรียนเป็นอุปกรณ์ช่วยในการกำหนดทิศทางการปักซาชิโกะสำหรับนักเรียนพิการหูหนวกตาบอดได้จริง</p> ราตรี มีชัย, รัชนีกร ทองสุขดี, สร้อยสุดา วิทยากร, พิกุล เลียวสิริพงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263783 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700