วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> วารสารบัณฑิตแสงโคมคำเป็นวารสารวิชาการ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการ การศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความต่าง ๆ ในสาขาวิชาที่วิทยาเขตพะเยาได้เปิดสอน คือ (1) พระพุทธศาสนาเเละปรัชญา (2) การสอนสังคมศึกษา (3) การสอนภาษาไทย เเละ (4) รัฐศาสตร์ 2) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้พระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ตลอดถึงการบูรณาการสหวิทยาการต่าง ๆ ของคณาจารย์ บุคลากร นิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานอื่น อันเป็นการบริการวิชาการแก่สังคม 3) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา และสร้างความร่วมมือในการบูรณาการการเรียนการสอนกับการเผยแพร่ผลงาน องค์ความรู้ของคณาจารย์ บุคลากรและนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> <p> ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิแบบ Double-blind อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยรับพิจารณาต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย กำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (ราย 4 เดือน)</p> <p> ทั้งนี้ ต้องเป็นบทความที่ไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นในบทความวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ</p> <p> ในกรณีกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองบทความมีความเห็นว่า ควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นหลัก และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตีพิมพ์ในกรณีที่บทความไม่ตรงกับวัตถุประสงค์และรูปแบบของวารสารบัณฑิตแสงโคมคำ หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ หากบทความใดได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิโดยเสียงข้างมากให้ตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับหนังสือรับรองการตีพิมพ์จากวารสาร (เฉพาะผู้เเจ้งความประสงค์เท่านั้น)</p> <p><strong>อัตราค่าตีพิมพ์บทความ </strong></p> <p> กำหนดค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ บทความละ 6,000 บาท</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong></p> <p> หลังจากผู้เขียนส่งบทความต้นฉบับและกรอกแบบฟอร์มเสนอผลงานเพื่อตีพิมพ์ (ใบสมัคร) เข้าระบบวารสารออนไลน์แล้ว กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้เขียนชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ จำนวน 6,000 บาท/บทความ ตามรายละเอียด ดังนี้ </p> <p> <strong>ชื่อธนาคาร: ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยพะเยา</strong></p> <p><strong> ชื่อบัญชี: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ มจร.พะเยา</strong></p> <p><strong> บัญชีเลขที่: 020320117631</strong></p> <p> จากนั้น ให้ผู้เขียนแจ้งผลการโอนพร้อมหลักฐานการโอน โดยระบุชื่อผู้โอนและชื่อบทความ มาที่ Email: <a href="mailto:[email protected]">[email protected]</a> (หากประสงค์จะให้ออกใบเสร็จในนามหน่วยงานหรือองค์กรใด กรุณาระบุให้ชัดเจน)</p> <p> ***ทั้งนี้ ทางวารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียม ในกรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจากค่าธรรมเนียมได้นำไปเป็นค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว</p> <p> อนึ่ง ในกรณีบทความใด ถูกปฏิเสธโดยเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณากลั่นกรอง (2 ใน 3) วารสารจะยึดเสียงข้างมากของผู้ทรงคุณวุฒิในการปฏิเสธหรือยุติการดำเนินการตีพิมพ์บทความนั้นทันที ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้ 1) ผู้เขียนยืนยันที่จะตีพิมพ์บทความนั้นอีกครั้ง 2) ผู้เขียนได้ปรับแก้บทความตามผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเสียงข้างมากที่ปฏิเสธการตีพิมพ์นั้นแล้ว และ 3) กองบรรณาธิการเห็นสมควรให้บทความที่ปรับแก้ใหม่นั้นส่งประเมินอีกรอบได้ จากนั้น วารสารจึงจะดำเนินการต่อในขั้นตอนต่อไป โดยผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม (2 ท่าน) ตามที่วารสารกำหนดค่าตอบแทนไว้</p> <p><strong>กำหนดออกเผยเเพร่</strong> </p> <p> ปีละ 3 ฉบับ</p> <p><strong> </strong>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 30 เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม เผยแพร่ออนไลน์ไม่เกิน 31 ธันวาคม </p> <p> E-mail: [email protected], Facebook Page: วารสารบัณฑิตเเสงโคมคำ </p> <p> Website: <a href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index">https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/index</a></p> <p><strong>© เจ้าของ (Owner)</strong></p> <p>บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา 566 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา 56000</p> th-TH [email protected] (พระเมธีวชิรคุณ, รศ.ดร.) [email protected] (นายนพดล อินปิง) Sun, 14 Jan 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจ้างงานผู้สูงอายุผ่านมุมมองความเป็นธรรมทางสังคม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266241 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการจ้างงานผู้สูงอายุผ่านมุมมองความเป็นธรรมทางสังคมจากสามนักคิด ประกอบด้วยมุมมองความสามารถของอมาตยา เซน แนวคิดเสรีนิยมของเฟรดริค เอ ฮาเย็ค และแนวคิดเสรีนิยมของโรเบิร์ต โนซิค ทั้งนี้ เพื่อต้องการวิเคราะห์ให้เห็นประเด็น ดังนี้ 1) การทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้สูงอายุในยุคปัจจุบัน 2) ความเป็นธรรมในมุมมองแนวคิดความสามารถของอมาตยา เซน ซึ่งมุ่งเน้นความสามารถของมนุษย์ที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามปรารถนาและใช้โอกาสที่ตนเองมีอยู่ 3) ความเป็นธรรมทางสังคมในมุมมองแนวคิดเสรีนิยมของเฟรดริค เอ ฮาเย็ค ซึ่งมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายหรือการออกกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อเพิ่มโอกาสให้เกิดความเสมอภาคแก่ทุกคน และ 4) ความเป็นธรรมทางสังคมในทัศนะของโรเบิร์ต โนซิค ซึ่งให้ความสำคัญกับความเหมาะสมเพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิและโอกาสอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อเกิดการจ้างงาน เป้าหมายสำคัญ คือ ผลสำเร็จของงาน การนำเสนอบทความเรื่องนี้ทำให้เห็นองค์ความรู้ที่สำคัญ คือ 1) โอกาสเป็นประเด็นสำคัญที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมในการจ้างงานผู้สูงอายุ 2) ศักยภาพการทำงานของผู้สูงอายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้รับโอกาสให้เกิดการจ้างงานทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 3) การทบทวนกฎหมายไม่ให้กีดกันผู้สูงอายุเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างเสรีจะทำให้เกิดความเท่าเทียมและความเสมอภาค และ 4) การเปิดมุมมองใหม่ต่อผู้สูงอายุในยุคปัจจุบันที่ยังมีประโยชน์และสามารถทำงานได้</p> ไพรินทร์ ขัดธิพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266241 Tue, 16 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261355 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐานในรายวิชาภาษาไทย สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทยที่เกี่ยวกับตนเอง พฤติกรรมที่สัมพันธ์กับผู้อื่น และพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับงาน ภาระงานของรายวิชา และ3) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทยก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน แบบวัดพฤติกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยและแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเลขคณิตด้วยการทดสอบค่าที ส่วนแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการจำแนกพฤติกรรมการเรียนตามระดับของเจตคติ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน จำนวน 12 แผน 12 ชั่วโมง มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=3.93; S.D.=0.29) 2) หลังจากจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน ผู้เรียนมีผลคะแนนพฤติกรรมการเรียนจากแบบวัดพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทยมีผลคะแนนพฤติกรรมการเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=39.13; S.D.=2.26) 3) คะแนนพฤติกรรมการเรียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และหลังการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนตามระดับของเจตคติในการเรียนระดับสูงมากกว่าระดับต่ำ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนในรายวิชาภาษาไทย ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นปฏิบัติ ขั้นที่ 2 ขั้นค้นพบ ขั้นที่ 3 ขั้นวิเคราะห์ ขั้นที่ 4 ขั้นนำไปใช้ และขั้นที่ 5 ขั้นสะท้อนคิด</p> นิลุบล เกตุแก้ว, กฤติมา สุวรรณโร, วันทา เจะแหละหมัน Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261355 Sun, 14 Jan 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ ร่วมกับแผนผังความคิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263232 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ด้วยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ ร่วมกับเทคนิคแผนผังความคิด และสอบถามทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ ร่วมกับเทคนิคแผนผังความคิด เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามทัศนคติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีคะแนนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ผลการวิเคราะห์คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนก่อนและหลังเรียนจำแนกตามระดับความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจพบว่า คะแนนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนทุกระดับสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้ เมื่อจำแนกความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการแปลความ ด้านการตีความ และด้านการขยายความพบว่า ค่าผลต่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในแต่ละด้านของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ ร่วมกับแผนผังความคิดช่วยพัฒนาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ และทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ ร่วมกับเทคนิคแผนผังความคิด ในภาพรวมมีทัศนคติในเชิงบวก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การจัดการเรียนรู้แบบเอส คิว โฟว์ อาร์ มีขั้นตอนที่ชัดเจน ทำให้นักเรียนทราบเป้าหมายและจุดประสงค์ของการอ่าน โดยมีครูผู้สอนคอยแนะนำ ชี้แนะและตรวจสอบความถูกต้อง รวมถึงอธิบายเพิ่มเติม และการสรุปเนื้อหาในรูปแบบของแผนผังความคิด ทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจและจดจำเนื้อเรื่องได้ดียิ่งขึ้น</p> วราภรณ์ อินจันทร์, รัตนา ยาวิเลิง, เบญจพร เทพสีหนู Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263232 Fri, 09 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีนโดยใช้แบบฝึกอ่านสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โปรแกรมซี อี เอส พี โรงเรียนวชิรวิทย์เชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262958 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมของแบบฝึกอ่านสัทอักษรจีน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โปรแกรมซี อี เอส พี โรงเรียนวชิรวิทย์เชียงใหม่ และ 2) ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรภาษาจีน จากการใช้แบบฝึกอ่านสัทอักษรจีน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โปรแกรมซี อี เอส พี โรงเรียนวชิรวิทย์เชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โปรแกรมซี อี เอส พี โรงเรียนวชิรวิทย์เชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบฝึกอ่านสัทอักษรจีนจำนวน 7 ชุด และแบบทดสอบการอ่านสัทอักษรจีน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) แบบฝึกอ่านสัทอักษรจีนมีความถูกต้องและเหมาะสมในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.8 คะแนน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยแบบฝึกอ่านสัทอักษรจีนมีค่าเท่ากับร้อยละ 86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ ร้อยละ 60 และค่าเฉลี่ยด้านทักษะการอ่านสัทอักษรจีนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 53 และค่าเฉลี่ยการทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 86 นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยคะแนนระหว่างเรียนด้วยแบบฝึกทั้ง 7 ชุดคิดเป็นร้อยละ 85.7 และค่าเฉลี่ยการทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 86.7 องค์ความรู้จากการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาทักษะการอ่านสัทภาษาจีน คือ การฝึกฝนโดยมีครูเป็นผู้สนับสนุน โดยครูควรอธิบายวิธีการออกเสียงต่าง ๆ ในเนื้อหา โดยควรจะเน้นคำที่มีการออกเสียงยากเป็นพิเศษ เพื่อผู้เรียนจะได้เข้าใจง่ายต่อการฝึกฝน การใช้รูปภาพที่สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจในการฝึกฝนนั้น ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้และเข้าใจ และสามารถเรียนรู้วิธีการออกเสียงและเปล่งเสียงออกมา</p> ชมนาด นุ้ยภิรมย์, ชนินทร์ ยาระณะ, วารุณี โพธาสินธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262958 Wed, 21 Feb 2024 00:00:00 +0700 การประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง) โดยใช้รูปแบบการประเมินแบบซิปป์ไอโมเดล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261769 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึ้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง) โดยใช้วิธีการประเมินแบบซิปป์ไอโมเดล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน 178 คน ผู้ปกครอง 18 คน ผู้บริหาร 7 คน อาจารย์ 36 คน และอาจารย์ระดับอุดมศึกษา 15 คน รวมทั้งสิ้น 254 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามจำนวน 4 ชุด แบบสัมภาษณ์ในการสนทนากลุ่มและแบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตรในภาพรวมของนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร อาจารย์และอาจารย์ระดับอุดมศึกษามีค่าระดับความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ผู้บริหารและอาจารย์มีค่าระดับความคิดเห็นมากที่สุดในด้านกระบวนการ อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.37; S.D.=0.60) ส่วนนักเรียนและผู้ปกครองมีค่าระดับความคิดเห็นมากที่สุดในด้านผลกระทบ อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.33; S.D.=0.70) และอาจารย์ระดับอุดมศึกษามีค่าระดับความคิดเห็นมากที่สุดในด้านผลกระทบ อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.53; S.D.=0.50) และ 2) แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรพบว่า นักเรียนและผู้ปกครองได้เสนอแนะการปรับปรุงในด้านบริบท ส่วนอาจารย์และผู้บริหารได้เสนอแนะการปรับปรุงในด้านปัจจัยนำเข้าและด้านกระบวนการ และอาจารย์ระดับอุดมศึกษาได้เสนอแนะการปรับปรุงในด้านผลผลิต องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ซิปป์ไอโมเดลเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรทั้งระบบที่มีการประเมินแบบต่อเนื่อง โดยมีการขยายมิติการประเมินผลกระทบที่เพิ่มขึ้นและครอบคลุมการประเมินด้านผลผลิตเดิม ทำให้ผู้ประเมินทราบระดับความสอดคล้องและเหมาะสมจากข้อมูลผลลัพธ์ของการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังได้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจและนำไปเป็นแนวทางสู่การแก้ไข เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งในหลักสูตร หรือปรับปรุงกระบวนการในขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรได้</p> เกษราภรณ์ สรวลเส, เบญจวรรณ ป้อมแสนศรี, เชรษฐรัฐ กองรัตน์, พรรณพัชนันท์ พิสิทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261769 Wed, 28 Feb 2024 00:00:00 +0700 การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์การบวกและการลบโดยใช้สื่อประสมสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261662 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อประสม ตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 80/80 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้สื่อประสมสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร ปีการศึกษา 2565 จำนวน 8 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยสื่อประสมแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์การบวกและการลบ จำนวน 4 เรื่อง แบบประเมินคุณภาพของสื่อประสม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพสื่อประสมการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์การบวกและการลบ มีค่าเท่ากับ 80.31/81.87 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=32.75) มีค่าสูงกว่าก่อนเรียน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=15.38) องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การสร้างสื่อการเรียนการสอนซึ่งเป็นวีดิทัศน์ที่มีภาษามือและสื่อที่เป็นรูปภาพ สามารถเพิ่มความรู้ความสามารถด้านวิธีการแก้โจทย์ปัญหาได้ นอกจากนี้ การใช้ภาษามือประกอบมีความเหมาะสมกับกลุ่มนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมากกว่าสื่อที่มีเพียงรูปภาพ</p> กฤติกานต์ คำจันทร์แก้ว, วารุณี โพธาสินธุ์, ศรีทัย สุขยศศรี Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/261662 Mon, 04 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อสืบสานการผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้านของเกษตรกร แขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262612 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการสืบสานการผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้านของเกษตรกร และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสืบสานการผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้านของเกษตรกร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยแขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 313 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการวิเคราะห์พหุถดถอย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรมีการสืบสานการผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้านรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=3.60; S.D.=0.31) และปัจจัยที่มีผลต่อสืบสานการผลิตข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีจำนวน 8 ปัจจัย ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด จำนวนรายได้รวมของครัวเรือน จำนวนพื้นที่ดินถือครอง ประสบการณ์ในการปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อย จำนวนครั้งในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตร การเข้าร่วมพิธีกรรมทางประเพณี และทัศนคติที่มีต่อสืบสานการปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อยตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน ซึ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การพบแนวปฏิบัติในด้านประเพณีและความเชื่อ ด้านการเตรียมพื้นที่ ด้านการเพาะปลูก ด้านการดูแลรักษา ด้านการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และด้านการใช้ประโยชน์จากข้าวเหนียวพันธุ์ไก่น้อย</p> พรแก้ว อานุศักดิ์, พุฒิสรรค์ เครือคำ, สายสกุล ฟองมูล, กังสดาล กนกหงส์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/262612 Wed, 13 Mar 2024 00:00:00 +0700 การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเอพีดีทีร่วมกับเกมออนไลน์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและการคิดเป็นระบบของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/264219 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเอพีดีทีร่วมกับเกมออนไลน์ และ 2) ศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและการคิดเป็นระบบการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเอพีดีทีร่วมกับเกมออนไลน์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2/2565 โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ จำนวน 1 ห้องเรียน 26 คน เลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเอพีดีทีร่วมกับเกมออนไลน์ จำนวน 5 ชุด 2) แบบประเมินความสามารถการคิดแก้ปัญหาและประเมินความสามารถการคิดเป็นระบบแบบรูบริคส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและทดสอบสมมติฐานค่าสัดส่วนโดยใช้การทดสอบแซด</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นเป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงหลักการกับสถานการณ์สมมุติเกี่ยวกับการคิดแก้ปัญหาและการคิดเป็นระบบแบบเอพีดีทีร่วมกับเกมออนไลน์ โดยมีองค์ประกอบ คือ ชื่อชุด/หัวข้อกิจกรรม คำชี้แจง จุดประสงค์ กิจกรรม ใบความรู้ ใบกิจกรรม สื่อ แบบตรวจสอบความสามารถ แบบเฉลยใบกิจกรรม กิจกรรมสำรอง และการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลชุดกิจกรรมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.72, S.D.=0.43) 2) ผลการใช้ชุดกิจกรรม ผู้เรียนมีความสามารถแก้ปัญหาจาก 5 สถานการณ์ ได้แก่ (1) การแสดงขั้นตอนการจัดลำดับ (2) การทำซ้ำเพื่อลดขั้นตอน (3) การทำซ้ำแบบซับซ้อนเพื่อลดขั้นตอนกระบวนการย่อยภายใน (4) การตรวจสอบการแก้ไขข้อผิดพลาด และ (5) การแก้ปัญหาแบบเงื่อนไข ซึ่งผู้เรียนมากกว่าร้อยละ 75 สามารถคิดแก้ปัญหาอยู่ในระดับดีขึ้นไป และผู้เรียนมากกว่าร้อยละ 80 สามารถการคิดเป็นระบบแบบเอพีดีทีอยู่ในระดับดีขึ้นไป เมื่อทดสอบค่าสัดส่วนโดยใช้สถิติการทดสอบแซด ผู้เรียนมากกว่าร้อยละ 60 มีความสามารถการคิดแก้ปัญหาและการคิดเป็นระบบในระดับดีขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 องค์ความรู้จากการวิจัย คือ (1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี ผู้สอนและสิ่งสนับสนุน มีความสำคัญและต้องมีความพร้อม (2) วิจัยปฏิบัติการประยุกต์ควบคู่เทคโนโลยี เครื่องมือและดำเนินการวิจัยควรสอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยี (3) การจัดการเรียนรู้ควบคู่กับการวิจัยเป็นการแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลตามเป้าหมายกำหนด</p> จงกล เยาวรัตน์, พิชญ์สินี ชมภูคำ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/264219 Wed, 20 Mar 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนของโรงเรียนบางตะบูนวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263055 <p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนของโรงเรียนบางตะบูนวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี 2) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนของโรงเรียนบางตะบูนวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูโรงเรียนบางตะบูนวิทยาจำนวน 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูน 2) แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูน และ 3) แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจของครูด้านการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูน 7 ขั้นตอน โดยใช้ชื่อว่า S-TABOON และ 2) ผลการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนพบว่า ด้านพัฒนาการความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนสูงขึ้นจากก่อนการพัฒนา โดยภาพรวมร้อยละ 71.58 อยู่ในระดับพัฒนาการสูง และด้านพัฒนาการด้านการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูน ภาพรวมอยู่ในระดับสูง (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=2.83; S.D.=0.34) องค์ความรู้จาการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนบางตะบูนมี 7 ขั้นตอน (S-TABOON) ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการวิเคราะห์สวอต (S) ขั้นที่ 2 การร่วมกันทำงานของครู (T) ขั้นที่ 3 การร่วมวิเคราะห์ตัวชี้วัดการเรียนรู้ (A) ขั้นที่ 4 การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้อย่างสมดุลและยั่งยืน (B) ขั้นที่ 5 คุณภาพของผู้เรียน (O) ขั้นที่ 6 การร่วมกันจัดการองค์กร (O) และขั้นที่ 7 การสร้างเครือข่ายกันในโรงเรียนและการสะท้อนผลการปฏิบัติงานพัฒนาครู (N)</p> ศุภกัญญา แดงเกตุ, เอื้อมพร โตภานุรักษ์กุล, กาญจนา บุญส่ง Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263055 Thu, 28 Mar 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในกลุ่มเยาวชนไทยในจังหวัดนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/264266 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการของวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในประเทศไทย และเพื่อศึกษาอิทธิพลของวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในกลุ่มเยาวชนไทยในจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสโนว์บอล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยรูปแบบการเขียนเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. พัฒนาการของวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในประเทศไทยมี 3 ยุค ยุคแรกมาจากกระแสความนิยมของซีรีส์เกาหลี โดยมีเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสความนิยมที่ทำให้สถานีโทรทัศน์นำซีรีส์เกาหลีเข้ามาฉายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์เกาหลีเป็นยุคที่ 2 ที่ได้รับความนิยม โดยภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือ เรื่องชิริ เด็ดหัวใจยอดจารชน ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องส่งมาตีตลาดในประเทศไทย ยุคที่ 3 เพลงเคป็อป ความนิยมของเพลงเกาหลีในประเทศไทยเริ่มจากวงชินฮวา และตามด้วยการเข้ามาของวงบอยแบนด์และวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีจนถึงปัจจุบัน และ 2. การเข้ามาของกระแสวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในจังหวัดนครสวรรค์ทำให้เกิดกลุ่มแฟนคลับ 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มแฟนคลับซีรีส์เกาหลี (2) กลุ่มแฟนคลับศิลปินเกาหลี และมีการแสดงออกถึงความชื่นชอบโดยการรวมกลุ่มในการทำกิจกรรมและการแสดงออกผ่านสื่อออนไลน์ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การเข้ามาของกระแสวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีในสังคมไทยมีปัจจัยของความเจริญก้าวหน้าของโลกาภิวัตน์และสื่อกับการรับวัฒนธรรมตะวันออกก่อนหน้านี้เป็นฐานรองรับ อีกทั้งกระแสเกาหลีอยู่ในสังคมไทยมาหลายปีทำให้กลุ่มเยาวชนไทยในจังหวัดนครสวรรค์รู้สึกว่า วัฒนธรรมเกาหลีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน</p> อังศุมาลินทร์ คชพงษ์, มนตรี กรรพุมมาลย์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/264266 Tue, 02 Apr 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการสื่อสารเพื่อการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่องรุ่นใหม่จังหวัดเชียงราย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263486 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการสื่อสารเพื่อการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงราย 2. เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารการเกษตรเพื่อการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่องรุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร นักวิชาการ เกษตรกรต้นแบบ เกษตรกรปราดเปรื่องรุ่นใหม่และเกษตรกรรุ่นใหม่ จำนวน 33 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง แบบสนทนากลุ่มและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม จากนั้น นำข้อมูลที่ผ่านการจำแนกมาวิเคราะห์และตีความ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันการสื่อสารประกอบด้วย (1) ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีการสื่อสารแบบทางเดียวและสองทาง (2) สารที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตร (3) ช่องทางการสื่อสาร ได้แก่ สื่อบุคคล สื่อกิจกรรม สื่อเฉพาะกิจและสื่อใหม่ (4) การสื่อสารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้การสื่อสารทุกช่องทางและการสื่อสารแบบกระจายอำนาจ (5) สำหรับเครื่องมือหรือสื่อที่ใช้ในการเรียนรู้แบบนำตนเอง ได้แก่ สื่อบุคคล สถาบันการศึกษา สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ การฝึกอบรม การศึกษาดูงานและการเข้าร่วมแข่งขันนำเสนอโมเดลทางธุรกิจ 2) รูปแบบการสื่อสารการเกษตรประกอบด้วย (1) คุณลักษณะของผู้ส่งสาร คือ ผู้จัดการการเรียนรู้ พี่เลี้ยงและที่ปรึกษา (2) คุณลักษณะของเกษตรกรรุ่นใหม่ คือ พึ่งพาตนเอง เข้าหาโอกาส การบริหารจัดการ เป็นต้นแบบ ใฝ่เรียนรู้ ปรับตัวและปฏิบัติ มีความรับผิดชอบ สานสัมพันธ์เครือข่าย เข้าถึงเทคโนโลยีและภูมิปัญญา และมีความสามารถในการถ่ายทอด (3) กลยุทธ์การสื่อสาร ได้แก่ การใช้กลยุทธ์การสร้างสาร กลยุทธ์การนำเสนอสารและกลยุทธ์การใช้สื่อ องค์ความรู้จากการวิจัยพบว่า รูปแบบการสื่อสารเพื่อพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่องรุ่นใหม่ประกอบด้วยคุณลักษณะและบทบาทของผู้ส่งสารและเกษตรกรรุ่นใหม่ องค์ประกอบการสื่อสาร กลยุทธ์การสื่อสาร การสื่อสารแบบมีส่วนร่วมและเครื่องมือหรือสื่อที่ใช้ในการเรียนรู้แบบนำตนเอง</p> พีรญา รัตนจันท์วงศ์, กิตติมา ชาญวิชัย, อัจฉรา ศรีพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263486 Wed, 10 Apr 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรคั่นกลาง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266575 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความพึงพอใจในงาน และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพื่อศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรคั่นกลาง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง 400 คน โดยสุ่มแบบเจาะจงจากบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลทั่วประเทศ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความคิดเห็นว่า ผู้บริหารในหน่วยงานมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.02; S.D.=0.61) โดยด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ความพึงพอใจในงานอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.00; S.D.=0.60) โดยด้านผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.16; S.D.=0.47) โดยด้านพฤติกรรมคำนึงถึงผู้อื่นมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และ 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความพึงพอใจในงานสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร้อยละ 56.40 (R<sup>2</sup>=0.564) โดยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความพึงพอใจในงานมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความพึงพอใจในงานสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร้อยละ 56.40 ดังนั้น ผู้บริหารจึงควรปรับปรุงตนเองให้มีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะด้านการสร้างแรงบันดาลใจและเสริมสร้างความพึงพอใจในงานให้แก่บุคลากรเพื่อยกระดับให้บุคลากรมีพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การเพิ่มขึ้น</p> สมเดช มุงเมือง Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266575 Sat, 13 Apr 2024 00:00:00 +0700