วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru <p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัย นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในกลุ่มนักวิชาการนักวิจัย และประชาชนผู้สนใจ เผยแพร่ผลงานปีละ 2 ฉบับ คือ มกราคม - มิถุนายน และ กรกฎาคม – ธันวาคม วารสารฯ มุ่งเน้นการเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยเชิงบูรณาการแบบสหวิทยาการที่มีการค้นพบข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบตามหลักระเบียบวิธีวิจัย ทั้งนี้เพื่อให้มีการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการค้นพบนำไปสู่การแก้ไขปัญหา การพัฒนา ชุมชน สังคม หรือใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาเพื่อการตัดสินใจ กำหนดนโยบาย แนวทางการพัฒนาชุมชน สังคม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไป</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและบุคลากรท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> journal.dru@dru.ac.th (Dr.Wirahai Kamthorn) journal.dru@dru.ac.th (Mr.Boonchai Oua-arunkij ) Mon, 16 Jun 2025 10:19:54 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กระบวนการเขียนรายงานทางวิชาการของนักศึกษาหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต แบบบูรณาการแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก และสแกฟโฟล์ดิง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274960 <p>บทความนี้มุ่งศึกษาและแสวงหากระบวนการฝึกการเขียนรายงานทางวิชาการที่มีประสิทธิภาพให้กับนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตตามบริบทการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยนำแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการมาบูรณาการกันคือ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก และแนวคิดวิธีการสแกฟโฟล์ดิง ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนคิดและลงมือกระทำ เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงผ่านทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน สร้างเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน โดยผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกและจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ในการสร้างความรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน รวมทั้งช่วยเหลือ แนะนำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรม ซึ่งการช่วยเหลือสนับสนุนนั้นจะค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งผู้เรียนสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง การช่วยเหลือจึงจะยุติลง ผลการสังเคราะห์ พบว่ากระบวนการฝึกทักษะการเขียนรายงานทางวิชาการของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ร่วมกับแนวคิดวิธีการสแกฟโฟล์ดิง มีกระบวนการ 6 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นออกแบบกิจกรรมอย่างหลากหลาย 3) ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 4) ขั้นลงมือปฏิบัติ 5) ขั้นนำเสนอผลลัพธ์การเรียนรู้ 6) ขั้นประเมินผลร่วมกัน</p> สาวิตรี จิตบรรจง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274960 Thu, 03 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเทคนิคการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ในรายวิชาศึกษาทั่วไป ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/276024 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเทคนิคการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ในรายวิชาศึกษาทั่วไป ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนและหลังการใช้การใช้เทคนิคการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ในรายวิชาศึกษาทั่วไป ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมีขอบเขตของกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 45 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบรายคู่ (Paired t-test) โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บแบบสอบถาม และใช้ชุดกิจกรรมการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ผลการวิเคราะห์สมมติฐานพบว่า การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและการสร้างคุณค่าและนวัตกรรม ซึ่งแสดงว่าค่าเฉลี่ยของข้อมูลก่อนและหลังการทดสอบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับกรณีการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน พบว่า ค่าเฉลี่ยของข้อมูลก่อนการทดสอบเท่ากับ 9.92 และหลังการทดสอบเท่ากับ 14.30 โดยมีค่า t-statistic เท่ากับ -18.015 และ p-value เท่ากับ 0.000 ซึ่งแสดงว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับกรณีการสร้างคุณค่าและนวัตกรรม พบว่าค่าเฉลี่ยของข้อมูลก่อนการทดสอบเท่ากับ 9.92 และหลังการทดสอบเท่ากับ 12.65 โดยมีค่า t-statistic เท่ากับ -9.556 และ p-value เท่ากับ 0.000 ซึ่งแสดงว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ</p> อิศรา ศิรมณีรัตน์, ชลิต เชาว์วิไลย, วีรชาติ ภักดี, อุษณา อารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/276024 Thu, 03 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผู้เรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning): กรณีศึกษาการจัดการแสดง ละครพูดชวนหัวเรื่องล่ามดี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/273148 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านกลวิธีการสร้างอารมณ์ขันและแนวคิดของบทละครพูดชวนหัวเรื่องล่ามดีผ่านการสร้างสรรค์ผลงานการจัดแสดงละครเวที วิธีดำเนินงานวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นก่อนดำเนินโครงงาน ซึ่งเป็นการศึกษาบทละคร บริบทของสังคมไทย และการวิเคราะห์สภาพปัญหาจากการเรียนการสอนแบบบรรยาย 2) ขั้นดำเนินโครงงาน ประกอบด้วยการแนะนำขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกทำหน้าที่ที่สนใจในการสร้างสรรค์ผลงานการแสดงละคร และการดำเนินกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงละคร ที่แบ่งเป็น ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายการแสดง ฝ่ายกำกับเวที ฝ่ายฉาก ฝ่ายแต่งหน้าและเครื่องแต่งกาย ฝ่ายเทคนิคแสงและเสียง และฝ่ายประชาสัมพันธ์ 3) ขั้นถอดบทเรียน ประกอบด้วย การจัดการทดสอบและการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่าการศึกษาบทละครพูดชวนหัวด้วยกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในกลวิธีการสร้างอารมณ์ขันและแนวคิดของเรื่อง มากกว่าการจัดการเรียนการสอนแบบบรรยาย โดยผู้เรียนสามารถตอบคำถามและอธิบายได้อย่างถูกอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับการถอดบทเรียนด้วยกระบวนการสนทนากลุ่ม ที่ผู้เรียนสะท้อนว่าการเรียนรู้ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานการแสดงละครช่วยให้เข้าใจในกลวิธีการสร้างอารมณ์ขันและแนวคิดของบทละครได้อย่างชัดเจน</p> ปวริส มินา, ณัฐภรณ์ สถิตวราทร, มุจรินทร์ อิทธิพงษ์, ธีรพล กลิ่นมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/273148 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน ในอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272910 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (2) เพื่อศึกษาข้อมูลการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (3) เพื่อทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวและประเมินเส้นทางท่องเที่ยว ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบการเปรียบเทียบรายคู่โดยกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น และเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญของการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว ในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ผลการศึกษา พบว่า สภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อาทิ (1) ชุมชนบ้านบางกะอี่ ตำบลบางปลา (2) ตลาดน้ำบางโฉลง ตำบลบางโฉลง (3) ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพปั่นจักรยานชมส่วนเกษตร (ผักกระเฉด) ตำบลหนองปรือ และ (4) ตลาดน้ำโบราณบางพลี อำเภอบางพลี การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว อาทิ (1) การเชื่อมโยงเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ (2) การเสริมเรื่องราวเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวให้เป็นที่น่าสนใจ (3) การออกแบบเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และผลการเลือกแหล่งท่องเที่ยวในการทดสอบและประเมิน ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวชุมชนบ้านบางกะอี่ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี โดยมีค่าน้ำหนักความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.49 และผลการประเมิน ด้านเส้นทางภายในแหล่งท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.47, S.D.=0.91) และด้านเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.18, S.D.=0.84 ) </p> วสุรัตน์ ด้วงสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272910 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาอภิปัญญาโดยใช้บทเรียนแบบข้อความหลายมิติ กำกับตนเองร่วมกับการใช้ข้อมูลป้อนกลับ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/273272 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบอภิปัญญาในองค์ประกอบด้านความรู้เกี่ยวกับการคิดและการควบคุมการคิดก่อนกับหลังการเรียนโดยใช้บทเรียนข้อความหลายมิติ 3 แบบ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการคิดและการควบคุมการคิดหลังการทดลองเมื่อจำแนกตามกลุ่มที่เรียนโดยใช้บทเรียนแบบข้อความหลายมิติ บทเรียนแบบข้อความหลายมิติกำกับตนเอง และบทเรียนแบบข้อความหลายมิติกำกับตนเองและข้อมูลป้อนกลับ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฎ์ จังหวัดราชบุรี จำนวน 4 ห้องเรียน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบยกกลุ่มและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนแบบข้อความหลายมิติ 3 รูปแบบ 2) แบบวัดความตระหนักด้านอภิปัญญา และ 3) แบบสัมภาษณ์ความตระหนักด้าน<br />อภิปัญญา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired Sample <em>t</em>-test, ANCOVA และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการคิดและการควบคุมการคิดหลังการเรียนโดยใช้บทเรียนข้อความหลายมิติ 3 แบบมากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 2) เมื่อจำแนกตามกลุ่มรูปแบบการเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยของความรู้เกี่ยวกับการคิดและการควบคุมการคิดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> </p> ทรงเกียรติ อิงคามระธร, พีร วงศ์อุปราช, กนก พานทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/273272 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเพิ่มความสามารถทางการรู้คิดของผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยด้วยวิธีบําบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275995 <p>วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดสอบผลการใช้วิธีบําบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกลสำหรับเพิ่มความสามารถทางการรู้คิดของผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย การวิจัยเชิงทดลอง แบ่ง 2 ระยะ คือ ระยะพัฒนาวิธีบำบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกล และระยะทดสอบประสิทธิภาพของวิธีบำบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยผู้สูงอายุ 34 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและควบคุมกลุ่มละ 17 คน เครื่องมือใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบประเมินพุทธิปัญญา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงบรรยาย การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ และค่าขนาดอิทธิพล โดยผลการพัฒนาวิธีบำบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกลสำหรับผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย ประกอบด้วย 14 กิจกรรม กิจกรรมละ 45 นาที สัปดาห์ละ 2 กิจกรรม เป็นเวลาต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ วิธีดำเนินการผ่าน Google Meet และ Line ซึ่งผ่านการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่านในระดับสูงมาก โดยพิจารณาจากค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.99 และผลการใช้วิธีบำบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกล พบว่า มีเพียงผู้สูงอายุกลุ่มทดลองเท่านั้นที่มีคะแนนประเมินพุทธิปัญญาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบคะแนนหลังการบำบัดระหว่างสองกลุ่ม ( <em>F</em>(1,32) = 4.72, <em> p</em>= 0.04, <img style="font-size: 0.875rem;" src="blob:https://so02.tci-thaijo.org/a2abe5ad-0cf6-436c-88fa-3e2ef16aa8c1" alt="" width="13" height="17" />= 0.13) สรุปผลการวิจัยวิธีบำบัดกระตุ้นการรู้คิดแบบทางไกลถือว่ามีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้สูงอายุไทย แต่อาจเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับวิธีบำบัดมาตรฐานอื่น ๆ รวมถึงผลระยะยาวเพื่อประโยชน์ต่อผู้สูงอายุต่อไป </p> กัญญากร มาดารัตน์, พีร วงศ์อุปราช, ปรัชญา แก้วแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275995 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเชิงวิเคราะห์ตำรายากระษัยวัดเหนือ จังหวัดกาญจนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275406 <p>การวิจัยเรื่อง การศึกษาเชิงวิเคราะห์ตำรายากระษัยวัดเหนือ จังหวัดกาญจนบุรีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ภูมิปัญญาทางภาษาในด้านอักขรวิธีและกลวิธีการเขียนที่ปรากฏในตำรายากระษัยวัดเหนือ 2) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าด้านพิธีกรรมและความเชื่อที่ปรากฏในตำรายากระษัยวัดเหนือ 3) เพื่อศึกษาชื่อพืชวัตถุ สัตว์วัตถุ และธาตุวัตถุที่ปรากฏในตำรายากระษัยวัดเหนือ 4) เพื่อศึกษาความถี่ในการใช้พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ และธาตุวัตถุที่ปรากฏในตำรายากระษัยวัดเหนือ ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการรวบรวมข้อมูลเอกสาร ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา 1) ด้านภูมิปัญญาทางภาษาอักขรวิธีและกลวิธีการเขียน พบว่าบันทึกด้วยอักษรไทยสมัยรัตนโกสินทร์และอักษรขอมไทย บันทึกคำตามเสียง ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธีปัจจุบันเป็นส่วนมาก มีการใช้ภาษาถิ่นและภาษาบาลีสันสกฤต ด้านกลวิธีการเขียนพบการขึ้นต้นและลงท้ายด้วยใน 7 ลักษณะคือชื่อยา เครื่องยาที่นำมาประกอบ วิธีการปรุงยา อาการของโรค คำที่เป็นมงคล และสรรพคุณของยา 2) ด้านพิธีกรรมพบใน 2 ลักษณะคือพิธีกรรมในการแต่งตำรายาและพิธีกรรมในการปรุงยา 3) ด้านความเชื่อพบใน 3 ลักษณะคือ ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ และความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ 4) ด้านวัตถุที่ใช้ในการปรุงยา พบพืชวัตถุจำนวนทั้งสิ้น 366 ชนิด สัตว์วัตถุ 32 ชนิด และธาตุวัตถุจำนวน 41 ชนิด พืชวัตถุที่หมอยาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ จันทน์ขาวและจันทน์แดง กระเทียม ขิง สัตว์วัตถุที่ใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ ดีงูเหลือม หอยแครง ดีงูเห่า ธาตุวัตถุที่ใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ สารส้ม เกลือและเกลือสินเธาว์ และดินประสิว</p> จตุรงค์ ภิรมยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275406 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษานวัตกรรมของการพัฒนาอีสปอร์ตกับแนวทางการสร้างธุรกิจและสร้างงาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274881 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานวัตกรรมของการพัฒนาอีสปอร์ตกับแนวทางการสร้างธุรกิจและสร้างงาน โดยเน้นปัจจัย การศึกษานวัตกรรมการจัดการอีสปอร์ต แนวทางการสร้างธุรกิจอีสปอร์ต และการสร้างงานให้กับบุคคลที่สนใจในธุรกิจอีสปอร์ต ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสารระหว่างวิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ผู้ประกอบการอีสปอร์ตกับการสร้างธุรกิจและสร้างงานในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับอีสปอร์ต จำนวน 20 กลุ่ม เก็บข้อมูลจากสมาชิกนักธุรกิจ ผู้เกี่ยวของกับกีฬาอีสปอร์ต ผู้วิจัยจะเลือกสัมภาษณ์แบบเชิงลึก ผู้บริหาร สมาคม ชมรม หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาอีสปอร์ต 5 แห่ง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบสัมภาษณเชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรการเติบโตที่รวดเร็วของวงการอีสปอร์ตทำให้ความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทำงานด้านอีสปอร์ตโดยเฉพาะความร่วมมือในครั้งนี้ได้มีการพัฒนานวัตกรรม เพื่อสนับสนุน นักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพ อาชีพนักสร้างสรรค์เนื้อหา อาชีพโปร เนื้อหาเกี่ยวกับพัฒนาการของวงการอีสปอร์ต และข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสื่อสนับสนุนในวงการอีสปอร์ตแสดงให้เห็นพัฒนาการในวงการอีสปอร์ตการจัดการแข่งขันอีสปอร์ต และการสนับสนุนกิจกรรมกีฬาอีสปอร์ต มีเพิ่มมากขึ้น อีสปอร์ตได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน แบรนด์สินค้าชั้นนํารวมถึงสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมในกิจกรรม ซึ่งเงินรางวัลมหาศาลดึงดูดใจรวมทั้งโอกาสในการสร้างชื่อเสียง สร้างอาชีพ รายได้มากจากการประชาสัมพันธ์สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาสมาคมกีฬาอีสปอร์ตและหน่วยงานภาครัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬาอีสปอร์ต ควรประชาสัมพันธ์การดำเนินงานเกี่ยวกับกีฬาอีสปอร์ตของหน่วยงานและสร้างกิจกรรมการเรียนรู้สู่สาธารณะมากขึ้น</p> วิชา ขันคำ, สุภกร ตันวราวุฒิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274881 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาวิถีชีวิต และการใช้ประโยชน์จากถ้ำหินปูนโดยมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานที่ปรากฏภายในถ้ำละว้า ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274750 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สืบค้นหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ภายในถ้ำละว้า ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 2) ศึกษาหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ปรากฏภายในถ้ำละว้า ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ที่สะท้อนวิถีชีวิต และสภาพสังคมของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และ3) ศึกษาการใช้ประโยชน์จากถ้ำหินปูนโดยมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องมือสำหรับการวิจัย มีดังนี้ 1) แบบบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทลายลักษณ์อักษร ใช้รวบรวมข้อมูลหลักฐานประเภท เอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) แบบบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรใช้บันทึกข้อมูลหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ปรากฏภายในถ้ำละว้า ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สรุปผลการวิจัย ดังนี้ 1) หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ปรากฏภายในถ้ำละว้า ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีดังนี้ เศษภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนเปลือกหอย และชิ้นส่วนโลงไม้ 2) ถ้ำละว้าปรากฏหลักฐาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สะท้อนวิถีชีวิตของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ดังนี้ วิถีชีวิตที่เร่ร่อนดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ และเก็บของป่าในสังคมนายพราน สัมพันธ์กับหลักฐานชิ้นส่วนเปลือกหอยกาบน้ำจืด ทางด้าน วิถีชีวิตเกษตรกรในสังคมกสิกรรมระยะแรกเริ่ม สัมพันธ์กับหลักฐานเศษภาชนะดินเผาหลักฐานชิ้นส่วนเปลือกหอยกาบน้ำจืด และหลักฐานชิ้นส่วนโลงไม้ 3) มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในสังคมนายพราน ใช้ประโยชน์จากถ้ำหินปูนเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว เป็นผลมาจากการมีวิถีชีวิตเร่ร่อนดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ และเก็บของป่าในขณะที่มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในสังคมกสิกรรมระยะแรกเริ่มใช้ถ้ำหินปูนเป็นสถานที่ปลงศพผู้เสียชีวิตในยุคก่อนประวัติศาสตร์</p> เกรียงไกร ทองศรี, ปิยะพร พิทักษ์ตันสกุล, ณรงค์ศักดิ์ พิทักษ์ตันสกุล, จิราพร โพธิ์งาม, อุมาวดี ศรีเกษตรสรากุล, ณัฐณิชา ทวีแสง, บรรจบพร อินดี, ยุพเยาว์ โตคีรี, โสภาค จันทฤทธิ์, เรืองฤทธิ์ พรหมดํา, วียะวัฒน์ ใจตรง, ทัศนัย จีนทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274750 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสร้างบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมกับการเชื่อมโยงพฤติกรรมการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272853 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการสร้างบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย 2) ระดับพฤติกรรมการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมกับพฤติกรรมการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานในฝ่ายวิจัยและพัฒนา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการสร้างบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยการสนับสนุนด้านทรัพยากร มากที่สุด 2) ระดับพฤติกรรมการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยการสนับสนุนความคิด มากที่สุด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างบรรยากาศการส่งเสริมนวัตกรรมกับพฤติกรรมการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของพนักงานอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญสถิติที่ระดับ 0.01</p> อาภรณีน์ อินฟ้าแสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272853 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 เกมสามมิติสำหรับประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275393 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเกมสามมิติสำหรับประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก 2) ประเมินความเหมาะสมและความถูกต้องต่อเกมเกมสามมิติเพื่อประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก 3) ประเมินความพึงพอใจต่อเกมสามมิติสำหรับประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก ผลการดำเนินการวิจัย มีดังนี้ 1) ผลการรวบรวมข้อมูลในการพัฒนานาเกม 3 มิติ เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก จากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์จากอาจารย์ทั้ง 3 คณะ และข้อมูลในการพัฒนาเกม คือ ภาพถ่ายอาคาร และสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก 2) ผลการพัฒนาเกม คณะผู้วิจัยใช้โปรแกรม Unity ในการพัฒนาเกมและการจัดการองค์ประกอบทั้งหมด โดยใช้โปรแกรม Blender และ Adobe Photoshop ในการพัฒนาโมเดล 3 มิติ และภาพประกอบที่ใช้ 3) ผลการประเมินผลความถูกต้องของเนื้อหาและความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.52 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.43 โดยมีการประเมิน 2 หัวข้อ ได้แก่ ด้านเนื้อหาข้อมูล และด้านความเหมาะสมของเกม 4) ผลการประเมินความพอใจของผู้ใช้ต่อเกม พบว่าผลการประเมินความพึงพอใจนั้น ผู้ใช้มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.63 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.44 โดยหัวข้อในการประเมินมี 4 หัวข้อ ได้แก่ ด้านกราฟิกและการแสดงผลของเกม ด้านประสบการณ์ระหว่างเล่นเกม ด้านเนื้อหาที่ได้รับภายในเกม และความเหมาะสมของเกมทั้ง 3 คณะ</p> วศิน ว่องไวตระการ, คัชรินทร์ ทองฟัก, วิไรวรรณ แสนชะนะ, เจนจิรา แจ่มศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275393 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ตราสัญลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ ลูกประคบสมุนไพร ชุมชนเสนานิคม กรุงเทพมหานคร โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274930 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตราสัญลักษณ์ไพรภัณฑ์โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ลูกประคบสมุนไพรเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าชุมชนและความสามารถในการแข่งขัน วิธีการดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนาโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนเสนานิคม 2 ที่เป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรไพรภัณฑ์ 10 คน และผู้บริโภค 411 คน ขั้นตอนการดำเนินงานมี 4 ระยะ คือ 1) การวิเคราะห์เอกสาร 2) การออกแบบ 3) การทดลองใช้ และ 4) การสร้างแบบที่สมบูรณ์ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบประเมินคุณภาพ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าแนวคิดหลักในการออกแบบตราสัญลักษณ์ไพรภัณฑ์สะท้อนบุคลิกของการเป็นผู้ให้สุขภาพที่ดีกับคนในชุมชน ใช้วัตุดิบจากธรรมชาติ ตามชื่อ “ไพรภัณฑ์” มาจากคำว่า “ไพร” หมายถึง ป่า และ “ภัณฑ์” หมายถึง สิ่งของ เครื่องใช้ รวมถึงเป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า “พัน” หมายถึงความผูกพัน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ใช้แนวคิดความทันสมัย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าให้แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนถึงภูมิปัญญาไทยที่มีความนุ่มนวลแต่ทรงพลัง กำหนดรูปทรงของบรรจุภัณฑ์เป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่สามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใน ผลการสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อบรรจุภัณฑ์ทุกข้อมีระดับความพึงพอใจในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\inline&amp;space;x\bar{}" alt="equation" />= 4.31, S.D. = 0.56) โดยภาพรวมของตราสินค้ามีคุณภาพสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\inline&amp;space;x\bar{}" alt="equation" />= 4.43, S.D. = 0.65) รองลงมาคือสามารถสื่อสารข้อมูลหรือรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายในได้ ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\inline&amp;space;x\bar{}" alt="equation" />= 4.36, S.D. = 0.68) และตราสินค้าสะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นของชุมชนเสนานิคม 2 ได้ชัดเจนมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\inline&amp;space;x\bar{}" alt="equation" />= 4.16, S.D. = 0.78)</p> ภควัต รัตนราช, แสงระวี กระจ่างศาสตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274930 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700 ทักษะผู้บริหารกับประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275457 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 3) หาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2567 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของโคเฮน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 370 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย ตามสัดส่วนของขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's product moment correlation coefficient) ผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ด้านการคิดวะเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ และด้านการสื่อสาร ตามลำดับ 2. ประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียน ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก ด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง และด้านความสามารถในการแก้ปัญหาภายในสถานศึกษา ตามลำดับ 3. ทักษะผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลที่เป็นเลิศของสถนศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> พงศ์เชษฐ โพธิ์สุข, อุไร สุทธิแย้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/275457 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดสมุทรปราการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274685 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน เป็นวิจัยเชิงสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูจำนวน 175 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิจากนั้นจึงสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม มีค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใช้การทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. เมื่อวิเคราะห์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยอันดับแรกได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญาและ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ตามลำดับ 2. เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน พบว่า 1) จำแนกตามเพศโดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 2) จำแนกตามวุฒิการศึกษาโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผู้บริหารควรคำนึงถึงครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันอาจมีความรู้และทักษะที่ลึกซึ้งต่างกัน ทำให้มีศักยภาพในการปรับตัวแตกต่างกัน ส่งผลต่อทัศนคติและมุมมองของครูและเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางของครูต่อผู้บริหารแตกต่างกัน 3) จำแนกตามอายุ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผู้บริหารจึงควรคำนึงถึงอายุของครูในการแสดงภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีความเป็นกัลยาณมิตร เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ร่วม เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้ร่วมงาน เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มอายุของครู 4) จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> กานต์พิชชา สายปิ่น, นิวัตต์ น้อยมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/274685 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 องค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหาร สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272204 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) ยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 67 โรงเรียน ผู้บริหารและครู รวม 5,044 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 รวม 357 คน เลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Proportion Stratified Random Sampling) ตามสัดส่วนของผู้บริหารและครูแต่ละกลุ่มโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 1 แบบสัมภาษณ์ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 2 แบบสอบถามภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ขั้นตอนที่ 3 บันทึกการประชุมกลุ่มสนทนาผู้เชี่ยวชาญยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 4 แบบประเมินองค์ประกอบ ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้ ทั้งภาพรวมและรายด้าน การวิเคราะห์ข้อมูล แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์เนื้อหาตามวัตถุประสงค์การวิจัย แบบสอบถาม ตอนที่ 1 วิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนที่ 2 วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Exploratory Factor Analysis : EFA) วิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal Component Analysis) หมุนแกนองค์ประกอบแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation) ด้วยวิธี Varimax ตอนที่ 3 ยืนยันองค์ประกอบโดยการประชุมกลุ่มสนทนาผู้เชี่ยวชาญ (Focus Group Discussion) รวมทั้งสิ้น 10 คน ตอนที่ 4 การประเมินองค์ประกอบ ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ โดยภาพรวมและรายด้าน โดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สรุปผลการวิจัย 1) ผลวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ 54 ตัวบ่งชี้ 2) การยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มี 6 องค์ประกอบ 54 ตัวบ่งชี้ และผลการประเมินองค์ประกอบ ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ และความเป็นไปได้ โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับ มากที่สุด</p> รัตนา สนเปี่ยม , เสาวภาคย์ แหลมเพ็ชร, จิรวัฒน์ กิติพิเชฐสรรค์ , กฤษดา ผ่องพิทยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/272204 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700