วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru
<p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัย นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในกลุ่มนักวิชาการนักวิจัย และประชาชนผู้สนใจ เผยแพร่ผลงานปีละ 2 ฉบับ คือ มกราคม - มิถุนายน และ กรกฎาคม – ธันวาคม วารสารฯ มุ่งเน้นการเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยเชิงบูรณาการแบบสหวิทยาการที่มีการค้นพบข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบตามหลักระเบียบวิธีวิจัย ทั้งนี้เพื่อให้มีการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการค้นพบนำไปสู่การแก้ไขปัญหา การพัฒนา ชุมชน สังคม หรือใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาเพื่อการตัดสินใจ กำหนดนโยบาย แนวทางการพัฒนาชุมชน สังคม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไป</p>
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
th-TH
วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
2985-1254
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและบุคลากรท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในประเทศไทย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/268909
<p>ในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (English for Specific Purposes: ESP) โดยมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะทางภาษาและความรู้ที่จำเป็นจนสามารถนำไปปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนที่มีความแตกต่างจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษทั่วไป (General English: GE) ทั้งใน ด้านวัตถุประสงค์ในการเรียนและกระบวนการเรียนการสอน ดังนั้น บทความวิชาการฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อมุ่งศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ในประเทศไทย ผลจากการศึกษาพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสม การขาดการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน ผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขาวิชาของผู้เรียน ผู้เรียนขาดความรู้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษ และสื่อการสอนที่ไม่ทันสมัย เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในประเทศไทย ทั้งนี้ บทความวิชาการฉบับนี้ได้เสนอแนะแนวทางที่เป็นประโยชน์เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันในตลาดแรงงานที่มีความเป็นสากลได้</p>
เพ็ญพิสุทธิ์ ศิริ
จิรดา เอื้อศิริวัฒนชัย
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-05
2024-07-05
18 1
208
222
-
Using ChatGPT to Improve English Grammar Skills for EFL Learners
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/268054
<p>This article explores the transformative potential of ChatGPT in enhancing English grammar skills for EFL learners. The study showcases ChatGPT’s proficiency in Natural Language Processing (NLP) and its versatile applications in grammatical error correction and educational support. By detailing its role in personalized learning experiences, including real-time feedback, dialogue creation, and contextual understanding, the article presents research findings highlighting the significant reduction in grammar errors among EFL majors through personalized assignments with ChatGPT. The tool’s adaptability as a function complement to human language teachers, along with its anytime accessibility, is a valuable resource in language education. This research underscores ChatGPT’s potential as a dynamic, AI-driven solution for improving English grammar skills, offering learners a platform for prompt-based learning, instant feedback, and personalized exercises, thereby contributing to measurable enhancements in grammar proficiency.</p>
Thanahnahphatt Phieanchang
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-02
2024-08-02
18 1
223
240
-
กลยุทธ์การตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/267462
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาบริบทของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวตำบลเข็กน้อย และ 3. เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การตลาดที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของตำบลเข็กน้อย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบกึ่งโครงสร้าง เลือกผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง จำนวน 32 คน ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จำนวน 8 คน เจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 4 คน และนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวในตำบลเข็กน้อย จำนวน 20 คน และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ตำบลเข็กน้อย มีพื้นที่ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการท่องเที่ยว 2. ประเพณีและงานประจำปี 3. ภูมิปัญญาท้องถิ่น 4. ภาษาถิ่น และ 5. สินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก 2. สาเหตุหลักที่นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางมาเที่ยว คือการเดินทางสะดวก ต้องการเที่ยวประเพณีปีใหม่ม้ง และต้องการชิมอาหารพื้น 3. กลยุทธ์การตลาดที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ควรมุ่งเน้นวิธีการ 1. การโฆษณา 2. การประชาสัมพันธ์ 3. การส่งเสริมการขาย และ 4. การขายโดยบุคคล เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้สามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้ รวมทั้งการจัดทำเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมอย่างเป็นเอกเทศ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมทำกิจกรรมนั้นได้ เพื่อดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น</p>
สดุดี คำมี
วิภารัศมิ์ โฆษิตานนท์
จุฬา เจริญวงค์
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
11
25
-
การจัดการสถานที่ สุขอนามัยและกิจกรรมของสถานประกอบการ ที่พักแรมเมืองรองในประเทศไทย เพื่อตอบรับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/267772
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลการจัดการสถานที่ สุขอนามัยและกิจกรรมของสถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองในประเทศไทยเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลตอบรับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 1) การจัดการสถานที่ตอบรับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของสถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองในประเทศไทย 2) การจัดการสุขอนามัยตอบรับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของสถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองในประเทศไทย 3) การจัดกิจกรรมเชิงสุขภาพของสถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Standard) 355 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์ตัวบ่งชี้องค์ประกอบตัวแปรสังเกตุได้ โดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling : SEM) การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ตำแหน่งผู้จัดการร้อยละ 48.73 บ้านพักให้บริการมี 6-10 หลังร้อยละ 46.70 รูปแบบการให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศร้อยละ 84.23 ระยะเวลาในการจัดตั้งสถานประกอบการ 7-9 ปีร้อยละ 40.85 ที่ตั้งของสถานประกอบการอยู่ภาคเหนือร้อยละ 40.00 ผลการศึกษาพบว่า สถานประกอบการที่พักแรมเมืองรองมีการตอบรับนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การจัดการสถานที่ การจัดการสุขอนามัย และ จัดกิจกรรมเชิงสุขภาพ มีค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
ประฏิพัฒน์ แย้มชุติเกิดมณี
ชูใจ สุภาภัทรพิศาล
อนุพงษ์ อินฟ้าแสง
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
26
40
-
การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/265891
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้รับผิดชอบโครงการ ครูที่ปรึกษา และนักเรียน จำนวน 346 คน โดยใช้เกณฑ์กำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie & Morgan (1970, pp. 607-610) ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) และผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แจกแจงความถี่ วิเคราะห์เนื้อหา และการจัดลำดับ ผลการวิจัยพบว่า 1) การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 ผลการประเมินตามเกณฑ์ พบว่า ผ่านเกณฑ์ประเมิน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความเหมาะสม 3 ด้าน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก ได้แก่ ด้านกระบวนการดำเนินงานของโครงการ รองลงมา ได้แก่ ด้านผลผลิตของโครงการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ ด้านปัจจัยเบื้องต้นของโครงการ 2) แนวทางการพัฒนาโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า มีแนวทางพัฒนาโครงการที่สำคัญ ดังนี้ ด้านปัจจัยเบื้องต้น คือ ผู้บริหารและคณะครูควรนำกระบวนการ PLC ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ด้านกระบวนการดำเนินงาน คือ สถานศึกษาควรวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายมีการวางแผนการบริหารงานตามแผนปฏิบัติการ และด้านผลผลิต คือ สถานศึกษาควรจัดทำโครงการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการรายงานผลและสรุปผลโครงการทุกปี เพื่อทำให้กระบวนการนิเทศกำกับติดตามมีประสิทธิภาพให้เป็นระบบอย่างแท้จริง</p>
รพีพร ทองสุพรรณ์
ประจบ ขวัญมั่น
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
41
58
-
การพัฒนาทักษะการจำและการอ่านคำศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม Blooket ของนักเรียนชั้นมัธยมชั้นปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/267829
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการจำและการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม Blooketให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางด้านการจำและการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาจีนก่อนและหลังการใช้เกม Blooket ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/16 โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ที่เรียนรายวิชาภาษาจีน (เพิ่มเติม) ภาคเรียนที่ 2/2565 จำนวน 22 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม Blooket จำนวน 4 แผน เกม Blooket และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้เกม Blooket (Pre-test/Post-test) สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่สถิติพื้นฐาน ร้อยละค่าเฉลี่ย และสถิติทดสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน การหาค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการทดสอบหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม Blooket มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.98/84.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางด้านการจำคำศัพท์ภาษาจีนก่อนและหลังการใช้ เกม Blooket พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.45 และผลคะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 25.41 แสดงว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากพัฒนาทักษะการจำและอ่านคำศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม Blooket ซึ่งสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
พรวฤณ ท้วมกลัด
สุชาติ คุ้มสุทธิ์
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
59
69
-
การพัฒนาระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ หาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/268098
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ 2) ศึกษาคุณภาพของระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ โดยมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน จำนวน 89 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาระบบประกอบด้วย แผนภาพไดอะแกรม แผนภาพกระแสข้อมูล แบบจำลองอีอาร์ พจนานุกรมข้อมูล การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบวิเคราะห์หาตัวแบบมาตรฐานของระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี แบบประเมินคุณภาพระบบ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระบบบริหารจัดการงานยานพาหนะ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี มีผลประเมินประสิทธิภาพระบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้จริง การประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบ โดยทำการทดลองใช้งานด้านนำเข้าข้อมูล กระบวนการทำงาน และการแสดงผลจัดอยู่ในระดับดี</p>
ศราวรรณ ขำค้า
สายรุ้ง แสวงลาภ
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
70
80
-
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ โดยใช้หนังสือนิทานภาพ 3 มิติ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 ในโรงเรียนขยายโอกาสในจังหวัดอุดรธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/266366
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทานภาพ 3 มิติ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทานภาพ 3 มิติ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 และ 3) ศึกษาความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทานภาพ 3 มิติ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อ.เมือง จ.อุดรธานี จำนวน 30 คน ที่ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ใช้เวลาในการทดลอง 20 ชั่วโมง 10 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทานภาพ 3 มิติ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 2) แบบสอบถามความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเรียนรู้ มีองค์ประกอบคือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหาการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ และ การวัดผลและประเมินผล มีความเหมาะสมระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.80 S.D.= 0.32) รูปแบบการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 94.67/80.562. นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3. ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ นักเรียนมีความวิตกกังวลลดลง</p>
ปิยนุช โทมล
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
81
95
-
การศึกษาคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวแบบลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/265956
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวแบบลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี และ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวแบบลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาใช้บริการลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี มีจำนวน 200 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่คุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวแบบลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี พบว่า มี 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ ด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ และด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ ส่งผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวแบบลานกางเต็นท์ในจังหวัดชลบุรี มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับน้อยกว่า 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (R) เท่ากับ 0.882 ร่วมกันทำนายความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว(R<sup>2 </sup>)ได้ร้อยละ 77.3 และมีค่าความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงกับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว โดยมีค่า F เท่ากับ 170.246 สร้างสมการทำนายได้ดังนี้ ŷ<sub> T </sub> = 0.457 + 0.113x<sub>1 </sub>+ 0.260x<sub>3 </sub>+ 0.245x<sub>4 </sub>+ 0.254x<sub>5</sub></p>
ณัฐวดี ชลคณานุกูล
วิลาสินี ยนต์วิกัย
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
96
109
-
การสร้างสรรค์ลายผ้าย้อมครามด้วยเทคนิคเขียนเทียน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/266923
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบท ภูมิปัญญาการผลิตผ้ามัดหมี่ การสร้างลวดลายหมี่ด้วยเทคนิคการเขียนด้วยเทียน และประเมินความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ เป็นงานวิจัยประเภทวิจัยและพัฒนา การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก พัฒนาต้นแบบ ทดลองและปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ปราชญ์ภูมิปัญญา ผู้ผลิตอผ้าย้อมครามบ้านนาขามและบ้านหนองครอง ต.เชิงชุม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าผู้ไท มีวัฒนธรรมการทอผ้ามัดหมี่ลวดลายแบบดั้งเดิม มีความพยายามพัฒนาลวดลายผ้าให้ตอบสนองความต้องการของตลาดมากขึ้น ลวดลายผ้าทอที่ได้จากเทคนิคการเขียนเทียน มีความโค้งมน สามารถสร้างลวดลายผ้าได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นลวดลายเรขาคณิตและลวดลายอิสระ ใช้ความร้อนต้มละลายเขียนบนเส้นฝ้ายแทนการมัดด้วยเชือกฟาง ใช้เทียนซ้ำได้หลายครั้ง ช่วยลดขยะ และลดเวลาในการมัดหมี่จากเดิมใช้เวลา 2 วัน เหลือ 20-30 นาที ผ้าที่ได้จากเทคนิคนี้จะมีลวดลายที่แปลกใหม่ สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย การศึกษาความพึงพอใจจากผู้บริโภคที่มีต่อผ้ามัดหมี่ย้อมครามด้วยเทคนิคเขียนเทียน จำนวน 300 คน พบว่า ผู้บริโภคมีความพึงพอใจต่อลวดลายผ้าเขียนเทียนย้อมครามแบบที่ 3 ลวดลายอิสระมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.34</p>
อำนาจ สุนาพรม
นะกะวี ด่านลาพล
แสนสุรีย์ เชื้อวังคำ
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
110
121
-
แนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/266125
<p>แนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรี มีจุดประสงค์การศึกษาดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรีในมุมมองของประชาชน 2) เพื่อวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจากการเก็บรวมรวมข้อมูลเชิงเอกสารและจากการสัมภาษณ์ สังเกตการณ์ เปิดเวทีประชาคม ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลหลัก 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มนักท่องเที่ยว 2) กลุ่มแกนนำชุมชน 3) กลุ่มคนในชุมขน และ 4) กลุ่มหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งหมดจำนวน 400 คน ผลการศึกษาพบว่า จากการสังเกต และสัมภาษณ์ด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพื้นที่เขตเมืองเก่าฝั่งธนบุรี แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้านสภาพแวดล้อมและบริบทพื้นที่ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ (1) ด้านความปลอดภัย (2) ด้านความสะอาด (3) ด้านสถานที่ธรรมชาติสวยงาม และ (4) ด้านการคมนาคม 2) ความหลากหลายทางวัฒนธรรม จำแนกออกเป็น 4 ด้าน คือ (1) ด้านชาติพันธุ์ (2) ด้านการละเล่น/การแสดงท้องถิ่น (3) ด้านอาหาร และ 4) ด้านขนมธรรมเนียมประเพณี 3) ด้านความเป็นกัลยาณมิตรและความมีน้ำใจของคนในชุมชน จำแนกออกเป็น 2 ด้าน คือ (1) การมีจิตใจเมตตาต่อผู้มาเยือน (2) การสร้าง มนุษยสัมพันธ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยว และ 4) ด้านการบริการนักท่องเที่ยว แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ (1) การอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว (2) ที่พักในแหล่งท่องเที่ยว (3) ร้านอาหารและจุดจำหน่ายสินค้า และ (4) กิจกรรมการท่องเที่ยว จากการเปิดเวทีประชาคมพบว่ามีแนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรี แบ่งออกเป็น 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในชุมชน 2) การพัฒนาชุมชนให้ปลอดภัย สะอาด และเป็นชุมชนน่าอยู่ 3) การอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของชุมชนบนความ หลากหลายทางวัฒนธรรม 4) การสร้างชุมชนแห่งการบริการที่มีคุณภาพ และ 5) การจัดการ ด้านการคมนาคมอย่างเป็นระบบ ซึ่งแนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นับเป็นแนวทางที่จะทำให้การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่เขตอนุรักษ์เมืองเก่าฝั่งธนบุรีได้รับการพัฒนา นำไปสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในพื้นที่ เกิดเป็นการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน บนฐานการนำวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นจุดขายที่สำคัญ เป็นการท่องเที่ยวที่ควบคู่ไปกับการดำรงรักษารากเหง้าวัฒนธรรมท้องถิ่นในธำรงอยู่ยั่งยืน</p>
จิราภรณ์ กาญจนสุพรรณ
นิชาภา พิมพสุต
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-05
2024-07-05
18 1
122
138
-
แนวทางการสร้างสรรค์เนื้อหา รูปแบบการผลิตรายการออนไลน์ และกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer) และผู้ชมรายการผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok ในประเทศไทย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/267288
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการสร้างสรรค์เนื้อหา รูปแบบการผลิตรายการออนไลน์ และกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok 2) ศึกษามุมมองของผู้รับสารที่ชมรายการของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok 3) ศึกษาแนวทางการสร้างสรรค์เนื้อหา รูปแบบการผลิตรายการออนไลน์ และกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดและผู้ชมรายการผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูล 2 กลุ่ม คือ (1) ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด เผยแพร่รายการไม่ต่ำกว่า 1 ปี มียอดผู้ติดตามไม่ต่ำกว่า 100,000 คน จำนวน 5 คน (2) ผู้ชมที่กดติดตามรายการของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดในแอปพลิเคชัน TikTok มีผู้ติดตามไม่ต่ำกว่า 100,000 คนและไม่น้อยกว่า 5 รายการ จำนวน 10 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-Depth Interview) และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหารายการ (Content Analysis) จำนวน 10 รายการบนแอปพลิเคชัน TikTok ในระยะเวลา 1 ปี (เดือน ตุลาคม 2565 - เดือน ตุลาคม 2566) ผลการวิจัยมีดังต่อไปนี้ 1) การสร้างสรรค์เนื้อหา ควรอยู่ในความสนใจของสังคม เนื้อหารายการและรูปแบบการผลิตรายการควรสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของผู้นำเสนอรายการ เลี่ยงประเด็นความขัดแย้งทางสังคม ส่วนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด เน้นเล่าเรื่องจากประสบการณ์ที่ได้ใช้สินค้าจริง 2) มุมมองของผู้ชมรายการจะเลือกติดตามรายการที่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 3) แนวทางการสร้างสรรค์เนื้อหาควรปรับเนื้อหาให้อยู่ในกระแสสังคม กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดควรสร้างความมีส่วนร่วมกับผู้ชม เน้นเทคนิคการตัดต่อภาพและเสียงประกอบ คำนึงถึงความสนใจของผู้ชมรายการที่จะพัฒนาไปสู่การขยายฐานผู้ชมกลุ่มใหม่ที่เกิดจากการบอกต่อของแฟนรายการผ่านสื่อออนไลน์</p>
์ณัชชา พัฒนะนุกิจ
ศรายุทธ ชูพันธุ์
วรพันธ์ วรกิจพันธ์
นาวินี รอดแก้ว มณีโชติปีติ
เบ็ญจมาภรณ์ สุธิราวุธ
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
139
159
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/266155
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้รับบริการร้านอาหารขนาดกลางแบบร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี 3) วิเคราะห์อิทธิพลของคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี และ 4) วิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ที่เลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางแบบร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานีทั้งหมด 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบโควตา ผลการทดสอบค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามเท่ากับ 0.968 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุ ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31-40 ปี สถานภาพสมรส จบระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และรายได้ต่อเดือน 35,001-45,000 บาท 2) ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการ อยู่ในระดับมากที่สุด 3) คุณภาพการให้บริการ ได้แก่ ด้านการเข้าใจและรู้จักลูกค้า ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจ และด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานีที่ร้อยละ 46.2 และ 4) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านกระบวนการ ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารขนาดกลางร่วมสมัยในจังหวัดปทุมธานี ตามลำดับที่ร้อยละ 65.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ณัฐดนัย วัฒนพานิช
วิลาสินี ยนต์วิกัย
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-03
2024-07-03
18 1
160
173
-
ปัญหาและบทบาทของหลักสูตรการจัดการศิลปะ ในการพัฒนาอาชีพของนักศึกษาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยฉีฉีฮาร์ มณฑลเฮหลงเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/266427
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาและบทบาทของหลักสูตรการจัดการศิลปะต่อการประกอบอาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาเอกศิลปะ 2) วิเคราะห์ปัญหาและบทบาทของหลักสูตรการจัดการศิลปะในการพัฒนาอาชีพของนักศึกษาศิลปะ มหาวิทยาลัยฉีฉีฮาร์ มณฑลเฮหลงเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์ข้อมูลของหลักสูตรการจัดการศิลปะ ด้วย SWOT ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค เพื่อเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาหลักสูตรการจัดการศิลปะ ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรการจัดการศิลปะของมหาวิทยาลัยฉีฉีฮาร์ มีเนื้อหาเชิงทฤษฎีและปฏิบัติในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และมีเนื้อหาการจัดการศิลปะทางด้านการออกแบบและการจัดนิทรรศการเท่านั้น ไม่ครอบคลุมด้านการจัดการศิลปะ นักศึกษาไม่สามารถจัดการผลงานศิลปะของตนเองสู่ตลาดงาน อุตสาหกรรมศิลปะและวัฒนธรรม นอกจากนี้ บทบาทของหลักสูตรในการผลิตบัณฑิตสู่ตลาดแรงงาน การประกอบอาชีพอิสระ ศิลปิน ต้องปรับเปลี่ยนภายใต้สถานการณ์ของสังคมเพื่อให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับการประกอบอาชีพในยุคปัจจุบัน 2) ปัญหาและบทบาทของหลักสูตรการจัดการศิลปะ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหลักสูตร ปัจจัยภายใน ได้แก่ ทักษะด้านการจัดการศิลปะ ความรู้ทักษะทางธุรกิจการตลาด การจัดโครงการ ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล แพลตฟอร์มออนไลน์ การเติบโตของอุตสาหกรรมวัฒนธรรม การสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการยกระดับพัฒนาเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพทางศิลปกรรม การบูรณาการอาชีพ การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การจัดการโครงการความร่วมมือสถาบันระดับชาติและนานาชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงบทบาทการผลิตบัณฑิตเข้าสู่ตลาดแรงงาน อุตสาหกรรมศิลปะและวัฒนธรรม</p>
จางเว่ยฮั่น
ชัยยศ วนิชวัฒนานุวัติ
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-07-05
2024-07-05
18 1
174
189
-
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/journaldru/article/view/268049
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครู จำแนกตามตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 322 คน ปีการศึกษา 2566 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของโคเฮนและใช้วิธีการสุ่มแบบขั้นภูมิ และวิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการเทียบสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามเกี่ยวกับระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีทัศนะต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนครูที่สังกัดขนาดโรงเรียนต่างกันมีทัศนะต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</p>
พนาไพร มาโยธา
อุไร สุทธิแย้ม
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-28
2024-06-28
18 1
190
207