https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/issue/feed
วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2025-08-31T19:56:49+07:00
ผศ.ทรงกลด พลพวก
jmsr@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ </strong><br /><strong>Journal of Management Science Research, Surindra Rajabhat University</strong></p> <p><strong>ISSN 3056-9990 (Print)</strong><br /><strong>ISSN 3057-000X (Online)</strong></p> <p>วารสารมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย โดยมีขอบเขตของวารสาร ได้แก่ การบัญชี / การเงินและการธนาคาร / การจัดการธุรกิจ / การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ / การจัดการนวัตกรรม / การเป็นผู้ประกอบการ / การบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร / ซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ / การท่องเที่ยวและโรงแรม / เทคโนโลยีสารสนเทศ / การตลาด / นิเทศศาสตร์และการสื่อสาร / เศรษฐศาสตร์</p> <p><strong>การกำหนดเผยแพร่วารสาร</strong></p> <p>กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong></p> <p>รับตีพิมพ์บทความทั้งบทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย </p> <p><strong><br />เงื่อนไขการตีพิมพ์</strong></p> <p>บทความแต่ละบทความจะได้รับการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ (Peer Review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องและมีความหลากหลายจากแต่ละสถาบัน จำนวน 3 ท่าน ทั้งนี้ ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) อย่างไรก็ตาม บทความที่ผ่านการประเมินแล้วจะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ <br /><br /></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความของวารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</strong> มีดังนี้</p> <p>1. บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ฉบับภาษาไทย จำนวน 3,500 บาท/บทคความ<br />2. บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ฉบับภาษาอังกฤษ จำนวน 4,500 บาท/บทความ</p> <p><strong>หมายเหตุ:</strong> 1. เมื่อผ่านการพิจารณาตามข้อกำหนดของวารสาร กองเลขานุการวารสารวิชาการจะแจ้งผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เท่านั้น เพื่อดำเนินการส่งบทความทางวิชาการให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความทางวิชาการต่อไป ดังนั้น หากท่านชำระเงินมาก่อนการพิจารณาบทความเบื้องต้น วารสารไม่สามารถคืนเงินให้ท่านได้<br /> 2. การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารจากผู้ทรงคุณวุฒิ จาก 2 ใน 3 ท่าน หรือถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์จากประเด็นด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณหรือด้านอื่น ๆ ทางวารสารจะไม่คืนเงินธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ</p> <p><br /><strong>คำชี้แจงขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ </strong><br /><strong>1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย</strong><br /> 1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br /> 1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br /> <strong> *** ขอให้ผู้ส่งบทความตรวจสอบความถูกต้องของชื่อและสังกัดของผู้วิจัย รูปแบบเนื้อหาและการอ้างอิงตรงตามรูปแบบที่วารสารกำหนดเท่านั้น <em>วารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการพิจารณาบทความเบื้องต้น หากท่านไม่ได้ส่งบทความตามข้อกำหนดของวารสาร</em>***</strong><br /> กรุณาศึกษาจาก <a href="https://jmsr.srru.ac.th/wp-content/uploads/2021/08/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.pdf">คำแนะนำสำหรับผู้เขียน</a> (Click)<br /> <strong>2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น </strong>ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ <br /><strong>3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร </strong>กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น <strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านทางกระทู้ ThaiJO ตามรายละเอียดที่แจ้ง พร้อมให้ท่านแนบสลิปการโอนเงิน</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/281404
บทนำ
2025-08-31T19:49:28+07:00
JMSR SRRU
jmsr@srru.ac.th
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/281405
ภากผนวก
2025-08-31T19:53:44+07:00
JMSR SRRU
jmsr@srru.ac.th
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/281406
ฉบับเต็ม
2025-08-31T19:56:49+07:00
JMSR SRRU
jmsr@srru.ac.th
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/272408
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม: แรงขับเคลื่อนสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ขององค์กร
2025-08-21T10:39:45+07:00
นัทธี เพ็ชรแก้ว
nuttee141@hotmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์คุณลักษณะของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับนวัตกรรมและผลสัมฤทธิ์ขององค์กร โดยการพิจารณาคุณลักษณะที่ผู้นำมีอิทธิพลต่อผู้ร่วมงานและผู้ตามผ่านคุณลักษณะดังต่อไปนี้ การนำองค์กร การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางปัญญา การคำนึงถึงคุณค่าของคน การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองของผู้ตาม การเสริมสร้างการทำงานร่วมกัน การสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนา การมอบอำนาจให้กับผู้ตาม นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงบทบาทของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการสร้างและส่งเสริมนวัตกรรมในองค์กร โดยจำแนกนวัตกรรมออกเป็นหลายประเภท อาทิเช่น นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมกระบวนการ นวัตกรรมการตลาด นวัตกรรมองค์กร นวัตกรรมบริการ และนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ บทความนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ขององค์กรในด้านต่าง ๆ คือ ประสิทธิภาพทางการเงิน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความพึงพอใจของลูกค้า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพและการเจริญเติบโต การปรับตัวและการแข่งขันในตลาด การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาองค์กร</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271138
การใช้สื่อเฟซบุ๊กกลุ่ม “เที่ยวทั่วไทยไปให้ทั่ว” เพื่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของกลุ่มเจเนอเรชั่นซี (Connected)
2025-02-21T15:50:19+07:00
จีรวรรณ พรมพงษ์
jeerawan.prompong@gmail.com
ปิยฉัตร ล้อมชวการ
Jeerawan.prompong@gmail.com
กมลรัฐ อินทรทัศน์
Jeerawan.prompong@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการใช้สื่อเฟซบุ๊กกลุ่ม “เที่ยวทั่วไทยไปให้ทั่ว” เพื่อการท่องเที่ยวของกลุ่มเจเนอเรชันซี 2) การตัดสินใจท่องเที่ยวผ่านการใช้สื่อเฟซบุ๊กกลุ่ม “เที่ยวทั่วไทยไปให้ทั่ว” ของกลุ่ม เจเนอเรชันซี และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อเฟซบุ๊กและการรับรู้ข้อมูลท่องเที่ยวผ่านการใช้สื่อเฟซบุ๊กกลุ่ม “เที่ยวทั่วไทยไปให้ทั่ว” กับการตัดสินใจท่องเที่ยวของกลุ่มเจเนอเรชันซี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้วิธีการสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือ สมาชิกสื่อเฟซบุ๊กกลุ่ม “เที่ยวทั่วไทยไปให้ทั่ว” ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 400 คน เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการใช้สื่อเฟซบุ๊กของกลุ่มตัวอย่างมีการเข้าถึงข้อมูลท่องเที่ยวด้วยเครื่องมือสมาร์ทโฟนมากที่สุด โดยใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และโปรแกรมค้นหา ในการหาข้อมูลท่องเที่ยว ใช้แหล่งข้อมูลบุคคลผ่านสื่อดิจิทัลในระดับมากที่สุด และเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วยการค้นหาข้อมูลด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว การเดินทาง และสถานที่พัก ตามลำดับ 2) การตัดสินใจท่องเที่ยวผ่านการใช้สื่อเฟซบุ๊กของกลุ่มตัวอย่างพบว่า การรับรู้ข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจท่องเที่ยวอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อ เฟซบุ๊กและการรับรู้ข้อมูลท่องเที่ยวกับการตัดสินใจท่องเที่ยวของกลุ่มตัวอย่างพบว่า (1) ช่องทางในการหาข้อมูลท่องเที่ยวและการเข้าถึงเนื้อหาท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) แหล่งข้อมูลในการค้นหาข้อมูลท่องเที่ยวไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจท่องเที่ยว (3) เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (4) การรับรู้ข้อมูลท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-08-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/273799
พฤติกรรมการบริโภคของผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเกรียบบรรจุห่อของ วิสาหกิจชุมชนบ้านเห็ดขวัญวัลย์ฟาร์ม
2025-02-07T11:27:40+07:00
วัศยา หวังพลายเจริญสุข
kamonwan.thr@gmail.com
ธัชพงศ์ เศรษฐบุตร
kamonwan.thr@gmail.com
อาภา วรรณฉวี
kamonwan.thr@gmail.com
เดชา พนาวรกุล
kamonwan.thr@gmail.com
กมลวรรณ ทองฤทธิ์
kamonwan.thr@gmail.com
สิทธิศักดิ์ จรรยาวุฒิ
kamonwan.thr@gmail.com
ไซนิล สมบูรณ์
kamonwan.thr@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการบริโภคของผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเกรียบบรรจุห่อ และ (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเกรียบบรรจุห่อของวิสาหกิจชุมชนบ้านเห็ดขวัญวัลย์ฟาร์ม จำแนกตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภค จำนวน 323 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า (1) ผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์การซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเกรียบบรรจุห่อเพื่อบริโภคเอง โดยบริโภค 2 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ มีค่าใช้จ่ายในการซื้อ 20 – 30 บาท ต่อครั้ง มักซื้อจากหลากหลายช่องทางตามโอกาสและสถานที่ที่ไปเพราะสะดวกในการเลือกซื้อ ซึ่งซื้อเจ้าเดิมเป็นประจำ เพื่อบริโภคที่บ้าน เป็นอาหารว่าง ในช่วงเวลากลางวันเพียงคนเดียว และผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ ตนเอง เหตุผลที่ซื้อเพราะรสชาติอร่อยและคุณภาพดี (2) ผลการเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อจำแนกตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ พบว่า ปัจจัยด้านเพศ อายุ และอาชีพที่แตกต่างกัน มีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่แตกต่างกัน ส่วนปัจจัยด้านรายได้ พบว่า รายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีผลการตัดสินใจซื้อแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยนี้ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและผู้ที่สนใจดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่มอาหาร สามารถนำผลการวิจัยนี้ไปใช้วางแผนในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและการพัฒนากลยุทธ์การตลาดต่อไป</p>
2025-08-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271033
การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
2024-10-04T15:09:30+07:00
ณัฐพงษ์ ศรีใจวงศ์
mibcm86@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ประชาชนทั่วไปในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เครื่องมือวิจัยที่ใช้เป็นแบบสอบถาม นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการศึกษา พบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ อยู่ในระดับมาก (=4.19) พิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (=4.37) ด้านการเข้าใจความคาดหวัง (=4.33) ด้านการสื่อสารกับลูกค้า (=4.28) ด้านการเสนอแนะบริการที่เป็นประโยชน์ (=4.11) ด้านการรับฟังความคิดเห็น (=4.05) และ ด้านการติดตามลูกค้า (=4.02) ส่วนการจัดการลูกค้าสัมพันธ์กับความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย มีอิทธิพลต่อกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ต่อความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย เท่ากับ 0.197 ซึ่งความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย ขึ้นอยู่กับ การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ร้อยละ 19.70 ดังนั้นอิทธิพลของการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ในด้านการเข้าใจความคาดหวัง ส่งผลมากที่สุด รองลงมาด้านการติดตามลูกค้า ด้านการสื่อสารกับลูกค้า และด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าร้านโชห่วย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p>
2025-08-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271368
งานที่มีความหมาย ในความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะงานและความตั้งใจคงอยู่ของพนักงาน บริษัท นิวแม็ก จำกัด
2025-01-27T20:57:43+07:00
ชุดา ศรีศศลักษณ์
s.chuda_ab@hotmail.com
ชวนชื่น อัคคะวณิชชา
s.chuda_ab@hotmail.com
<p> การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษางานที่มีความหมายที่มีอิทธิพลส่งผ่านในความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายทางทักษะ ความสำคัญของงาน และความมีอิสระในงาน กับความตั้งใจคงอยู่ของพนักงานบริษัท นิวแม็ก จำกัด โดยกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานบริษัทนิวแม็ก จำกัด จำนวน 208 คน ซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้างผลการศึกษา พบว่า ระดับค่าเฉลี่ยของความหลากหลายทางทักษะและความมีอิสระในงาน อยู่ในระดับมากที่สุด และความสำคัญของงาน งานที่มีความหมาย และความตั้งใจคงอยู่ อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความหลากหลายทางทักษะ ความสำคัญของงาน และความมีอิสระในงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่องานที่มีความหมาย งานที่มีความหมายมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจคงอยู่ และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมีอิทธิพลส่งผ่านอย่างสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายทางทักษะ ความสำคัญของงาน ความมีอิสระในงาน และความตั้งใจคงอยู่</p>
2025-08-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271469
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้ค้ารายย่อยกลุ่มเนื้อสัตว์ในพื้นที่ตลาดสด จังหวัดอุดรธานี
2025-03-25T14:29:31+07:00
อัษฎาวุธ สมพิทักษ์
oatsadawut.pimpa338@gmail.com
ชวนชื่น อัคคะวณิชชา
Oatsadawut.pimpa338@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการส่งเสริมการขาย ประสบการณ์ที่มีต่อเเบรนด์ ที่ส่งผลต่อการรับรู้เเบรนด์เเละความคาดหวังของลูกค้า และศึกษาอิทธิพลของการรับรู้เเบรนด์ ความคาดหวังของลูกค้าที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อซ้ำของลูกค้า งานวิจัยนี้เป็นเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ค้ารายย่อยกลุ่มเนื้อสัตว์ในพื้นที่ตลาดสด จังหวัดอุดรธานี จำนวน 343 คน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์และลงพื้นที่ โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาเพื่ออธิบายค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรและวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความตั้งใจของความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้ค้ารายย่อยที่จำหน่ายสินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ในตลาดสดจังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย 5 ตัวแปร ได้แก่ การส่งเสริมการขาย ประสบการณ์ที่มีต่อเเบรนด์ การรับรับรู้เเบรนด์ ความคาดหวังของลูกค้า และความตั้งใจซื้อซ้ำ</p> <p> ผลการผลการวิจัยพบว่าโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี พิจารณาจาก CMIN/df = 2.017, CFI = 0.962, TLI = 0.922, IFI = 0.963, NFI = 0.930, SRMR = 0.058 และ RMSEA = 0.054 และพบว่า การรับรู้แบรนด์ ประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์ ความคาดหวังของลูกค้า และความตั้งใจซื้อซ้ำ อยู่ในระดับมาก ขณะที่การส่งเสริมการขายอยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบสมมุติฐานพบว่า การส่งเสริมการขายและประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการรับรู้แบรนด์และความคาดหวังของลูกค้าอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ความคาดหวังของลูกค้าและการรับรู้แบรนด์มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจซื้อซ้ำอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ</p>
2025-08-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/269223
พฤติกรรมและแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนา เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2024-10-02T15:35:59+07:00
ไอราวัณ ผลขำทอง
airawan.phol@vru.ac.th
ปวริศา เลิศวิริยะประสิทธิ์
pawarisa@vru.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทางท่องเที่ยว<br />เชิงศาสนา เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว<br />ชาวไทยในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนา เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนา เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวที่เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยค่า F-test ผลการศึกษาพบว่า <br />1) นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุอยู่ในช่วง 20 – 30 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้<br />อยู่ในช่วง 15,001 – 20,000 บาท 2) พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเทวลัยพระพิฆเนศ <br />เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เดินทาง 2 – 3 ครั้งต่อปี มีวัตถุประสงค์เพื่อขอพรอธิษฐานเรื่องการเงิน เดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ บุคคลที่ร่วมเดินทางคือเพื่อน เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ค่าใช้จ่ายสำหรับการมาท่องเที่ยวต่อครั้ง น้อยกว่า 500 บาท และได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของเทวลัยพระพิฆเนศจากช่องทาง TIKTOK (ติ๊กตอก) 3) แรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับ คือ ด้านปัจจัยแวดล้อม รองลงมาคือ ด้านอารมณ์และความรู้สึก และด้านกายภาพ ตามลำดับ และ <br />4) ผลการเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า เพศ อายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวที่เทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน แต่กลุ่มที่มีอาชีพและรายได้ต่างกัน พบว่า มีแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวเทวลัยพระพิฆเนศ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-08-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/274628
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลียนแบบจากเกมออนไลน์
2025-03-18T16:43:49+07:00
ภากร อิ่มถาวรสุข
pkmaster1108@gmail.com
องอาจ สิงห์ลำพอง
ongart.s@bu.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมการเลียนแบบจากเกมออนไลน์และเพื่อศึกษาปัจจัยภายนอกที่ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบจากเกมออนไลน์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เล่นเกมออนไลน์ ระดับ Heavy Gamer จำนวน 10 คน โดยใช้วิธีการโดยคัดเลือกจากประวัติการเล่นเกมซึ่งเป็นเกมที่มีเนื้อหาความรุนแรงและเข้มข้นจากเกณฑ์ของการได้เล่น 1 ใน 20 อันดับเกม ที่มีเนื้อหาความรุนแรงจากเว็บ CBR (James Lynch & Antonio Samson)โดยผลการวิจัยพบว่า มีผู้เล่นเกมออนไลน์จำนวนมาก มีลักษณะของพฤติกรรมที่เกิดการเลียนแบบจากเกมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งพฤติกรรมของการเลียนแบบ และ พฤติกรรมที่มีการเรียนรู้จากในเกมออกมาแต่ยังไม่ได้มีการเลียนแบบ โดยพบว่าขึ้นอยู่ปัจจัยที่ต่อการแสดงพฤติกรรม ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบโดยส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากความเคยชิน เช่น ความสม่ำเสมอในการเล่นเกม หรือเนื้อหาของเกมที่มีความใกล้เคียงกับพฤติกรรมในชีวิตความเป็นจริง เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นเกมออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่เกิดพฤติกรรมเลียนแบบออกมา พบว่าคือ การพิจารณาไตร่ตรอง (contemplation) รวมถึงปัจจัยภายในด้านอื่น ๆ อย่างเช่น การมีตัวตน (self) และการเล่นเกมออนไลน์เพื่อความต้องการทางสังคมเท่านั้น (social) งานวิจัยนี้ยังพบว่า สภาพแวดล้อมและแรงจูงใจสิ่งกระตุ้นด้านอื่น ๆ มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากเกมออนไลน์เช่นกัน โดยส่วนใหญ่พบว่า เป็นปัจจัยภายนอก โดยจากการศึกษาพฤติกรรมการเลียนแบบจากเกมออนไลน์ ทำให้ได้รู้ลักษณะพฤติกรรมต่าง ๆ ในการเลียนแบบและได้รู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุ รวมไปถึงเหตุผลและมุมมองของผู้เล่นเกมระดับ Heavy Gamer ผลการศึกษาครั้งนี้ มีประโยชน์ในการนำไปป้องกันและกำกับดูแลเยาวชนในการเล่นเกมออนไลน์ รวมถึงการควบคุมด้านเนื้อหาของเกมออนไลน์ ซึ่งสามารถนำข้อมูลด้านพฤติกรรมจากในเกมออนไลน์ไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในด้านอื่น ๆ ในอนาคต</p>
2025-08-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271186
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณเงินให้สินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
2025-03-25T14:40:03+07:00
อินทุอร จันปิยะ
inthuorn.j@hotmail.com
วรรณรพี บานชื่นวิจิตร
wanrapee_ban@utcc.ac.th
<p> งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณเงินให้สินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ผู้ศึกษาได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือจาก แบบจำลองวิธีการสร้างสมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลทุติยภูมิแบบอนุกรมเวลา (Time series) ซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2551 ถึงปี 2565 เป็นรายไตรมาส ระยะเวลาทั้งสิ้น 15 ปี จำนวน 60 ชุดข้อมูล โดยตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย ปริมาณเงินให้สินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BOR) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (MLR) ปริมาณเงินฝากของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BDA) ปริมาณหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) อัตราเงินเฟ้อ (IR) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และปริมาณเงินความหมายกว้าง (M2) ผลการศึกษาพบว่าปริมาณเงินฝากของธนาคาร (BDA) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีของธนาคาร (MLR) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และปริมาณเงินความหมายกว้าง (M2) มีค่า P-value น้อยกว่า 0.05 หมายความว่า ตัวแปรต้นดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยปริมาณเงินฝากของธนาคาร (BDA) และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณเงินให้สินเชื่อของธนาคาร แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีของธนาคาร (MLR) และปริมาณเงินความหมายกว้าง (M2) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับปริมาณเงินให้สินเชื่อของธนาคาร ส่วนปริมาณหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) และอัตราเงินเฟ้อ (IR) มีค่า P-value มากกว่า 0.05 หมายความว่าตัวแปรต้นดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารของธนาคารฯ ในการนำไปใช้ประกอบการกำหนดเป้าหมายประจำปี เพื่อให้สามารถเพิ่มยอดปริมาณเงินให้สินเชื่อซึ่งถือเป็นรายได้หลักของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป</p>
2025-08-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/271538
การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกประเภทเรือฝึกของนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ไทย ฝ่ายเดินเรือ
2024-09-09T15:45:42+07:00
ธนากร บูรพิสิทฐิกุล
64920750@go.buu.ac.th
สราวุธ ลักษณะโต
64920750@go.buu.ac.th
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกประเภทเรือฝึก ระหว่างก่อนและหลังการฝึกของนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ไทย ฝ่ายเดินเรือ ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนเดินเรือพาณิชย์ไทย ฝ่ายเดินเรือ ที่กำลังจะเลือกเรือฝึกภาคปฏิบัติทางทะเล และที่ผ่านการฝึกภาคปฏิบัติทางทะเลมาแล้ว จากสถาบันในกำกับของรัฐ ได้แก่ ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้แบบสอบถามจำนวน 92 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกประเภทเรือฝึกของนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ไทย ฝ่ายเดินเรือ ก่อนการฝึกภาคปฏิบัติทางทะเล ได้แก่ ปัจจัยด้านการเงิน ตามด้วยปัจจัยด้านการเติบโตทางอาชีพ ปัจจัยด้านองค์กร ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านมุมมองส่วนบุคคล ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจหลังการฝึกภาคปฏิบัติทางทะเล เรียงลำดับจากมากที่สุดไป ได้แก่ ปัจจัยด้านมุมมองส่วนบุคคล ปัจจัยด้านการเงิน ปัจจัยด้านองค์กร ปัจจัยด้านการเติบโตทางอาชีพ และปัจจัยด้านสังคม และจากการเปรียบเทียบปัจจัยทั้งหมดพบว่า ปัจจัยด้านการมีคนประจำเรือต่างชาติ (อยู่ในปัจจัยด้านองค์กร) ปัจจัยด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน (อยู่ในปัจจัยด้านองค์กร) ปัจจัยด้านรูปแบบของการจ้างงาน(อยู่ในปัจจัยด้านการเงิน) ปัจจัยด้านค่านิยมในการเลือกประเภทของเรือ(อยู่ในปัจจัยด้านสังคม) ปัจจัยด้านขนาดของเรือมีผลต่อการยอมรับ (อยู่ในปัจจัยด้านสังคม) ปัจจัยด้านประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในเรือหรืองานที่เกี่ยวข้องกับเรือบางประเภทมาก่อน (อยู่ในปัจจัยด้านการเติบโตทางอาชีพ) ปัจจัยด้านการเข้าอบรมเพิ่มเติมจากหลักสูตรเฉพาะทาง (อยู่ในปัจจัยด้านการเติบโตทางอาชีพ) และปัจจัยด้านการสั่งสมทักษะเฉพาะ (อยู่ในปัจจัยด้านการเติบโตทางอาชีพ) พบว่า แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านประเภทเรือที่ถูกเลือกมากที่สุดทั้งก่อนและหลังออกฝึก ได้แก่ เรือบรรทุกสินค้าเทกอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเลือกเรือประเภทเดียวกันทั้งก่อนและหลังการฝึก คิดเป็นร้อยละ 74.19 และเปลี่ยนประเภทเรือหลังการฝึกภาคทางทะเล คิดเป็นร้อยละ 25.81 ซึ่งผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การเลือกประเภทเรือของนักเรียนเดินเรือพาณิชย์มีปัจจัยด้านการเงินเป็นอันดับต้น ๆ ของทั้งก่อนและหลังการฝึกภาคทางทะเล และนักเรียนเดินเรือพาณิชย์จะมีมุมมองส่วนบุคคลเปลี่ยนไป เมื่อผ่านการฝึกภาคทางทะเลมาแล้ว</p>
2025-08-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/280514
ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจกับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของวิสาหกิจชุมชนในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
2025-07-18T11:13:12+07:00
อาทิตยา ลาวงศ์
atitaya.la@bru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ 2) ศึกษาปัจจัยการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และ 3) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจกับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของวิสาหกิจชุมชนเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ วิสาหกิจชุมชน จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ และสมการถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านเจ้าของและผู้ถือหุ้น ส่วนปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านสังคมและวัฒนธรรม 2) ปัจจัยการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว และ 3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจด้านเจ้าของและผู้ถือหุ้น ด้านคณะกรรมการบริหาร ด้านกฎหมายและการเมือง และ ด้านเศรษฐกิจ มีความสัมพันธ์กับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-08-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/274394
อิทธิพลการกำกับดูแลกิจการต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-07-30T14:34:27+07:00
ช่ออุรา กลยนี
choura.k@ku.th
ณัฐณิชา พลพิทักษ์
natnicha.phol@ku.th
ฐิติมา คุยม่วงพันธ์
thitima.khui@ku.th
นันทิชา รักษาศิลป์
nanthicha.r@ku.th
ภัทรดา ที่รัก
phatrada.t@ku.th
พิมพ์ญาดา ไชยงค์
pimyada.c@ku.th
ชมพูนุท คุ้มมี
Chompoonut.ko@ku.th
วริทธิ์ธร สิงห์วงค์ษา
Warittorn.s@ku.th
เบญจวรรณ ศุภภัทรพร
choura.k@ku.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลการกำกับดูแลกิจการต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้วยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ระหว่างปี 2563 ถึง 2566 จำนวน 436 บริษัท โดยใช้การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า สัดส่วนผู้ถือหุ้น 5 รายแรก สัดส่วนคณะกรรมการตรวจสอบ และระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ขณะเดียวกัน สัดส่วนผู้ถือหุ้นสถาบัน และความเป็นอิสระของคณะกรรมการมีความสัมพันธ์เชิงลบต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการกำกับดูแลกิจการมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อบริษัท โดยเฉพาะเมื่อบริษัทมีสัดส่วนผู้ถือหุ้น 5 รายแรกมากขึ้น มีสัดส่วนคณะกรรมการตรวจสอบเพิ่มขึ้น และมีคะแนนการกำกับดูแลกิจการที่สูงขึ้น จะส่งผลให้มูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียในการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
2025-08-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/276364
ปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในจังหวัดร้อยเอ็ด
2025-07-30T15:05:10+07:00
ดวงเดือน เภตรา
dphatra1981@gmail.com
รักษดาวัลย์ ศิริตาคำ
Dphatra@hotmail.com
<p> ภาษีเงินได้เป็นรายได้หลักที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศซึ่งทัศนคติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการเสียภาษีและทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทัศนคติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) ศึกษาระดับความรู้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดร้อยเอ็ด 3) เปรียบเทียบทัศนคติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตามตามปัจจัยส่วนบุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 384 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, F-test ผลการวิจัยพบว่า สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชมชนมีทัศนคติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในระดับมาก มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคติในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดร้อยเอ็ดคือ เพศ และระดับการศึกษา</p>
2025-08-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/273315
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee ของผู้บริโภคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2025-07-18T11:15:02+07:00
วลัย ซ่อนกลิ่น
laisurin1817@gmail.com
นัทธ์หทัย อัครธนเตชสิทธิ์
laisurin1817@gmail.com
สายใจศิริ สุขวัฒนะ
laisurin1817@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1)ศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์และพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee ของผู้บริโภค ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ (2)วิเคราะห์อิทธิพลปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Shopee ของผู้บริโภคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างคือประชาชนที่อยู่อาศัย ทำงาน หรือกำลังศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 41-50 ปี มีอาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท 2) พฤติกรรมการซื้อ ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Shopee 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 500 บาทต่อครั้ง มีความพึงพอใจต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการรักษาความเป็นส่วนตัวและด้านการส่งเสริมการตลาด และ 3)การทดสอบสมติฐานการวิจัยด้วยการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณยืนยันว่า ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด การให้บริการส่วนบุคคล และการรักษาความเป็นส่วนตัว มีผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Shopee ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า Shopee ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ดียิ่งขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jmsr/article/view/272394
กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการให้บริการธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย
2025-07-30T15:00:48+07:00
มัณฑน์นันท์ ขุนฤทธิ์
k.mantanan@gmail.com
<p> งานวิจัยเรื่อง กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการให้บริการธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพการให้บริการของธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้ของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย 2) ศึกษาความคิดเห็นของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักด้านการพัฒนาคุณภาพบริการของธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย 3) การศึกษากลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพบริการของธุรกิจที่พักเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณจากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้ จำนวน 400 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพจากผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้ จำนวน 8 คน</p> <p> ผลการศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับรู้คุณภาพการให้บริการของธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้ของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียทั้ง 5 ด้าน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 4.64 โดยมีระดับความเห็นในด้านการตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ (Responsiveness) มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 4.84 ด้านความคิดเห็นของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักและกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการบริการธุรกิจที่พักในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้ในภาพรวมพบว่า การให้บริการด้วยความใส่ใจ การปฏิบัติตามมาตรฐานการให้บริการของสถานประกอบการ เมื่อรวมกับทักษะเฉพาะตัวของพนักงานมีส่วนส่งเสริมให้การบริการเกิดคุณภาพตามมาตรฐาน ผลการศึกษากลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการให้บริการของธุรกิจที่ในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลใต้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียพบว่า 1. ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ (Tangibles) ผู้ให้บริการธุรกิจที่พักควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสถานที่ พนักงาน สิ่งอำนวยความสะดวกและการให้บริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า 2. ด้านความไว้วางใจ (Reliability) ผู้ให้บริการธุรกิจที่พักควรทบทวนและพัฒนาทักษะการให้บริการแก่พนักงานจนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ หรือการปฏิบัติตามมาตรฐานของการปฏิบัติงาน (SOP) 3. ด้านการให้ความเชื่อมั่นในการบริการ (Assurance) ผู้ให้บริการธุรกิจที่พักต้องมีวิธีการหรือการให้บริการที่ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ 4. ด้านการตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ (Responsiveness) ผู้ให้บริการธุรกิจที่พักต้องมีความพร้อมในการบริการ ทัั้งบุคลากร สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก 5. ด้านความเข้าใจลูกค้า (Empathy) ผู้ให้บริการควรเอาใจใส่ในการให้บริการ มีความเข้าใจพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียและพัฒนาทักษะสื่อสารภาษารัสเซีย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์