https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/issue/feed
วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
2025-06-25T14:39:47+07:00
กองจัดการวารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
culture.artsjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ จัดทำโดยสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนงานทำนุบำรุงวัฒนธรรมและศิลปะและงานบริการวิชาการแก่สังคม โดยให้อาจารย์ นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวัฒนธรรมและศิลปะ 2. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยด้านศิลปวัฒนธรรมที่มีคุณภาพ ผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมในแต่ละแขนง 3. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยด้านวัฒธรรมและศิลปะมากยิ่งขึ้น 4. เพื่อผลิตสื่อวารสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเผยแพร่ผ่านระบบออนไลน์ กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 กรกฎาคม-ธันวาคม และฉบับที่ 2 มกราคม-มิถุนายน</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/279839
บทบรรณาธิการ
2025-06-14T16:21:14+07:00
อรุษา เชาวนลิขิต
arusa@g.swu.ac.th
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/273662
การศึกษาวิเคราะห์ท่ารำนาฏศิลป์ไทย 4 ภาค สำหรับเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ที่นั่งรถวีลแชร์
2024-11-19T15:37:41+07:00
ปิยธิดา วงศ์สุวรรณ
piyathidaw@g.swu.ac.th
ระวิวรรณ วรรณวิไชย
rawiwan@g.swu.ac.th
วรพล อร่ามรัศมีกุล
voraphol@g.swu.ac.th
<p>บทความวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องการพัฒนาความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ที่นั่งรถวีลแชร์ โดยใช้กิจกรรมนาฏศิลป์ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ท่ารำนาฏศิลป์ไทย 4 ภาค ที่สามารถพัฒนาความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายที่นั่งรถวีลแชร์ การดำเนินการวิจัยผู้วิจัยนำรูปแบบกระบวนท่ารำจากนาฏศิลป์ พื้นบ้าน 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งรูปแบบชุดกิจกรรมนาฏศิลป์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นำหลักการของกายภาพบำบัดบริหาร โดยขั้นตอนในการออกแบบกิจกรรม ได้แก่ 1. ศึกษาข้อมูล เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับนาฏศิลป์ 4 ภาค และวิธีการเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ 2. ศึกษาข้อมูลเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายที่นั่งรถวีลแชร์ เพื่อสร้างชุดกิจกรรมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับท่านาฏศิลป์และการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 3. ออกแบบท่าเสริมสร้างกล้ามเนื้อจากท่ารำนาฏศิลป์ทั้ง 4 ภาค ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ 4. ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พบว่าการคัดเลือกท่านาฏศิลป์ 4 ภาค มาใช้จำนวนภาคละ 8 ท่า รวมทั้งหมด จำนวน 32 ท่า ที่มีลักษณะสอดคล้องกับการสร้างกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดความแข็งแรง และความทนทานกับเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย พัฒนา ออกแบบกิจกรรม สู่รูปแบบของแผนกิจกรรม ทั้งสิ้น 4 ชุดกิจกรรม ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ 1 ภาคเหนือพาฟ้อน ชุดกิจกรรมที่ 2 เซิ้งออนซอนภาคอีสาน ชุดกิจกรรมที่ 3 ออกลีลาทำท่าภาคกลาง ชุดกิจกรรมที่ 4 โยกย้ายตามจังหวะภาคใต้</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/268497
กระบวนการสร้างภาพต้นแบบโดยใช้หลักปรัชญาอิคิไก
2025-04-08T14:22:24+07:00
แสงเพชญ์ ศรีนิ่ม
sangpetch.sr@gmail.com
เพิ่มศักดิ์ สุวรรณทัต
permsak.s@chula.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่องการออกแบบอัตลักษณ์ตราสินค้าเพื่อสื่อสารภาพต้นแบบโดยใช้หลักปรัชญาอิคิไก ภายใต้หลักสูตรศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานฤมิตศิลป์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมค้นหารูปแบบกระบวนการสื่อสารหลักปรัชญาอิคิไกและค้นหาภาพต้นแบบที่เหมาะสมกับหลักปรัชญาอิคิไก โดยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) 1.วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interviews) ใช้แบบสอบถามแบบปลายเปิด (Open-ended Form) 2.สัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม (Focus group) ใช้แบบสอบถามแบบปลายเปิด (Open-ended Form) ผลการวิจัยพบว่า เสาหลัก 5 ประการ ประกอบด้วย เสาหลักประการแรก: การเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ (Starting small) เสาหลักประการที่สอง: ปลดปล่อยตัวเอง (Releasing yourself) เสาหลักประการที่สาม: สอดคล้องและยั่งยืน (Harmony and sustainability) เสาหลักประการที่สี่: มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ (The joy of little things) เสาหลักประการที่ห้า: การอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ (Being in the here and now) และค้นพบภาพต้นแบบอิคิไก (Ikigai Archetypes) รวมไปถึงคุณลักษณะเฉพาะของบุคลิกภาพ (Traits) ได้แก่ ซามูไร (Samurai) เกอิชา (Geisha) นักบวช (Priest) ช่างฝีมือ (Shokunin) และ โชกุน (Shogun) โดยพื้นฐานคุณลักษณะเฉพาะร่วมกันและสื่อสารกับปรัชญาอิคิไกในระดับแก่นแท้ (Essences) ที่มีความสัมพันธ์กับภาพต้นแบบอิคิไก โดยนำเสนอในรูปแบบภาพสื่อสารภาพต้นแบบสำหรับการสร้างอัตลักษณ์ (Visual Brand Driver) และพร้อมคำอธิบายเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในงานออกแบบอัตลักษณ์ต่อไปได้</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/272783
การออกแบบและพัฒนาสื่อ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษาชุมชนบ้านครัวเหนือ กรุงเทพมหานคร
2025-04-02T17:00:37+07:00
ศุภชา ฤกษ์เรืองฤทธิ์
supacha.roek@gmail.com
กิตติกรณ์ นพอุดมพันธุ์
kittikornn@g.swu.ac.th
กิติศักดิ์ เยาวนานนท์
yukolwat@gmail.com
<p>บทความวิจัยเรื่องการออกแบบและพัฒนาสื่อ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษาชุมชนบ้านครัวเหนือ กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้มุ่งเน้นตามหลักวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการออกแบบและพัฒนาสื่อสำหรับส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษาชุมชนบ้านครัวเหนือ กรุงเทพมหานคร ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง การวิจัยนี้ดำเนินการในช่วงเดือน กันยายน พ.ศ. 2566 ถึง เมษายน พ.ศ. 2568</p> <p>การวิจัยใช้แหล่งข้อมูลทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิ ข้อมูลปฐมภูมิได้จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 คน ประกอบด้วยผู้นำชุมชน และตัวแทนชุมชน ข้อมูลทุติยภูมิได้จากการศึกษาวรรณกรรม งานวิจัย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย ทำให้สื่อที่ผลิตมีความเหมาะสมกับบริบท ความต้องการ และอัตลักษณ์ของชุมชน สื่อที่ได้รับการพัฒนาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ โลโก้ของชุมชนบ้านครัวเหนือ ป้ายประชาสัมพันธ์ (ป้ายหลัก ป้ายรอง และป้ายบอกเส้นทาง) และสื่อวิดีโอ 6 คลิป เผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook ของชุมชน และ QR Code บนป้ายหลักในพื้นที่จริง ทั้งนี้ชุมชนยังมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร บุคลากร และทักษะการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเผยแพร่สื่อ</p> <p>การอภิปรายผลชี้ให้เห็นว่า การใช้กรอบแนวคิดการวิจัยแบบมีส่วนร่วม ช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและชุมชนบ้านครัวเหนือ ส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของในวัฒนธรรมท้องถิ่น และทำให้เกิดสื่อที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน โดยการออกแบบสื่อที่ตอบสนองต่อบริบทและความต้องการจริงอันนำไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/274252
ละลุ : ความงามจากธรรมชาติสู่การสร้างสรรค์ลวดลายผ้าทอมือลายละลุ จังหวัดสระแก้ว
2025-03-19T16:38:51+07:00
ภูวษา เรืองชีวิน
puvasa@gmail.com
<p>ละลุ : ความงามจากธรรมชาติสู่การสร้างสรรค์ลวดลายผ้าทอมือลายละลุ จังหวัดสระแก้ว งานวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะเด่นเชิงนิเวศของพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ละลุ รวมทั้ง ลักษณะทางธรรมชาติสู่การวิเคราะห์อัตลักษณ์ รูปร่าง สี เพื่อออกแบบลวดลายจากรูปทรงเรขาคณิตสำหรับลายผ้าทอร่วมสมัย และสร้างสรรค์ให้เป็นต้นแบบในการผลิตลวดลายผ้ามัดหมี่ทอมือสู่อัตลักษณ์ใหม่ทางวัฒนธรรมของ จังหวัดสระแก้ว</p> <p>งานวิจัยนี้ ศึกษาวิจัยทั้งด้านเอกสารและการสำรวจภาคสนามจากการลงพื้นที่ โดยใช้เครื่องมือวิจัยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูลลักษณะเฉพาะของพื้นที่ทางธรรมชาติและข้อมูลของชุมชน เพื่อให้ได้องค์ประกอบที่เหมาะสมในการถอดแบบสีและลายสู่การนำไปเป็นต้นแบบของลวดลายผ้าทอ ผลของการวิจัยพบว่าลักษณะของโครงสร้างละลุมีลักษณะเป็นแท่งเสาดินหลายรูปแบบ และมีโครงสร้างสีที่แตกต่างกันตามชั้นดินสามารถเทียบเคียงได้กับค่าสีจาก Pantone Colour chart สำหรับการออกแบบใหม่ ส่วนลวดลายสามารถประยุกต์รูปทรงเรขาคณิตจากโครงสร้างด้วยการตัดทอน ผสมผสาน ตามลักษณะของธรรมชาติประยุกต์เชิงออกแบบเป็นลายทอสำหรับผ้ามัดหมี่ในตารางกราฟด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และใช้วิธีการทำซ้ำในแนวตั้งและแนวนอนจนได้ลายผ้าและลายเชิง ผลการออกแบบ ผู้วิจัยได้ต้นแบบร่าง จำนวน 5 แบบ สามารถนำไปต่อยอดและทดลองการขึ้นทอลาย และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอัตลักษณ์ลายผ้าของจังหวัดสระแก้วได้ในอนาคต</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/276460
การส่งเสริมช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน
2025-03-21T14:03:23+07:00
วุฒิไกร ศิริผล
w.siriphon@gmail.com
แพรวา รุจิณรงค์
phraevar@gmail.com
<p>โครงการวิจัยการส่งเสริมช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน มีเป้าหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาวการณ์ของช่างทอผ้ารุ่นใหม่ และ 2) ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้สิ่งทอจากครูช่างศิลป์ และสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) โดย ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง วางแผนการดำเนินงานวิจัย ดำเนินกิจกรรมหลักที่ 1 การศึกษาข้อมูลสภาวการณ์การทำงานของช่างทอรุ่นใหม่ รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย และคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย กิจกรรมหลักที่ 2 ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้สิ่งทอจากครูช่างศิลป์ และแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืนสู่ช่างทอรุ่นใหม่ กิจกรรมหลักที่ 3 สนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบอย่างยั่งยืน และวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย แนวคิดทฤษฎีที่นำมาใช้ ได้แก่ การส่งเสริมงานช่างศิลป์สิ่งทอไทย และแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน</p> <p>ผลการวิจัย ได้แก่ 1) องค์ความรู้ด้านการส่งเสริมช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน จำนวน 1 เรื่อง 2) หลักสูตรอบรมงานช่างศิลป์สิ่งทอและแนวคิดการออกแบบอย่างยั่งยืนสู่คนรุ่นใหม่ จำนวน 3 หลักสูตร 3) ผลงานศิลปกรรมต้นแบบผ้าทอ จำนวน 11 ชิ้น 4) คลิปวิดีโอสรุปโครงการ จำนวน 1 คลิป 5) เครือข่ายนักวิจัย นักวิชาการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 6 คน และ 6) จำนวนภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษาจำนวน 4 สถาบัน สรุปผลการวิจัยคือ การส่งเสริมช่างทอรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืน มีศักยภาพเป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรช่างศิลป์สิ่งทอ ทั้งนี้ ควรส่งเสริมพัฒนาความรู้และทักษะด้านการตลาด การบริหารจัดการและการออกแบบเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/276542
นวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยสีย้อมจากทรัพยากรธรรมชาติพื้นถิ่น
2025-04-30T10:47:39+07:00
อังกาบ บุญสูง
Tamthai_wisdom@hotmail.com
<p>บทความวิจัยฉบับนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้สีย้อมจากทรัพยากรธรรมชาติพื้นถิ่นของจังหวัดอุตรดิตถ์ งานวิจัยมุ่งเน้นการถอดอัตลักษณ์สีจากพืชย้อมสีท้องถิ่น เพื่อสร้างชุดสี อัตลักษณ์ (Color Palette) ที่สะท้อนภูมิปัญญาดั้งเดิมควบคู่กับการออกแบบร่วมสมัย โดยประยุกต์ใช้นวัตกรรมเชิงกระบวนการ เช่น การวิเคราะห์สีด้วยระบบมาตรฐาน CMYK และ Munsell Color System เพื่อกำหนดโทนสีได้อย่างแม่นยำและนำไปใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมสำคัญของงานวิจัยนี้อยู่ที่การเชื่อมโยงชุดสีอัตลักษณ์กับบริบทพื้นที่ วัฒนธรรม และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ทั้งด้านโทนสี วัสดุ และกระบวนการผลิต โดยใช้ STAR Model เป็นกรอบแนวคิดในการบูรณาการทรัพยากรท้องถิ่นกับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสีย้อมธรรมชาติช่วยลดการใช้สารเคมี ลดมลพิษ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างเอกลักษณ์ให้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน ด้านการตลาดผลิตภัณฑ์สามารถตอบสนองต่อกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์สินค้าชุมชนในระดับประเทศและสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลิตภัณฑ์ได้รับการพัฒนาให้อยู่ในกลุ่มสินค้าหัตถกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Creative Craft & Cultural Textile) ซึ่งเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดสากลและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/268311
การพัฒนานวัตกรรมวัสดุทางเลือกจากเห็ด เพื่องานแฟชั่นไลฟ์สไตล์
2025-03-21T13:54:49+07:00
ณัฐชยา เปียแก้ว
6581005935@student.chula.ac.th
ศิวรี อรัญนารถ
dfa.creativearts.chula@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่อง นวัตกรรมผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ด้วยวัสดุทางเลือกจากเห็ด ภายใต้แนวคิดการออกแบบหมุนเวียน ภายใต้หลักสูตร ศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานฤมิตศิลป์ โดยการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมวัสดุทางเลือกจากเห็ด สำหรับตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ โดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ควบคู่กับการทดลองสร้างสรรค์นวัตกรรมวัสดุทางเลือกเพื่อใช้ในงานแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้กระบวนการเทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) โดยมีการสัมภาษณ์ทั้งหมด 2 ระยะ ในการสัมภาษณ์ระยะที่1 เพื่อให้ได้แนวทางพัฒนาวัสดุทางเลือกจากเห็ด สำหรับผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ เมื่อได้ต้นแบบวัสดุทางเลือก และสัมภาษณ์ในระยะที่ 2 เพื่อประเมินการพัฒนาวัสดุทางเลือกจากเห็ดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ และตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์</p> <p>ผลสรุปงานวิจัย พบว่า กระบวนการทดลองด้วยนวัตกรรมรูปแบบวัสดุหนัง สามารถสร้างวัสดุทางเลือกจากเห็ด สำหรับผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ โดยส่วนผสม คือ เห็ดนางฟ้า (Oyster mushroom) 40% ไบเดอร์ (Binder) 40% น้ำ (Water) 20% เป็นส่วนประกอบหลัก ต้ม ปั่น ผสม และใช้วิธีการเคลือบผิว (Coating) บนเส้นใยสับปะรด หรือผ้าอัดเหลือทิ้ง รอแห้ง และต้นแบบวัสดุทางเลือกจากเห็ด มีลักษณะพื้นผิวสัมผัส หยาบ ลื่น คล้ายวัสดุหนัง ขนาด 0.3 – 1 มิลลิเมตร มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ ประเภท เสื้อคลุม กระเป๋า รองเท้า โดยผลจากการทดลองต้นแบบวัสดุทางเลือกจากเห็ดที่ 13, 14, 15 และ 16 ในภาพรวมมีความเหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ และจะเป็นวัสดุหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และตราสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์จากนวัตกรรมวัสดุทางเลือกจากเห็ด ด้วยแนวคิดการออกแบบหมุนเวียนต่อไป</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/276069
การพัฒนาชุดกิจกรรมคัฟเวอร์แดนซ์ เพื่อพัฒนาและเสริมศักยภาพทักษะด้านจรณทักษะ ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ในการทำงานช่วงต้น
2025-03-19T09:59:44+07:00
วรัชยา ชลวิถี
waratchaya.chol@g.swu.ac.th
ธรากร จันทนะสาโร
dharakorn@g.swu.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมคัฟเวอร์แดนซ์ สำหรับการพัฒนาและเสริมศักยภาพด้านจรณทักษะ (Soft Skills) สำหรับนิสิตที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีสุดท้าย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยทำงานช่วงต้น 2. เพื่อประเมินผลก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมคัฟเวอร์แดนซ์ สำหรับการพัฒนาและเสริมศักยภาพด้านจรณทักษะ (Soft Skills) สำหรับนิสิตที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีสุดท้าย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยทำงานช่วงต้น ในส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นิสิตที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีสุดท้าย จำนวน 35 คน โดยมาจากกลุ่มอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดกรุงเทพมหานครที่มีค่าคะแนนเฉลี่ยทักษะทางด้านจรณทักษะต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2.50 จากการทำแบบทดสอบวัดทักษะจรณทักษะจำนวน 31 ข้อ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดทักษะจรณทักษะ (Soft Skills) ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 31 ข้อ โดยวัดทักษะจรณทักษะการทำงานเป็นทีม (Teamwork Effectiveness) และทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน (Planning and Ways of working) และ 2) ชุดกิจกรรมคัฟเวอ์แดนช์ ที่มีชื่อว่า “Cover Dance for 2 Soft Skills” มีทั้งหมด 15 ครั้ง โดยนำแนวคิด ทฤษฎีด้านการเต้นคัฟเวอร์แดนซ์และด้านนาฏศิลป์สากลที่นำมาบูรณาการร่วมกับการพัฒนาทักษะจรณทักษะการทำงานเป็นทีม (Teamwork Effectiveness) และทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน (Planning and Ways of working) มาพัฒนาเป็นชุดกิจกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในงานวิจัยครั้งนี้โดยผลการเปรียบเทียบระดับจรณทักษะทางด้านทักษะการทำงานเป็นทีม แสดงให้เห็นว่า จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 35 คน ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยผลการวัดระดับจรณทักษะการทำงานเป็นทีม เท่ากับ 1.86 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.19 และหลังเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยผลการวัดระดับจรณทักษะการทำงานเป็นทีม เท่ากับ 4.06 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.13 และผลการเปรียบเทียบระดับจรณทักษะทางด้านทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน แสดงให้เห็นว่า จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 35 คน ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยผลการวัดระดับจรณทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน เท่ากับ 1.78 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.21 และหลังเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยผลการวัดระดับจรณทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน เท่ากับ 4.14 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.16 เมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยระดับจรณทักษะการทำงานเป็นทีมและจรณทักษะการวางแผนและวิธีการทำงาน ก่อนเข้าร่วมและหลังเข้าร่วมชุดกิจกรรม “Cover Dance For 2 Soft Skills” พบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยหลังการเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/265836
การออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุหินอ่อนอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร
2025-05-14T11:22:43+07:00
ธนกิจ โคกทอง
tanakitkoktong@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน มีจุดประสงค์คือ 1.) เพื่อศึกษารูปแบบและความต้องการของเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุหินอ่อนของชุมชน 2.) เพื่อออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุหินอ่อนอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน 3.) เพื่อประเมินคุณภาพและความพึงพอใจของเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุหินอ่อน เนื่องจากหินอ่อนเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่มากในจังหวัดกำแพงเพชร โดยเฉพาะหินอ่อนสีชมพูที่เป็นวัสดุที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของจังหวัดกำแพงเพชร ทำให้มีการแปรรูปหินอ่อนจำนวนมากที่อำเภอ พรานกระต่าย ผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาปัญหาและความต้องการจากทุกภาคส่วน ทั้งจาก ผู้ประกอบการในชุมชน ลูกค้าในชุมชน ช่างแกะสลักในชุมชน และนักออกแบบในชุมชน โดยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นสถานประกอบการรายใหญ่และมีชื่อเสียงในจังหวัดกำแพงเพชรเพื่อทำการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจนได้ข้อมูลความต้องการและปัญหาของแต่ละภาคส่วน นำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบเฟอร์นิเจอร์หินอ่อน ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นจากการใช้ศิลปะการแกะสลักลวดลายมาผสมผสาน และออกแบบมีรูปแบบการใช้งานที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า จากนั้นทำการประเมินคุณภาพของเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนโดยผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความพึงพอใจโดยกลุ่มลูกค้า โดยผลการวิจัยพบว่ารูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ที่ได้จากการวิจัยจากการร่วมกันออกแบบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน มีผลการประเมินในทั้งในด้านคุณค่าทางสังคม ความเชื่อ การสะท้อนถึงอัตลักษณ์พื้นถิ่น ความสวยงาม ความแข็งแรง ประโยชน์ใช้สอย ขนาดน้ำหนักที่เหมาะสมในการขนย้ายและจัดส่งในระดับดี สามารถเพิ่มมูลค่าของเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุหินอ่อนให้มีความคุ้มค่ากับปริมาณวัสดุที่ต้องใช้ในการแปรรูป โดยกระบวนการวิจัยทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดของการวิจัยแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน และหลักการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ แต่ยังคงมีปัญหาด้านขนาดและน้ำหนักของหินอ่อนที่เป็นปัญหาหลักๆ ยังมีความจำเป็นที่ต้องนำศาสตร์ด้านการขนส่งเข้ามาช่วยจัดการเพื่อต่อยอดงานวิจัยในมีความสมบูรณ์ทั้งกระบวนการ</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/275087
พื้นที่ทับซ้อนของความร่วมสมัย: พัฒนาการศิลปะในภูเก็ต ช่วงทศวรรษที่ 2510 – 2560
2025-05-16T18:20:06+07:00
จักรพันธ์ เชาว์ปรีชา
jakraphan.c@phuket.psu.ac.th
ณิชา โตวรรณเกษม
nicha.t@phuket.psu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาปัจจัยการเกิดพื้นที่ของแรงต้านระหว่างอุดมการณ์ทางศิลปะ ผู้วิจัยไม่ได้มุ่งเน้นศึกษาความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล แต่ศึกษากรอบสังคมและเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ศิลปินต้องพยายามดำรงอุดมการณ์ของตนเองและทำให้เกิดการซ้อนทับของพื้นที่ทางสังคมของศิลปินกลุ่มต่าง ๆ พื้นที่ศิลปะจึงกลายเป็นพื้นที่แห่งการต่อต้านกันทางอุดมการณ์ที่เรียกว่าเฮทเทอโรโทเปียในที่สุด งานวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ศิลปินเพื่อทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การพัฒนาวงการศิลปะภายใต้บริบทของเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มศิลปินที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการสื่อสารสุนทรียะและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ งานวิจัยนี้พบว่ากลไกการเกิดเฮทเทอโรโทเปียมีผลมาจาก 1) การเชื่อมโยงศิลปะกับระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวตั้งแต่ทศวรรษที่ 2510 ทำให้เกิดศิลปะร่วมสมัยที่มีรูปแบบแตกต่างกันตามช่วงเวลา 2) แรงผลักดันภายในตัวศิลปินที่มีความขัดแย้งระหว่างความต้องการทางสุนทรียะกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ปัจจัยนี้ส่งผลให้เกิดความพยายามในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเอง 3) กรอบเวลาของการพัฒนาเมืองที่กลายเป็นกรอบของพื้นที่ทางสังคมศิลปะ</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ