วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri <p>ยินดีต้อนรับสู่ วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย ISSN: 2773-9775 (Online) เป็นวารสารวิชาการของสมาคมหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วารสารเผยแพร่เนื้อหาบทความที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการมีการตรวจสอบคุณภาพบทความให้มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานตามหลักวิชาการ ทำให้วารสารมีข้อมูลเพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ศาสนศึกษา และการประยุกต์พุทธศาสนากับสาขาวิชาอื่น ๆ เช่น การศึกษา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการ และ บริหารธุรกิจ เป็นต้น บทความทั้งหมดต้องเกี่ยวข้องกับการสอน และการวิจัย ใน 3 กลุ่มประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 พระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม ได้แก่ หลักพุทธธรรม การวิเคราะห์หลักพุทธธรรม กลุ่มที่ 2 พุทธศาสนาประยุกต์ กับ สาขาดังนี้ การศึกษา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ และ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น กลุ่มที่ 3 กลุ่มนวัตกรรมทางการจัดการศึกษาและการวิจัย ในสาขา ดังนี้ การศึกษา ภาษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการ และ บริหารธุรกิจ เป็นต้น</p> <p><strong>Online ISSN:</strong> 2773-9775 </p> <p><strong>ปีที่เริ่มเผยแพร่:</strong> 2564</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong> ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </p> <p>วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย (JEMRI) มุ่งมั่นที่จะรักษาความสมบูรณ์ของการตีพิมพ์ทางวิชาการและรักษาความเชื่อมั่นในวารสารโดยผู้เขียน ผู้วิจารณ์ และผู้อ่าน วารสารมุ่งมั่นที่จะจัดการกรณีการทุจริตต่อหน้าที่ในการตีพิมพ์โดยทันที และรักษามาตรฐานสูงสุดของจรรยาบรรณตลอดกระบวนการตีพิมพ์</p> th-TH pkachat@gmail.com (พระครูใบฎีกาอภิชาติ ธมฺมสุทฺโธ, ผศ.ดร.) dn.2519@gmail.com (Somchai Damnoen) Thu, 02 May 2024 11:42:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กวัยเรียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267744 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอความรู้เกี่ยวกับความฉลาดทางดิจิทัล และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กวัยเรียน โดยเนื้อหาของบทความแบ่งเป็น ความหมายของความฉลาดทางดิจิทัล ความสำคัญของความฉลาดทางดิจิทัล พฤติกรรมบ่งชี้ของความฉลาดทางดิจิทัล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กวัยเรียน 8 ด้าน ได้แก่ 1) การแสดงตัวตนบนโลกดิจิทัล 2) การใช้เครื่องมือและสื่อดิจิทัล 3) ความปลอดภัยทางดิจิทัล 4) ความมั่นคงทางดิจิทัล 5) ความฉลาดทางอารมณ์ดิจิทัล 6) การสื่อสารดิจิทัล 7) การรู้ดิจิทัล 8) สิทธิทางดิจิทัล โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เด็กวัยเรียน รู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพต่อไป</p> ลลวัลย์ อธิชกุล, จิรศักดิ์ สุรังคพิพรรธน์ , วรรณรี ปานศิริ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267744 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 อนาคตของการศึกษา : แนวโน้มและความท้าทาย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268328 <p>การเข้าถึงความรู้และการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลเป็นที่สำคัญอย่างมากในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนการสอนไม่เพียงแต่ทำให้กระบวนการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ ซึ่งทำให้การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น การพัฒนาทักษะและความสามารถที่เน้นไปที่การทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อพูดถึงการศึกษาในยุคดิจิทัล ผู้เรียนต้องได้รับการฝึกฝนในการใช้เทคโนโลยีให้เข้าใจและนำมันไปใช้ในการแก้ไขปัญหาและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ต้องการความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต การใช้เทคโนโลยีในการศึกษายังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงและความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว ดังนั้น การพัฒนานโยบายและแนวทางในการใช้เทคโนโลยีในการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การใช้เทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้เรียนและผู้สอนทั้งหมด</p> <p>ดังนั้น อนาคตของการศึกษา แนวโน้มและความท้าทาย ดังนี้ 1. การเรียนรู้แบบทันสมัย 2. การเรียนรู้บูรณาการ 3. การใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นสมัย 4. การเรียนรู้บนพื้นที่เสมือน 5. การเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์ 6. การให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน 7. การให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม 8. การสร้างชุมชนการเรียนรู้</p> พระปลัดสามารถ โพธิ์แก้ว , วรพร พรหมใจรักษ์ , ศักดิ์ดา งานหมั่น Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268328 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนการพัฒนาผู้เรียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268363 <p>การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ มีความสำคัญสำหรับการเรียนรู้และการทำงานของทุกคนในสถานศึกษา การจัดบรรยากาศที่เหมาะสมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้นได้ การกำหนดบทบาทของคณะและหน่วยงานในการกำหนดยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนเป้าหมายในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการทำงานในสถานศึกษา เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นักเรียนและนักศึกษาควรมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของสถานศึกษา เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมของตนเองและสถานศึกษา สภาพแวดล้อมที่ดีของสถานศึกษามีส่วนสำคัญในการสร้างความคิด จิตใจ และคุณธรรมที่ดีให้กับนักเรียนและนักศึกษา การจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาจะส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาบุคลิกภาพของครูและนักเรียนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในสถานศึกษาเป็นสิ่งที่สถานศึกษาควรทำเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้เรียนทุกคน</p> พระปลัดเขตขันท์ คนงานดี , ศักดิ์ดา งานหมั่น Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268363 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการใช้นวัตกรรมในการสอนสังคมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268310 <p>บทความนี้ได้ทำการศึกษา แนวทางการใช้เทคโนโลยีในการสอนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งการศึกษา ได้ประเด็นหลักสำคัญในการนำเสนอ ดังนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารสถาบันอุดมศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษาสังคมศึกษา การใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสังคมศึกษา</p> <p>แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารสถาบันอุดมศึกษา ประกอบด้วย ความเป็นเลิศ การเติบโตตามศักยภาพ และความเป็นผู้นำ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการบริหารอุดมศึกษา ไว้ดังนี้ สร้างคนเก่ง คนแกร่ง และคนกล้า ส่งเสริมให้คนเก่งให้เก่งถึงที่สุด ส่งเสริมสำนึกแห่งความเป็นเลิศให้เกิดขึ้นในสถาบัน สร้างและส่งเสริมความรู้ในทุกด้านของสังคม เป็นผู้นำทางความคิด ชี้ถูก ชี้ผิด ให้กับสังคม มีทางเลือกที่ดีงามให้กับคน สังคม และโลก และผดุงคุณค่าแห่งการตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษาสังคมศึกษา นวัตกรรมทางการศึกษามีกระบวนการหลากหลายวิธี เช่นความคิดสร้างสรรค์ ความต้องการแก้ปัญหา การจัดการและต่อยอดองค์ความรู้ และการปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งวิธีนี้เป็นที่นิยม เนื่องจากประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ อีกทั้งมีโอกาสสำเร็จ การใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสังคมศึกษา การใช้นวัตกรรมในนวัตกรรมในการสอนสังคมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา มาใช้กับผู้เรียนเพื่อส่งเสริม สนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล เพื่อนำผลของการศึกษาไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาโดยใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา</p> พระปลัดยุทธนา มาลาวงษ์ , ศักดิ์ดา งานหมั่น Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268310 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคม แห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266901 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วม 2) เพื่อศึกษาคุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัยคือ สถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ จำนวน 12 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 247 คน ได้จากการคำนวณโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสร้างสมการถดถอยเพื่อพยากรณ์ตัวแปรเกณฑ์ โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัย พบว่า<br /> 1. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก<br /> 2. คุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก<br /> 3. การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษาของสถานศึกษา ได้แก่ ด้านการประเมินผล ด้านการดำเนินการ ด้านการรับผลประโยชน์ และด้านการตัดสินใจ ได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .985 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 97.00 (R2=.970)</p> <p>ข้อค้นพบจากการวิจัย การบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้านการประเมินผล ด้านการดำเนินการ ด้านการรับผลประโยชน์ และด้านการตัดสินใจส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาศึกษาเกษตรภาคใต้</p> นิตยา เกตุแก้ว, มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266901 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยจูงใจที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267001 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยจูงใจในสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยจูงใจกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่การวิจัย คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 จำนวน 119 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 321 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการคำนวณโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับปัจจัยจูงใจในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยจูงใจกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยภาพรวม ปัจจัยจูงใจในสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .01 โดยภาพรวมมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงมาก (r=0.940)</p> กมลทิพย์ สมมุ่ง , มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267001 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) วิทยาลัยภาครัฐในสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครปฐม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267005 <h1>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ของนักศึกษาวิทยาลัยภาครัฐในสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครปฐม 2) เพื่อศึกษาการเลือกเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ของนักศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยการตัดสินใจที่ส่งผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 จำนวน 328 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</h1> <h1> 1) ผลการศึกษาระดับการเลือกสถานศึกษาเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง โดยภาพรวม <br />อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา เป็นรายข้อพบว่า ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนของผู้เรียนอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านทัศนคติของผู้เรียนและด้านการประชาสัมพันธ์ อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านลักษณะของวิทยาลัย อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด</h1> <h1> 2) ผลการศึกษาระดับปัจจัยการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าด้านข้อผูกผัน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ นิสัยและธรรมเนียม ส่วนเป้าหมายหรือจุดประสงค์ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด</h1> <h1> 3) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยการตัดสินใจมีความสัมพันธ์กับการเลือก เข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) วิทยาลัยภาครัฐในสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครปฐม ในภาพรวม มีความสัมพันธ์กันสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 88.60 (R<sup>2</sup>=0.886)</h1> กิตติวินท์ สำเภาทอง , มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267005 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267015 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 321 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหมด 17 คน ครูผู้สอน 304 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน วิเคราะห์พหุคูณแบบขั้นตอน โดยวิธี Stepwise ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 2 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p> <p>2) ระดับประสิทธิผลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 2 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับประสิทธิผลของสถานศึกษา และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา ด้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และต่ำที่สุดคือด้านการกระตุ้นทางปัญญา เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถพยากรณ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 79.20</p> <p>ข้อค้นพบจากการวิจัย ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และการกระตุ้นทางปัญญา ส่งผลต่อประสิทธิผลในสถานศึกษาของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 2</p> อนุชิต ทองเสน , มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267015 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบเสริมพลังอำนาจกับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267016 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบเสริมพลังอำนาจ 2) เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบเสริมพลังอำนาจกับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัยคือ สถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ จำนวน 12 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 247 คน ได้จากการคำนวณ โดยใช้สูตรของ Yamane โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ภาวะผู้นำแบบเสริมพลังอำนาจ สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <p>2) การทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) ภาวะผู้นำแบบเสริมพลังอำนาจมีความสัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ เป็นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษา ได้นำผลการวิจัยไปพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทำงานเป็นทีมในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จรรยพร ศรีชะฎา , มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267016 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ทักษะการบริหารของผู้บริหารที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267003 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารของผู้บริหารของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ สถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 247 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้วิทยาลัยเป็นชั้นภูมิ แล้วกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบสัดส่วนของตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาของจากกลุ่มประชากร กำหนดผู้บริหารสถานศึกษาทุกคนเป็นกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม การทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.99 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสร้างสมการถดถอยเพื่อพยากรณ์ตัวแปรเกณฑ์ โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ทักษะการบริหารของผู้บริหารของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ทักษะการบริหารของผู้บริหารของสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ได้แก่ ทักษะด้านการวินิจฉัย (X</span><sub>4</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) และทักษะด้านมโนภาพ (X</span><sub>3</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) ได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .856 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 73.30 (R</span><sup>2</sup><span style="font-size: 0.875rem;">=.733)</span></p> <p> </p> อภิญญา ปานโชติ , มังกร หริรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267003 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยแรงจูงใจที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร เขตบางกะปิ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268604 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน และศึกษาปัจจัยแรงจูงใจที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรเขตบางกะปิ รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรของสำนักงานเขตบางกะปิ จำนวน 115 ราย เครื่องมือที่ใช้วิจัยคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความสำเร็จในงาน และด้านที่ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ สภาพการทำงาน 2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน และด้านที่ค่าเฉลี่ยนน้อยที่สุดคือ กำลังใจ 3) ปัจจัยแรงจูงใจด้านสภาพการทำงานมีผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรเขตบางกะปิสูงสุด รองลงมาคือ การได้รับการยอมรับนับถือ โดยปัจจัยแรงจูงใจทั้ง 2 ด้าน มีความสามารถร่วมกันพยากรณ์ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรเขตบางกะปิ ร้อยละ 55</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัย คือ หน่วยงานที่ต้องการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานควรส่งเสริมสภาพการทำงานที่ดี โดยสร้างความร่วมมือกันระหว่างผู้บริหารและพนักงานในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและสร้างความเชื่อมั่นแก่พนักงานเพื่อให้รู้สึกว่างานของตนมีความสำคัญและมีค่ามีโอกาสในการพัฒนาและเติบโตในองค์กร มีโอกาสได้รับการยกย่องนับถือและเกิดความก้าวหน้าในงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการทำงานอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ</p> กนก เพ่งจินดา , นิวรัตน์ วิจิตรกุลสวัสดิ์ , อัจฉรา หล่อตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268604 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269038 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี พ.ศ. 2565 จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ t-test, สถิติ F-test และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหูคูณ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับปัจจัยลักษณะการเป็นผู้ประกอบการและปัจจัยความได้เปรียบในการแข่งขัน มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เพศ อายุ อายุกิจการ ระดับการศึกษา จำนวนเงินลงทุน และแหล่งที่มาของเงินทุน แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน และ 3) ปัจจัยลักษณะการเป็นผู้ประกอบการ และปัจจัยความได้เปรียบในการแข่งขัน มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร</p> จรีย์ภัสร์ จุฑาธนัญญ์ , นัทธ์หทัย อัครธนเตชสิทธิ์ , เตือนใจ แสงทอง , สฤษฎ์ ตะเส Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269038 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 แบบเรียนภาษาไทยชุดภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาทีกับการนำเสนออุดมการณ์ท้องถิ่นนิยม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268439 <p>แบบเรียนมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการนำเสนออุดมการณ์ที่รัฐพึงประสงค์ให้แก่เยาวชน ในแต่ละช่วงเวลาความคาดหวังของรัฐต่อเยาวชนที่พึงประสงค์ย่อมแตกต่างกันไป ในช่วงที่ผ่านมาแบบเรียนรายวิชาภาษาไทย ชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ได้รับความสนใจและข้อวิพากษ์วิจารณ์ด้านเนื้อหาอย่างมาก ซึ่งข้อคิดเห็นที่ปรากฏในโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นการพิจารณาแบบเรียนจากมุมมองของปัจจุบัน แม้จะเพื่อเสนอแนะให้เกิดการปรับปรุงเนื้อหาแบบเรียน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการแสดงทัศนะอย่างละเลยบริบทของการสร้างแบบเรียนดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญของประเทศในปี 2540 อันเป็นสถานการณ์ที่ผลักดันให้ประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับท้องถิ่นและเศรษฐกิจพอเพียง</p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนําเสนออุดมการณ์ท้องถิ่นนิยมในบทอ่านจากแบบเรียนรายวิชาพื้นฐานวิชาภาษาไทย ชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาปี 2551 งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้กรอบแนวคิดเรื่องกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ เป็นกรอบในการวิจัย กลุ่มข้อมูลคือบทอ่านจากแบบเรียนรายวิชาพื้นฐานวิชาภาษาไทยชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาปี 2551 จำนวนทั้งสิ้น 88 บท วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการบรรยายเชิงพรรณนาวิเคราะห์ตัวบท ผลการศึกษาพบว่าสังคมไทยในทศวรรษ 2540 (พ.ศ.2540 – 2549) ได้เกิดกระแสท้องถิ่นนิยมขึ้น คือ การหันกลับมาให้ความสำคัญกับท้องถิ่นซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แบบเรียนรายวิชาพื้นฐานวิชาภาษาไทยชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาปี 2551 ปรับปรุงในช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ บทอ่านในแบบเรียนดังกล่าวทำหน้าที่เป็นกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐถ่ายทอดและปลูกฝังอุดมการณ์ท้องถิ่นนิยมให้แก่ผู้เรียนใน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) ท้องถิ่นนิยมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ 2) ท้องถิ่นนิยมที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจ และ 3) ท้องถิ่นนิยมที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรม งานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางในการศึกษาแบบเรียนที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแบบเรียนกับบริบททางสังคม และบทบาทของแบบเรียนในฐานกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ</p> ทรงเกียรติ สารสุวรรณ , นันทวัลย์ สุนทรภาระสถิตย์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268439 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในกาลีสูตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269927 <p>บทความมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาเนื้อหาและหลักธรรมสำคัญในกาลีสูตร 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในกาลีสูตร การวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สรุปวิเคราะห์ เรียบเรียง บรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า กาลีสูตร เป็นพระสูตรว่าด้วยอุบาสิกาชื่อว่ากาลีได้ถามปัญหากับพระมหากัจจานะว่า พระพุทธดำรัสที่ว่าการบรรลุประโยชน์เป็นความสงบแห่งหทัยนั้น หมายความว่าอย่างไร พระเถระอธิบายว่า การบรรลุประโยชน์ของพระพุทธเจ้าต่างกับของสมณพราหมณ์อื่น ๆ คือ การบรรลุประโยชน์ของสมณพราหมณ์อื่น ๆ หมายถึงการได้สมาบัติ 8 โดยอาศัยกสิณ 10 เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงได้สมาบัติโดยอาศัยกสิณ 10 นั้น ๆ แล้วยังทรงเห็นเบื้องต้น โทษ ธรรมเป็นเครื่องสลัดออก และมัคคามัคคญาณทัสสนะ ฉะนั้น การบรรลุประโยชน์เช่นนั้นจึงเป็นความสงบแห่งหทัย<br />การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนากาลีสูตรกล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงเข้าสมาบัติตามลำดับอันประกอบด้วยรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 คือ ทรงสามารถเข้าสมาบัติเหล่านี้เริ่มจากสมาบัติในขั้นต้น คือ ปฐมฌานขึ้นไปจนถึงสมาบัติขั้นสูงสุด และพระสาวกเช่นพระสารีบุตรก็เข้าสมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 นานตราบเทาที่ตนปรารถนา และการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักกสิณ 10 คือ มีการเพ่งปฐวีกสิณเป็นต้นโดยใช้เป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐานก่อนพัฒนาเข้าสู่วิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ทำรูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ในปฐวีกสิณเป็นต้นให้บังเกิดแล้วเพ่งมองเพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ ปฐวีกสิณเป็นต้นสามารถใช้เป็นบาทฐานในการเข้าสู่วิปัสสนาได้ เรียกว่า การเจริญวิปัสสนาแบบสมถยานิก คือวิธีการฝึกจิตด้วยการเจริญสมถกรรมฐานก่อนแล้วเจริญวิปัสสนาต่อเนื่องภายหลัง เป็นวิธีการฝึกฝนพัฒนาจิตเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง</p> พระครูกาญจนเทวธรรม ดนัย จตฺตมโล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269927 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 ทัศนคติที่มีต่อการให้ทานของพุทธศาสนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/263525 <p>วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อการให้ทานของพุทธศาสนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบทัศนคติที่มีต่อการให้ทานของพุทธศา สนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) จำแนกตามตัวแปรอิสระ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้ทานของพุทธศาสนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร งานวิจัยเป็นเชิงปริมาณ และเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม ได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 196 คน โดยการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทัศนคติที่มีต่อการให้ทานของพุทธศาสนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร พุทธศาสนิกชนที่มาให้ทานที่วัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา รองลงมา คือ ความศรัทธาชื่อเสียงของวัด และอานิสงส์ของการให้ทาน ตามลำดับ</p> <p>ผลการเปรียบเทียบรูปแบบทัศนคติที่มีต่อการให้ทานของพุทธศาสนิกชนวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และความถี่ในการเข้าวัด มีทัศนคติต่อการให้ทาน โดยรวมไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า พุทธศาสนิกชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และความถี่ในการเข้าวัดต่างกัน มีทัศนคติต่อการให้ทาน ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> พระครูโสภณขันติคุณ สุกิจ ปภสฺสรจิตฺโต Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/263525 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชน ในสังคมภาคอุตสาหกรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269929 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในโรงงานสังคมภาคอุตสาหกรรม และ 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ไดแก่ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรมในชุมชนวัดไผ่เงิน เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร จำนวน 196 คน ประชากร โดยการเปิดตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) การประยุกต์หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม มีการนำหลักสมชีวิธรรม 4 มาใช้ในชุมชนเป็นอย่างดี</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในโรงงานสังคมภาคอุตสาหกรรม พบว่า พนักงานที่มี เพศ อายุ และรายได้ต่างกันมีการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ พนักงานที่มีการศึกษาที่แตกต่างกันมีการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม แตกต่างกัน จึงเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> <p>3) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้หลักสมชีวิธรรมในการครองเรือนของประชาชนในสังคมภาคอุตสาหกรรม พบว่า ในการที่จะทำให้คู่รักอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ทั้งชาตินี้และชาติต่อไปที่ต้องการพบกัน ย่อมต้องมีความเสมอกันทั้งความศรัทธา ความเชื่อ ที่ควรมีทัศนคติที่ตรงกัน ความคิดไปในทิศทางเดียวกัน การมีศีล และรักษาศีลทำให้การดำเนินชีวิตที่เป็นปกติ เรียบง่ายอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รู้จักแบ่งปัน มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเอง การมีความรู้ การศึกษา ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถคิดวิเคราะห์แก้ไข ในการแก้ปัญหา ให้ผ่านไปได้</p> พระธีรวัฒน์ ฤทธิ์ดี Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/269929 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700