วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri <p><strong>วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย </strong>มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยวารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา การศึกษาเชิงประยุกต์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 หรือ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> th-TH [email protected] (พระครูใบฎีกาอภิชาติ ธมฺมสุทฺโธ, ผศ.ดร.) [email protected] (Somchai Damnoen) Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 A Study of Thai Undergraduate Students' Chinese Language Learning Anxiety, Achievement, and Their Anxiety Coping Strategies https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265314 <p>Theoretically, anxiety and coping strategies in learning a foreign language can have negative and positive impacts on learners' learning achievement. This study aimed to investigate: 1) Thai undergraduate students’ Chinese language learning anxiety; 2) relationship between their Chinese language learning anxiety and achievement; and 3) their Chinese learning anxiety coping strategies. Mixed methods research was used to fulfil the first research objective, the quantitative research method for the second objective, and the qualitative research method for the third objective. The quantitative sample included a total of 302 students in their first, second, third, and fourth years enrolled in academic year 2022 selected through stratified random sampling and 12 students through purposive sampling for the qualitative sample. A questionnaire and structured interview questions made in Google Forms were the main research instruments. The quantitative data were analyzed by using mean, standard deviation and Pearson correlation coefficient, and thematic analysis for the qualitative data.</p> <p>The research results were found as follows: 1) the first-yearstudents had the highest anxiety level while the second, third and fourth-year students had a high anxiety level with the highest mean score of Chinese speaking anxiety; 2) Pearson correlation coefficient analysis showed a positive relationship between their learning anxiety and achievement with r (259) = 0.039, p&gt;0.05, which contradicted related theories; and 3) since the students lacked opportunities to practice Chinese in daily lives, extensive practices on their own and with native Chinese speaking teachers and friends either online or offline were most commonly used anxiety coping strategies, followed by Chinese media for Chinese language learning.</p> Lijun Ning , Noparat Tananuraksakul Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265314 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงชุมชนเขาพูลทอง ม.11 ต.ปะตง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/262936 <p>บทความนีมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคเบาหวานของกลุ่มเสี่ยงในชุมชนเขาพูลทอง 2) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงก่อนและหลังการอบรม 3) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงก่อนและหลังการอบรม 4) เพื่อเปรียบเทียบผลระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงก่อนและหลังการใช้รูปแบบ การวิจัยในครั้งนี้ เป็นการทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผล ก่อน-หลัง สิ่งที่ใช้ในการทดลอง คือ รูปแบบการดำเนินที่พัฒนาขึ้นทำการทดลองกับกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จำนวน 30 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired Samples t-Test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงชุมชนเขาพูลทอง มีขั้นตอนดำเนินการตั้งแต่การคัดกรอง โดยการตรวจน้ำตาลในเลือดโดยวิธีเจาะจากปลายนิ้ว และมีการอบรมให้ความรู้ โดยการจัดอบรม แจกเอกสาร แผ่นพับ สื่อการสอนและนำเสนอตัวอย่างบุคคลต้นแบบ โดยใช้แนวทางการเสริมสร้างความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพ อีกทั้งมีการเสริมพลังโดยการการให้รางวัล นอกจากนี้ยังมีการบริการเชิงรุกโดยการติดตามเยี่ยมบ้านและสภาพแวดล้อมเพื่อปรับปรุงการส่งเสริมสุขภาพรวมถึงการเฝ้าติดตามสังเกตพฤติกรรม โดยการใช้ Application Line group หลังการใช้รูปแบบส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงมีความรู้ มีพฤติกรรมดีขึ้นและผลของระดับน้ำตาลในเลือดลดลง</p> ชลดา ผลศิริ, ปราณี นามประดิษฐ์, ชัชวาล โภโค, ประภัสสร เจริญนาม , พงษ์เสฐียร เหลืองอลงกต Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/262936 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์หลังสถานการณ์ โควิด-19 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264967 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์</em> 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์</em> 3) ศึกษาปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีมีต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ หลังสถานการณ์โควิด-19</em> ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> ผลการวิจัยที่สำคัญ: 1) ปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกัน ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ หลังสถานการณ์โควิด-19</em> ยกเว้น ด้านสาขาที่เลือกเรียน และ 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์หลังสถานการณ์โควิด-19</em> โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีที่มีความต่างกันนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ<em>แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ หลังสถานการณ์โควิด-19</em> ปัจจัยที่สำคัญในการประกอบการตัดสินใจซื้อแท็บเล็ตของนักศึกษา ได้แก่ ด้านสาขาที่เลือกเรียน ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด (7P) และปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยี</p> ศิรชญาน์ การะเวก , ศิริพร สัจจานันท์ , ธงชัย เจตบุตร Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264967 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของคุณภาพการให้บริการและภาพลักษณ์ของตราสินค้าที่มีต่อความพึงพอใจและการใช้บริการซ้ำของ แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266876 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาระดับ ภาพลักษณ์ของตราสินค้า คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจและการใช้บริการซ้ำของลูกค้าที่สั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นฟู้ดเดลิเวอรี่ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงของภาพลักษณ์ของตราสินค้า คุณภาพการให้บริการ ที่มีต่อความพึงพอใจในการใช้บริการของลูกค้าที่สั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นฟู้ดเดลิเวอรี่ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงของความพึงพอใจที่มีต่อการใช้บริการซ้ำของลูกค้าที่สั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่ใช้บริการแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ ในจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 420 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการ ภาพลักษณ์ของตราสินค้า ความพึงพอใจ และการใช้บริการซ้ำพบว่า ทั้งหมดมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมากด้วยค่าเฉลี่ย 4.17, 4.17, 4.17 และ 4.14 2) ภาพลักษณ์ของตราสินค้าไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความพึงพอใจ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และ คุณภาพการให้บริการมีอิทธิพลทางตรงต่อความพึงพอใจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 3) ความพึงพอใจ มีอิทธิพลทางตรงต่อการใช้บริการซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p> พศิน จิวมงคลชัย , ประพล เปรมทองสุข Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266876 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาคลิปวีดิโอสั้นโดยใช้นาโน-อินฟลูเอนเซอร์ ผ่านช่องทางติ๊กต็อก และการจัดทำบัญชี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิสาหกิจชุมชน บ้านถ้ำเสือโฮมสเตย์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266401 <p>การผลิตคลิปวิดีโอสั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าองค์ความรู้ด้านกระบวนการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์กับชุมชนยังถูกศึกษาไว้ไม่มากนัก ดังนั้น การพัฒนาดังกล่าวจะเป็นแนวทางต่อยอดได้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาคลิปวีดิโอสั้น 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการสื่อสารจากคลิปวีดิโอสั้น 3) เพื่อวิเคราะห์ผลการจัดทำบัญชีเกี่ยวกับความคุ้มค่าในการลงทุนผลิตคลิปวีดิโอสั้น โดยใช้นาโน-อินฟลูเอนเซอร์ ผ่านช่องทางติ๊กต็อก ส่งเสริมการท่องเที่ยววิสาหกิจชุมชน บ้านถ้ำเสือโฮมสเตย์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดกระบวนการผลิตรายการโทรทัศน์ องค์ประกอบการสื่อสาร การจัดทำบัญชี เป็นกรอบการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ คณะกรรมการชุมชน และผู้ผลิตคลิปวีดิโอสั้น รวมจำนวน 10 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาคลิปวีดิโอสั้นส่งเสริมการท่องเที่ยว ต้องอาศัยกระบวนการแบบมีส่วนร่วมของชุมชน และ การวางแผนก่อนการผลิต ระหว่างการผลิต และการเผยแพร่ 2. คลิปวีดิโอสั้นของนาโน-อินฟลูเอนเซอร์ เน้นองค์ประกอบการสื่อสารผ่านการเล่าเรื่องแบบไม่เป็นทางการ และการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะ 3. การจัดทำบัญชีทำให้เห็นผลลัพธ์ความคุ้มค่าการลงทุนผลิตคลิปสั้น รายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยรวมเท่ากับร้อยละ 20 % ของรายได้สุทธิ</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัย พบว่า การวางแผนการลงทุนผลิตสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ชุมชนมีส่วนร่วม ก่อให้เกิดความรู้แก่ชุมชน ด้วยหลักการการลงทุนที่สามารถวัดผลได้ถึงผลกำไร หรือ ขาดทุน </p> พิชาภพ บุญเลิศ , มรรยาท ลิ้มโอฬารสุขสกุล , กฤษฎา สุริยวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266401 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อเสื้อกล้ามทอมของกลุ่มเพศทางเลือก ผ่านทางแอปพลิเคชันออนไลน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266728 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อการเลือกซื้อ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีผลต่อการเลือกซื้อ และ3) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรกลุ่มเพศทางเลือก ที่มีประสบการณ์ในการเลือกซื้อเสื้อกล้ามทอมผ่านทางแอปพลิเคชันออนไลน์ จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ประชากรกลุ่มเพศทางเลือกที่มีอายุ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน แตกต่างกันมีการเลือกซื้อ ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>2. ประชากรกลุ่มเพศทางเลือกที่มีช่องทางออนไลน์การเลือกซื้อ ความถี่ในการเลือกซื้อ และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลือกซื้อต่อครั้งแตกต่างกันมีการเลือกซื้อ ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>3. ส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการให้บริการส่วนบุคคล และด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัย พบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าออนไลน์จะละเว้นซึ่งการสื่อสารทางการตลาดออนไลน์ไม่ได้ โดยศึกษาการสื่อสารทางการตลาดที่เหมะสมกับกลุ่มเพศทางเลือก และนำแนวคิดช่องทางการสื่อสารไปส่งเสริมการขาย จะทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> พัฏฐ์ณิชา พัฒนศิริ, ศิระ ศรีโยธิน Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266728 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการประกันวินาศภัยในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265519 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการประกันวินาศภัย และ 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการประกันวินาศภัย ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล รูปแบบการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรคือ ผู้บริโภคที่มีต่อการใช้บริการประกันวินาศภัย ในเขตกรุงเทพมหานคร คำนวณกลุ่มตัวอย่างจากสูตรยามาเน่ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที และค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า<br />1. พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการประกันวินาศภัยในกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมผู้บริโภคเห็นด้วยมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีค่าเฉลี่ยในระดับเห็นด้วยมากทุกด้าน ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ความเชื่อถือและไว้วางใจได้ ความรวดเร็วหรือการตอบสนอง การเอาใจใส่ลูกค้า การรับประกัน และภาพลักษณ์ของการบริการ ตามลำดับ<br />2. ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค เพศ และจำนวนสมาชิกในครอบครัว ที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อปัจจัยกำหนดในการเลือกใช้บริการประกันวินาศภัยที่แตกต่างกัน แต่ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน มีผลต่อปัจจัยกำหนดในการเลือกใช้บริการประกันวินาศภัย จากการศึกษาวิจัยเกิดข้อค้นพบดังนี้ การลดความเสี่ยงจากความรู้สึกของลูกค้า ความมั่นคงของบริษัท การที่บริษัทมีความมั่นคง มีชื่อเสียงจะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้มากและการให้ความรู้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ จะทำให้ลูกค้ารับรู้ได้ถึงความปรารถนาดี และนำไปสู่การตัดสินใจใช้บริการ </p> อรวรรณ ธรรมาวุฒิกุล , ฐนันวริน โฆษิตคณิน , ชัญญณัท กริ่มใจ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265519 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของธุรกิจทำความสะอาด ในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265368 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานทำความสะอาดของบริษัททำความสะอาดในกรุงเทพมหานครและ 2)เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของธุรกิจทำความสะอาดในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ราย เป็นลูกค้าที่เคยรับบริการของบริษัททำความสะอาด ซึ่งไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 1 ชนิด คือแบบสอบถาม ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและสถิติอ้างอิง ผลการวิจัยพบว่า<br /> 1. ความคิดเห็นของผู้รับบริการที่มีต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของธุรกิจทำความสะอาดในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับดีเมื่อพิจารณาเรียงตามลำดับในแต่ละด้าน ได้ดังนี้ ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ด้านความถูกต้องในการปฏิบัติงาน ด้านความรวดเร็วในด้านการปฏิบัติงาน ด้านความสำเร็จตรงเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านความมีมนุษยสัมพันธ์ และด้านลักษณะงาน<br /> 2. ผลจากการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้รับบริการต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของธุรกิจทำความสะอาด สามารถสรุปได้ว่า เพศไม่มีผลต่อความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานส่วนอายุ การศึกษา จำนวนครั้งจากการใช้บริการของบริษัททำความสะอาด/ปีมีผลต่อความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของธุรกิจทำความสะอาด</p> <p>งานวิจัยนี้พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของผู้รับบริการจากบริษัทรับทำความสะอาด ได้แก่ ความรวดเร็วความถูกต้องความสามารถความมีมนุษยสัมพันธ์และความสำเร็จตรงเวลาในการปฏิบัติงาน</p> นริศรารัตน์ ศรีฉันทมิตร , ประเชิญ ติยะปัญจนิตย์ , ฐนันวริน โฆษิตคณิน Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/265368 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267474 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน, ศึกษาปัจจัยลักษณะการเป็นผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน และศึกษาปัจจัยของสภาพแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลรูปแบบธุรกิจบริษัทจำกัด จำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ผู้ประกอบการที่มีอายุ อายุกิจการ ระดับการศึกษา เงินลงทุน แหล่งที่มาของเงินทุนแตกต่างกันมีความได้เปรียบในการแข่งขันไม่ต่างกัน ยกเว้นเพศที่ต่างกันมีความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2. คุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการ ด้านความกล้าที่จะแข่งขันส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสูงสุด และด้านที่ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการมีอิสระในการบริหารงาน ตามลำดับ โดยมีความสามารถร่วมกันพยากรณ์ ร้อยละ 65.30</p> <p>3. สภาพแวดล้อมภายนอกด้านสังคมและวัฒนธรรมส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสูงสุด และด้านที่ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ โดยมีความสามารถร่วมกันพยากรณ์ ร้อยละ 71.80</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยคือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต้องกล้าที่จะแข่งขันกล้าเปิดตัวนำสิ่งใหม่เข้าสู่ตลาดการแข่งขัน โดยประยุกต์ผลิตภัณฑ์หรือรูปแบบบริการให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเพื่อการดำเนินกิจการของตนเองให้สำเร็จและได้เปรียบคู่แข่งในธุรกิจ</p> นิวรัตน์ วิจิตรกุลสวัสดิ์, บวรลักษณ์ เสนาะคำ, ริญญาภัทร์ ปยุตวรเศรษฐ์ , สายใจ แจ้งสุทิมล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267474 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การจัดการศึกษาเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้าจากการเรียนสำหรับนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267979 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ภาวะเครียดและซึมเศร้าจากการเรียน 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การจัดการศึกษาเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้า และ 3) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การจัดการศึกษาเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้าจากการเรียนของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ พื้นที่วิจัย ได้แก่ สถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิต นักศึกษา จำนวน 337 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ จำนวน 15 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <h1>ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะเครียดและซึมเศร้าจากการเรียน พบว่า นักศึกษามีภาวะเครียดและซึมเศร้าจากการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด ได้แก่ (1) การติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ (2) อาจารย์คาดหวังด้านวิชาการ และสั่งงานมากเกินไป (3) กลุ่มเพื่อน มีความขัดแย้งทางความคิด (4) อาคารสถานที่ ไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน (5) กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ไม่ยืดหยุ่น (6) กิจกรรมการเรียนที่เคร่งเครียดเกินไป และ (7) ปัญหาด้านครอบครัว 2) การพัฒนากลยุทธ์การจัดการศึกษาเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้า ประกอบด้วย 5 ประเด็น (1) พัฒนาขั้นตอน กระบวนการ และวิธีการให้บริการ (2) พัฒนนาอาจารย์ (3) พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน (4) พัฒนาสภาพแวดล้อม และ (5) พัฒนาสิ่งสนับสนุนการเรียน 3) กลยุทธ์การจัดการศึกษาเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้า ได้แก่ สถาบันการศึกษาปรับปรุงกระบวนและวิธีการให้บริการ ปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ อาจารย์มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้คำปรึกษาที่ดี กิจกรรมการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียน และให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคล สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียน และอุปกรณ์มีประสิทธิภาพ</h1> วิราษ ภูมาศรี, สรวิศ พรมลี, พระณัชฐกิตติ์ วิกะหะ , รัชฎากร เอี่ยมอำไพ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267979 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้คุณลักษณะของนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อการใช้แอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ของผู้ใช้เจเนอเรชั่นวายในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266504 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ ประกอบด้วยเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ที่ส่งผลต่อการใช้แอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาการรับรู้คุณลักษณะของนวัตกรรม ประกอบด้วย ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบ ความซับซ้อน ความเข้ากันได้ โอกาสในการสังเกตเห็นได้ และโอกาสในการทดลองใช้ที่มีอิทธิพลต่อการใช้แอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงเชิงปริมาณ โดยเก็บแบบสอบถามผ่านแบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่เคยใช้งานแอปพลิเคชันสำหรับการประชุมออนไลน์เจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ความถี่ การวัดค่ากลางของข้อมูล การวัดการกระจายของข้อมูล ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานของกลุ่มตัวอย่าง T-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้านเพศ และอาชีพส่งผลต่อการใช้แอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ของผู้ใช้เจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ปัจจัยที่การรับรู้คุณลักษณะของนวัตกรรมด้านความซับซ้อน โอกาสในการสังเกตเห็นได้ และโอกาสในการทดลองใช้ ส่งผลต่อการใช้แอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ของผู้ใช้เจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ทรงสิทธิ์ เทศรุ่งเรือง, นพรัตน์ บุญเพียรผล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266504 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาและพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลสาธิตการแพทย์แผนไทยโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อติดตามประเมินผลการรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคผิวหนัง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266882 <p>จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แต่ละประเทศมีมาตรการการควบคุมโรคด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะการให้บริการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลการแพทย์แผนปัจจุบันที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เอื้อกับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและสอดรับกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสาธิตการแพทย์แผนไทยจึงมีความจำเป็นต้องปรับรูปแบบการให้บริการสุขภาพให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ดังกล่าว</p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์แผนไทยโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับติดตามประเมินผลการรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคผิวหนังของโรงพยาบาลสาธิตการแพทย์แผนไทย โดยรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคืออาจารย์แพทย์แผนไทยและแพทย์แผนไทยวิชาชีพประจำโรงพยาบาลสาธิตการแพทย์แผนไทยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษากลุ่มผู้ป่วยโรคผิวหนัง จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ขอบเขตการให้บริการมุ่งเน้นให้บริการแก่ผู้ป่วยอาสาสมัครกลุ่มโรคผิวหนังที่อยู่ต่างจังหวัดหรือมีข้อจำกัดในการเดินทางมารักษาและติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ผลการวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการติดตามประเมินผลการรักษา รูปแบบการให้บริการมี 2 รูปแบบ คือ 1) การบันทึกภาพถ่ายทางผิวหนังหรือบริเวณรอยโรค แล้วส่งข้อมูลเพื่อติดตามประเมินผลการรักษาผ่าน Application Line หรืออีเมล์ และ 2) การติดตามประเมินผลการรักษาแบบ Real time หรือ VDO Conference ผ่าน Application Zoom โดยขั้นตอนการให้บริการแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ (1) ขั้นตอนการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาในครั้งแรก (2) ขั้นตอนการติดตามเฝ้าระวังความเสี่ยงและผลการตอบสนองต่อการใช้ยา และ (3) ขั้นตอนการติดตามประเมินผลการรักษาผ่าน Application Zoom</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในการติดตามประเมินการรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคผิวหนังซึ่งเข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลสาธิตการแพทย์แผนไทยได้ เพื่อนำไปสู่การบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพของนักศึกษาแพทย์แผนไทยในอนาคต</p> <p><strong> </strong></p> กนกอร เพียรสูงเนิน, ปราณี คำแก้ว, ปิณิดา ถนอมศักดิ์ , วรรณพร สุริยะคุปต์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266882 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264546 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีผลต่อการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี พื้นที่วิจัย โรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 5 - 6 ปี จำนวนทั้งสิ้น 57 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 4 ชนิด คือ 1) ชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัยและคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 2) แบบประเมินความเหมาะสมและความถูกต้องของชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน และคู่มือการใช้ของชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 3) แบบประเมินผลการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย 4) แบบสังเกตพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบหาค่าที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย มีผลการประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมค่าเฉลี่ยมากกว่า 0.5 ขึ้นไป</p> <p>2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้จากชุดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย พบว่ามีคะแนนพฤติกรรมการคิดเชิงบริหารเฉลี่ยหลังใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01</p> จุฑาทิพย์ โอบอ้อม Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264546 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง อาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266853 <p>บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและ.หาประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง อาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ สำหรับนักเรียนชั้น.ประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเป.รียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง อาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์กับการสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดช่องนนทรี สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 2 ห้องเรียน จำนวน 60 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองสอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วิชาประวัติศาสตร์ เรื่องอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ และกลุ่มควบคุมสอนโดยใช้การสอนแบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วิชาประวัติศาสตร์ เรื่องอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง อาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าประ.สิทธิภาพเท่ากับ 80.73/80.78 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้การสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พรสวรรค์ บึงราษฎร์ , อภิชา แดงจำรูญ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266853 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อจัดการความโกรธของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268145 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาที่มาและสภาพปัญหาที่เกิดจากความโกรธ 2) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อจัดการความโกรธ และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อจัดการความโกรธของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยใช้การศึกษาเชิงปริมาณ โดยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 150 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยดังนี้</p> <p>ที่มาหรือสาเหตุของความโกรธของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้คือ ด้านการใช้ชีวิตในโรงเรียน ด้านคุณภาพชีวิต และด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ส่วนสภาพปัญหาที่เกิดจากความโกรธของนักเรียน โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง โดยรวมมีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 5 อันดับแรก ได้ดังนี้ 1) นักเรียนรู้สึกโมโหหรือโกรธง่าย 2) นักเรียนรู้สึกเบื่อง่าย 3) นักเรียนรู้สึกหงุดหงิดง่าย 4) นักเรียนรู้สึกรำคาญง่าย และ 5 นักเรียนรู้สึกไม่พอใจง่าย</p> <p>การประยุกต์ใช้หลักสติในการจัดการความโกรธของนักเรียน โดยรวมมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า นักเรียนประยุกต์ใช้หลักสติในการจัดการความโกรธอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีการประยุกต์ใช้หลักสติในด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมากสุด&nbsp; รองลงมาเป็นด้านคุณภาพชีวิต และด้านการใช้ชีวิตในโรงเรียน</p> <p>การวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อจัดการความโกรธของนักเรียน พบว่า นักเรียนที่มีอายุต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสติเพื่อจัดการความโกรธแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp;</p> พระครูปลัดอนุวัฒน์ ซื่อสัตย์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268145 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (รังษีวิทยากร) อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267957 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (รังษีวิทยากร) อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ภาคสนามโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ ได้แก่ สามเณรชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 14 รูป</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (รังษีวิทยกร) อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการพัฒนาโดยมุ่งเน้นให้มีประสิทธิภาพต่อการพัฒนาผู้เรียนทั้งภายในและภายนอกไปพร้อม ๆ กัน เช่น การพัฒนาภายใน ได้แก่ ด้านฉันทะ (พอใจ) ความพึงพอใจในการจัดเรียนการสอนให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น การเล่นเกมส์ การตอบคำถามมีรางวัลให้สำหรับผู้ที่ตอบรางวัลได้ เป็นต้น จึงทำให้เกิดเรียนรู้พัฒนาในด้านการเรียน ด้านวิริยะ (เพียรพยายาม) ทำให้นักเรียนมีความขยันหมั่นเพียรมาเรียนอย่างสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น ด้านจิตตะ (จิตใจ) ใจของผู้เรียน มีจิตใจที่แจ้มใจและการนั่งสมาธิก่อนเรียนเพื่อให้นักเรียนมีความทรงจำที่ดีขึ้น ด้านวิมังสา (สติปัญญา) ให้นักเรียนได้ใช้สติปัญญาแลกเปลี่ยนรู้กับเพื่อน ๆ ในห้อง ซึ่งนักเรียนมีความพยายามตอบสนองเจตนาที่ดีในการพัฒนาผู้เรียนให้ดีที่สุด โดยให้นักเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการเล่น การเรียนรู้และใช้สติปัญญาเพื่อจะให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงต่อสิ่งที่เขาเรียนรู้ก็จะเกิดการจดจำในสิ่งที่ดียิ่งกว่าการท่องจำจากหนังสือเรียน เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งที่ต่าง ๆ นั้นด้วยตนเองก็จะมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากขึ้นและนำใช้ในวิถีชีวิตประจำวันได้</p> พระครูวินัยธรจิรภัทรส์ มีทองแสน Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267957 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 แนวทางส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268014 <h1>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาการบรรพชาอุปสมบทในคัมภีร์พระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการลดลงของผู้บรรพชาอุปสมบทในสังคมไทย และ 3)&nbsp; เพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย ผู้วิจัยใช้การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative) โดยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) จำนวน 15 รูป/คน ผลการวิจัยดังนี้</h1> <h1>1) การบรรพชาและอุปสมบทในคัมภีร์พระพุทธศาสนาได้แสดงความหมายไว้ชัดเจนว่า ในสมัยพุทธกาลใช้คำว่า “บรรพชา” หมายถึง การออกบวช หรือการเว้นชั่ว ต่อมาในปัจจุบันได้หมายถึงการบวชสามเณร ส่วนคำว่า “อุปสมบท” นั้นแปลว่า การเข้าถึง ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงความสงบ และหมายรวมถึงการบวชพระภิกษุและภิกษุณีในพระพุทธศาสนา ปัจจุบันใช้ในการเรียกการบวชพระภิกษุว่า “การอุปสมบท” หรือ “การบรรพชาอุปสมบท”</h1> <h1>2) สภาพปัญหาการลดลงของผู้บรรพชาอุปสมบทในสังคมไทย เกิดจากปัญหาดังนี้คือ ปัญหาที่เกิดจากนโยบายภาครัฐ เพราะนโยบายภาครัฐมีผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้าง เช่น นโยบายการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือการศึกษาภาคบังคับ เป็นต้น ปัญหาเกิดจากสภาพเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก และผู้คนในชนบทหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเมือง ปัญหาเกิดจากคณะสงฆ์ ที่ยังไม่พัฒนาด้านการศึกษาคณะสงฆ์ให้ทันกับโลกปัจจุบัน ประกอบกับปัญหาข้อวัตรปฏิบัติของสงฆ์ที่เป็นข่าวทางสื่อออนไลน์ และปัญหาหลังการบรรพชาอุปสมบท คือการได้รับประโยชน์จากการบรรพชาอุปสมบทอย่างแท้จริง</h1> <h1>3) แนวทางส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทของพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย แบ่งออกเป็น 3 แนวทางประกอบด้วย การส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทโดยภาครัฐ คือหน่วยงานรัฐต้องร่วมมือกันกับคณะสงฆ์ในการกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบท การส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทโดยคณะสงฆ์ โดยคณะสงฆ์ต้องพัฒนาประโยชน์ที่จะได้รับจากการบรรพชาและอุปสมบท และการส่งเสริมการบรรพชาอุปสมบทโดยภาคเอกชนและประชาสังคม โดยร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนสนับสนุนการบรรพชาอุปสมบทในรูปแบบต่าง ๆ</h1> พระครูวิธานอุดมกิจ จงเจตดี Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268014 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 เครื่องมือสื่อสารเพื่อจัดการความขัดแย้งในระบบบริการสาธารณสุขไทยโดยพุทธสันติวิธีของโรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268192 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาเครื่องมือสื่อสารเพื่อจัดการความขัดแย้งในระบบบริการสาธารณสุขไทยของโรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดอริยสัจจ์โมเดลเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ โรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ พระสงฆ์ นายแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ จำนวน 15 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมนำเสนอผลการวิจัยในลักษณะวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า พุทธสันติวิธีที่นำมาบูรณาการในการจัดการความขัดแย้ง ประกอบด้วย อริยสัจ 4 กิจในอริยสัจ 4, กถาวัตถุ 10 และ โยนิโสมนสิการ บูรณาการเข้ากับบริบทงานห้องคลอดในบริบทนี้คือการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับบริการชาวต่างชาติ จนบางครั้งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนในการคลอด เพื่อใช้ในการให้ข้อมูลผู้มารับบริการรับรู้เกี่ยวกับสภาวะของตน เคารพกฎระเบียบและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในการให้ข้อมูลผู้มารับบริการรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลการคลอดการปฏิบัติตนที่ถูกต้องในแต่ระยะการคลอด เพื่อไปสู่การคลอดที่ปลอดภัย</p> สุนันทา เอ๊าเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268192 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อจำนวนของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264328 <p>สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2564 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2564 และระลอกที่ 4 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ.2565 เป็นช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดในประเทศสูงที่สุด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั้งในระลอกที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาอย่างเจาะจง โดยได้นำตัวแปรปัจจัย 5 ตัว ได้แก่ จำนวนผู้โดยสารเครื่องบินระหว่างประเทศ จำนวนผู้โดยสารเครื่องบินในประเทศ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์และความเร็วลม มาทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีสถิติการถดถอยเชิงหลายตัวแปร (Multiple linear regression) ผลการศึกษา พบว่า จำนวนผู้โดยสารเครื่องบินระหว่างประเทศ ภายในประเทศ และความชื้นสัมพัทธ์ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพยากรณ์มากที่สุดสำหรับระลอกที่ 3 โดยมีค่า R-squared เท่ากับ 81.86% ค่า RMSE เท่ากับ 2,677.17 คน และทุกปัจจัยในการศึกษานี้ส่งผลต่อการพยากรณ์ในระลอกที่ 4 ทั้งหมดโดยมีค่า R-squared เท่ากับ 87.25% ค่า RMSE เท่ากับ 4,314.09 คน</p> จิราวัฒน์ นัยกองศิริ, เสาวนิตย์ เลขวัต, นำชัย โสไกร , พาพิศ วงศ์ชัยสุวัฒน์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264328 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 กุศโลบายที่มีผลต่อการรักษาศีลของพุทธศาสนิกชนในวัดสีสุก กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/263445 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากุศโลบายต่อการรักษาศีลในคัมภีร์พระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการรักษาศีลของพุทธศาสนิกชนพุทธศาสนาเถรวาท และ 3) เพื่อศึกษากุศโลบายที่มีผลต่อการรักษาศีลของพุทธศาสนิกชนในวัดสีสุก กรุงเทพมหานคร เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ พุทธศาสนิกชนผู้รักษาอุโบสถศีลที่วัดสีสุก แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร จำนวน 15 คน ผลการวิจัย พบว่า กุศโลบาย คือ อุบายหรือวิธีการที่แยบคาย เป็นการสื่อสารเชิงสัญญะเพื่อนำไปสู่ความรู้และการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลคือบรรลุเป้าหมาย กุศโลบายมีอยู่ในทุกศาสตร์และทุกมิติของชีวิต การรักษาศีลของพุทธศาสนิกชนของวัดสีสุก มีแรงจูงใจและเป้าหมายคือ เพื่อประโยชน์ในภพนี้เป็นหลักคือ ให้ตนเองและครอบครัวมีความสุข เจริญรุ่งเรือง เพื่อการรักษากาย วาจาให้สงบ และเพื่อบรรเทากิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลง เพื่อให้ปราศจากภัยอันตรายต่าง ๆ เช่นการถูกเบียดเบียน เป็นต้น และการมารักษาศีลที่วัดเป็นการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ เมื่อร่างกายและจิตใจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยศีลแล้วจะเป็นพื้นฐานให้ผู้รักษาศีลสามารถใช้เป็นบาทฐานในการพัฒนาให้จิตเป็นสมาธิและปัญญาในระดับสูงขึ้นไป กุศโลบายที่มีผลต่อการรักษาศีลของพุทธศาสนิกชนในวัดสีสุกพบว่า ได้มีการปลูกฝังมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ มีรูปแบบยึดถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องทันกับยุคสมัย ด้านการประกอบศาสนพิธี พุทธศาสนิกชนวัดสีสุกเริ่มด้วยการทำตักบาตร ให้ทาน บำเพ็ญบุญ สมาทานรักษาศีลก่อนทั้งศีล 5 หรืออุโบสถศีลในวันพระ ฟังธรรม และฝึกเจริญสมาธิภาวนาซึ่งนำโดยพระสงฆ์ของวัดสีสุก พระสงฆ์จะคอยแนะนำและให้ความช่วยเหลือชุมชน ร่วมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน จนทำให้พุทธศาสนิกชนของวัดสีสุกมีความผูกพันมาบำเพ็ญบุญกับทางวัดเพื่อพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ บำเพ็ญบุญกุศลและปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา</p> พระกัมพล เรืองทองดี Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/263445 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้ขันติธรรมในการดำเนินชีวิตของประชาชนวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/262817 <p>บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้ขันติธรรมในการดำเนินชีวิตของประชาชนวัดค้างคาวจังหวัดนนทบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นการศึกษาเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก และนำเสนอในรูปแบบการเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ขันติธรรมเป็นหลักธรรมที่กล่าวถึงความอดทนต่อสิ่งยั่วยุที่เกิดขึ้นทั้งภายในจิตใจ และภายนอก สิ่งยั่วยุหรือปัจจัยภายในได้แก่ความโลภ เป็นต้น สิ่งยั่วยุหรือปัจจัยภายนอก ได้แก่ คำพูดเสียดสี เป็นต้น ขันติ ธรรมมี 4 ประเภท คือ อดทนต่อความลำบาก อดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อความเจ็บใจ และอดทนต่ออำนาจกิเลส คือ โลภ โกรธ หล'</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวคิดการดำเนินชีวิตของประชาชนวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรี พบว่า แนวทางการดำเนินชีวิตของของประชาชนวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรี เป็นการดำเนินชีวิตที่มีความหลากหลายในด้านครอบครัว สังคม ศาสนา และเศรษฐกิจ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. การประยุกต์ใช้ขันติธรรมในการดำเนินชีวิตของประชาชนวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรีโดยการนำหลักขันติมาใช้ในการดำเนินชีวิต คือ 1) การพิจารณาเห็นโทษของความโกรธที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจ หรือขัดเคืองใจ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้สร้างปัญหา หรือประพฤติตนผิดศีลธรรม 2) เห็นคุณของขันติคือ สามารถอดกลั้นต่อกิเลสทั้งหลาย ไม่ให้ยินดีสนองความต้องการเกินจำเป็น 3) ความอดทนเป็นกุญแจสำคัญในการศึกษาเล่าเรียน การทำงาน หรือทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จบรรลุเป้าหมาย และ 4) ความอดทนช่วยทำให้บรรลุเป้าหมายในทุกระดับคือ ในการดำเนินชีวิตระดับบุคคล ครอบครัว การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ และประเทศชาติ</span></p> พระยุธาน นาคขำ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/262817 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การส่งเสริมอัตลักษณ์ผู้เรียนด้วยการนิเทศการศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264757 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการส่งเสริมอัตลักษณ์ด้วยการนิเทศการศึกษา ประกอบด้วย 1) การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม 2) การสร้างและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนรู้ 3) การใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ 4) การส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 5) การโค้ชของผู้นิเทศการศึกษา เป็นการส่งเสริมอัตลักษณ์ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ 1) รู้หน้าที่ 2) มีจิตสาธารณะ 3) รักษ์สิ่งแวดล้อม 4) เป็นนวัตกร ที่พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการนิเทศการศึกษาที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาให้กับผู้เรียน ในหลายมิติทั้งส่วนบุคคลและสังคม ส่งผลให้ผู้เรียน รู้หน้าที่ มีวินัย มีจิตสาธารณะ สามารถปรับตัว และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีทักษะการเรียนรู้ รักษ์สิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และค่านิยมที่ดี สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ และสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อโรงเรียน สังคม และเป็นผู้เรียนที่มีคุณภาพต่อไป</p> สมยศ คำนึงผล, จิรศักดิ์ สุรังคพิพรรธน์ , ทนง ทองภูเบศร์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/264757 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการเรียนรู้จินตวิศวกรรมบูรณาการหลักไตรสิกขา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266500 <p>บทความวิชาการนี้ ได้ทำการศึกษากระบวนการเรียนรู้จินตวิศวกรรม โดยนำเอาหลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มาบูรณาการเพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้จินตวิศวกรรมให้เป็นไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านกายภาพ คือมีศีลที่ดี (อธิศีลสิกขา) เพื่อรักษากายและวาจา ด้านจิตภาพ คือมีสมาธิที่ดี (อธิจิตสิกขา) เพื่อรักษาจิต ด้านปัญญาภาพ คือ มีปัญญาดี (อธิปัญญาสิกขา) เพื่อให้รู้เท่าทันโลกภายในและภายนอก สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยการคิดอย่างมีเหตุผล การฟัง การเรียนรู้ให้มาก และการลงมือปฏิบัติจริง ทั้งนี้ หลักไตรสิกขาสามารถนำมาบูรณาการใช้ในกระบวนการเรียนรู้จินตวิศวกรรมได้ทุกขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การจินตนาการ 2) การออกแบบ 3) การพัฒนา 4) การนำเสนอ 5) การปรับปรุง และ 6) การประเมินผล การนำหลักไตรสิกขามาบูรณาการในกระบวนการเรียนรู้จินตวิศวกรรมส่งผลให้กระบวนการเรียนรู้มีความละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ไม่ได้มุ่งเพียงแค่องค์ความรู้ที่นักเรียนจะได้รับ หากแต่ยังมุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน คือ กายภาพ จิตภาพ และปัญญาภาพ ผู้เรียนได้รับการปลูกฝังทั้งคุณธรรมและความรู้ควบคู่กันไป เป็นอุปนิสัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเกิดการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน</p> พระมหาพงศกร สิมพา Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/266500 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค Next Normal https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268113 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค Next Normal ซึ่งความปกติใหม่หลังวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้เกิดชีวิตวิถีใหม่ของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลายอย่างเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อ ซึ่งการปรับตัวดังกล่าวจะนำไปสู่วิถีชีวิตในยุค Next Normal โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการมีสุขภาพที่ดี และการมีสมดุลชีวิต สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน คือ การใช้เทคโนโลยีเป็น สื่อกลางในการปฏิสัมพันธ์ ในด้านการศึกษา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นอย่างมาก และเกิดความเสี่ยงที่โรงเรียนจะกลายเป็นแหล่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว และการบริหารสถานศึกษาในยุคดังกล่าวก็มีความท้าทาย ผู้บริหารจึงจะต้องมีการปรับตัว โดยบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค Next normal ประกอบด้วย คุณลักษณะ 9 ประการ ผู้บริหารสถานศึกษาในยุค Next Normal ในรูปแบบ 5C-FIFA ได้แก่ 1) สร้างความเชื่อมั่น 2) แสดงพลังเชิงบวก 3) สวมหมวกนักคิดเชิงสร้างสรรค์ 4) สร้างสัมพันธ์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ 5) สร้างบรรยากาศทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย 6) ท้าทายกับความไม่รู้และปัญหา 7) สร้างมูลค่าเพิ่มสุดกำลัง 8) ทำงานอย่างยืดหยุ่นและเข้าใจ 9) ปรับตัวไวไม่ล้มนาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคุณลักษณะสำคัญที่จะส่งเสริมให้ผู้บริหารมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การจัดการสถานศึกษาในยุค Next normal</p> สุนทรี วรรณไพเราะ , วรพล ศรีเทพ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/268113 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการสื่อสารเพื่อการส่งเสริมการบริหารจัดการองค์กร ภาครัฐและภาคเอกชนในยุคดิจิทัล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267600 <p>นวัตกรรมการสื่อสารเป็นรูปแบบหนึ่งของนวัตกรรมที่มีการนำมาใช้การอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีรูปแบบการพัฒนาที่มีความก้าวกระโดดจากการสื่อสารแบบตัวตัวต่อตัว ในอดีต มาจนถึงการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตที่เรียกว่าการสื่อสารแบบดิจิทัล การสื่อสารในรูปแบบดิจิทัลนี้เป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และง่ายดายผ่านแอพริเคชั่นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อนวัตกรรมการสื่อสารเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในบริบทของการบริหารจัดการองค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐหรือองค์กรภาคเอกชน จะสามารถยกระดับองค์กรให้เป็นองค์กรชั้นนำ เนื่องจากนวัตกรรมการสื่อสารเหล่านี้จะสามารถช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีนวัตกรรมสื่อสารเกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมาก การที่องค์กรต่าง ๆ จะนำนวัตกรรมการสื่อสารทั้งหมดมาใช้อาจไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้และเท่าทัน ไม่ปลอดภัยต่อองค์กร ดังนั้นองค์กรที่จะนำนวัตกรรมการสื่อสารมาใช้จึงจำเป็นต้องรู้ถึงองค์ประกอบของนวัตกรรมการการสื่อสารที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ เป้าหมายการสื่อสาร <br />ผู้ส่งสาร สาร สื่อ ผู้รับสาร บริบท และ ประเมินผล เมื่อทราบถึงองค์ประกอบของนวัตกรรมการสื่อแล้ว ยังต้องมีเข้าใจในตัวของนวัตกรรม ทราบถึงข้อดี-ข้อเสียและประโยชน์ที่ได้รับเมื่อนำนวัตกรรมมาใช้ โดยผ่านกระบวนการแพร่กระจายของนวัตกรรมและกระบวนการยอมรับที่จะใช้นวัตกรรม ดังนั้นการสร้างความเข้าใจกระบวนการแพร่กระจายของนวัตกรรมและกระบวนการยอมรับนวัตกรรม จะก่อให้เกิดการบูรณาการระหว่างนวัตกรรม, การสื่อสาร และการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำเพิ่มความสามารถขององค์กรใน 5 รูปแบบคือ 1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 2. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ 3. เพิ่มการตอบสนองที่รวดเร็ว 4. เพิ่มความสามารถการทำงานเป็นทีม 5. พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากนำนวัตกรรมการสื่อสารมาบูรณาการกับองค์กรอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะเป็นการยกระดับองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมต่อไป</p> ณัฐวุฒิ เอี่ยมเนตร, สุวลังก์ วงศ์สุรวัฒน์, พระครูปลัดประวิทย์ ทรัพย์อุไรรัตน์, นภัทร์ แก้วนาค , จิดาภา เร่งมีศรีสุข Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/267600 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700