วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri <p>ยินดีต้อนรับสู่ วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย ISSN: 3088-246X (Online) เป็นวารสารวิชาการเผยแพร่เนื้อหาบทความที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการมีการตรวจสอบคุณภาพบทความให้มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานตามหลักวิชาการ ทำให้วารสารมีข้อมูลเพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ศาสนศึกษา และการประยุกต์พุทธศาสนากับสาขาวิชาอื่น ๆ เช่น การศึกษา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการ และ บริหารธุรกิจ เป็นต้น บทความทั้งหมดต้องเกี่ยวข้องกับการสอน และการวิจัย ใน 3 กลุ่มประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 พระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม ได้แก่ หลักพุทธธรรม การวิเคราะห์หลักพุทธธรรม กลุ่มที่ 2 พุทธศาสนาประยุกต์ กับ สาขาดังนี้ การศึกษา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ และ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น กลุ่มที่ 3 กลุ่มนวัตกรรมทางการจัดการศึกษาและการวิจัย ในสาขา ดังนี้ การศึกษา ภาษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการ และ บริหารธุรกิจ เป็นต้น</p> <p><strong>Online ISSN:</strong> 3088-246X</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong> ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </p> <p>วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย (JEMRI) มุ่งมั่นที่จะรักษาความสมบูรณ์ของการตีพิมพ์ทางวิชาการและรักษาความเชื่อมั่นในวารสารโดยผู้เขียน ผู้วิจารณ์ และผู้อ่าน วารสารมุ่งมั่นที่จะจัดการกรณีการทุจริตต่อหน้าที่ในการตีพิมพ์โดยทันที และรักษามาตรฐานสูงสุดของจรรยาบรรณตลอดกระบวนการตีพิมพ์</p> สมาคมหลวงพ่อใหญ่ th-TH วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย 3088-246X ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อความยั่งยืนขององค์กรในยุคดิจิทัล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281606 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายและสังเคราะห์บทบาทของภาวะผู้นำเชิงเปลี่ยนแปลงต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพื่อความยั่งยืนขององค์กรในยุคดิจิทัล โดยเสนอกรอบแนวคิดบูรณาการ 3S Framework ซึ่งประกอบด้วย Synergy (การบูรณาการคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ HRM), Smartification (การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ HR Analytics ในการยกระดับประสิทธิภาพและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์) และ Sustainment (การสร้างระบบการพัฒนาทักษะใหม่–เพิ่มพูนทักษะ รวมถึงการดูแลบุคลากรแบบรายบุคคลเพื่อรักษาทุนมนุษย์ระยะยาว) ผลการสังเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ภาวะผู้นำเชิงเปลี่ยนแปลงทำหน้าที่เป็น กลไกเชื่อมโยง ที่สำคัญในการบูรณาการการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงยั่งยืน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัล เพื่อเสริมสร้างความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และนวัตกรรมขององค์กร อันนำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ บทความมีคุณูปการทั้งเชิงวิชาการ โดยการเติมเต็มช่องว่างขององค์ความรู้ในบริบทไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชิงปฏิบัติ โดยการเสนอแนวทางให้ผู้นำและผู้บริหาร HR สามารถประยุกต์ใช้โมเดลดังกล่าวเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไทยให้พร้อมแข่งขันในระดับสากลและคงไว้ซึ่งความยั่งยืน</p> วิทยา จินตนุพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-11 2025-12-11 7 5 769 780 การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ SWC ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารศูนย์การเรียนรู้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281702 <p>บทความวิชาการนี้มี วัตถุประสงค์หลัก เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางการบริหารศูนย์การเรียนรู้ โดย สังเคราะห์ แนวคิดจากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ กลยุทธ์ SWC เข้าด้วยกัน เพื่อนำมาเป็นแนวทางใหม่ๆ ในการบริหารศูนย์การเรียนรู้ พร้อมกับยกระดับคุณภาพการศึกษา ของผู้เรียน บทความนี้ได้อธิบายถึงแนวคิดของ กลยุทธ์ SWC ซึ่งประกอบด้วย S (Strategy &amp; Sufficiency) การวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับความพอเพียง, W (World-Class Standard School) การมุ่งยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากล, และ C (Citizen Participation) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรและผู้เรียน และแนวคิดของ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ได้แก่ พอประมาณ, มีเหตุผล, มีภูมิคุ้มกันที่ดี, 2 เงื่อนไขสำคัญ คือ ความรู้, คุณธรรม แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการ กลยุทธ์ SWC และ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถเป็น ต้นแบบ ในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา, พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะชีวิตและพึ่งพาตนเองได้ และสร้างความมั่นคงในระยะยาวของสถานศึกษา นอกจากนี้ บทความยังได้นำเสนอ ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ เพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้อื่นๆ สามารถนำแนวทางดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น 1. นำกลยุทธ์มาใช้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผนวิสัยทัศน์ การบริหารงบประมาณ การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการประเมินผล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงและยั่งยืน 2. สร้างพื้นที่ให้บุคลากรได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า แนวทางในการบริหารศูนย์การเรียนรู้แบบใหม่นี้ สามารถนำสถานศึกษาไปสู่ความยั่งยืนได้</p> อาคม มากมีทรัพทย์ พระครูปลัดประวิทย์ ทรัพย์อุไรรัตน์ พระมหาวชิรวิชญ์ คามพินิจ รัตกร แสงสุด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 7 5 849 862 การพัฒนากิจกรรมชุมนุมโดยใช้การคิดเชิงออกแบบเพื่อเสริมสร้างทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหาทางการประกอบการของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281165 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบกิจกรรมชุมนุมโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 และศึกษาผลของกิจกรรมที่มีต่อทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหาทางการประกอบการ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงพัฒนา กลุ่มที่ศึกษาคือ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน จากโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้มาโดยวิธีการสมัครใจ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนกิจกรรมชุมนุม แบบประเมินทักษะการตัดสินใจ แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67–1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมชุมนุมที่พัฒนาตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 5 ขั้นตอน ได้แก่ การเข้าอกเข้าใจ การนิยามปัญหา การสร้างแนวคิด การสร้างต้นแบบ และการทดสอบ ช่วยพัฒนาทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหาโดยรวมในระดับ “ดี” และมีกลุ่มหนึ่งอยู่ในระดับ “ดีเยี่ยม” 2) ความพึงพอใจต่อกิจกรรมอยู่ในระดับ “มาก” โดยเฉพาะด้านความภูมิใจในผลงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการตัดสินใจด้วยตนเอง และ 3) ข้อมูลเชิงคุณภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมและทัศนคติเชิงบวกต่อกิจกรรม เช่น มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และเห็นว่าปัญหาในชีวิตจริงสามารถจัดการได้ องค์ความรู้จากการวิจัยนี้ คือ รูปแบบกิจกรรมชุมนุมที่ใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อพัฒนาทักษะการประกอบการในระดับประถมศึกษา และการใช้เครื่องมือประเมินที่บูรณาการรูบริกกับการสะท้อนคิด ซึ่งเป็นแนวทางในการเสริมสร้างทักษะการคิดเชิงเหตุผลและการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ภูชิสส์ วรรณชัย ภัทรวรรธน์ จีรพัฒน์ธนธร สุทธินันท์ รัตนโชติถาวร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 7 5 781 796 นวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยีการประเมินความเสี่ยงการชำรุดของหม้อแปลง โดยใช้ดัชนีสุขภาพของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281435 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการประเมินความเสี่ยงการชำรุดของหม้อแปลงไฟฟ้าโดยใช้ดัชนีสุขภาพของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาบ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 29 คน ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ จำนวน 17 คน และการสนทนากลุ่ม 12 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อทำการจัดระบบระเบียบของข้อมูล กำหนดรหัสข้อมูล จัดกลุ่มข้อมูล และหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มข้อมูลที่ได้เพื่อสร้างบทสรุปของข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยความเสี่ยง 10 ประการที่ส่งผลต่อการชำรุดของหม้อแปลงไฟฟ้า ได้แก่ 1) อายุการใช้งาน โดยเฉพาะหม้อแปลงที่มีอายุเกิน 15 ปี 2) สภาพการใช้งานเกินพิกัด ทำให้อุณหภูมิสูงเกิน 95°C 3) สภาพแวดล้อมที่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมและอากาศร้อนชื้น 4) คุณภาพไฟฟ้าที่มีปัญหาจากแรงดันเกินและฮาร์มอนิกสูง 5) ข้อจำกัดในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน 6) การติดตั้งที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน 7) ภัยธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วมและฟ้าผ่า 8) คุณภาพวัสดุและการผลิตที่แตกต่างกัน 9) การกระทำของมนุษย์ เช่น การลักขโมย และ 10) ระบบป้องกันที่ไม่สมบูรณ์ นวัตกรรมประเมินความเสี่ยงได้บูรณาการ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ 2) วงจรการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และ 3) นวัตกรรมดัชนีสุขภาพหม้อแปลง สำหรับดัชนีสุขภาพหม้อแปลงได้พัฒนาเป็นระบบดิจิทัลอัจฉริยะที่บูรณาการเทคโนโลยี AI, IoT และ Machine Learning ทำงานแบบ Real-time เพื่อสนับสนุนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ชุมชน สิ่งแวดล้อม องค์ความรู้ และนวัตกรรม ผลลัพธ์สุดท้ายคือ Risk Assessment Model ที่มีความแม่นยำ สอดคล้องกับบริบท และสามารถตอบสนองเป้าหมายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและคุณค่าต่อสาธารณะ</p> วรสิทธิ์ ดีอารมย์ จิดาภา เร่งมีศรีสุข สุวุฒิ ตุ้มทอง ธนภูมิ ปองเสงี่ยม นภัทร์ แก้วนาค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-08 2025-10-08 7 5 797 810 การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในอรัญญสูตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/278506 <p>อรัญญสูตร เป็นพระสูตรว่าด้วยธรรมของภิกษุผู้ควรอยู่ป่าและไม่ควรอยู่ป่า คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศล ฝ่ายละ 4 ประการ ฝ่ายอกุศลเป็นองค์ประกอบของภิกษุผู้ไม่ควรอยู่ป่า ฝ่ายกุศลเป็นองค์ประกอบของภิกษุผู้ควรอยู่ป่า ธรรมฝ่ายอกุศล 4 ประการ ได้แก่ 1) กามวิตก <br />2) พยาบาทวิตก 3) วิหิงสาวิตก 4) มีปัญญาทราม ส่วนธรรมฝ่ายกุศล 4 ประการ ได้แก่ 1) เนกขัมมวิตก <br />2) อพยาบาทวิตก 3) อวิหิงสาวิตก 4) มีปัญญาดี มีนัยตรงกันข้ามกับธรรมฝ่ายอกุศล 4 ประการ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในอรัญญสูตรกล่าวคือ ผู้ปฏิบัติคือพระภิกษุผู้อยู่ป่าเมื่อเจริญวิปัสสนาจิตเกิดอกุศล 4 คือ กามวิตก ได้แก่ ความตรึกในทางกาม พยาบาทวิตก ได้แก่ ความตรึกในทางพยาบาท วิหิงสาวิตก ได้แก่ ความตรึกในทางเบียดเบียน หรือเกิดปัญญาในทางผิดคือ ไม่รู้ชัดว่า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ให้เจริญจิตในผ่ายกุศล 4 ประการได้แก่ เนกขัมมวิตก ได้แก่ ความตรึกปลอดจากกาม อพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก ควรอยู่อาศัยเสนาสนะป่าอันเงียบสงัด ภิกษุ ได้แก่ ความตรึกปลอดจากพยาบาทควรอยู่อาศัยเสนาสนะป่าอันเงียบสงัด ภิกษุประกอบด้วย ได้แก่ ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนควรอยู่อาศัยเสนาสนะป่าอันเงียบสงัด ภิกษุมีปัญญา คือเจริญสติปัฏฐานโดยกำหนดรู้นิวรณธรรม ในหมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานจนจิตเข้าสู่ลำดับวิปัสสนาญาณ รู้แจ้งอริยสัจ 4 โดยอาศัยเสนาสนะป่าอันเงียบสงัดเป็นฐานในการภาวนา</p> พระบรรหาญ เจริญดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-14 2025-10-14 7 5 811 818 รูปแบบการบริหารโดยใช้กระบวนการบริหารคุณภาพร่วมกับชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สำหรับครูโรงเรียนลานทรายพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281316 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันความต้องการ เพื่อสร้าง เพื่อทดลองใช้ และเพื่อประเมินรูปแบบการบริหารโดยใช้กระบวนการบริหารคุณภาพร่วมกับชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ครูโรงเรียนลานทรายพิทยาคม จำนวน 23 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันความต้องการ รูปแบบ แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และแบบประเมินรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า <br />1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันภาพรวมมีการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง และความต้องการ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เนื้อหาของรูปแบบ กระบวนการของรูปแบบ และการวัดและประเมินผลรูปแบบ โดยมีกระบวนการบริหารคุณภาพ PDSA ที่แต่ละขั้นตอนในกระบวนการบริหารคุณภาพประกอบด้วยชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน การร่วมแรงร่วมใจของทีม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันการปฏิบัติ การสนทนาเพื่อสะท้อนผลและชี้แนะการปฏิบัติงาน การประยุกต์ใช้ความรู้และปรับปรุง และการสนับสนุนชุมชน โดยรูปแบบมีความเป็นไปได้และความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) หลังการใช้รูปแบบ พบว่า ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินเมินรูปแบบในด้านความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ความถูกต้องและครอบคลุม และความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ทศพร สมพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-17 2025-10-17 7 5 819 834 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่นของแรงงานหญิงในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281492 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่นของแรงงานหญิงในประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,979 ราย ผลการวิเคราะห์พบว่า แบบจำลองโดยรวมมีนัยสำคัญทางสถิติ (LR χ²(21) = 243.86, p &lt; 0.001) และมีค่า Pseudo R² = 0.0774 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยทางประชากร ได้แก่ อายุ ซึ่งเมื่ออายุของแรงงานหญิงเพิ่มขึ้นมีโอกาสย้ายถิ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 (OR = 1.37, p &lt; 0.001) และสถานภาพสมรส มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่น โดยแรงงานหญิงที่หย่าร้างมีโอกาสย้ายถิ่นสูงกว่าผู้สมรสร้อยละ 52 (OR = 1.52, p = 0.008) ขณะที่ผู้โสดมีโอกาสย้ายถิ่นน้อยกว่าสมรสแล้วร้อยละ 65 (OR = 0.35, p &lt; 0.001) แรงงานหญิงที่อยู่ในครัวเรือนขนาด 4–7 คนมีโอกาสย้ายถิ่นน้อยกว่าครัวเรือนขนาดเล็กร้อยละ 33 (OR = 0.67, p = 0.008) ในขณะที่ครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีมีโอกาสย้ายถิ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 (OR = 1.34, p &lt; 0.001) ด้านเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์พบว่า แรงงานหญิงที่อยู่ในกลุ่มอาชีพทักษะเกษตรมีโอกาสย้ายถิ่นมากกว่ากลุ่มอาชีพช่างฝีมือ 2.46 เท่า (OR = 2.46, p &lt; 0.01) และกลุ่มอาชีพพื้นฐานมีโอกาสย้ายถิ่นมากกว่ากลุ่มอาชีพช่างฝีมือ 1.93 เท่า (OR = 1.93, p &lt; 0.05) สำหรับด้านภูมิภาคแรงงานหญิงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีโอกาสย้ายถิ่นสูงกว่ากรุงเทพฯ ปริมณฑล 3.78 เท่า (OR = 3.78, p &lt; 0.001) รองลงมาคือภาคใต้ (OR = 3.53, p &lt; 0.001) และภาคเหนือ (OR = 3.03, p &lt; 0.01) สรุปการย้ายถิ่นของแรงงานหญิงไทยได้รับอิทธิพลจากอายุ สถานภาพสมรส โครงสร้างครัวเรือน ลักษณะอาชีพ และภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีแรงผลัก–แรงดึง (Push–Pull Theory) และทฤษฎีทุนมนุษย์ (Human Capital Theory) ที่อธิบายว่าการย้ายถิ่นเป็นกลไกสำคัญของแรงงานหญิงในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงของครัวเรือนในระยะยาว</p> วรางค์รัตน์ ฎาณวรรณ พระครูธรรมธรสามารถ โพธิ์แก้ว ชวพัฒน์ พรมขุนทด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 7 5 835 848 นวัตกรรมทางการจัดการศึกษาและการวิจัยในสาขาศึกษาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281929 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีที่มาจากความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในประเทศไทยให้สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการพัฒนาครูให้มีความสามารถด้าน Smart Teaching ซึ่งหมายถึงการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมการสอน และวิธีการเรียนรู้เชิงรุก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาครูไทยยังเผชิญข้อจำกัดหลายประการ ทั้งความไม่พร้อมด้านทักษะดิจิทัล ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากร และภาระงานที่มากเกินไป การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทและความท้าทายในการพัฒนาครูสู่ Smart Teaching และ 2) เสนอกรอบแนวคิดและแนวทางเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนการพัฒนาครูอย่างยั่งยืน โดยใช้การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) และการวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์จากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนา Smart Teaching ต้องอาศัยองค์ประกอบหลัก ได้แก่ การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ การจัดการเนื้อหา การบูรณาการเทคโนโลยีกับการสอน และการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัล ทั้งนี้ การพัฒนาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชน เพื่อสนับสนุนทรัพยากรและสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตของครู ข้อค้นพบชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปการศึกษาไทยจะเกิดผลได้จริงเมื่อการพัฒนาครูสู่ Smart Teaching ดำเนินการเชิงระบบ ควบคู่กับการลดความเหลื่อมล้ำ และการสร้างนโยบายที่ส่งเสริมการเรียนรู้ดิจิทัลอย่างทั่วถึง</p> วรวิทย์ นิเทศศิลป์ พระทรงพล ทิพย์คำ รุ่งทิพย์ กล้าหาญ ไพศาล ศรีวิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 7 5 863 876 การพัฒนารูปแบบการจัดการโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประเพณี รองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงสู่ความปกติใหม่เพื่อเป้าหมายการพัฒนาแบบยั่งยืนในจังหวัดลำพูน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281776 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประเพณีที่รองรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงสู่ความปกติใหม่ 2) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประเพณีต่อผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประเพณีให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ของนักท่องเที่ยวเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาจังหวัดลำพูน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบ ผสานวิธี โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจาก นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดลำพูน จำนวน 400 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบ ไม่ใช้ความน่าจะเป็น ด้วยวิธีการเลือกแบบสะดวก ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพเก็บจาก ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 7 คน ประกอบด้วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในจังหวัดลำพูน โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ 2) แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับตามแบบของ Likert เพื่อวัดตัวแปรหลัก ได้แก่ ปัจจัยโซ่อุปทานการท่องเที่ยว ความสามารถในการปรับตัว และผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน และ 3) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ สถิติเชิงพรรณนา และ การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้ การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสามารถในการปรับตัว โดยองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการทรัพยากร การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม การสื่อสารทางการตลาด และเครือข่ายชุมชน 2) ปัจจัยโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลเชิงบวกโดยตรงต่อผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 3) ความสามารถในการปรับตัวเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี สุขอนามัย และความยืดหยุ่นในการจัดกิจกรรม และ 4) ความสามารถในการปรับตัวทำหน้าที่เป็น ตัวแปรส่งผ่าน ระหว่างปัจจัยโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกับผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยรวม</p> อัญชลี หิรัญแพทย์ วราห์ สารอินมูล วีรเชษฐ์ มั่งแว่น ปาลิตา คำขวัญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 877 892 การจัดการโซ่อุปทานและการจัดการนวัตกรรมเพื่อยกระดับความพร้อมการส่งออกกาแฟไทยในยุคดิจิทัล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281775 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันด้านการจัดการโซ่อุปทาน (SCM) การจัดการนวัตกรรม (IM) และความพร้อมในการส่งออก (ER) ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง SCM, IM และ ER และ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของ SCM และ IM ที่มีต่อ ER</p> <p>รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิด SCM และ IM เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างคือเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่ขึ้นทะเบียน จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย แบ่งจำนวนกลุ่มตัวอย่างตามอำเภอ และมีการจัดสรรแบบสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ผลการตรวจสอบความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.891 ข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. เกษตรกรมีความคิดเห็นต่อ SCM, IM และ ER อยู่ในระดับ</span><strong style="font-size: 0.875rem;">มาก</strong><span style="font-size: 0.875rem;">(ค่าเฉลี่ย = 79, S.D. = 0.73)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. SCM มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ IM (r = 0.652) และกับ ER (r = 0.701) ขณะที่ IM มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ ER (r = 0.683) ทั้งสามมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ²/df = 1.87, CFI = 0.962, RMSEA = 0.045, RMR = 0.032) แสดงถึงความเหมาะสมของโมเดล โดย SCM มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อ ER (β = 0.49) IM มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อ ER (β = 0.37) และ SCM ยังมีอิทธิพลทางอ้อมต่อ ER ผ่าน IM (β = 0.24) และทั้งสามมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ</span></p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัย SCM ที่เข้มแข็งและ IM ที่มีการขับเคลื่อนเป็นปัจจัยร่วมที่สามารถยกระดับ ER ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยในการเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงสร้างคุณค่าเชิงทฤษฎีในการยืนยันบทบาทสื่อกลางของ IM แต่ยังสร้างคุณค่าเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้พัฒนาแนวทาง SCM และ IM ในระดับชุมชน วิสาหกิจ และนโยบายภาครัฐ</p> วราห์ สารอินมูล อัญชลี หิรัญแพทย์ สราวุธ พุฒนวล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 893 908 ทุนสังคม วัฒนธรรม การสร้างมูลค่าของสตาร์ทอัพ: บทเรียนจากเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281937 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิเคราะห์กระบวนการสร้างมูลค่าทางธุรกิจของสตาร์ทอัพในจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้บริบทเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ โดยพิจารณาความสัมพันธ์กับทุนทางสังคมและวัฒนธรรม 2) ทำความเข้าใจกับกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการใช้ในการแปลงทุนทางสังคมและวัฒนธรรมให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจผ่านการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ในชุมชน และ 3) นำเสนอข้อเสนอเชิงทฤษฎีและนโยบายเพื่อพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ ภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองและสังคมวัฒนธรรม โดยประยุกต์แนวคิดการปฏิบัติและทุน แนวคิดเครือข่ายนักแสดง และแนวคิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นกรอบการวิเคราะห์ พื้นที่ศึกษาคือจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการสตาร์ทอัพขนาดเล็กและกลาง รวมถึงผู้เกี่ยวข้องจากศูนย์บ่มเพาะ สถาบันการศึกษา ธนาคาร และหน่วยงานรัฐ รวมทั้งสิ้น 25 คน การเก็บข้อมูลดำเนินการผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้าน ผลการวิจัยพบว่า การสร้างมูลค่าของสตาร์ทอัพเชียงใหม่เกิดจากสามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) การวางแผนและบริหารธุรกิจอย่างยืดหยุ่น 2) การสร้างเครือข่ายและต่อรองกับพันธมิตรทางธุรกิจ และ 3) การใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นทุนทางสังคมที่เพิ่มคุณค่าและความน่าเชื่อถือในตลาด ทั้งนี้ ความสำเร็จของสตาร์ทอัพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการผสมผสานทุนทางสังคมและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการสร้างมูลค่ามีความซับซ้อนกว่าที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั่วไปอธิบาย และสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการทุนหลากหลายรูปแบบควบคู่กับกลยุทธ์ทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์</p> ศยามล อินทิยศ พระครูสังฆรักษ์กันตพงศ์ ศานติคีรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 909 922 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการกระจายยาของโรงพยาบาลเอบีซี: กรณีศึกษาอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/281953 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ในการกระจายยาของโรงพยาบาลเอบีซีในสามด้านหลัก ได้แก่ ด้านเวลา ด้านความถูกต้อง และด้านคุณภาพการบริการ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกระจายยา จำนวน 262 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าแบบลิเคิร์ต 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80–1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นโดยรวม เท่ากับ 0.89 แสดงถึงความเที่ยงในระดับสูง ผลการวิจัย พบว่า ระบบโลจิสติกส์ด้านการกระจายยาของโรงพยาบาลเอบีซีมีประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะด้านความถูกต้องและคุณภาพการบริการซึ่งเป็นจุดแข็งของระบบ ในขณะที่ด้านเวลายังเป็นข้อจำกัดที่ควรได้รับการปรับปรุง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และยกระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ งานวิจัยนี้จึงเสนอแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของโรงพยาบาลให้มีความทันสมัยและเชื่อมโยงทุกขั้นตอนของกระบวนการ เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการและสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการอย่างยั่งยืน</p> เจษฎา ฮ้อจงเจริญ วราห์ สารอินมูล อัญชลี หิรัญแพทย์ ประภาวรินทร์ อารีย์ตระกูล Vito Willems ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 923 934 วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักปฏิบัติธรรมวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/278509 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักปฏิบัติธรรมวัดพระธาตุช่อแฮ และ 3) เพื่อวิเคราะห์วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักปฏิบัติธรรมวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ วิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และการสัมภาษณ์เชิงลึก (Interview) โดยรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เรียบเรียงบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยว่า 1) การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา 4 วิธี คือ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนามีสมถนำหน้าหรือวิปัสสนานำหน้าซึ่งเรียกว่า สมถยานิกสมาธิ หมายถึง สมาธิอันเป็นไปโดยอาศัยสมถเป็นบาทในการเข้าสู่วิปัสสนาสมาธิ และวิปัสสนายานิก ผู้เจริญวิปัสสนาโดยยังไม่ได้ฌานสมาบัติ เมื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 ด้วยความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ อย่างต่อเนื่อง กำหนดรู้หยั่งเห็นไตรลักษณ์ในรูปนาม 2) วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักปฏิบัติธรรมวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง มีขั้นตอนรูปแบบการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน การสอนให้กำหนดรู้ตามแนวสติปัฏฐาน โดยกำหนดรูปที่ลมหายใจถูกต้อง คือ ลมหายใจเข้าออกไปถูกที่ใดก็ให้กำหนดที่นั้น สถานที่ลมหายใจถูกมี 2 แห่ง คือ ที่จมูก และที่ท้อง ที่จมูกจะชัดเฉพาะช่วงแรกเท่านั้น เมื่อลมละเอียดจะปรากฏไม่ชัดเจน ส่วนที่บริเวณท้องที่มีอาการพอง-ยุบ กำหนดได้ชัดเจนสม่ำเสมอ แม้ว่าจะปฏิบัติค่อนข้างยากในช่วงแรก หากแนะนำไม่ถูกต้องจะหาพอง-ยุบ ไม่ได้หรือไม่ชัดเจน การกำหนดที่ท้องจะทำนานเท่าใดก็กำหนดได้และจะแสดงสภาวะได้แจ้งชัดกว่าที่จมูก 3) วิเคราะห์วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักปฏิบัติธรรมวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง ได้ดำเนินตามแนวทางการสอนของพระพรหมมงคล (ทอง สิริมงฺคลมหาเถร) วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ เน้นการกำหนดรู้มีสติจดจ่อในสติปัฏฐานกาย เวทนา จิต และธรรม ต่อเนื่องไม่ให้ขาดสาย พัฒนาก้าวหน้าจนเข้าสู่วิปัสสนาญาณระดับต่างๆ ได้</p> พระมหาศาสตรา กำรูป ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 935 942 วิเคราะห์สัมมสนญานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/view/278507 <p>สัมมสนญานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทโดยสภาวะ หมายถึง ปัญญาที่ย่อธรรมทั้งหลาย ซึ่งมีสภาวะที่สูงมาก คือ มีปัญญาที่ย่อธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน การกำหนดสภาวะธรรมที่ปรากฏในขันธ์ 5 อันเกิดจากสัมผัสทั้งอายตนะภายนอก ภายใน ทั้งในสัญญา เจตนา ตัณหา วิตก วิจาร ในรูป รส กลิ่น เสียง ธรรมารมณ์ หรือสภาวะธรรมที่ปรากฏในธาตุ กสิณ อาการ 32 ปสาท อารมณ์ ธาตุ อินทรีย์ ในภพที่หยาบ ปานกลาง ละเอียด แม้ในฌาณ สมาบัติ ในปฏิจจจสมุปบาทที่ควรรู้ยิ่ง และเข้าถึงอริยสัจ 4 อีกทั้งสภาวธรรมในการพิจารณาความไม่เที่ยง 50 อาการ (อนิจจานุปัสสนา) การพิจารณาเห็นทุกข์ 125 อาการ (ทุกขานุปัสสนา) การพิจารณาเห็นอนัตตา 25 อาการ (อนัตตานุปัสสนา) รวม 200 อาการ การพิจารณาความเบื่อหน่าย (นิพพิทานุปัสสนา) การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด (วิราคานุปัสสนา) การพิจารณาเห็นความดับ (นิโรธานุปัสสนา) การพิจารณาเห็นความสละคืน (ปฏินิสสัคคานุปัสสนา) ว่าเป็นที่ควรรู้ยิ่ง หรือกล่าวตรง ๆ ว่า สัมมสนญาณมีทั้งสมถะและวิปัสสนาที่อาศัยกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ สัมมสนญานในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาอย่างถูกต้องแล้ว จักสามารถหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยามจักทำให้แจ้งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผลได้ ส่วนในคัมภีร์วิสุทธิมรรค และบททบทวนเอกสารงานวิจัยมีความสอดคล้องกันทั้งสิ้น</p> ภารดี ตั้งจิตชัชวาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการจัดการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 7 5 943 950