JEDI : Journal of Environmental Design Innovation
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed
<p>JEDI : Journal of Environmental Design Innovation เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ๆในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการออกแบบสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อม ปัจจุบัน ได้รับการรับรองในฐาน TCI Tier 2 (2025 - 2029)</p> <p><strong>***ทางวารสารไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์***</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN old number</span></strong></p> <div class="css-b0zbg6"> <p class="chakra-text css-k8j86g">ISSN: 2392-5477 (Print)</p> </div> <div class="css-b0zbg6"> <p class="chakra-text css-k8j86g">ISSN: 2351-0935 (Online)</p> </div> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN New number</span></strong></p> <p>ISSN 3088-179X (Online)</p> <p> </p>
Faculty of Architecture, Chiang Mai University, Thailand
th-TH
JEDI : Journal of Environmental Design Innovation
3088-179X
-
สถาปัตยกรรมจากกระบวนการออกแบบอย่างมีส่วนร่วม: กรณีสวนสาธารณะชุมชนเมืองบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/273026
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางในการออกแบบสถาปัตยกรรมและวางผังภูมิทัศน์ โดยการปรับปรุงพื้นที่ลานคอนกรีตขนาดใหญ่เหนืออุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ให้เป็นสวนสาธารณะและศูนย์ชุมชนเมืองสำหรับย่านบางกอกใหญ่ แก้ไขปัญหาพื้นที่ให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุจากการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน บริเวณพื้นที่รอยต่อจากรางลอยฟ้าลงอุโมงค์ใต้ดินระหว่างสถานีท่าพระสู่สถานีอิสรภาพ ภายใต้การดูแลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินกลางชุมชนย่านบางกอกใหญ่ และกลายเป็นพื้นที่ลานคอนกรีตขนาดกว้างตัดขาดเส้นทางสัญจรเดิมของชุมชน ทำให้ชุมชนโดยรอบขาดปฏิสัมพันธ์ และแบ่งเขตพื้นที่แยกกันอย่างชัดเจน จากการออกแบบปรับปรุงพื้นที่ลานคอนกรีตนี้ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมภายใต้แนวคิด กระบวนการร่วมคิดร่วมสร้าง (Co-creation) โดยการกำหนดโจทย์ความต้องการด้านการใช้สอย การแบ่งเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังสวนสาธารณะชุมชน รวมถึงการค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน พบว่า สามารถสรุปเกณฑ์ในการออกแบบที่สำคัญ ได้แก่ (1) การออกแบบอย่างมีส่วนร่วม (2) การออกแบบสำหรับผู้สูงอายุ และ (3) การออกแบบด้วยโครงสร้างน้ำหนักเบา นำมาสู่ผลลัพธ์ในงานออกแบบสวนสาธารณะชุมชนเมือง ด้วยแนวคิดหลัก “สวน-สาน-สัมพันธ์” เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางสัญจรเดิมของชุมชน เสริมพื้นที่กิจกรรม สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนในย่านบางกอกใหญ่</p>
ศรวณีย์ ชาญณรงค์
ศรีศักดิ์ พัฒนวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
12 1
88
107
-
เสมือนจริงหรืออุปลักษณ์: ทัศนะต่ออาคารที่เป็นแลนด์มาร์กของเมืองในภาคอีสานภายใต้บริบทของสัญลักษณ์ที่ใช้หลายคำอธิบาย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/270321
<p>การนำเสนอสัญลักษณ์เชิงเสมือนจริง (Pictographic symbols) และอุปลักษณ์ (Metaphorical symbols) มักถูกนำมาใช้ในการออกแบบและก่อสร้างอาคารแลนด์มาร์ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของพื้นที่จินตภาพเมือง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใช้สัญลักษณ์เชิงเสมือนจริงเพื่อถ่ายทอดลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น ได้รับความสนใจและนำไปประยุกต์ใช้มากขึ้นในอาคารสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้เกิดการอภิปรายว่า ควรใช้สัญลักษณ์เพื่อเป็นแนวทางการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างไร ให้อาคารแลนด์มาร์กสามารถสะท้อนลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสานได้เหมาะสม ควบคู่กับประโยชน์ในการใช้งานและสุนทรียภาพที่สมหตุสมผล การศึกษานี้ จึงได้สำรวจเลือกอาคารแลนด์มาร์กในภาคอีสานเป็นกรณีศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวทางการใช้สัญลักษณ์ในการออกแบบอาคารทั้งสองลักษณะกับอาคารแลนด์มาร์กในประเทศจีน ใน 4 มิติ ได้แก่ การใช้งาน ความงาม การขยายตัว และวาทกรรมของสัญลักษณ์ในสถาปัตยกรรม ซึ่งพบว่าอาคารแลนด์มาร์กในแต่ละลักษณะ<br />ต่างมีข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง และต่างได้รับอิทธิพลของวาทกรรมจากผู้แปลงสาร ที่มีต่อแนวคิดการนำเสนอสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของอาคารแลนด์มาร์กที่ปรากฏในปัจจุบัน เพื่อแสดงลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งในภาพรวม ผู้ออกแบบควรให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งในด้านการขยายตัวของอาคารและความงามที่จะถูกทดสอบด้วยกาลเวลา รวมถึงการบูรณาการกับสภาพแวดล้อมในเมืองและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การใช้ระบบสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่นำเสนอลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยสอดคล้องกับสุนทรียภาพของสาธารณชน องค์ประกอบเหล่านี้ จะทำให้อาคารแลนด์มาร์กมีบทบาทในการส่งเสริมภาพลักษณ์ การเป็นสัญลักษณ์ และความหมายทางวัฒนธรรมของเมือง</p>
วารุณี หวัง
Huiying Wang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
12 1
2
25
-
แนวทางการออกแบบวัสดุก่อผนังทางสถาปัตยกรรมโดยใช้ไมซีเลียม
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/271569
<p>การศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบวัสดุก่อสร้างด้วยไมซีเลียม (เส้นใยเชื้อรา) มุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางสร้างวัสดุที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอคุณสมบัติพิเศษของไมซีเลียม เช่น น้ำหนักเบา ความยืดหยุ่น และการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ ซึ่งข้อจำกัดสำคัญของไมซีเลียม คือ ความสามารถในการรับแรงอัดที่ต่ำ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว การออกแบบวัสดุจึงแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ (1) บล็อคแบบมีเดือยและช่องเสียบเดือย และ (2) บล็อคสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีร่องและลิ้น ซึ่งช่วยให้สามารถประกอบวัสดุได้ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนโดยไม่ต้องใช้ซีเมนต์ ผลการศึกษา พบว่า บล็อคไมซีเลียมขนาดเล็กมีความหนาแน่นน้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่า แต่สามารถรับแรงดัดได้มากกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการออกแบบโครงสร้างที่ต้องการความยืดหยุ่นและการเสริมความแข็งแรงด้วยวัสดุอื่น ๆ เช่น ไม้ไผ่ สามารถพัฒนาต่อยอดในการสร้างผนังทรงโค้งหรือเส้นรูปผนังโค้งสวยงามและมีอิสระในการออกแบบมากขึ้น ในขณะที่บล็อคขนาดใหญ่มีน้ำหนักมากกว่าและสามารถรับแรงอัดได้ดี แต่มีความสามารถในการรับแรงบิดได้น้อยกว่า จึงเหมาะสำหรับการนำมาพัฒนาใช้ในวัสดุก่อที่ต้องการความมั่นคงและความแข็งแรง มีความหนาและใช้การตกแต่งเพื่อความสวยงามที่พื้นผิวแทน นอกจากนี้ การออกแบบแม่พิมพ์ยังมีผลกระทบต่อคุณสมบัติเชิงกายภาพและการออกแบบของไมซีเลียม พบว่า การใช้แม่พิมพ์ที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ชิ้นงานเสียหาย ดังนั้นการออกแบบที่เรียบง่ายจึงช่วยเพิ่มความแข็งแรงในด้านการรับแรงดัดของไมซีเลียม และการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม เช่น อะคริลิคใสหรือวัสดุทดแทนอะคริลิคใส จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ รวมถึงการนำเสนอแนวทางใหม่ในการพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืนจากไมซีเลียมสำหรับอนาคตต่อไป</p>
ภูมิ ทรัพย์ไพบูลย์กิจ
กานต์ คำแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
12 1
26
47
-
การวิเคราะห์พื้นที่เล่นสำหรับเด็กในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในมิติของสวน ที่เป็นมิตรกับเด็กและเชื่อมโยงการเล่นกับองค์ประกอบธรรมชาติ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/271611
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์รูปแบบทางกายภาพของพื้นที่เล่นสาธารณะสำหรับเด็ก และอภิปรายถึงปัญหาและโอกาสในการพัฒนา เพื่อเกิดสวนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กในวัย 3-12 ปี รวมถึงการเชื่อมต่อกิจกรรมการเล่นกับธรรมชาติโดยรอบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสำรวจรูปแบบพื้นที่เล่น และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ร่วมกับหลักเกณฑ์จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ร่วมกัน ผลการสำรวจ พบว่า ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการจัดโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็ก ในสวนสาธารณะและสนามกีฬา ไว้ 8 แห่ง จากจำนวนสวนทั้งหมด 16 แห่ง โดยพื้นที่สวนนั้นมีลักษณะเด่น คือ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และมีองค์ประกอบทางธรรมชาติที่หลากหลาย เช่น หนองน้ำ เนินดิน ลานทราย ไม้พุ่ม และไม้ดอก เครื่องเล่นส่วนใหญ่ทำด้วยวัสดุพลาสติกขึ้นรูปสีสันสดใสและเหล็ก ที่มีข้อดีในด้านความปลอดภัยและดูแลรักษาได้ง่าย จากการวิเคราะห์ข้อมูลกายภาพและเปรียบเทียบพื้นที่เล่นสาธารณะสำหรับเด็ก ทั้ง 8 แห่ง สวนสาธารณะหนองบวกหาดและสวนสุขภาพบ้านเด่น มีคุณภาพสูงที่สุดในมิติของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นของเด็ก และมีการเชื่อมโยงพื้นที่เล่นกับองค์ประกอบธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ควรเพิ่มความหลากหลายของเครื่องเล่น เพื่อช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และส่งเสริมพัฒนาการรอบด้านของเด็ก</p>
พิไลพร นุ่นมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
12 1
48
67
-
โครงสร้างภูมินิเวศ พลวัต และนิเวศบริการของแนวป่าชายน้ำ: กรณีศึกษาพื้นที่ตัวเมือง จังหวัดยโสธร
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/274073
<p>แนวป่าชายน้ำ เป็นกลุ่มพืชพันธุ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบริเวณริมตลิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแม่น้ำและพื้นที่ราบลุ่มน้ำหลาก ทำหน้าที่เชื่อมต่อในแนวยาว แนวราบและแนวดิ่งของระบบนิเวศ กำเนิดผลผลิตเชิงนิเวศและนิเวศบริการ ยโสธร มีชุมชนชนบทขนาดเล็กที่ยังมีการดำรงชีวิตด้วยการเกษตรกรรม ประมงน้ำจืดและประโยชน์จากนิเวศบริการ งานวิจัยนี้จึงต้องการศึกษาโครงสร้าง พลวัตและนิเวศบริการของแนวป่าชายน้ำและประโยชน์ต่อชุมชนเกษตรกรรม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวป่าชายน้ำด้วยวิธีวิจัย <br />(1) ใช้เทคโนโลยีรับรู้ระยะไกลเพื่อระบุโครงสร้างภูมินิเวศ ขอบเขตการเกิดพลวัตน้ำหลากและการก่อตัวของแนวป่าชายน้ำ (2) สังเกตการณ์พื้นที่ ผลการศึกษาพบว่า แนวป่าชายน้ำพบมากในพื้นที่ราบลุ่มน้ำหลากซึ่งมีความกว้าง 3.00-8.00 กิโลเมตร การขยายและหดตัวของของพืชได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพลวัตน้ำหลาก นิเวศบริการแนวป่าชายน้ำสำคัญมากต่อความมั่นคงทางอาหาร ความต่อเนื่องของวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจหมู่บ้าน แนวป่าชายน้ำลดลงอย่างมากจากการเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อ่างเก็บน้ำและการขยายตัวของเมือง ตามลำดับ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพลวัตน้ำหลากโดยเขื่อนและถนน จนนำไปสู่การลดลงของนิเวศบริการที่กระทบกับปริมาณอาหารและรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ</p>
เกียรติกมล นิลาภรณ์กุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
12 1
68
87