วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas <h2><strong><span style="font-size: big;">วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา<br /></span></strong></h2> <h2 class="a"><strong>Journal of Ayutthaya Studies</strong></h2> <p><strong>ISSN 3027-7248 (Print) และ ISSN 3027-7256 (Online)</strong></p> <p>เป็นวารสารวิชาการ (TCI ฐาน 2) ของสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ที่เผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อาทิ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และรัฐศาสตร์ <strong>ในบริบทด้านอยุธยาศึกษา</strong> ของนักวิชาการ ครูอาจารย์ และนักศึกษา ทั้งภายใน และภายนอกมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา โดยรับพิจารณาบทความทางวิชาการ (Academic Article) บทความงานวิจัย (Research Article)</p> <p><strong>ภาษา:</strong> ภาษาไทย<br /><strong>กำหนดเผยแพร่:</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน / ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม<br /><strong>อัตราค่าส่งบทความ : </strong>ไม่เรียกเก็บค่าส่งบทความ (ฟรี)</p> สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา th-TH วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา 3027-7248 อดีตพระพุทธเจ้า : ร่องรอยอารยธรรมของงานจิตรกรรมไทยสมัยอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/266769 <p class="a"><span lang="TH">อดีตพระพุทธเจ้า </span>: <span lang="TH">ร่องรอยอารยธรรมของงานจิตรกรรมไทยสมัยอยุธยา นำเสนอสาระและองค์ความรู้งานศิลปกรรมในสมัยอยุธยา ว่าด้วยเรื่องภาพจิตรกรรมอดีตพระพุทธเจ้า “อดีตพระพุทธเจ้า” กล่าวคือบรรดาภูมิหลังของพระโพธิสัตว์อันมาเกิดบนโลกมนุษย์และบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณและสำเร็จอรหันต์ จนลุเข้าสู่พระนิพพานก่อนจะมาถึงพระสมณโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) เนื้อในบทความฉบับนี้แบ่งเนื้อหาในเชิงวิชาการออกเป็น 5 ช่วง ประกอบด้วยบทนำ 1) ซึ่งเป็นบทนำเรื่องก่อนเข้าสู่เนื้อหาในประเด็นต่อไป 2) ความเชื่อของตำนานมูลศาสนาสู่ภาพอดีตพระพุทธเจ้า สาระหลักกล่าวการอารัมภบทของงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับคติชนของกลุ่มคนและคติในทางพระพุทธศาสนาและตำนานศาสนาที่เป็นความดลใจในการสร้างงานจิตรกรรมไทยภาพอดีตพระพุทธเจ้า 3) ภาพอดีตพระพุทธเจ้าในประเทศไทย 4) ภาพจิตรกรรมอดีตพระพุทธเจ้าในสมัยอยุธยา และ 5) บทสรุปอันเป็นข้อประมวลสารัตถะจากการนำเสนองานองค์ความรู้ของภาพจิตรกรรมอดีตพุทธเจ้าในงานศิลปกรรมไทย<br />สมัยอยุธยา </span></p> วสวัตติ์ ริยาพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 7 21 ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจท้องถิ่นย่านสถานีรถไฟอยุธยา พ.ศ. 2465-2520 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/266899 <p class="a"><span lang="TH">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจท้องถิ่นย่านสถานีรถไฟอยุธยา พ.ศ. 2465–2520 ผลการศึกษาพบว่า การสร้างสถานีรถไฟอยุธยา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ของผู้คนหลายกลุ่ม และได้ขยายตัวเป็นย่านชุมชนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างหลากหลาย ได้แก่ กลุ่มการค้ารายย่อยบริเวณสถานีรถไฟ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังเกิดย่านตลาดที่มีการขยายตัวจากการค้าทางน้ำอันเป็นวิถีแบบดั้งเดิม มาสู่การผลิตและค้าขายที่เชื่อมโยงกับสถานีรถไฟ เช่น ร้านขายอาหาร ร้านขายของชำ และมีบริการอื่น ๆ ที่สอดรับกับวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในย่านนั้น รวมถึงมีธุรกิจท้องถิ่นที่เติบโตขึ้น เช่น โรงน้ำปลา ปลาร้า ยาสูบ ซึ่งเป็นธุรกิจที่โดดเด่นในย่านสถานีรถไฟ และยังมีโรงงานอื่น ๆ ที่ขยายตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น โรงน้ำแข็ง โรงเลื่อย นอกจากนี้ บริเวณริมคลองกะมัง และวัดพิชัยสงครามก็เป็นอีกพื้นที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัย และทำการค้ากันอย่างหนาแน่นต่อเนื่องจากชุมชนดั้งเดิม จึงกล่าวได้ว่า การสร้างสถานีรถไฟอยุธยาได้มีส่วนส่งเสริมให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความเจริญในช่วงเวลาดังกล่าว </span></p> ศุภสุตา ปรีเปรมใจ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 22 38 อิทธิพลทางตรงและผลรวมที่มีต่อการเดินทางมาไหว้พระ 9 วัด ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/268213 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพทั่วไปของปัจจัยส่วนบุคคล สถานที่ บุคลากร ความเหมาะสม การให้บริการ ประชาสัมพันธ์ และการไหว้พระ 9 วัด และ 2) อิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคล สถานที่ บุคลากร ความเหมาะสม การให้บริการ ประชาสัมพันธ์ที่มีต่อการไหว้พระ 9 วัด งานวิจัยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาไหว้พระ 9 วัดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ อัตราส่วนร้อย และเทคนิคการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพทั่วไปของนักท่องเที่ยวไทยที่ตกเป็นกลุ่ม เป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 60.50 อายุระหว่าง 41-60 ปี ร้อยละ 33.50 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 48.50 มีรายได้ต่อเดือน 30,001-45,000 บาท ร้อยละ 34.50 อาชีพธุรกิจส่วนตัว / ค้าขายอิสระ ร้อยละ 30.00 สถานภาพสมรส ร้อยละ 57.50 โดยนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าการเดินทางไปไหว้พระ 9 วัดนั้นดี - ดีมาก ร้อยละ 63.50 ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เห็นดีมากใน 3 ประเด็นได้แก่ (1) การที่มีพระประพฤติดีน่าเลื่อมใส ร้อยละ 55.00 (2) ความสะดวกในเรื่องการจอดรถ ร้อยละ 50.00 และ (3) การมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง ร้อยละ 46.00 ตามลำดับ ทั้งนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คิดเห็นว่าควรปรับปรุง 3 ประเด็นไล่เรียงลำดับได้แก่ (1) การสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ / โซเชียล ร้อยละ 55.00 (2) คนขายวัตถุมงคลที่ควรปรับปรุงพฤติกรรมการขายให้ดูน่าเชื่อถือ ร้อยละ 55.00 และ (3) ความรวดเร็วในการเดินทางแต่ละวัด ร้อยละ 32.00 และ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลที่ประกอบด้วยอายุ การศึกษา สถานภาพ ประสบการณ์ รายได้ต่อเดือน และอาชีพมีอิทธิพลทั้งทางตรง (ß = 0.961) และผลรวม (ß = 2.832) มากที่สุดต่อการไหว้พระ 9 วัดของนักท่องเที่ยว ส่วนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับวัดมีอิทธิพลทางอ้อม (ß = 1.880) ต่อการไหว้พระ 9 วัดของนักท่องเที่ยวมากที่สุด รองลงมาได้แก่ บุคลากร ความเหมาะสม การให้บริการ ประชาสัมพันธ์ และสถานที่ (ß = 0.944) เป็นลำดับท้าย</p> พิชศาล พันธุ์วัฒนา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 39 56 พฤติกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/262663 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการศึกษาโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีเจาะจง (Purposive Sampling) โดยมีการกระจายกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ตามอายุ อาชีพและรายได้ โดยศึกษาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เคยเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างน้อย 1 ครั้งในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่ ตุลาคม พ.ศ.2565-มีนาคม พ.ศ.2566) จำนวน 10 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนจำนวน 5 คน และ 2) กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวแบบไปเช้ากลับเย็นจำนวน 5 คน โดยการนำเสนอผลวิจัยที่ได้ในรูปแบบพรรณนา และใช้วิธี Triangulation คือ มีการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งสองกลุ่มและเชื่อมโยงกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าคุณลักษณะของนักท่องเที่ยวส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวและส่งผลต่อรูปแบบการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว เป็นตัวแปรที่ทำให้สามารถคาดเดารูปแบบการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวได้ ส่วนองค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น ความสวยงาม ความสะดวกสบาย ความน่าสนใจ เป็นต้น มีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว และเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ นอกจากนี้กระบวนการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวประกอบด้วยหลายขั้นตอน พบว่าการที่นักท่องเที่ยวตัดสินใจเพื่อท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวใดแหล่งท่องเที่ยวหนึ่ง เป็นผลมาจากการที่แหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ มีองค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องกับคุณลักษณะของนักท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะท่องเที่ยวซ้ำในแหล่งท่องเที่ยวนั้นเพราะองค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้</p> ญาณินท์ ช้างหลำ ภิญรดา เมธารมณ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 57 73 แนวทางการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ของกลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะเรียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สู่เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/266817 <p class="a"><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์</span> (1) <span lang="TH">เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยของกลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น ตำบลเกาะเรียน หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะเรียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ</span> (2) <span lang="TH">เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ในกลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (</span>Mixed Methods) <span lang="TH">โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบสัมภาษณ์เจาะลึก ประเด็นประชุมอภิปรายกลุ่ม แบบประเมินผลงาน และจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ กลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น หมู่ที่ 4 ปราชญ์ชาวบ้าน พัฒนาการอำเภอ อาจารย์ นักศึกษา ครูการศึกษานอกโรงเรียน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน </span>18 <span lang="TH">คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหา นำเสนอในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบว่า </span>1) <span lang="TH">แนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยของกลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น คุณค่าด้านผลิตภัณฑ์ คุณค่าด้านบริการ คุณค่าด้านบุคลากร และคุณค่าด้านภาพลักษณ์</span> 2) <span lang="TH">การสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไทยของกลุ่มสตรีบ้านต้นสะตือสามต้น สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ จำนวน </span>4 <span lang="TH">ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เข็มกลัดของที่ระลึกของชำร่วย กระเป๋าพวงกุญแจ กระเป๋าใบเล็ก และกระเป๋าดินสอ และจัดอบรมเชิงปฏิบัติการผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชน เสริมสร้างรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชน </span></p> สุนันทา คะเนนอก Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 74 89 การประดิษฐ์ดอกกุหลาบจากใบผักตบชวา ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/266159 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการประดิษฐ์ดอกกุหลาบด้วยใบผักตบชวา 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีผลต่อผลิตภัณฑ์ดอกกุหลาบจากใบผักตบชวา 3) ศึกษาต้นทุนในการผลิตดอกกุหลาบประดิษฐ์จากใบผักตบชวาในเชิงการค้า ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงทดลอง โดยสำรวจความพึงพอใจ จากกลุ่มประชากร 2 กลุ่ม คือ (1) ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 ท่าน (2) นักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา บุคคลทั่วไป จำนวน 100 ท่าน และสถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ใบผักตบชวาที่เหมาะสมสำหรับการนำมาประดิษฐ์ คือระหว่างใบที่ 3-4 อุณหภูมิที่เหมาะสมในการอบใบ 70 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 40 นาที และนำไปอัดในเครื่องอัดกลีบดอกไม้ โดยใช้ที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส ในเวลา 3 นาที การเคลือบจะมีความเงาและคงทนมากกว่าการไม่เคลือบและด้านความพึงพอใจของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 10 ท่าน โดยมีความชอบโดยรวมต่อดอกกุหลาบจากผักตบชวาที่เคลือบสารมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยคุณลักษณะทางด้านความพึงพอใจ ได้แก่ ด้านความเหมาะสมในการนำไปใช้ ด้านความคงทนแข็งแรง ด้านความสวยงาม ด้านความเงางาม ด้านความเหมาะสมของสี ด้านประโยชน์ของการนำมาใช้ได้จริง และด้านความชอบโดยรวม มีคะแนนเท่ากับ 7.80±1.23,7.50±1.08, 7.20±1.14, 7.30±1.49, 7.70±1.34, 7.40±1.08, 8.00±1.05, และ7.50±1.27 ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีผลต่อเข็มกลัดดอกกุหลาบจากใบผักตบชวา ด้านวัสดุที่ใช้มีความเหมาะสม ด้านความสวยงาม ด้านความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.58±0.77, 8.71±0.64, 8.65±0.58 อยู่ในระดับที่ความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมา ด้านความเหมาะสมในการนำไปใช้ ด้านความเหมาะสมของสี ด้านประโยชน์ของการนำมาใช้ได้จริง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.31±0.72, 8.42±0.79, 8.44±0.85 อยู่ในระดับที่ความพึงพอใจมาก รองลงมา ด้านความคงทนแข็งแรง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.35 อยู่ในระดับที่ความพึงพอใจปานกลาง สำหรับต้นทุนการผลิตภัณฑ์ดอกกุหลาบจากใบผักตบชวา พบว่า มีราคาต้นทุนรวม เท่ากับ 31.63 บาท คิดค่าแรงขั้นต่ำ ค่าพลังงาน ค่าบรรจุภัณฑ์ รวมเท่ากับ 97.10 บาท ต่อ 1 ดอก ถ้าขายแบบมีบรรจุภัณฑ์ ราคา 1 ช่อ เท่ากับ 125.- บาท ได้กำไร 15.- บาท แบบไม่รวมบรรจุภัณฑ์ ราคาแบบรวมบรรจุภัณฑ์ 1 ช่อ ราคา 108.- บาท</p> นพา ลีละศุภพงษ์ ประกาศิต วรรณยศ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 90 104 กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคกลัวการเข้าสังคมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/267022 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และปัญหาอุปสรรคตลอดจนแนวทางการป้องกันโรคกลัวการเข้าสังคมด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยปรากฏการณ์วิทยา เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึก จากนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา หมวดวิชาศึกษาทั่วไป ระดับปริญญาตรีในปีการศึกษา 2565 (ภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2) จำนวน 143 คน ผู้บริหารและครูในโรงเรียนในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 8 โครงการ จำนวน 8 คน และผู้แทนจากชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ จำนวน 5 คน ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของแผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ ซึ่งประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ (2) ขั้นเตรียมโครงการ (3) ขั้นฝึกทักษะที่จําเป็น (4) ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ (5) ขั้นกิจกรรมกลุ่ม (6) ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล (7) ขั้นสรุปผลการดําเนินการ (8) ขั้นทบทวนและนำเสนอโครงการ ปัญหาอุปสรรคในกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในแผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคที่ 1 : ความยากในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ปัญหาอุปสรรคที่ 2 : ความกลัวและความท้อใจของผู้เรียน ปัญหาอุปสรรคที่ 3 : ความอึดอัดใจที่ต้องสื่อสารกับสังคมของผู้เรียน ส่วนแนวทางการป้องกันโรคกลัวการเข้าสังคม ได้แก่ 1) จัดการศึกษาอย่างลุ่มลึกไปยังสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ 2) ให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์จริง 3) ให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในการค้นหาแนวทางการแก้ปัญหา</p> ปริณุต ไชยนิชย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 105 123 นาฏศิลป์สร้างสรรค์ ชุด มาณวิกา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/266562 <p>นาฏศิลป์สร้างสรรค์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ชุดการแสดง “มาณวิกา” ซึ่งหมายถึงผู้หญิงในภาษาบาลี ผู้หญิงในที่นี่ผู้สร้างสรรค์ให้ความหมายว่าหมายถึงผู้หญิงที่แปลว่าเมีย โดยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายตราสามดวง กฎพระไอยการลักษณะผัวเมีย จากตำรา และเอกสารวิชาการ เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นการแสดง จากการศึกษาพบว่า สังคมไทยในอดีตมีค่านิยมการมีเมียหลายคน โดยเห็นว่าเป็นการแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และการเมืองอีกด้วย ทั้งยังมีกฎหมายเป็นฐานรับรองความถูกต้องชอบธรรม ที่ปรากฎในกฎหมายลักษณะผัวเมียที่ตราขึ้นครั้งสมัยอยุธยา มีชื่อเรียกว่า “พระไอยการลักษณะผัวเมีย” โดยได้กล่าวถึงประเภทของเมียไว้ถึง 3 ประเภท คือ 1. เมียกลางเมือง หมายถึง หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชายหรือภรรยาหลวง 2. เมียกลางนอก หมายถึง อนุภรรยาหรือเมียน้อย 3. เมียกลางทาษี หมายถึง เมียทาส นาฏศิลป์สร้างสรรค์ ชุด “มาณวิกา” ได้แบ่งการแสดงออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 “ดรุณี” นำเสนอผู้หญิงผ่านวิถีชีวิต ช่วงที่ 2 “เปรมปฏิพัทธ์” นำเสนอ การร่วมรักของชายหญิงที่เป็นผัวเมียกันของเมียทั้ง 3 ประเภท และช่วงที่ 3 “เรือนภิรมย์” นำเสนอชนชั้นฐานะ ความเป็นอยู่ของเมียทั้ง 3 ประเภทบนเรือน กระบวนท่าของการแสดงนั้นนำโครงร่างของท่าพื้นฐานของนาฏศิลป์ไทยมาปรับปรุง ประยุกต์ ตลอดจนการสร้างสรรค์กระบวนท่าขึ้นใหม่ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นฐานนาฏศิลป์ไทย การแต่งกายพัฒนามาจากการแต่งกายของสตรีในสมัยอยุธยาตอนต้น โดยผลจากนาฏศิลป์สร้างสรรค์ ชุด “มาณวิกา” นี้ จะเป็นการแสดงชุดหนึ่งที่มีประโยชน์ทางการศึกษาที่จะสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัว จารีตประเพณี และบริบทของสังคมสมัยอยุธยาในการแสดงอีกด้วย</p> ฉัตราภรณ์ ขวัญเมือง ศุภกานต์ บึงอ้อ กนกวรรณ ฉิมเกิด Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 16 2 124 136