วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ มหาวิทยาลัยมหิดล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu <p><strong>วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</strong> อยู่ในฐานข้อมูล <a href="https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=698" target="_blank" rel="noopener">TCI กลุ่ม 2 (2568 - 2572)</a> ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดย<a href="https://sh.mahidol.ac.th/?page=faculty&amp;p=1&amp;searchrow=all&amp;keyword=&amp;dpm=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C" target="_blank" rel="noopener">ภาควิชาสังคมศาสตร์</a> <a href="https://sh.mahidol.ac.th/" target="_blank" rel="noopener">คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</a> <a href="https://mahidol.ac.th/th/" target="_blank" rel="noopener">มหาวิทยาลัยมหิดล</a> ทั้งนี้ <a href="http://203.131.211.58/hrtuweb/documents/year64/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%AD-%E0%B8%894-2564.pdf" target="_blank" rel="noopener">บทความจะถูกประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน</a> และ <a href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/issue/archive">เผยแพร่ 2 ฉบับ ต่อปี (ม.ค.-มิ.ย. และ ก.ค.-ธ.ค.)</a><br /><br /><strong>วารสารฯ เปิดรับผลงานทางด้าน:</strong></p> <p> ▶ สังคมศาสตร์ในมิติต่าง ๆ เช่น สังคมศาสตร์การแพทย์/สุขภาพ สังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ<br /> ▶ การบริหารจัดการองค์การภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาคไม่แสวงหากำไร<br /> ▶ นโยบายสาธารณะในประเด็นต่าง ๆ เช่น นโยบายสังคม นโยบายการศึกษา นโยบายสุขภาพ ฯลฯ<br /> ▶ ประเด็นทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับ<a href="https://science.mahidol.ac.th/sdgs/17goals/" target="_blank" rel="noopener">เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)</a><br /><br /><span style="font-weight: bolder;"><span style="font-weight: 400;">ผู้สนใจสามารถส่งบทความฯ เพื่อรับการพิจารณาได้ </span><a style="background-color: #ffffff; font-weight: 400;" href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/about/submissions" target="_blank" rel="noopener">ที่นี่ (ส่งบทความ)</a><span style="font-weight: 400;"> หรือ ติดต่อวารสารฯ ได้ที่ Email: </span><a style="background-color: #ffffff; font-weight: 400;" href="https://mail.google.com/mail/?view=cm&amp;source=mailto&amp;to=issj.mahidol@gmail.com" target="_blank" rel="noopener">issj.mahidol@gmail.com</a><br /><br /><em>** วารสารฯ ไม่มี นโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือ ค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการตีพิมพ์ **<br /></em></span></p> th-TH <p>- วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อได้ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาอนุญาต CC Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) โดยต้องแสดงที่มา/การอ้างอิงจากวารสาร – ไม่ใช้เพื่อการค้า – ห้ามแก้ไขดัดแปลงเนื้อหา</p> <p>- ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารฯ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารฯ (ซึ่งหมายรวมถึง บรรณาธิการ ผู้ทรงคุณวุฒิในกองบรรณาธิการ หรือ บรรณาธิการรับเชิญ) แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง ตลอดจนความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความเป็นของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารฯ</p> <p>- กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตัดทอน/ปรับแก้ถ้อยคำบางประการเพื่อความเหมาะสม</p> issj.mahidol@gmail.com (Editor, Integrated Social Science Journal) issj.mahidol@gmail.com (Ms. Panugarn Sornjai) Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การวิจัยติดตามและประเมินผลการพัฒนาครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/277375 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหาอุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 2) ประเมินผลการพัฒนาครู และ 3) จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการพัฒนาครู การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพ ปัญหาอุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาครู ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารหน่วยงานส่วนกลาง ระดับเขตพื้นที่ ระดับสถานศึกษา และครู 41 คน เครื่องมือ คือ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 2 ประเมินผลการพัฒนาครู กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครู 3,462 คน เครื่องมือ คือ เป็นแบบสอบถาม และระยะที่ 3 จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ 15 คน เครื่องมือ คือ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม และร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /><br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาครูมีการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาครูไว้ชัดเจน และมีระบบการติดตามประเมินผลการพัฒนาครู แต่มีปัญหาและอุปสรรคในด้านนโยบายที่ขาดความต่อเนื่อง การสื่อสารนโยบายไม่ทั่วถึงครอบคลุม และเป้าหมายการพัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของสถานศึกษา และปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาครู คือ การมีระบบและกลไกในการสื่อสารนโยบาย และการกำกับติดตามการดำเนินการตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง 2) ผลการพัฒนาครู พบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในความเป็นครูและการจัดการเรียนรู้ มีทักษะในการจัดการเรียนรู้ และมีคุณลักษณะของความเป็นครูในระดับมาก รวมทั้ง ครูในสถานศึกษาขนาดเล็กและพื้นที่ห่างไกลมีโอกาสได้รับการพัฒนาน้อยกว่า และ 3) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย พบว่า (1) ควรสื่อสารนโยบายให้ทั่วถึง และมีนโยบายพัฒนาครูโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน (2) ควรจัดหลักสูตรที่เน้นการตอบสนองความต้องการของครู (3) ควรเสริมสร้างแรงจูงให้ครูพัฒนาตนเอง และ (4) ควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาครู</p> เก็จกนก เอื้อวงศ์, ฐิติกรณ์ ยาวิไชย จารึกศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/277375 Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700 The Impact of COVID-19 on Educational Digital Transformation https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/276876 <p>COVID-19 has necessitated a rapid and comprehensive shift towards digital transformation in the education sector. This study explores the impact of COVID-19 on educational practices and the role of digital transformation in mitigating these effects. A systematic three-stage bibliometric and documentary analysis of research articles indexed in a database since the wake of the COVID-19 crisis highlights the significant contributions of social sciences and digital innovations in understanding and facilitating this transformation. The findings underscore the recurrence of keywords and field of expertise critical need for robust digital infrastructure, professional development for educators, and strategies to bridge the digital divide. Additionally, the study emphasizes the importance of fostering digital literacy among students and educators to ensure the effective integration of digital tools in education. This research provides valuable insights and new knowledge for developing adaptive, innovative, and inclusive educational strategic planning in a post-pandemic world, enhancing educational resilience and quality.</p> Wichai Siriteerawasu ลิขสิทธิ์ (c) 2025 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/276876 Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันของนักศึกษาและศิษย์เก่าหลักสูตร ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน (หลักสูตรนานาชาติ) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/272317 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันของนักศึกษาและศิษย์เก่าหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน (หลักสูตรนานาชาติ) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันของนักศึกษาและศิษย์เก่าฯ กับความเต็มใจแนะนำและทำประโยชน์ให้กับหลักสูตรฯ และ 3) จัดทำข้อเสนอแนะในการพัฒนากระบวนการสร้างความผูกพันต่อศิษย์เก่าและเป็นข้อมูลในการปรับปรุงหลักสูตรฯ ในปี 2570 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่าของหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แผนการเรียน 2.1 (สำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาโท) จำนวน 65 คน จึงเก็บข้อมูลแบบสำมะโน (Census) มีผู้ตอบแบบสอบถาม 39 คน (ร้อยละ 69.64) ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา เช่น ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามีความผูกพันต่อหลักสูตรฯ ในระดับมาก ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ความภาคภูมิใจต่อหลักสูตรฯ (0.692), กิจกรรมเสริมหลักสูตร (0.541) และอาจารย์ผู้สอน (0.634) ส่วนปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพัน ได้แก่ เจ้าหน้าที่สนับสนุน (0.304) สิ่งอำนวยความสะดวก (0.283) เพื่อนร่วมชั้นเรียนและเพื่อนร่วมห้องปฏิบัติการ (0.177) นอกจากนี้ยังพบว่า ความผูกพันมีความสัมพันธ์ต่อความเต็มใจที่จะทำประโยชน์ให้กับหลักสูตร (0.700) และความเต็มใจที่จะแนะนำหลักสูตรฯให้กับรุ่นน้องและคนรู้จัก (0.459) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 กล่าวโดยสรุป ผลการวิจัยนี้ชี้ว่า ความภาคภูมิใจต่อหลักสูตร กิจกรรมเสริมหลักสูตร และอาจารย์ผู้สอน เป็นปัจจัยสำคัญที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับความผูกพันของนักศึกษาและศิษย์เก่า ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อวางแผนรักษาและพัฒนาระดับความผูกพันของนักศึกษาและศิษย์เก่าอย่างยั่งยืนต่อไป</p> สุชาดา สุวรรณนิคม, ชนิตรา ธุวจิตต์, วทิพย์ ตั้งจิตติโภคิน, ศันสนีย์ เสนะวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/272317 Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700