https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/issue/feed
วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
2024-06-30T00:00:00+07:00
Editor, Integrated Social Science Journal
issj.mahidol@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</strong> อยู่ในฐานข้อมูล <a href="https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=698" target="_blank" rel="noopener">TCI กลุ่ม 2 (2563 - 2567)</a> ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดย<a href="https://sh.mahidol.ac.th/?page=faculty&p=1&searchrow=all&keyword=&dpm=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C" target="_blank" rel="noopener">ภาควิชาสังคมศาสตร์</a> <a href="https://sh.mahidol.ac.th/" target="_blank" rel="noopener">คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</a> <a href="https://mahidol.ac.th/th/" target="_blank" rel="noopener">มหาวิทยาลัยมหิดล</a> ทั้งนี้ <a href="http://203.131.211.58/hrtuweb/documents/year64/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%AD-%E0%B8%894-2564.pdf" target="_blank" rel="noopener">บทความจะถูกประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน</a> และ <a href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/issue/archive">เผยแพร่ 2 ฉบับ ต่อปี (ม.ค.-มิ.ย. และ ก.ค.-ธ.ค.)</a><br /><br /><strong>วารสารฯ เปิดรับผลงานทางด้าน:</strong></p> <p> ▶ สังคมศาสตร์ในมิติต่าง ๆ เช่น สังคมศาสตร์การแพทย์/สุขภาพ สังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ<br /> ▶ การบริหารจัดการองค์การภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาคไม่แสวงหากำไร<br /> ▶ นโยบายสาธารณะในประเด็นต่าง ๆ เช่น นโยบายสังคม นโยบายการศึกษา นโยบายสุขภาพ ฯลฯ<br /> ▶ ประเด็นทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับ<a href="https://science.mahidol.ac.th/sdgs/17goals/" target="_blank" rel="noopener">เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)</a><br /><br /><span style="font-weight: bolder;"><span style="font-weight: 400;">ผู้สนใจสามารถส่งบทความฯ เพื่อรับการพิจารณาได้ </span><a style="background-color: #ffffff; font-weight: 400;" href="https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/about/submissions" target="_blank" rel="noopener">ที่นี่ (ส่งบทความ)</a><span style="font-weight: 400;"> หรือ ติดต่อวารสารฯ ได้ที่ Email: </span><a style="background-color: #ffffff; font-weight: 400;" href="https://mail.google.com/mail/?view=cm&source=mailto&to=issj.mahidol@gmail.com" target="_blank" rel="noopener">issj.mahidol@gmail.com</a><br /><br /><em>** วารสารฯ ไม่มี นโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือ ค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการตีพิมพ์ **<br /><br /></em></span></p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/264252
การจัดทำแผนพัฒนาสมรรถนะบุคลากรของแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ
2023-12-18T15:17:51+07:00
กฤตยพร ไวคุณา
krittayaporn.wik@mahidol.ac.th
<p>การขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จในโลกที่การเติบโตทางธุรกิจมีการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสูง ความสามารถและทักษะของบุคลากรในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญ การมุ่งเน้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรจึงต้องมีการวางแผนการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรที่ออกแบบเป็นอย่างดี บทความนี้จะเน้นถึงขั้นตอนสำคัญที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานพัฒนาสมรรถนะบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นรายบุคคล กรณีศึกษาแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เริ่มต้นด้วยการประเมินความต้องการหรือเป้าหมายขององค์กร การระบุช่องว่างของสมรรถนะและประเมินสมรรถนะ การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรที่ชัดเจนให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร และมีการออกแบบแผนการฝึกอบรมและการพัฒนาที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมศักยภาพบุคลากรในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยทักษะและความรู้ที่จำเป็นเพื่อให้ทันต่อการรับมือภัยคุกคามและการโจมตีทางด้านไซเบอร์ที่รุนแรงมากขึ้น ตลอดจนถึงมีความรู้ความเข้าใจในการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านระบบคอมพิวเตอร์และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อย่างไรก็ดีการวางแผนพัฒนาสมรรถนะบุคลากรที่ดีช่วยพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับบุคลากร บุคลากรที่ได้รับการพัฒนามีความก้าวหน้าในสายงาน องค์กรมีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น การทำงานเป็นมาตรฐานในระดับสากล เพิ่มผลผลิต องค์กรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และสามารถขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/268941
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการนำนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปปฏิบัติในกรมที่ดิน (ส่วนกลาง)
2024-06-01T02:38:17+07:00
วุฒิภัทร คำพิทักษ์
wuttipat.ku@ku.th
อรนันท์ กลันทปุระ
fsocong@ku.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน (ส่วนกลาง) เกี่ยวกับปัจจัยแห่งความสำเร็จในการนำนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมที่ดินไปปฏิบัติ ศึกษาความแตกต่างของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับนำนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปปฏิบัติ ตามปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน (ส่วนกลาง) และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมที่ดิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน (ส่วนกลาง) จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปปฏิบัติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน (ส่วนกลาง) มีระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยเกื้อหนุนในการนำนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมที่ดินไปปฏิบัติ ในภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ปัจจัยด้านมาตรฐานและวัตถุประสงค์ของนโยบายเป็นปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยด้านความร่วมมือหรือการตอบสนองของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยด้านลักษณะขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยด้านประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสาร ปัจจัยด้านคุณภาพของบุคลากร และปัจจัยด้านทรัพยากรของนโยบาย ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน (ส่วนกลาง) ที่ปฏิบัติงานในสังกัดที่ต่างกัน มีความเห็นต่อปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะจากการศึกษา ได้แก่ กรมที่ดินควรทบทวนเกี่ยวกับกระบวนการปฏิบัติงานในแต่ละเนื้องานทั้งหมด, จัดสรรงบประมาณที่เพียงพอมาใช้ในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ต่าง ๆ, จัดการอบรวมให้ความรู้แก่ข้าราชการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ และทบทวนการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภายในกรมที่ดิน โดยเน้นความสำคัญและความเชื่อมโยงกับนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/268619
การวัดระดับความรุนแรงของคดียาเสพติดประเภทไอซ์ กัญชาแห้ง เมทแอมเฟตามีน และเฮโรอีน และความสัมพันธ์ระหว่างคดียาเสพติด และความหนาแน่นเชิงพื้นที่และความหนาแน่นของประชากรในประเทศไทย
2024-04-07T09:25:37+07:00
วาริษา ใกล้แก้ว
warisa_wb25@hotmail.com
ไพเราะ ไพรหิรัญกิจ
pairoa.prai@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความรุนแรงของคดียาเสพติด 4 ประเภท ได้แก่ ไอซ์ กัญชาแห้ง เมทแอมเฟตามีน และเฮโรอีน วิเคราะห์ความหนาแน่นเชิงพื้นที่ของจำนวนคดียาเสพติดทั้ง 4 ประเภท (คดี: ตารางกิโลเมตร) ระหว่างปี พ.ศ. 2558-2562 และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของประชากร (คน: ตารางกิโลเมตร) กับ ก) ความหนาแน่นของจำนวนคดียาเสพติดต่อพื้นที่ (คดี: ตารางกิโลเมตร) ข) ความหนาแน่นของจำนวนผู้ต้องหาต่อพื้นที่ (ผู้ต้องหา: ตารางกิโลเมตร) และ ค) ความหนาแน่นของจำนวนผู้เสพยาเสพติดต่อพื้นที่ (ผู้เสพ: ตารางกิโลเมตร) ผลการวิจัยพบว่า ความรุนแรงของคดียาเสพติดในประเทศไทย สามารถวัดได้จาก (1) ค่าน้ำหนักของกลางต่อหนึ่งคดี และ (2) ค่าน้ำหนักของกลางต่อผู้ต้องหาหนึ่งคน การศึกษาความหนาแน่นเชิงพื้นที่ของคดียาเสพติดพบว่า ยาเสพติดประเภทไอซ์ กัญชาแห้ง และเมทแอมเฟตามีน มีความหนาแน่นของจำนวนคดีมากที่สุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล ภาคกลาง และภาคใต้ ด้านคดีเฮโรอีนพบว่า ความหนาแน่นของจำนวนคดีมากที่สุดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ แถบจังหวัดภูเก็ต ปัตตานี และนราธิวาส เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลในปี พ.ศ. 2562 งานวิจัยนี้พบว่า ความหนาแน่นของประชากรมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ 1) ความหนาแน่นของจำนวนคดียาเสพติด 2) ความหนาแน่นของจำนวนผู้ต้องหา และ 3) ความหนาแน่นของจำนวนผู้เสพยาเสพติด โดยไอซ์มีความสัมพันธ์มากที่สุด รองลงมา คือ กัญชาแห้ง และเมทแอมเฟตามีน ตามลำดับ ส่วนความหนาแน่นของจำนวนคดี จำนวนผู้ต้องหา และจำนวนผู้เสพในสารเสพติดประเภทเฮโรอีนมีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุด ผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นว่า ความหนาแน่นของประชากรเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ในการทำนายคดียาเสพติดประเภทไอซ์ กัญชาแห้ง และเมทแอมเฟตามีน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจใช้เพื่อการเฝ้าระวังการเกิดคดียาเสพติดในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นได้ต่อไป</p>
2024-07-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/268234
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคในจังหวัดชลบุรี
2024-05-01T15:19:16+07:00
ฐิตินันท์ สิริวรพันธ์
thitinan.1228@gmail.com
ณัฐกรณ์ สุขแก้ว
nattakornsukkaew@gmail.com
ธานัท ฐิติภัทรเดชา
thanat.bas999@gmail.com
ธาริต สนิทนวน
tharit.sa@gmail.com
นิภา นิรุตติกุล
nipa.niruttikul@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม การตระหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมตนเอง และการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ของผู้บริโภคในจังหวัดชลบุรี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของระดับการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม การตระหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมตนเอง และการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในการทำนายความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และ 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อภาคธุรกิจ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถตอบสนองต่อทัศนคติและความต้องการของผู้บริโภค การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การสำรวจผ่านแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคในจังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้น ผลการวิจัยพบว่า ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม การตระหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมตนเอง และการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สามารถทำนายความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาที่ได้นำไปสู่ข้อเสนอแนะ เช่น องค์กรธุรกิจควรให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วนแก่ผู้บรโภค พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมให้ตรงกับความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค รวมถึงสื่อสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น</p>
2024-07-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/266956
Challenges and Future Tendencies in Thailand’s National Education System
2024-01-12T16:41:51+07:00
Wichai Siriteerawasu
bestie.2009@hotmail.com
<p>Innovation and technological advancements (e.g., Industry Revolution 5.0, Society 5.0, and Education 5.0) are currently progressing at an extreme rate and scale. These lead to a huge transformation in the educational system worldwide. The educational system of Thailand has been impacted by these advancements as well. However, research investigating the impacts of these advancements on Thailand’s educational system is still scarce. Because of this rationale, this research study was conducted and utilized a qualitative documentary research method to examine the notions of the Industry Revolution 5.0, Society 5.0, and Education 5.0 and their impacts on Thailand’s educational system. The data used in this research were collected from several sources and analyzed using a content analysis. The research findings indicated that it is important for educational institutions in Thailand to grasp the opportunities of these advancements by educating and training current and new generations of educators and students to be competent and cultivating them to be true global citizens. The finding of this research will help educational institutions and stakeholders in formulating policies and plans regarding the development of educational system at the institutional and national levels.</p>
2024-07-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/264944
การพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาอาชีพเฉพาะอย่างสำหรับทหาร เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการออกแบบการสอนของครูในยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น: กรณีศึกษาโรงเรียนสารบรรณ กรมสารบรรณทหารเรือ
2023-12-30T11:58:33+07:00
สุธิญา พูนเอียด
suthiya109@hotmail.com
มนิษา วัฒนชัย
tikmanisa999@gmail.com
ชุลีรัตน์ บัวรอด
Chuleerat081@gmail.com
เธียรดนัย เสริมบุญไพศาล
the_buses@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันและความต้องการในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนสารบรรณ กรมสารบรรณทหารเรือ และพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนสารบรรณ กรมสารบรรณทหารเรือ ด้วยแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น การศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและความต้องการในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนสารบรรณ กรมสารบรรณทหารเรือ และการศึกษางานวิจัยและตรวจสอบคำนิยามและองค์ประกอบของความสามารถในการสอนของครูจากผู้ทรงคุณวุฒิ และระยะที่ 2 การสร้างแนวทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกแบบการสอนของครู การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากการเก็บแบบสอบถามด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและร้อยละ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลวิจัยสรุปได้ว่า 1) ปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน แบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ 1.1) ปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอน และ 1.2) ปัญหาด้านงานสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน สิ่งที่สำคัญคือ ครูมีความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนจำกัด และไม่ได้ปรับตัวให้ทันต่อบริบทต่าง ๆ เช่น การนำเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้ 2) ผลการประเมินความเหมาะสมในภาพรวมของแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น อันประกอบไปด้วย 2.1) วัตถุประสงค์ 2.2) หลักการตามแนวคิดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น และ 2.3) องค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอนทั้ง 5 ด้าน พบว่า มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 4.56, SD = 0.56) สะท้อนว่า แนวทางการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น สามารถนำไปใช้ส่งเสริมความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนของครูโรงเรียนสารบรรณในยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น ได้</p>
2024-07-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/266142
รูปแบบกิจกรรมศิลปะสำหรับการเสริมสร้างการรู้รักสามัคคีของกลุ่มการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหนองบัว อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย
2024-04-04T19:59:41+07:00
ไทยโรจน์ พวงมณี
thai-roj@hotmail.com
ณศิริ ศิริพริมา
sky_surin@hotmail.com
พชรมณ ใจงามดี
por_express@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และสภาพการรู้รักสามัคคีของกลุ่มการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหนองบัว อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย 2) ศึกษารูปแบบกิจกรรมศิลปะสำหรับการเสริมสร้างการรู้รักสามัคคี ประกอบด้วย ความโอบอ้อมอารีและมีน้ำใจ การให้อภัย ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน รู้รักสามัคคีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และความร่วมมือร่วมใจ ของสมาชิกในกลุ่มการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหนองบัว อำเภอภูหลวง จังหวัดเลย ผู้เข้าร่วมวิจัย ได้แก่ สมาชิกกลุ่มการจัดการท่องเที่ยว กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนชาวบ้าน ปราชญ์ท้องถิ่น นักเรียน จากบ้านหนองบัว ตลอดจน นักวิชาการด้านศิลปะและวัฒนธรรม รวมจำนวนทั้งสิ้น 71 คน ใช้แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม แบบประเมินเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยการใช้โปรแกรม Microsoft Excel หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหนองบัว จดทะเบียน เมื่อปี พ.ศ. 2559 มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาหนุนเสริม มีสมาชิกจำนวน 35 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการท่องเที่ยวรูปแบบเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม 2) การประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดกิจกรรมศิลปะ ในการเสริมสร้างการรู้รักสามัคคีของผู้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า กิจกรรมดังกล่าวสามารถเสริมสร้างระดับการรู้รักสามัคคีในภาพรวมของผู้เข้าร่วมกิจกรรมในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.81; <em>SD</em> = .62)</p>
2024-07-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/265914
แนวทางการจัดการระบบน้ำประปาภูเขาในภาวะภัยแล้ง: กรณีศึกษาลุ่มน้ำแม่เลาะ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
2024-01-13T19:15:13+07:00
สามารถ ใจเตี้ย
samartcmru@gmail.com
สิวลี รัตนปัญญา
sirk2012@hotmail.com
จันจิราภรณ์ สท้านไตรภพ
ying_tavan@hotmail.com
ฉัตรศิริ วิภาวิน
nuiyayee@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจสภาพปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ของระบบน้ำประปาภูเขาและการใช้น้ำของประชาชน และ 2) สังเคราะห์แนวทางการจัดการระบบน้ำประปาภูเขาในภาวะภัยแล้งที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บนฐานการมีส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นประชาชนในพื้นที่ชุมชนลุ่มน้ำแม่เลาะ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 180 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 10 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า โครงสร้างระบบน้ำประปาภูเขาขาดการซ่อมแซม การปรับปรุง และการดูแล ในภาวะภัยแล้ง ประชาชนมีการใช้น้ำประปาภูเขาในครัวเรือนโดยรวมเฉลี่ยในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.58 ± 0.73) ในส่วนของแนวทางการจัดการระบบน้ำประปาภูเขาในภาวะภัยแล้งมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการโดยสนับสนุนงบประมาณและสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลโครงสร้างระบบน้ำประปาภูเขาของแต่ละชุมชน การปรับรูปแบบการบริหารจัดการให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน และขอรับการสนับสนุนด้านวัสดุ อุปกรณ์ และการตรวจสอบคุณภาพน้ำจากหน่วยงานท้องถิ่น</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/266831
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่
2024-01-24T22:38:07+07:00
วราวุธ วงศ์ใหญ่
waravutchem@gmail.com
ฐิติกรณ์ ยาวิไชย จารึกศิลป์
koythiti@gmail.com
ชูชาติ พ่วงสมจิตร์
choo_2500@yahoo.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2) ศึกษาสภาพความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้กับสภาพความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแพร่ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 250 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาตรค่าเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .84, .93, .85, .88, .91, .89, .89, .87 ตามลำดับ และความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการจูงใจและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ด้านเทคโนโลยีการเรียนรู้ ด้านการทำงานเป็นทีมและแบบเครือข่าย ด้านวิสัยทัศน์ร่วม ด้านโครงสร้างที่เหมาะสม ด้านวัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์การ ด้านบรรยากาศที่สนับสนุน และด้านภาวะผู้นำ 2) สภาพความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ของทีม ด้านการคิดอย่างเป็นระบบ ด้านความรอบรู้แห่งตน และด้านแบบแผนความคิดอ่าน 3) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูงมากกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) สมการพยากรณ์ความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>z' = 0.500Z<sub>2</sub> + 0.250Z<sub>3</sub> - 0.215Z<sub>4</sub> + 0.150Z<sub>5</sub> + 0.197Z<sub>6</sub> + 0.384Z<sub>7</sub> + 0.113Z<sub>8</sub></p> <p> </p> <p> </p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/267640
การปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดลของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2024-05-18T17:13:39+07:00
ลภัสรดา จิตวารินทร์
lapasradaa@yahoo.com
ปิยะนุช ท้าววิบูลย์
piyanuch.tow@mahidol.ac.th
ณัฏฐ์ญา ราชธานี
natthaya.rat@mahidol.ac.th
<p>การวิจัยเรื่อง การปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดลของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความรู้และการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดลของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ และ 2) ศึกษาแนวทางส่งเสริมการปฏิบัติตนของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ตามค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และแนวคำถามการสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูลจากกรรมการบริหารหลักสูตรบัณฑิตศึกษา และเจ้าหน้าที่ภาควิชาศึกษาศาสตร์ มีผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้นจำนวน 70 คน ได้แก่ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 58 คน กรรมการบริหารหลักสูตรบัณฑิตศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์ จำนวน 10 คน เจ้าหน้าที่ภาควิชาศึกษาศาสตร์ จำนวน 2 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาพรวมนักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยความรู้ค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดล 9.14 คะแนน จากคะแนนเต็ม 14 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การอยู่ที่ระดับ 3.59 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมากเช่นกัน 2) แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การมหาวิทยาลัยมหิดลอาจจะดำเนินการได้ใน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับมหาวิทยาลัยและระดับคณะ ระดับภาควิชา และระดับหลักสูตร โดยมีแนวทางส่งเสริมการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การ เช่น สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับค่านิยมองค์การในกิจกรรมการเรียนการสอนทุกหลักสูตรของภาควิชาศึกษาศาสตร์ สื่อสารเกี่ยวกับค่านิยมองค์การให้ทราบอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอในทุกช่องทาง ยกย่อง ชมเชยให้รางวัลนักศึกษาที่ปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์การ เป็นต้น</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/265656
การวิเคราะห์ปัญหาความยากจนในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา
2024-04-04T19:56:41+07:00
ตุลา คมกฤต มโนรัตน์
tulakhomkit@gmail.com
กนกพร ฉิมพลี
kanokporn.c@nrru.ac.th
นุชจรี ภักดีจอหอ
nutcharee.p@nrru.ac.th
จารุกิตติ์ ไชยรด
jarukit.c@nrru.ac.th
ณัฏฐินีภรณ์ จันทรโณทัย
nattineeporn2509@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาความยากจนในพื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้ฐานข้อมูลประชากรจาก TPMAP ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และใช้การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า มีครัวเรือนยากจน 749 ครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 3,392 บาท ระดับทุนมนุษย์ 2.01 ระดับทุนกายภาพ 2.87 ระดับทุนเศรษฐกิจ 2.03 ระดับทุนธรรมชาติ 2.54 ระดับทุนสังคม 2.23 และ สาเหตุความยากจน พบว่า มิติทุนมนุษย์ ประชาชนส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าประถมศึกษาปีที่ 6 มิติทุนกายภาพ สภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัยทรุดโทรม และขาดการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการ มิติทุนการเงิน ครัวเรือนส่วนใหญ่มีหนี้สิน มิติทุนธรรมชาติ หลายครัวเรือนอยู่ในพื้นที่ประสบภัย และ มิติทุนทางสังคม พบว่า ส่วนใหญ่ยังขาดกติกาในการอยู่ร่วมกันของชุมชน การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สันระหว่างระดับความยากจนหรือทุนเศรษฐกิจกับทุนในมิติต่าง ๆ พบว่า ทุนเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับทุนมนุษย์ ทุนกายภาพ ทุนทางธรรมชาติ และทุนทางสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/266810
ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรีเขต 1
2024-01-17T15:40:09+07:00
อัจฉราพร มานะกิจ
atcharaphorn1992@gmail.com
ฐิติกรณ์ ยาวิไชย จารึกศิลป์
koythiti@gmail.com
โสภนา สุดสมบูรณ์
sopana.sud@stou.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา 2) สภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา และ 4) ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรีเขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรีเขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 297 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่าเกี่ยวกับปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนประกอบด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ สมรรถนะของครู ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การทำงานเป็นทีมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นโยบายการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เครือข่ายความร่วมมือ และเทคโนโลยีสารสนเทศ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณโดยวิธีแบบขั้นตอน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ ภาวะผู้นำของผู้บริหาร สมรรถนะของครู การทำงานเป็นทีมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นโยบายการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เครือข่ายความร่วมมือ และเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) สภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมและพัฒนา การป้องกัน ช่วยเหลือ และแก้ไข และด้านที่มีค่าเฉลี่ยมาก คือ การส่งต่อนักเรียน 3) ปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ นโยบายการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สมรรถนะของครู ด้านเครือข่ายความร่วมมือ การทำงานเป็นทีมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยทั้งหมดสามารถร่วมกันทำนายการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาได้ร้อยละ 64.5</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/270845
การพัฒนากลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนของจังหวัดกาญจนบุรี
2024-06-02T08:08:16+07:00
อัฏฐพล โพธิพิพิธ
attaphol2509@gmail.com
คณิต เขียววิชัย
kheovichai_k@su.ac.th
วรรณวีร์ บุญคุ้ม
bwannawee@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้เสนอผลจากการวิจัยซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและวิเคราะห์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดกาญจนบุรี 2) พัฒนากลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนของจังหวัดกาญจนบุรี และ 3) รับรองกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนของจังหวัดกาญจนบุรี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการลงพื้นที่การวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ SWOT และ TOWs Matrix และสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลจากการศึกษาพบว่า 1) จังหวัดกาญจนบุรีมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลากหลาย มีกิจกรรมการท่องเที่ยวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต การประกอบอาชีพ ความเชื่อ และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ 2) ผลการพัฒนากลยุทธ์การท่องเที่ยว พบว่า <br />มีกลยุทธ์สำคัญ 4 กลยุทธ์คือ (1) กลยุทธ์การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน (2) กลยุทธ์การปรับปรุง พัฒนาการตลาดสำหรับการบริการ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว <br />(3) กลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการบอกเล่าเรื่องราวทางการท่องเที่ยว และ (4) กลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และ 3) ผลการรับรองกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนของจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/266869
ทัศนคติที่มีต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการของบุคลากรสายวิชาการ: กรณีศึกษาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
2024-05-29T12:45:03+07:00
ศศิธร ปัญญานาค
sasithon.pan@mahidol.edu
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานสายวิชาการ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลที่มีต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการสำรวจทัศนคติด้านความคิดเห็นทั่วไป กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และอุปสรรคต่าง ๆ ในการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ โดยกลุ่มตัวอย่างคือพนักงานสายวิชาการ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 50 คน ผลการวิจัยพบว่า (1) ความคิดเห็นของพนักงานสายวิชาการที่มีต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการด้านความคิดเห็นทั่วไปโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.47) (2) ความคิดเห็นของพนักงานสายวิชาการที่มีต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการด้านกฎระเบียบข้อบังคับโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (= 2.81) และ (3) ความคิดเห็นของพนักงานสายวิชาการที่มีต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการด้านหน่วยงานที่ดูแลการขอตำแหน่งทางวิชาการโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.66) จากการวิจัยโดยภาพรวม พนักงานสายวิชาการมีทัศนคติเชิงบวกต่อการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ พวกเขาคิดว่าการการมีตำแหน่งทางวิชาการเป็นสิ่งที่ดี มีความสำคัญ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา หรือไม่สามารถขอตำแหน่งได้เนื่องจากระเบียบที่ไม่ตรงกับสาขาวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ผู้วิจัยจึงเสนอว่า การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคลากรสายวิชาการ หรือ การเปรียบเทียบความคิดเห็นระหว่างบุคลากรสายวิชาการที่มีตำแหน่งทางวิชาการและที่ไม่มีตำแหน่งวิชาการ เป็นต้น</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/267098
การรับรู้และความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2024-04-05T07:10:21+07:00
จุฑาทิพย์ ศิรินพวงศ์
juthathip.sirin@gmail.com
ภัทร์ พลอยแหวน
phut.plo@mahidol.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้และระดับความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของระดับการรับรู้และระดับความคาดหวังของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 116 คน ในการวิจัยผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และใช้ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา สำหรับวิเคราะห์และอธิบายข้อมูลระดับการรับรู้และความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และทดสอบสมมติฐานโดยใช้วิธีการหาค่าสถิติแบบ Independent-samples t-test และ One-Way ANOVA ผลการศึกษาที่สำคัญพบว่า บุคลากรที่มีเพศ อายุงาน สายงาน รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว และสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาล ที่แตกต่างกัน จะมีระดับการรับรู้เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสุขภาพแบบยืดหยุ่นที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นบุคลากรที่มีช่วงอายุที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังพบว่า บุคลากรที่มีเพศ อายุ อายุงาน รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว และสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาล ที่แตกต่างกัน จะมีระดับความคาดหวังต่อรูปแบบของสวัสดิการสุขภาพแบบยืดหยุ่นที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นบุคลากรที่มีสายงานที่แตกต่างกัน</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/267713
การศึกษาเปรียบเทียบระบบบำนาญของประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย
2024-04-06T23:45:36+07:00
ปิยชัย นาคอ่อน
piyachailove@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระบบบำนาญของประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย ผ่านการรวบรวมเอกสาร นโยบาย สื่อสิ่งพิมพ์ ข่าว นำมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบของวัตถุประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดที่ลดลง รวมไปถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่นภาวะเงินเฟ้อ การขาดแคลนแรงงานในระบบและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ทำให้ระบบบำนาญของญี่ปุ่นไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงเลือกย้ายถิ่นไปยังประเทศที่มีค่าครองชีพถูกกว่า หรือแม้กระทั่งเลือกก่อคดีลหุโทษเพื่อที่จะพึ่งพาการใช้ชีวิตในคุก ในส่วนของประเทศไทยก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น แต่ด้วยการจัดการระบบบำนาญไทยนั้นแตกต่างกับประเทศญี่ปุ่น ที่มีความซับซ้อนและดูแลผ่านหลายองค์กร ไม่มีกองทุนส่วนกลางเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น เงินยังชีพผู้สูงวัยที่สวนทางกับค่าครองชีพ นั่นอาจทำให้ปัญหาเรื่องการเกษียณอายุของไทยนั้นด้อยกว่าประเทศญี่ปุ่น ข้อเสนอที่ได้จากการศึกษา ได้แก่ การปรับปรุงให้ผู้สูงอายุชาวไทยสามารถเข้าถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ทุกคน และจัดตั้งระบบการบริหารเกี่ยวกับการเกษียณอายุให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น</p>
2024-08-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 2024 Department of Social Sciences, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University Thailand