https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2025-06-26T10:33:42+07:00 Asst.Prof.Dr.Pinwadee Srisupan ubusocj@ubu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี </strong>เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ<br />โดยเปิดรับบทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Academic article) และเผยแพร่ในรูปแบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์ <br /><strong>ISSN 3057-1480 (Online) ตั้งแต่ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป</strong></p> <p><strong> <br /></strong><strong>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</strong><br />ได้รับการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2568-2572 ให้อยู่ในกลุ่มที่<strong> 2 </strong></p> <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี </strong>มีค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ 3,000 บาท/บทความ <br />(มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป)<strong><br /></strong><em>(ชำระเมื่อบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ เพื่อทำการส่งไปยังผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาต่อไป)</em></p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/270169 ชา: ห่วงโซ่สินค้าระดับโลกกับแรงงานหญิงในกระบวนการ การผลิตชาของประเทศอินเดียและประเทศไทย 2024-08-23T09:25:14+07:00 สิญา อุทัย siya.uth@cmu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาโครงสร้างความสัมพันธ์ของห่วงโซ่สินค้าชาที่มีผลต่อบทบาทของผู้หญิงที่เป็นแรงงานในระบบการผลิตสินค้าที่เชื่อมโยงกับตลาดโลก โดยเฉพาะการผลิตสินค้าชาในประเทศอินเดียที่มีอัตราการผลิตเป็นอันดับ 2 ของโลก ผู้หญิงในไร่ชากลายเป็นภาพลักษณ์ที่สำคัญของสินค้าชาจากอินเดีย ขณะที่ปัจจุบัน การผลิตสินค้าชาในประเทศไทยนั้นได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามสัดส่วนการบริโภคที่เพิ่มขึ้น การศึกษาห่วงโซ่สินค้าชาของอินเดียกับไทย เพื่อนำไปสู่การทำความเข้าใจส่วนประกอบและความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยในห่วงโซ่สินค้าชา รวมทั้งการนำแนวคิดบทบาททางเพศสภาวะและการปรับเปลี่ยนแรงงานสตรีวิเคราะห์บทบาทของผู้หญิงที่เป็นแรงงานในอุตสาหกรรมชาเปรียบเทียบระหว่างอินเดียและไทย โดยใช้ข้อมูลจากเอกสารและข้อมูลสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย และจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย ซึ่งรูปแบบของห่วงโซ่สินค้าชาในอินเดียและไทยมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในระบบการซื้อขายของอินเดียผ่านระบบการประมูลกลางที่ผู้ผลิต ไม่ได้ติดต่อกับผู้ซื้อโดยตรง ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีระบบการประมูลกลางเป็นการทำการตลาดของผู้ผลิตโดยตรง ส่งผลให้บทบาทผู้หญิงมีความแตกต่าง ในอินเดียผู้หญิงจะมีบทบาทหลักทางเศรษฐกิจในการเป็นแรงงานเก็บใบชาเท่านั้น ในส่วนของไทย นอกจากงานในไร่ชาแล้ว ผู้หญิงมีบทบาทในการทำการตลาดด้วย อย่างไรก็ดี วิถีปฏิบัติทางสังคมได้กำหนดบทบาทภายในบ้านให้เป็นความรับผิดชอบหลักของผู้หญิงทั้งในอินเดียและไทย</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/269035 การสร้างการมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านสารคดีเชิงโต้ตอบ 2024-05-09T09:32:14+07:00 สันติ บุญทัศนกุล bobeep55@gmail.com <p>จุดมุ่งหมายของภาพยนตร์สารคดี คือ การตีแผ่ความเป็นจริง ข้อเท็จจริงของชีวิต "จริง" และรวบรวมไว้บนหน้าจอโดยใช้วิธีนำเสนอบางอย่างเพื่อสร้างความน่าสนใจ เช่น เทคนิคการถ่ายภาพด้วยกล้อง เทคนิคการตัดต่อ การบรรยาย ดนตรี ฯลฯ สารคดีเป็นการแสดงเหตุการณ์ในชีวิตและข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังสื่อสารประเด็นทางสังคม สร้างการรับรู้ให้กับสังคม พร้อมสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ในอดีตที่ผ่านมาสื่อสารคดีได้ทำหน้าที่สร้างการรับรู้และการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบสื่อทางเดียว ผ่านการดู การฟัง การอ่าน เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องราวและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมตามวัตถุประสงค์ของสารคดี เป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของภาพยนตร์สารคดีในการมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม</p> <p>ไม่กี่ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์อาศัยทฤษฎีของภาพยนตร์สารคดีเพื่อสร้างสื่อดิจิทัลประเภทใหม่ในรูปแบบสื่อแบบสองทาง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโดยมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบของการโต้ตอบและประสบการณ์ของผู้ชม การเกิดขึ้นของ "สารคดีเชิงโต้ตอบ" เป็นการนำเทคนิคทางดิจิทัลรูปแบบใหม่มาช่วยสร้างการรับรู้และความน่าสนใจผ่านภาพยนตร์สารคดีเชิงโต้ตอบด้วยเทคนิคที่หลากหลายรูปแบบ ผ่านการเชื่อมโยงการโต้ตอบกับการเล่าเรื่องรวมถึงระดับการมีส่วนร่วมของผู้ชมในการเล่าเรื่องและวิธีการโต้ตอบที่ต่างกันออกไป ผ่านแพลตฟอร์มทางดิจิทัลและช่องทางออนไลน์กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่ถูกนำเสนอออกมา สารคดีเชิงโต้ตอบยังทำให้เกิดการสร้างการมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านสื่อดิจิทัลในรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยที่ยังคงวัตถุประสงค์หลักของภาพยนตร์สารคดีไว้</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/272745 องค์ประกอบการสื่อสารและกลวิธีการตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะ ในปริจเฉทรายการ “มิสเปรียญ 9” 2024-09-11T15:21:48+07:00 วิมลวรรณ ขอบเขต wimonwan.kh@gmail.com วุฒินันท์ แก้วจันทร์เกตุ wuttinun.ka@ku.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบการสื่อสารในปริจเฉทรายการมิสเปรียญ 9 และศึกษากลวิธีทางภาษาที่ใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะในปริจเฉทรายการมิสเปรียญ 9 โดยเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) ในช่องแพรรี่ ไพรวัลย์ จำนวนทั้งหมด 6 ตอน ผลการศึกษาพบว่าองค์ประกอบ ของการสื่อสารในรายการทั้ง 8 องค์ประกอบ ทำให้เข้าถึงบริบทการสื่อสารและมีส่วนที่สัมพันธ์กับการใช้ภาษาในรายการ กลวิธีทางภาษาที่ใช้ในการตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะที่พบในงานวิจัยมี 2 กลวิธีหลัก ได้แก่ กลวิธีการตอบคำถามแบบตรงประเด็น และกลวิธีการตอบคำถามแบบเลี่ยงประเด็น กลวิธีการตอบคำถาม ทั้ง 2 กลวิธีหลัก มีหน้าที่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธรรมะเป็นสำคัญ และยังช่วยให้การตอบคำถามในรายการมิสเปรียญ 9 มีความน่าสนใจมากขึ้น</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/272416 ชีวิตที่เปล่าเปลือยของนักสืบและสภาวะยกเว้นในอาชญนิยายชุด “วินเซนต์ คัลวีโน” ของ คริสโตเฟอร์ จี มัวร์ 2024-08-14T09:50:15+07:00 พนิดา บุญทวีเวช boonthavevejp@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอการศึกษาอาชญนิยายชุด “วินเซนต์ คัลวีโน” ของ คริสโตเฟอร์ จี มัวร์ โดยตัวละครเอกเคยประกอบอาชีพเป็นทนายความในนครนิวยอร์กและผันตัวมาเป็นนักสืบในกรุงเทพมหานคร นวนิยายชุดนี้เป็นตัวอย่างของอาชญนิยายตามขนบ hard-boiled ซึ่งก่อเกิดขึ้นมาในสภาพเศรษฐกิจและสังคมของสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองโดยบทความนี้มุ่งเน้นศึกษาตัวละครนักสืบในนวนิยายทั้ง 17 เรื่อง ในฐานะ “ชีวิตที่เปล่าเปลือย” (bare life) ตามแนวคิดของ จอร์โจ อากัมเบน ที่ติดกับดักในพื้นที่ระหว่างชีวิตในทางกายภาพ (biological life) และชีวิตในทางการเมือง (political life) อากัมเบนเรียกพื้นที่นี้ว่าเป็น “สภาวะยกเว้น” ซึ่งถือครองโดยผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุด (sovereign power) เป็นพื้นที่ที่ประสิทธิศักย์ของกฎหมาย (efficacy of law) ได้รับการงดเว้นแต่ยังคงการบังคับใช้กฎหมายอยู่ (force of law) สุดท้ายแล้วอากัมเบนนำเสนอทางออกที่จะปลดเปลื้องพันธนาการให้แก่ชีวิตที่เปล่าเปลือยโดยการละเว้นกิจกรรมในทางโลกและมุ่งสู่การไตร่ตรองใคร่ครวญ ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่เน้นคุณค่าทางจิตวิญญาณและเหตุผล (logos)</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/275054 ชีวิตของคริสเตียน: อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ ในบทเพลงนมัสการพระเจ้าของศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ 2024-12-04T09:37:33+07:00 ปาริชาต ชมชื่น parichat.chomc@ku.th วุฒินันท์ แก้วจันทร์เกตุ wuttinun.ka@ku.th ศิระวัสฐ์ กาวิละนันท์ siravast.ka@ku.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถ้อยคำอุปลักษณ์ที่สะท้อนมโนอุปลักษณ์เกี่ยวกับชีวิตในบทเพลงนมัสการพระเจ้าของศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ โดยใช้แนวคิดอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของ Lakoff &amp; Johnson (1980), Gibbs (1994) และ Kövecses (2002) โดยเก็บข้อมูลจากเพลงนมัสการพระเจ้า 265 เพลง ผลการวิจัยพบถ้อยคำอุปลักษณ์ที่สะท้อนมโนอุปลักษณ์เกี่ยวกับชีวิต 11 มโนอุปลักษณ์ ได้แก่ มโนอุปลักษณ์ [ชีวิต คือ การเดินทาง] [ชีวิต คือ วัตถุสิ่งของ] [ชีวิต คือ การเเข่งขัน] [ชีวิต คือ การศึกษา/การเรียนรู้] [ชีวิต คือ พื้นที่ปิดล้อม] [ชีวิต คือ สิ่งปลูกสร้าง] [ชีวิต คือ พืช] [ชีวิต คือ น้ำ/แหล่งน้ำ] [ชีวิต คือ ละคร] [ชีวิต คือ หนี้สิน] และ [ชีวิต คือ ระยะของเวลา] อุปลักษณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นระบบความคิดและมุมมองเกี่ยวกับชีวิตของคริสเตียนที่สอดคล้อง กับคำสอนของศาสนาคริสต์</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/270402 การทำความเข้าใจเมือง ผ่านสภาวะความเปราะบางทางอาหารของกลุ่มแรงงานรับจ้างทั่วไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร 2024-05-16T09:23:20+07:00 วาสนา ศรีจำปา dmbrsthay@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การศึกษาเรื่องเมืองผ่านอาหารของกลุ่มแรงงานรับจ้างทั่วไป ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางที่กลุ่มแรงงานทั่วไปต้องเผชิญในเรื่องอาหาร จากการดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่เมือง ทั้งในภาวะปกติและเด่นชัดขึ้นเมื่อมีภาวะฉุกเฉินอย่างช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมาว่า ถึงแม้เมืองจะเป็นพื้นที่ที่มีระบบอาหารที่มีศักยภาพและเอื้อให้สามารถเข้าถึงได้ในหลากหลายช่องทาง แต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ยังเป็นข้อจำกัดสำคัญที่มีผลต่อความสามารถ ในการเข้าถึงอาหารในพื้นที่เมือง ส่งผลให้ผลการศึกษาจะสะท้อนว่า กลุ่มแรงงานรับจ้างทั่วไป ไม่ได้อยู่ในภาวะความหิวโหยจากอาหาร อีกทั้งแต่ละคนยังมีความรู้และความเข้าใจเรื่องอาหาร ว่าอาหารชนิดไหนเป็นอาหารที่มีประโยชน์และเป็นโทษ แต่สุดท้ายความไม่มั่นคงของรายได้และการอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเมือง กลับมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้พวกเขาต้องเผชิญกับความเปราะบางในการใช้ชีวิต ด้วยการทิ้งเรื่องคุณภาพและโภชนาการอาหาร ไว้หลังปัจจัยทางเศรษฐกิจของตน ขณะที่หลายครอบครัวเคยอยู่ในบทบาทเกษตรกรผู้ผลิต แต่การเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไปในเมือง ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในภาวะที่เปราะบางในเรื่องอาหารและยังต้องทำงานหนักเพื่อให้มีเงินไว้สำหรับซื้ออาหารในแต่ละมื้อ ด้วยเหตุนี้ การใช้ชีวิตของแรงงานรับจ้างทั่วไปในพื้นที่เมือง จึงเป็นการใช้ชีวิตบนพื้นที่ ที่เศรษฐกิจภายนอกรอบตัวกำลังทะยานไปข้างหน้า แต่เศรษฐกิจภายในของพวกตนกำลังแยกไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/269435 พฤติกรรมสุขภาพชุมชนต้นแบบอย่างยั่งยืน: กรณีหลังวิกฤตโควิด-19 2024-06-13T16:10:40+07:00 ณภัทร วุฒธะพันธ์ naphat.w@psru.ac.th วศิน สุขสมบูรณ์วงศ์ wasin_sw@psru.ac.th ยุวดี ตรงต่อกิจ ytrongkit@gmail.com วิภาดา ศรีเจริญ newwiphada@gmail.com กู้เกียรติ ก้อนแก้ว kukietk@gmail.com อภิรักษ์ แสนใจ apirak.s@psru.ac.th มงคล เงินแจ้ง mongkolpitloke@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพพฤติกรรมชุมชนระหว่างและหลังวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพชุมชนในวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างยั่งยืน และ 3) พัฒนารูปแบบพฤติกรรมสุขภาพชุมชนเพื่อรองรับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างยั่งยืน โดยเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักปรากฏการณ์วิทยา โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 44 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา กำหนดรหัสข้อมูล คำสำคัญ จัดกลุ่มใหญ่ และตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพพฤติกรรมชุมชนทั้งระหว่างและหลังการแพร่ระบาดมีความแตกต่างกันทั้งมิติทางด้านสังคม และจิตใจ โดยด้านสังคมและด้านสุขภาพจิตใจของคนในชุมชนกลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) ในการใช้ชีวิต 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพชุมชน ประกอบไปด้วย 7 ปัจจัย ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางจิตใจ จิตลักษณะส่วนบุคคล การรับรู้ข่าวสารในภาวะวิกฤต การจัดการภาวะวิกฤต ภาวะผู้นำ และการบริหารจัดการ จากนั้นจึงนำมา 3) พัฒนาเป็นรูปแบบพฤติกรรมสุขภาพชุมชนเพื่อรองรับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคอื่น ๆ อย่างยั่งยืนในบริบทของชุมชนในอนาคตโดยประกอบด้วย ปัจจัยหลัก ได้แก่ การจัดการภาวะวิกฤตในบริบทของชุมชน การกำหนดมาตรการ การเฝ้าระวัง คัดกรองการประสานความร่วมมือระหว่างชุมชน การตั้งด่านชุมชน รวมทั้งระบบในการเยียวยาจิตใจภายหลังวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรค การศึกษาหาข้อมูล และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคหรือระดับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ชุมชน การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นจริงทางสาธารณสุข และการจัดทำแผนกลยุทธ์ในการรับมือความเสี่ยงด้านสุขภาพของชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนอย่างแท้จริงต่อไป</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/269111 สภาพการณ์การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุ ในจังหวัดสงขลา 2024-05-24T14:04:44+07:00 อรพิมพ์ สุขคง orn.orapim@gmail.com เกษตรชัย และหีม Ikasetchai@yahoo.com ศริยา บิลแสละ sariya.b@psu.ac.th <p>บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุในจังหวัดสงขลา ซึ่งดำเนินการด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม คัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีการแบบเจาะจง รวมทั้งการสังเกตแบบมีส่วนร่วม</p> <p>ผลการศึกษาสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ด้านความรู้และความเข้าใจ ผู้สูงอายุมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าใจความหมายของเครื่องหมายต่าง ๆ บนอุปกรณ์ดิจิทัล และขาดความรู้ในวิธีการใช้งานและการเข้าถึงแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์ 2) ด้านความพร้อมในการใช้งาน ผู้สูงอายุมีปัญหาด้านข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น ปัญหาสายตา การเรียนรู้ที่ช้าลง ซึ่งสวนทางกับความรวดเร็วในการตอบสนองของอุปกรณ์ดิจิทัล เป็นต้น และ 3) ด้านทักษะ ผู้สูงอายุขาดการจัดสรรเวลาในการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลที่สมดุล การรับและส่งต่อข้อมูลที่ขาดข้อเท็จจริง การตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ และการหลงเชื่อข่าวปลอม โดยพบว่า สมรรถภาพด้านร่างกายที่เสื่อมลง ได้แก่ ปัญหาด้านสายตา และการเรียนรู้ที่ช้าลง เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลของผู้สูงอายุซึ่งมีความสอดคล้องกันทั้ง 3 ประเด็น สาเหตุนอกจากนี้ เช่น การมีทัศนคติด้านลบต่อการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล ความเหงา และการไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นกระบวนการเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในพื้นที่ต่อไป</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/271652 การศึกษาเปรียบเทียบชนิดพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมาย และ การรับรู้ทางกฎหมายของผู้ซื้อขายสินค้าของป่าท้องถิ่นตลาดค้าชายแดน ไทย-ลาว พื้นที่ เชียงราย พะเยา น่าน 2024-09-17T15:32:24+07:00 ธิติ ไวกวี thiti.wa@up.ac.th <p>บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรับรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการนำเข้าส่งออก และประชาชนต่อการปฏิบัติตามกฎหมายสัตว์ป่าระหว่างประเทศ และ เปรียบเทียบชนิดพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมายสัตว์ป่าของไทย-สปป.ลาว และอนุสัญญาไซเตส รวมทั้งนำเสนอนโยบายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าของพื้นที่ชายขอบระหว่างประเทศไทยและลาว เชียงราย-น่าน-พะเยา ในบริบทการค้าชายแดน โดยวิธีวิจัยเชิงประจักษ์ด้านกฎหมาย จากการศึกษาพบว่า (1) การกระทำความผิดกฎหมายเกิดจากความสับสนของชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในบัญชีรายชื่อชนิดพันธุ์ที่แตกต่างกันซึ่งยากต่อการจำแนกชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย ทั้งสปป.ลาว-ไทย และกฎหมายการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) (2) การขยายตัวด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชายแดนสร้างแรงกระตุ้นการซื้อขายของป่าท้องถิ่นประเภทสัตว์ป่าและพืชป่ามากขึ้น และ (3) ความสับสนของสินค้าตาม “จุดผ่อนปรน” ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสินค้าที่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายตามกฎหมายแล้ว</p> <p>งานวิจัยนี้มีข้อเสนอว่า ภาครัฐควรเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในทุกระดับตามจุดค้าขายชายแดนต่าง ๆ ในการจำแนกแยกแยะผลิตภัณฑ์ของป่าตามชนิดพันธุ์ที่ผิดกฎหมาย และควรจัดทำป้ายรูปภาพสินค้าสัตว์ป่า และพืชป่าคุ้มครองติดประกาศให้ชัดเจน อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศทั้งไทยและสปป.ลาว ควรทบทวนบัญชีสัตว์ป่าร่วมกันในระดับภูมิภาค ทุก ๆ 3-5 ปี และควรกำหนดให้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เป็นบัญชี แนบท้ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ได้</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/276698 การนำปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้ถูกกระทำที่มีความอ่อนแอในทางชีวภาพและไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้กำหนดเป็นเหตุเพิ่มโทษความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวล กฎหมายอาญาไทย 2025-03-13T16:22:31+07:00 อัจฉรียา ชูตินันทน์ Achariya_amp@hotmail.com สุทธิพล ทวีชัยการ Suthiphon.tha@dpu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยในการกำหนดเหตุเพิ่มโทษเกี่ยวกับตัวถูกกระทำตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ประกอบมาตรา 289 2) เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบบทฉกรรจ์ ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายที่นำปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้ถูกกระทำมากำหนดเป็นเหตุเพิ่มโทษตามกฎหมายของประเทศไทยและต่างประเทศและ 3)เพื่อศึกษาหาแนวทางในการปรับปรุงบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญาโดยกำหนดเหตุเพิ่มโทษความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยคำนึงถึงตัวผู้ถูกกระทำที่มีความอ่อนแอในทางชีวภาพ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ประกอบมาตรา 289 ของประเทศไทยซึ่งเป็นบทฉกรรจ์ของความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้นำปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้ถูกกระทำที่มีความอ่อนแอทางชีวภาพมาเป็นเงื่อนไขในการกำหนดเป็นเหตุเพิ่มโทษแต่อย่างใด แต่เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกับประมวลกฎหมายอาญาของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศเวียดนาม พบว่าให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษกรณีผู้ถูกกระทำมีความอ่อนแอทางชีวภาพและนำมาเป็นปัจจัยในการกำหนดเป็นเหตุเพิ่มโทษของความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ผู้วิจัยจึงมีความเห็นว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย โดยนำปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้ถูกกระทำที่มีความอ่อนแอในทางชีวภาพเป็นบทฉกรรจ์ ตลอดจน กำหนดระวางโทษให้หนักขึ้น อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการข่มขู่ยับยั้ง อันเป็นหลักสำคัญของการลงโทษให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/274648 เส้นทางบ้านกุดผึ้งถึงบ้านพลับ กับความสัมพันธ์ของผู้คนในเทือกเขาภูพาน 2025-04-18T15:03:18+07:00 ชวลิต อธิปัตยกุล chawalit_2513@hotmail.com ฉัตรวัชระ เสนะบุตร์ ch.snb1234@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์จากช่องเขา บ้านกุดผึ้ง ตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู ถึงบ้านพลับ ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในฐานะเส้นทาง ซึ่งมีความสำคัญด้านการขนส่งสินค้า และทรัพยากรทางธรรมชาติ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-24 โดยใช้วิธีการสำรวจด้านภูมิศาสตร์ วิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี และวิธีการทางประวัติศาสตร์</p> <p>จากการศึกษาพบว่า บริเวณเส้นทางจากกุดผึ้งถึงบ้านพลับ เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณ มีความสำคัญในการติดต่อสัญจร ซึ่งพบหลักฐานทางโบราณคดี ตามลักษณะศิลปกรรมพื้นถิ่นที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของล้านช้าง ทั้งมีพัฒนาการในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 เป็นต้นมา บ้านพลับมีความสำคัญในฐานะแหล่งรวมสินค้าก่อนที่จะบรรทุกเกวียน เดินทางต่อไปยังเมืองท่าบ่อ และเมืองเวียงคุก สำหรับช่องเขาบ้านกุดผึ้งมีความสำคัญในการเป็นช่องทางผ่าน จากสุวรรณคูหา ผ่านเข้ามาเชื่อมต่อกับบ้านเมืองในเขตเมืองพาน และพบความสัมพันธ์ของผู้คนในพุทธศตวรรษที่ 22-24 เช่น การบูชารอยพระพุทธบาทบนเขาภูผาแดง และการจัดกิจกรรมตามประเพณีร่วมกัน และความเชื่อในความเป็นชนกลุ่มเดียวกัน ต่อมาได้รับผลกระทบจากภาวะการเมืองภายในของอาณาจักรล้านช้าง และช่วงความขัดแย้งระหว่างเวียงจันทน์กับกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเหตุให้ชุมชนบริเวณเส้นทางกุดผึ้งถึงบ้านพลับต้องถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติจึงได้มีการหลั่งไหลของผู้คนกลับเข้ามาตั้งถิ่นฐาน พร้อมฟื้นฟูชุมชนอีกครั้งในช่วงต้น พุทธศตวรรษที่ 25 เป็นต้นมา</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_ubu/article/view/274602 สภาพและแนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก 2025-01-23T10:10:18+07:00 วิลาวัลย์ สมยาโรน wilawan.so@up.ac.th น้ำฝน กันมา numfon.gu@up.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก และ 2) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 2 ตอน ได้แก่ 1) การศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับครูฯ โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาขั้นตอนนี้ ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 จำนวน 45 คน และครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา จำนวน 11 คน รวม 56 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า ioc ระหว่าง 0.60-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 2) การศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับครูฯ โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาขั้นตอนนี้ ได้แก่ ครูที่มีความรู้ความสามารถด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก จำนวน 20 คน จำแนกเป็นครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 จำนวน 10 คน และครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง มีค่า ioc ระหว่าง 0.60-1.00 ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับครูฯ พบว่า ด้านการเรียนรู้ร่วมกัน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด 2) แนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับครูฯ พบว่า ผู้บริหารและครูควรมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการใช้ชีวิตจากประสบการณ์จริง มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน มีการสนับสนุนผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์ มีการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมและให้ความสำคัญเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เปิดโอกาสให้ครอบครัวและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน จัดห้องเรียนให้ทันสมัยและพร้อมด้วยอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อความต้องการ</p> 2025-06-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี