วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru
<p> วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี รับตีพิมพ์บทความใน<strong>สาขาวิชามนุษยศาสตร์</strong> ภาษาและวรรณคดี ศิลปกรรม นาฏศิลป์และการแสดง และ<strong>สาขาวิชาสังคมศาสตร์</strong> นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และการจัดการชุมชน</p>
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
th-TH
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
2822-1249
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>- บทความในวารสารวิชาการมนุษย์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เป็นความคิดเห็นของผู้นิพนธ์ ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ และไม่ใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการและ/หรือของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>- กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p>- บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะมีการตรวจความถูกต้องเหมาะสมจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (peer review) จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ทราบผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (double-blind peer review)</p>
-
ความเสมอภาคของบุคคลตามกฎหมาย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/270990
<p>หลักความเสมอภาคเป็นหลักการพื้นฐานในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นหลักที่ยอมรับว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนามนั้นต่างมีความเท่าเทียมกันและห้ามมิให้รัฐในฐานะที่เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นในทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของสิทธิของประชาชน ภายใต้หลักนิติรัฐ คือ หลักการปกครองโดยยึดกฎหมายเป็นสาระสำคัญในการปกครอง การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานรัฐจะกระทำการอันใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้ ในประเทศที่มีการปกครองด้วยหลักนิติรัฐประชาชนจะต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเดียวกันอย่างเสมอภาคไม่มีการเลือกปฏิบัติ การที่รัฐธรรมนูญซึ่งมีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศบัญญัติรับรองสิทธิความเสมอภาคของบุคคลตามกฎหมายว่าจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุใดภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันย่อมกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะมีข้อยกเว้นตามกฎหมายให้ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้นผู้เขียนเห็นว่า ควรเพิ่มเติมถ้อยคำในมาตรา 27 วรรคแรกของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน <u>เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น</u></p>
ยุทธศักดิ์ ดีอร่าม
อรรถชัย วงศ์อุดมมงคล
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
ฺB1
B15
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานของผู้สูงอายุไทย
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/268988
<p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานของผู้สูงอายุไทย โดยงานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยใช้ชุดข้อมูลจากการสํารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นเครื่องมือในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 43,547 คน การวิเคราะห์ใช้ Probit Regression Model ผลการศึกษาพบว่า การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย สถานภาพการสมรส สุขภาพร่างกาย อายุ การเข้าร่วมกิจกรรม รายได้ หนี้สิน และความพอใจในภาวะการเงิน ส่งผลต่อการทำงานของผู้สูงอายุไทย อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ ระดับการศึกษา (ต่ำกว่าระดับประถมศึกษา/ประถมศึกษา และการศึกษาอื่น ๆ) และการออม (การออม 100,000-199,999 บาท และ การออม 1,000,000 บาท ขึ้นไป) ไม่ส่งผลต่อการทำงานของผู้สูงอายุไทย อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ปิยะวัฒน์ เจริญศักดิ์
ปัทพร สุคนธมาน
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A1
A12
-
กฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า พ.ศ. 2463: ที่มาและผล
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/268395
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า พ.ศ. 2463 ปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลให้มีการประกาศใช้และผลที่มีต่อศาลเจ้า งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบสหวิทยาการด้วยการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์ การเก็บข้อมูลภาคสนาม งานวิจัยพบว่า 1) กฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้ามีที่มาจากชุมชนจีนในประเทศไทยเคลื่อนไหวแสดงออกถึงความรู้สึกชาตินิยมจีนอย่างรุนแรงรัฐบาลไทยจึงเข้าควบคุม ตรวจตรา และสอดส่องศาลเจ้าซึ่งเป็นพื้นที่กลางของชุมชนไม่ให้ซ่องสุมหรือดำเนินการสมาคมลับในศาลเจ้า รัฐบังคับให้ศาลเจ้ามีผู้จัดการปกครองศาลเจ้าและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลเจ้าที่รัฐเป็นผู้แต่งตั้ง ต้องแสดงบัญชีการเงินและผลประโยชน์ของศาลเจ้า รวมถึงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินศาลเจ้าเป็นของรัฐ และ 2) เมื่อศาลเจ้ามีฐานะเป็นศาลเจ้าในปกครองของรัฐได้เปลี่ยนหน้าที่จากกุศลสถานของชาวจีนเฉพาะกลุ่มสำเนียงภาษาเป็นกุศลสถานสำหรับมหาชนในการปกครองของรัฐ กฎเสนาบดีฯ ฉบับนี้บังคับใช้กับศาลเจ้ามากว่าร้อยปีโดยไม่มีการแก้ไข ดังนั้น อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข เพื่อให้กฎข้อบังคับเกี่ยวกับศาลเจ้ามีความทันสมัยเหมาะสมกับหน้าที่ของศาลเจ้าและบริบทสังคมปัจจุบัน</p>
ธมาภรณ์ พูมพิจ
พรรณี บัวเล็ก
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A13
A27
-
ภาษากับอุดมการณ์ในวาทกรรมโฆษณาขายสินค้าในเพจเฟซบุ๊ก เพื่อการรู้เท่าทันสื่อ: กรณีศึกษานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/269406
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีทางภาษากับอุดมการณ์ใน วาทกรรมโฆษณาขายสินค้าในเพจเฟซบุ๊ก ตามแนวคิดวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ตั้งแต่กรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. 2564 จำนวน 8 เพจ รวมทั้งสิ้น 326 ตัวบท และ 2) ศึกษาความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมหลังจากได้รับการอบรมความรู้เกี่ยวกับกลวิธีทางภาษากับอุดมการณ์ในวาทกรรมโฆษณาขายสินค้าในเพจเฟซบุ๊ก จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 395 คน โดยใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัย พบว่า 1) กลวิธีทางภาษาที่สื่ออุดมการณ์ในวาทกรรมโฆษณาขายสินค้าของเพจเฟซบุ๊ก มีดังนี้ กลวิธีทางวัจนภาษา ได้แก่ การเลือกใช้คำศัพท์ การใช้ทัศนภาวะ การใช้ประโยคแสดงความขัดแย้ง การอ้างถึง การกล่าวเกินจริง การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ การใช้อุปลักษณ์ และการใช้มูลบท กลวิธีทางอวัจนภาษา ได้แก่ การใช้ภาพประกอบการโฆษณา และการใช้อวัจนภาษาประกอบข้อความ กลวิธีทางภาษาดังกล่าวได้นำเสนอความคิดในวาทกรรมโฆษณาขายสินค้าในเพจเฟซบุ๊ก ได้แก่ ชุดความคิดเกี่ยวกับความงาม ชุดความคิดเกี่ยวกับความทันสมัย และชุดความคิดเกี่ยวกับความสุข ทั้งนี้ความคิดความเชื่อต่าง ๆ สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ ตอกย้ำและผลิตซ้ำสะท้อนถึง “อุดมการณ์บริโภคนิยม” และ 2) ความสามารถการรู้เท่าทันสื่อของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมเกี่ยวกับกลวิธีทางภาษากับอุดมการณ์ในวาทกรรมโฆษณาขายสินค้าในเพจเฟซบุ๊กหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ณัฐนันท์ ลีลาชีวสิทธิ์
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A28
A41
-
การรับรู้และทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและความรุนแรงของนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานี ที่มีต่อตัวละครในวรรณคดีไทยเฉพาะเรื่อง
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/269945
<p>การวิจัยในครั้งนี้มี มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมการกลั่นแกล้งและความรุนแรงที่เกิดกับตัวละครเอกและวิธีการรับมือของตัวละครเอกที่ถูกกลั่นแกล้ง 2) เพื่อศึกษาการรับรู้และทัศนคติของนักศึกษาที่เรียนวิชาการใช้ภาษาไทยอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและความรุนแรงที่เกิดกับตัวละครเอก และ 3) เพื่อวิเคราะห์ผลสะท้อนกลับเกี่ยวกับพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและความรุนแรงของตัวละครเอกที่ปรากฏในวรรณคดี บทละครนอกเรื่อง สังข์ทอง กลอนบทละครเรื่อง แก้วหน้าม้า และบทละครเรื่องปลาบู่ทอง ฉบับกลอนสวด รวมไปถึงวิธีการรับมือ การแก้ปัญหาเพื่อประยุกต์ใช้ในบริบทของสังคมปัจจุบัน โดยเก็บข้อมูลจากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นนั้นมีลักษณะ ดังนี้ 1) เกิดจากความตั้งใจกระทำ คิดเป็นอัตราร้อยละ 66.6 2) เป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ คิดเป็นอัตราร้อยละ 83.3 และ 3) มักกระทำจากผู้มีพลังอำนาจ คิดเป็นอัตราร้อยละ 56.6 ทั้งนี้ พฤติกรรมการกลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะในยุคใด จากการวิเคราะห์ผลสะท้อนกลับ (impact) กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า พฤติกรรมการกลั่นแกล้งที่ตนเองเคยปฏิบัติกับผู้อื่นนั้นเกิดจากต้องการความสนุก เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์ และมองว่าการตอบโต้ ด้วยการสงบนิ่งเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ผู้ถูกกลั่นแกล้งสามารถตอบโต้ได้หากอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราร้อยละ 76.6 ส่วนการแก้ปัญหาเพื่อประยุกต์ใช้ในบริบทของสังคมปัจจุบันนั้นคือ บุคคลควรมีความเคารพคนอื่นเท่าที่เคารพตนเอง</p>
นิศา บูรณภวังค์
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A42
A56
-
การปรับตัวข้ามวัฒนธรรมของนักเรียนไทยในญี่ปุ่น
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/270758
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมของนักเรียนไทยในญี่ปุ่น และ 2) ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมของนักเรียนไทยในญี่ปุ่น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับนักเรียนไทยในญี่ปุ่นทั้งหมด 7 คน ผลการศึกษาพบว่า มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ผ่านขั้นตอนการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมทั้งหมด 4 ขั้นตามทฤษฎี ส่วนกลุ่มตัวอย่างอีก 5 คน เริ่มตั้งแต่ขั้นที่ 2 คือ ขั้นความตระหนกทางวัฒนธรรมเมื่อเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมพบว่ามีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่รู้สึกปรับตัวได้อย่างกลมกลืน สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมพบว่า หากมีลักษณะนิสัยที่สามารถคล้อยตามสถานการณ์ และกล้าเข้าสังคมจะสามารถปรับตัวได้ง่าย ประสบการณ์การสื่อสารกับคนต่างชาติและประสบการณ์ในการเดินทางไปต่างประเทศทำให้มีความมั่นใจในการสื่อสารกับคนต่างวัฒนธรรม ทักษะทางด้านภาษาที่ไม่เพียงพอต่อการสื่อสารจะทำให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสาร จากผลการศึกษาข้างต้นได้เสนอแนะให้ผู้ที่ต้องเดินทางเข้าสู่สังคมวัฒนธรรมใหม่เตรียมความพร้อมดังนี้ 1) ศึกษาล่วงหน้าเกี่ยวกับวัฒนธรรม และสังคมของประเทศปลายทาง พยายามฝึกฝนทักษะความยืดหยุ่น และการปรับตัวเข้ากับความแตกต่างทางวัฒนธรรม 2) เพิ่มทักษะทางภาษา และ 3) เข้าร่วมกิจกรรม และเพิ่มโอกาส ในการสื่อสารกับเจ้าบ้านเพื่อลดความตระหนกทางวัฒนธรรม</p>
นภัสสร จาระสมบูรณ์
ศุภพัชร์พิมล สิมลี
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A57
A69
-
การศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรมของประชาชน ต่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในกรุงเทพมหานคร
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/269971
<p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภูมิหลังความเชื่อของประชาชนต่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 2) ศึกษารูปแบบพิธีกรรมของประชาชนต่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ 3) ศึกษาวิธีการดำรงรักษา สืบทอดความเชื่อ และพิธีกรรมของประชาชนในท้องถิ่น วิธีดำเนินการวิจัย ใช้รูปแบบวิธีวิจัยแบบผสม ประชากรที่ศึกษา จำนวน 46,549 คน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 320 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย และการศึกษาเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิคการสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์ เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน การศึกษาเชิงปริมาณ ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม มีคุณภาพค่าอัลฟ่า =.862 โดยใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า 1) ภูมิหลังความเชื่อของประชาชนต่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย=3.74) 2) รูปแบบพิธีกรรมของประชาชนต่ออนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย=3.59) และ 3) วิธีการดำรง รักษา สืบทอดความเชื่อ และพิธีกรรมของประชาชนในท้องถิ่น พบว่า 1) วิธีการดำรง รักษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย=3.83) และ 2) การสืบทอด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย=3.75) การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ประชาชนให้ความสนใจภูมิหลังความเชื่อ เรื่องประวัติศาสตร์ การกอบกู้เอกราช และเป็นที่พึ่งทางจิตใจ รูปแบบพิธีกรรม ประชาชนให้ความสนใจทั้งที่เป็นทางการกับไม่เป็นทางการตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ส่วนวิธีการดำรง รักษา สืบทอด ประชาชนมักจะกระทำตามประเพณีที่บรรพบุรุษปฏิบัติสืบต่อกันมา</p>
วงศกร เพิ่มผล
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A70
A84
-
แนวทางการพัฒนาวัสดุยางจากพาหนะเก่าสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/270087
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตกแต่งภายในอาคารจากยางพาหนะเก่าเพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจฐานราก แล้วจึงถ่ายทอดองค์ความรู้และการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ของตกแต่งภายในอาคารจากยางยานพาหนะเก่าเหลือใช้สู่ธุรกิจออนไลน์ การเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและภาคสนามถูกนำมาวิเคราะห์ จากการศึกษาวิจัยมีการนํายางพาหนะเก่าไปบดให้เป็นผงแล้วจึงอัดขึ้นรูปตามแม่พิมพ์ให้คงรูป จากการศึกษาการขึ้นรูปชิ้นงานจากผงยางถูกผสมวัสดุประสานระหว่างยางพาราและกาวลาเท็กซ์ในสูตรที่ 1 ในอัตราส่วน 1:2 1:3 1:4 และ 1:5 พบว่า อัตราส่วนผสมระหว่างผงยางกับวัสดุประสานสูตรที่ 1 ในอัตราส่วน 1:3 สามารถขึ้นรูปชิ้นงานที่แข็งแรง ยืดหยุ่นได้ดี ในขณะที่การผสมผงยางกับวัสดุประสานจากกาว PU ในสูตรที่ 2 ที่อัตราส่วนผสมระหว่างผงยางและวัสดุประสานที่อัตรา 1:3 ชิ้นงานที่ได้มีความแข็งแรง ไม่แตกหัก สามารถนำไปใช้รองรับสรีระการนั่งและเป็นแนวทางที่ช่วยลดขยะจากยางยานพาหนะเก่าเหลือใช้ในแหล่งชุมชน การออกแบบและพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เก้าอี้พักผ่อน แบ่งเป็น 3 รูปแบบ โดยใช้การประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน พบว่า เก้าอี้พักผ่อนรูปแบบมีท้าวแขนขาเอียงได้รับความพึงพอใจมากที่สุด (x̅=4.51, S.D.=0.45) ดังนั้นการทำผลิตภัณฑ์เก้าอี้พักผ่อนแบบมีพนักพิงแบบมีท้าวแขนขาเอียงจึงถูกนําไปถ่ายทอดองค์ความรู้ทำให้เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนที่ทันสมัย มากกว่านั้นการสร้างช่องทางตลาดออนไลน์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในหลากหลายกลุ่มผู้บริโภค</p>
ปณต นวลใส
กมลวรรณ พงษ์กุล
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A85
A99
-
การบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ชุมชนชายทะเลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/270855
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) รวบรวมทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ชุมชนชายทะเลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 2) ศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในการเลือกเส้นทางและรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว และ 3) เสนอแนวทางการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เป็นการวิจัยรูปแบบผสมผสานระหว่างระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาตามวัตถุประสงค์การวิจัยข้อ 1 และข้อ 3 ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ปราชญ์ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 41 คน นำเสนอผลการวิจัยด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวจำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติวิจัย ได้แก่ t-test, F–test การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนชายทะเลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสายน้ำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านคุณค่าที่สำคัญด้านประวัติศาสตร์ สุนทรียภาพ วิชาการ และสังคม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ อาชีพ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมประเพณี 2) นักท่องเที่ยวเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สร้างประสบการณ์ให้ตนเองได้ สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาด้านอาชีพโดยมีเจ้าของภูมิปัญญาเป็นผู้ถ่ายทอดและฝึกสอนให้ในแหล่งท่องเที่ยว และ 3) แนวทางในการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนชายทะเลคลองด่าน ได้แก่ การสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกและหน่วยงานเครือข่าย การส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนแห็นคุณค่าของทุนทางวัฒนธรรม สร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในชุมชน แบ่งปันผลประโยชน์ให้กับสมาชิกในชุมชน และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร</p>
จักรพันธ์ พรมฉลวย
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A100
A114
-
การศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางศิลปะ จากวัสดุเหลือใช้ที่ได้จากกระบวนการแปรรูปปลานิล จังหวัดสมุทรปราการ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/270300
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบของผลิตภัณฑ์ทางศิลปะเพื่อการต่อยอดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์สินค้าการเกษตรแปรรูปปลานิลจังหวัดสมุทรปราการ 2) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางศิลปะเพื่อการต่อยอดจากวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูปปลานิลจังหวัดสมุทรปราการ และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของเกษตรกรและผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ทางศิลปะเพื่อการต่อยอดจากวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูปปลานิล จังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้รู้เกี่ยวกับสินค้า แปรรูปปลานิล กลุ่มแปรรูปปลานิล ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 3 คนผู้เชี่ยวชาญด้านผลงานศิลปะสื่อผสม และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด จำนวน 2 ด้าน ด้านละ 3 คน เกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (standardized or structured interview) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมที่มีต่อผลิตภัณฑ์ทางศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ได้จากกระบวนแปรรูปปลานิล และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ทางศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ได้จากกระบวนแปรรูปปลานิล โดยวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบของการเขียนบรรยาย และหาค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและกลุ่มผู้บริโภคให้ความเห็นว่ามีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ทางศิลปะ จากวัสดุเหลือใช้ได้จากกระบวนแปรรูปปลานิล พึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.33 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.67</p>
องอาจ มากสิน
วรางคณา กรเลิศวานิช
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-06
2024-08-06
7 2
A115
A129