วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01 <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์<br /></strong>ISSN 2821-9635 (Online)</p> <div class="html-div xdj266r x11i5rnm xat24cr x1mh8g0r xexx8yu x4uap5 x18d9i69 xkhd6sd x6ikm8r x10wlt62"> <div class="html-div xdj266r x11i5rnm xat24cr x1mh8g0r x14ctfv x1okitfd x6ikm8r x10wlt62 xerhiuh x1pn3fxy x12xxe5f x1szedp3 x1n2onr6 x1vjfegm x1k4qllp x1mzt3pk x13faqbe x1xr0vuk x1jm4cbz x1lmq8lz xrrpcnn x1xtl47e x13fuv20 xu3j5b3 x1q0q8m5 x26u7qi x19livfd x2t687o x3p3xfz x5od304 xp5s12f x11ucwad xgtuqic x155c047" role="presentation"> <div class="html-div xexx8yu x4uap5 x18d9i69 xkhd6sd x1gslohp x11i5rnm x12nagc x1mh8g0r x1yc453h x126k92a x18lvrbx" dir="auto"><strong>ขอบเขตวารสาร</strong></div> </div> </div> <p> เนื้อหาของบทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องเกี่ยวข้องกับด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้แก่ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญาและศาสนา ภาษาศาสตร์และวรรณกรรม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ บริหารศาสตร์ กฎหมาย การเมืองการปกครอง รัฐประศาสนศาสตร์ พัฒนาสังคม ประวัติศาสตร์และโบราณคดีอาณาบริเวณศึกษา ภูมิศาสตร์ สื่อสารสนเทศและการสื่อสาร และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่<br /></strong> วารสารเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ตีพิมพ์รูปแบบระบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์<br /> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความ</strong><br /> บทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย ทั้ง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>นโยบายการตีพิมพ์บทความ</strong><br /> (1) บทความวิจัยจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น<br /> (2) บทความที่รับพิจารณาตีพิมพ์ต้องผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) อย่างน้อย 3 คน มาจากต่างสถาบันกัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ<br /> (3) ผู้เขียนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนด และยินยอมให้บรรณาธิการแก้ไขบทความเพื่อความสมบูรณ์ได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณากลั่นกรองบทความ<br /></strong> บทความที่จะได้รับการพิจารณาตีพิมพ์จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ดังนี้<br /> (1) กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้เขียนทราบทาง E-mail หรือช่องทางอื่น เมื่อกองบรรณาธิการได้รับบทความเรียบร้อยแล้ว<br /> (2) กองบรรณาธิการจะตรวจสอบบทความว่าอยู่ในขอบเขตเนื้อหาวารสารหรือไม่ รวมถึงคุณภาพทางวิชาการและประโยชน์ ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ<br /> (3) ในกรณีที่กองบรรณาธิการพิจารณาเห็นควรรับบทความไว้พิจารณาตีพิมพ์ กองบรรณาธิการจะดำเนินการส่งบทความเพื่อกลั่นกรองต่อไป โดยจะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 3 คน ประเมินคุณภาพของบทความว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะลงตีพิมพ์หรือไม่ ซึ่งกระบวนการกลั่นกรองนี้ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review)<br /> (4) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความแล้ว กองบรรณาธิการจะตัดสินใจโดยอิงตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ บทความนั้นๆ ควรนำลงตีพิมพ์ หรือควรส่งให้ผู้เขียนแก้ไขก่อนส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินอีกครั้ง หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ และจะแจ้งผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิให้ผู้เขียนรับทราบโดยเร็ว โดยผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นที่สิ้นสุด<br /> (5) กองบรรณาธิการจะไม่คืนต้นฉบับให้เจ้าของบทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ<br /></strong> (ก) กรณีผู้เขียนบทความเป็นบุคลากรภายใน ให้ชำระอัตราค่าธรรมเนียม จำนวน 2,000 บาท ต่อบทความ<br /> (ข) กรณีผู้เขียนบทความเป็นบุคคลภายนอก ให้ชำระค่าธรรมเนียม จำนวน 3,000 บาท ต่อบทความ</p> <p> ท่านสามารถดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ ไปยังหมายเลขบัญชี</p> <p> ชื่อธนาคาร: ธนาคารกรุงไทย สาขากาฬสินธุ์<br /> ชื่อบัญชี: มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เงินนอกงบประมาณ <br /> เลขบัญชี: 404-3-19565-6</p> <p><strong>เงื่อนไขการเก็บเงินค่าธรรมเนียมวารสารวิชาการ</strong> <br /> 1) จะเริ่มบังคับใช้เมื่อวารสารเข้าสู่ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 เป็นต้นไป<br /> 2) การเก็บเงินค่าธรรมเนียมจะเก็บหลังจากที่บทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นเท่านั้น <br /> 3) หากบทความไหนไม่ผ่านการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมใดๆ</p> สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ th-TH วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ 2821-9635 <p>ข้อมูลภาพ เสียง วิดีโอ และข้อความที่ปรากฎบนเว็บไซต์นี้ ผู้นำไปใช้จะถูกอนุญาตให้นำไปใช้ได้ โดยจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มา จะต้องไม่นำไปใช้เพื่อการค้า และจะต้องไม่ดัดแปลง (CC-BY-NC-ND)</p> การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเกม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/275572 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดกิจกรรมร่วมกับเกม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเกม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามัคคีบัวขาว จำนวน 34 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนสะกดคำก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมร่วมกับเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 20 ข้อ วิเคราะห์แบบทดสอบโดยการหาค่าเฉลี่ย (𝑥̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 92.95/89.25 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะการเขียนสะกดคำหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กุลธิดา มาคำ ณิชาภาท์ กันขุนทศ นาตยา หกพันนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 33 46 10.14456/hsi.2025.22 ศึกษาวัฒนธรรมตามแนวทางวัฒนธรรมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/278699 <p>วัฒนธรรมศึกษาเป็นสหสาขาวิชาที่ศึกษากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การรักษา การมีลักษณะร่วมกัน และการผลิตซ้ำของวัฒนธรรม นอกจากนั้นยังทำการศึกษาผลกระทบของระบบอำนาจในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอัตลักษณ์ทางสังคม ในการศึกษาตามแนวทางวัฒนธรรมศึกษานั้น จะมีการวิเคราะห์ตัวบทในทุกบริบทที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง อาจสรุปได้ว่า วัฒนธรรมศึกษาถือได้ว่าเป็นสหวิชาที่พิจารณาวัฒนธรรมในทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน และมองว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง โดยมีจุดสนใจในกระบวนการถูกกดขี่และการต่อต้านที่เกิดขึ้นในสังคม ดังคำที่ว่า เป็นเรื่องการเมืองในเรื่องวัฒนธรรม</p> พัฒน์ วัฒนสินธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 93 102 10.14456/hsi.2025.26 การรับรู้ทางสังคมเพื่อป้องกันและรับมือกับการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ ในนักเรียนประถมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280231 <p>บทความวิชาการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์แนวคิดด้านการรับรู้ทางสังคม อันเป็นกลไกหลักที่จำเป็นในการป้องกันและรับมือกับการกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ของนักเรียนระดับประถมศึกษา ภายใต้บริบทที่เด็กเล็กเข้าถึงเทคโนโลยีได้รวดเร็วแต่ยังขาดภูมิคุ้มกันทางสังคมที่เพียงพอ เนื้อหาในการนำเสนอครั้งนี้ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ (1) ความหมายและองค์ประกอบการรับรู้ทางสังคม (2) ภาพรวมปัญหาและรูปแบบการกลั่นแกล้งออนไลน์ที่พบบ่อยในโรงเรียนประถม (3) ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับรู้ทางสังคมกับการป้องกันการกลั่นแกล้งออนไลน์ในนักเรียนและ (4) แนวทางเสริมสร้างการรับรู้ทางสังคมด้วยกิจกรรมบูรณาการในหลักสูตร กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ และการให้คำปรึกษาแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎีการรับรู้ทางสังคม ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม และแบบจำลองขั้นตอนการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นแนวทางในการป้องกันและรับมือเพื่อให้สถานศึกษาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนป้องกัน ปรับปรุง และติดตามปัญหาในโรงเรียนระดับประถมได้อย่างเป็นระบบ</p> ธันยาภักค์ คมธัชนิธิชยวัศ วัลนิกา ฉลากบาง พรเทพ เสถียรนพเก้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-15 2025-08-15 4 2 191 205 10.14456/hsi.2025.33 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้ ใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสมาร์ท ทีชชิ่ง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/268262 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL) ร่วมกับ Smart Teaching ในหัวข้อ "ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์" การวิจัยเป็นแบบทดลองโดยใช้รูปแบบ One Group Pre-test Post-test Design กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 21 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ PBL ร่วมกับ Smart Teaching และ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าสถิติที (t-test) ผลการวิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอยู่ที่ 7.24 (S.D. = 1.58) และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 11.67 (S.D. = 1.24) ผลการทดสอบค่าทีพบว่า t = 11.80, p = .00 ซึ่งน้อยกว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนดไว้ที่ .05 (p &lt; .05) แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ PBL ร่วมกับ Smart Teaching ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การเพิ่มขึ้นของคะแนนเฉลี่ยและความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างก่อนและหลังเรียนสะท้อนให้เห็นว่าแนวทางการสอนนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและสามารถเชื่อมโยงความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ดีขึ้น</p> พิระดา วงษ์ธาตุ ชุลิดา เหมตะศิลป์ ตะวัน ทองสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-11 2025-07-11 4 2 1 8 10.14456/hsi.2025.19 การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านสระในภาษาไทยด้วยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้เกมบิงโกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/275537 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสระในภาษาไทย ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมบิงโกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสระของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน และ 3) เปรียบเทียบความคงทนในการเรียนรู้หลังผ่านไป 2 สัปดาห์เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว โดยทำการทดสอบก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสี่แยกสมเด็จ จำนวน 7 คน สังกัด สพป.กาฬสินธุ์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการเรียนรู้ 6 แผน และแบบทดสอบการอ่านออกเสียงสระ 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสระในภาษาไทย ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมบิงโกมีประสิทธิภาพ 82.86/84.29 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านสระ ในภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 9.950, p = .004) และ 3) ความคงทนในการเรียนรู้หลังผ่าน 2 สัปดาห์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 4.583, p = .004)</p> ปรียานนท์ คุณแสน ณิชาภาท์ กันขุนทศ นาตยา หกพันนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-12 2025-07-12 4 2 9 21 10.14456/hsi.2025.20 การพัฒนาทักษะการอ่านสระในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/275540 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสระในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสระในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านสี่แยกสมเด็จ จำนวน 180 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสี่แยกสมเด็จ จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบการอ่านสระในภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียนปรนัย 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลพัฒนาทักษะการอ่านสระในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี พบว่า หลังการจัดกิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวม เท่ากับ 93.44 2) ผลเปรียบเทียบทักษะการอ่านสระในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีทักษะการอ่านสระในภาษาไทย สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมฝึกการอ่านอักษรด้วยสี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พรรณวรินทร์ ชานาตา ณิชาภาท์ กันขุนทศ นาตยา หกพันนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 22 32 10.14456/hsi.2025.21 Understanding Tourist Motivations and Challenges in Buriram, Thailand, Using the Theory of Planned Behavior https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/278549 <p>Buriram, emerging as a prominent sports city in Thailand, is rapidly developing a reputation for hosting international sporting events and attracting significant tourism. However, as competition intensifies among global sports destinations. Understanding the behavior of its visitors is essential to improve tourist experiences and sustain a competitive edge. This study aims to identify the key factors that encourage and discourage tourists from visiting Buriram as a sports hub, utilizing the Theory of Planned Behavior (TPB). Employing a qualitative approach, semi-structured in-depth interviews were conducted with seven stakeholders in Buriram who were either directly or indirectly involved with Buriram’s “Sports City” initiative. The participants were chosen using judgmental (purposive) sampling, based on their roles and expertise, level of experience with the initiative, and willingness to participate. Data were analyzed using Atlas.ti 24, was explored through the core constructs of the TPB. Findings reveal that tourists are attracted by Buriram’s world-class sports facilities, high-profile events such as MotoGP and Buriram United football matches, and strategic social media sports marketing. Conversely, issues such as limited accommodation during peak seasons, transportation challenges, and the capacity of Buriram International Airport serve as barriers to visitation. The research provides valuable insights for marketers and policymakers to better promote Buriram as a leading sports tourism destination by improving visitor experiences and addressing key challenges.</p> อิกบัล เรซา ประตามา วิตติกา ทางชั้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 47 65 10.14456/hsi.2025.23 รูปแบบการบริหารจัดการศึกษา SK1 SAFETY MODEL “ผ่านระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน (S-CARE)” https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/279706 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สร้างองค์ความรู้ และพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาSK1 SAFETY MODEL“ผ่านระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน (S-CARE)” ของสถานศึกษา และหน่วยงานระดับสำนักงานเขตพื้นที่ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีเพื่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ และเพื่อให้ผู้เรียนการได้รับการปกป้องคุ้มครองให้เกิดความปลอดภัย สถานศึกษาที่มีความปลอดภัยนั้น ผู้ปกครองก็จะเชื่อมั่นว่าผู้เรียนจะได้รับความรู้ทางสติปัญญา อารมณ์ อย่างอบอุ่น และปลอดภัย จนสามารถเพิ่มผลสำเร็จของงานตามเป้าหมายได้ ซึ่งมีเป้าหมายหลักเดียวกัน คือ คุณภาพการศึกษาและตัวบ่งชี้คุณภาพที่สำคัญ คือ คุณภาพของนักเรียนหรือประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียน รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาSK1 SAFETY MODEL“ผ่านระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน (S-CARE)” ได้ช่วยให้หน่วยงาน สถานศึกษา ได้มีรูปแบบที่เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ และสามารถนำไปใช้ได้ในสถานศึกษา หน่วยงานที่มีบริบทใกล้เคียงกันได้ จากนวัตกรรมนี้ทำให้หน่วยงาน มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรอันจะส่งผลให้คุณภาพของสถานศึกษา ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และได้ช่วยเหลือสนับสนุนให้กระบวนการบริหาร และกระบวนการเรียนการสอนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ให้มีคุณภาพถึงระดับที่พึงประสงค์อย่างรอบด้านทั้งนักเรียน บุคคล และหน่วยงาน ที่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลการประเมินด้านต่าง ๆ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและเป็นไปตามเป้าหมาย</p> ประภัสสร สรวนรัมย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 66 77 10.14456/hsi.2025.24 บทบัญญัติพื้นฐานทางศาสนา : แนวคิดการสร้างสันติในสังคมไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/278516 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบัญญัติพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม 2) เพื่อศึกษากระบวนการสร้างสันติของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติพื้นฐานของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ในฐานะรากฐานการสร้างสันติในสังคมไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีการลงพื้นที่เป้าหมาย 3 แห่ง คือหมู่บ้านพุทธ ที่บ้านเสียว ตำบลวังชัย อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และชุมชนวัดท่าการ้อง ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาหมู่บ้านคริสต์ ที่บ้านสองคอน ตำบลป่งขาม อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร หมู่บ้านอิสลาม ที่มัสยิดกุฎีช่อฟ้า ตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า บทบัญญัติพื้นฐานของศาสนาพุทธ ได้แก่ ศีล 5 ของศาสนาคริสต์ คือ บัญญัติ 10 ประการ ของศาสนาอิสลาม คือ หลักปฏิบัติ 5 ประการ กระบวนการสร้างสันติของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม มีกระบวนการสร้างสันติตามบทบัญญัติพื้นฐานตามหลักศาสนาของตน คือมีการแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาก่อน แล้วค่อยปลูกฝังไปเรื่อย ๆ ด้วยการปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น การวิเคราะห์บทบัญญัติพื้นฐานทางศาสนาพบว่า แต่ละศาสนาสอนให้ศาสนิกชนอยู่ด้วยกันอย่างสันติ มีความสุข ไม่มีความหวาดระแวงต่อกัน มีความไว้วางใจกัน ให้เกียรติแก่กันและกัน มีบทบัญญัติของศาสนาหลายข้อที่ตรงกัน</p> วราทิต อาทิตวโร มีชัย กิจฺจสาโร ปริยัติ พุทธิคุณ บัวพันธ์ ฉนฺทธมฺโม มารินทร์ เลิศสหพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-13 2025-07-13 4 2 78 92 10.14456/hsi.2025.25 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ รายวิชาภาษาลาวเพื่อการสื่อสาร สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/279929 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอนแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction lesson : CAI lesson) สำหรับรายวิชาภาษาลาวเพื่อการสื่อสาร และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตใช้บทเรียน CAI lesson กับนิสิตที่เรียนด้วยวิธีการปกติ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนิสิต 400 คน จาก 5 ห้องเรียน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลอง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเรียน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า นิสิตที่เรียนด้วยบทเรียน CAI มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ นิสิตยังให้ความคิดเห็นว่าบทเรียน CAI lesson มีความน่าสนใจ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบโต้ตอบ และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองในเวลาที่สะดวก โดยเพิ่มแบบฝึกหัดเชิงโต้ตอบและการสนทนาออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ของนิสิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> เฉลิมศักดิ์ บุตรพวง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-14 2025-07-14 4 2 103 115 10.14456/hsi.2025.27 การทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนกับบทบาทพระสังฆาธิการต่อการตัดสินใจทางการเมืองในอำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/279867 <p>การวิจัยนี้ใช้วิธีการแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยศึกษากลุ่มตัวอย่าง 400 คนในอำเภอหัวตะพาน ซึ่งเป็นผู้เข้าวัดเป็นประจำ และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 15 รูป/ท่าน ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่มีกิจกรรมทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ เช่น เข้าวัด ตักบาตร ฟังเทศน์ สะท้อนความผูกพันทางศาสนาในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งมีความคิดเห็นระดับ “ปานกลางถึงมาก” (ค่าเฉลี่ย 2.75) ต่อบทบาทของพระสังฆาธิการในการชี้นำด้านศีลธรรมในการเลือกตั้ง โดยมองว่าพระสงฆ์ควรส่งเสริมการตัดสินใจอย่างมีคุณธรรม มากกว่าการสนับสนุนทางการเมืองโดยตรง ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสนับสนุนข้อค้นพบข้างต้น โดยชี้ว่า พระสงฆ์ระดับพระสังฆาธิการมีบทบาทเป็นผู้นำทางจิตใจ สร้างความตระหนักรู้ด้านศีลธรรมในกระบวนการเลือกตั้ง ส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวในชุมชน อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการที่พระสงฆ์แสดงบทบาททางการเมืองโดยเปิดเผย สรุปได้ว่า พุทธศาสนาและพระสงฆ์ยังมีอิทธิพลเชิงจริยธรรมและวัฒนธรรมต่อการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชน แม้ไม่ได้มีบทบาททางการเมืองโดยตรง แต่มีศักยภาพในการเป็นกลไกทางสังคมที่ส่งเสริมการตัดสินใจอย่างมีคุณภาพ และนำไปสู่สังคมที่สงบสุขและยั่งยืน</p> อภิชาติ เย็นใจ อลงกรณ์ อรรคแสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-29 2025-07-29 4 2 116 128 10.14456/hsi.2025.28 การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงระบบในบริบทของการอุดมศึกษาไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/279930 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงระบบในบริบทของการอุดมศึกษาไทยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาองค์ประกอบจากเอกสารวิชาการและงานวิจัยจำนวน 10 แหล่ง เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงระบบ 2) การสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เกี่ยวกับองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงระบบ และ 3) ตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ขององค์ประกอบโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบวิเคราะห์เอกสารแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงระบบในบริบทของการอุดมศึกษาไทยประกอบด้วย 7 ด้าน ได้แก่ 1) ความรับผิดชอบ 2) วิสัยทัศน์ 3) การวางแผนกลยุทธ์ 4) ความมุ่งมั่น 5) วัฒนธรรมองค์การ 6) การเป็นที่ปรึกษา/ช่วยเหลือ/สนับสนุน และ 7) การเรียนรู้และพัฒนา และมีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.65, SD = 0.44) และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.57, SD = 0.44)</p> นันทณัฏฐ์ เวียงอินทร์ วาโร เพ็งสวัสดิ์ วันเพ็ญ นันทะศรี วรวุฒิ อินต๊ะชัย ณัฐพล วงศ์ประทุม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-02 2025-08-02 4 2 129 143 10.14456/hsi.2025.29 แนวทางการพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280485 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนา PLC ของโรงเรียนดังกล่าว การวิจัยแบ่งเป็นสองขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครู จำนวน 214 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI) ขั้นตอนที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการพัฒนา PLC อยู่ในระดับมาก (𝑥̄ = 4.02), สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̄ = 4.93), และความต้องการจำเป็นสูงสุดคือด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชน (PNI = 0.26) แนวทางที่เสนอมี 6 ด้าน รวม 24 วิธีการดำเนินงาน และ 70 กิจกรรม พร้อมเงื่อนไขแห่งความสำเร็จที่สามารถนำไปสู่การพัฒนา PLC ในโรงเรียนขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> กุลณัฐ ศรประชุม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-01 2025-08-01 4 2 144 156 10.14456/hsi.2025.30 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง สำหรับนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280429 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น และศึกษาประสิทธิผลของกิจกรรมดังกล่าว การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนประถมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ แบบประเมินสมรรถนะการเป็นพลเมือง 4 ด้าน (ความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม การเคารพสิทธิ และความเป็นประชาธิปไตย) แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้น คือ ศึกษาข้อมูล ออกแบบกิจกรรม ทดลองใช้ตามรูปแบบ Single-Subject Research Design (A-B-A) และการประเมิน/ปรับปรุง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา การทดสอบ Wilcoxon Signed-Rank Test และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่ากิจกรรมจำนวน 8 แผน ที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งเสริมสมรรถนะการเป็นพลเมืองได้ครบทุกด้านตามแนวคิดของ Kolb โดยได้รับการประเมินความเหมาะสมในระดับ “มาก” (ค่าเฉลี่ย 4.44 จาก 5.00) และมีประสิทธิผล ในการเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) พร้อมมีแนวโน้มของการคงอยู่ของพฤติกรรมเป้าหมายหลังการทดลอง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ในการพัฒนาความเป็นพลเมืองของนักเรียนในบริบทโรงเรียนขนาดเล็ก</p> สุดารัตน์ เสมอใจ จักราวุธ บุษดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-07 2025-08-07 4 2 157 173 10.14456/hsi.2025.31 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์สองภาษา ไทย-พม่า รายวิชาภาษาพม่าเพื่อการสื่อสาร สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/279926 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์สองภาษา ไทย–พม่า สำหรับรายวิชาภาษาพม่าเพื่อการสื่อสาร ของสำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ (2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่เรียนด้วยบทเรียนดังกล่าวในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตจำนวน 200 คน จาก 4 ห้องเรียน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ 2 ภาษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน จำนวน 6 หน่วยการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาบทเรียนได้ดำเนินการตามโมเดลการออกแบบการเรียนการสอนของ Dick และ Carey (2009) ซึ่งประกอบด้วย 9 ขั้นตอน ได้แก่ การระบุเป้าหมายของการสอน การวิเคราะห์ผู้เรียนและเนื้อหา การระบุพฤติกรรมเชิงวัตถุประสงค์ การพัฒนาเครื่องมือวัด การออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน การพัฒนาบทเรียน การออกแบบและดำเนินการประเมินแบบฟอร์มาทีฟ และการประเมินแบบซัมเมทีฟ โดยยึดหลักความสอดคล้องระหว่างจุดมุ่งหมาย เนื้อหา วิธีการ และการวัดผล ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนออนไลน์สองภาษา ไทย–พม่า ที่พัฒนาขึ้นโดยใช้โมเดล Dick and Carey มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (M = 4.67, SD = 0.41) ทั้งด้านเนื้อหา ภาษา และกิจกรรมการเรียนรู้ จากการทดลองใช้กับนิสิตจำนวน 200 คน พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน (Pre-test) เท่ากับ 45.80 (SD = 7.52) และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (Post-test) เท่ากับ 78.35 (SD = 6.14) โดยผลการวิเคราะห์ด้วย Dependent Sample t-test มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; 0.05 แสดงว่าการใช้บทเรียนออนไลน์สองภาษา มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านภาษาพม่าเพื่อการสื่อสารอย่างชัดเจน </p> ธุน อี ซอว์ เฉลิมศักดิ์ บุตรพวง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-15 2025-08-15 4 2 174 190 10.14456/hsi.2025.32 การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำบูรณาการของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดสกลนคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280247 <p>วิจัยแบบผสมผสาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัย 10 แหล่ง (2) ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และ (3) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้จากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ในจังหวัดสกลนคร ปีการศึกษา 2568 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบองค์ประกอบภาวะผู้นำบูรณาการ 3 ด้าน คือ (1) วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์เชิงบูรณาการ (2) ความร่วมมือและการสร้างเครือข่าย และ (3) นวัตกรรมและการแก้ปัญหาเชิงปรับตัว โดยมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด (M = 4.67, S.D. = 0.41) ข้อเสนอแนะคือควรนำแนวคิดภาวะผู้นำบูรณาการไปใช้เพื่อเสริมศักยภาพผู้บริหารให้มีกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ และความสามารถในการสร้างเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรม สอดคล้องกับแผนปฏิรูปการศึกษาและนโยบายพัฒนาผู้นำระยะยาว เพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิผล</p> ธันยาภักค์ คมธัชนิธิชยวัศ วาโร เพ็งสวัสดิ์ วันเพ็ญ นันทะศรี อำนาจ ไชยสงค์ อาจารี นวภัทรอภิญญา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-17 2025-08-17 4 2 206 221 10.14456/hsi.2025.34 แนวทางการส่งเสริมการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ในเขตพื้นที่อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280154 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ในเขตพื้นที่อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร และ เสนอแนวทางส่งเสริมการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ในเขตพื้นที่อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่มีรายการลงทะเบียนแอปพลิเคชัน ThaID จำนวน 375 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์มีโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ในเขตพื้นที่อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า ระดับการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̄ = 4.31, S.D.= 0.31) โดยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (𝑥̄ = 4.38, S.D.= 0.28) รองลงมาคือด้านการรับรู้ถึงความง่ายต่อการใช้งาน (𝑥̄ = 4.36, S.D.= 0.32) และด้านทัศนคติต่อการใช้งาน (𝑥̄ = 4.20<strong>,</strong> S.D.= 0.35) ซึ่งอยู่ในระดับมากทุกด้าน ตามลำดับ 2) แนวทางส่งเสริมการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ในเขตพื้นที่อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า แนวทางส่งเสริมการยอมรับแอปพลิเคชัน ThaID ได้แก่ ควรส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐต่าง ๆ ใช้ระบบร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม, ควรมีการพัฒนาระบบให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม, สร้างความเชื่อมั่นและตรวจสอบได้ เช่น แสดงให้เห็นว่าระบบมีการดูแลข้อมูลตามมาตฐานความปลอดภัย</p> ธันย์ชนก จันกัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 4 2 222 239 10.14456/hsi.2025.35 การศึกษาการทำงานเป็นทีมในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/hsi_01/article/view/280603 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการทำงานเป็นทีม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 297 คน โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ จำนวน 35 ข้อ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.977 และสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับผู้บริหารการศึกษา 1 คน และผู้อำนวยการสถานศึกษา 4 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการทำงานเป็นทีมของครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดด้านการติดต่อสื่อสาร รองลงมาคือการมีเป้าหมายร่วม การยอมรับนับถือ การมีส่วนร่วม การมีปฏิสัมพันธ์ และต่ำสุดคือด้านการไว้วางใจซึ่งกันและกัน สำหรับแนวทางการพัฒนาพบว่า ควรส่งเสริมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและเปิดกว้าง มีกระบวนการทำงานร่วมกันและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน สร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ เคารพและยอมรับซึ่งกันและกัน จัดกิจกรรมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ และเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง</p> ชาตรี ไมย์วิสัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-30 2025-08-30 4 2 240 252 10.14456/hsi.2025.36