วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic <p>วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (Journal of Criminology and Forensic Science) ดำเนินการตีพิมพ์บทความอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 </p> <p>เปิดรับผลงานวิชาการประเภทบทความ ทั้งบทความวิชาการ (Academic) และบทความวิจัย (Research) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรม ผู้สนใจทั่วไป นักวิชาการ นักวิจัยอิสระ ตลอดจนครูอาจารย์ และนักศึกษาทุกระดับชั้น</p> <p>ขอบเขตเนื้อหามุ่งเน้นครอบคลุมทั้งอาชญาวิทยา นิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการยุติธรรม ส่วนประเด็นน่าสนใจ อาทิ การสืบสวนสอบสวน การป้องกันปราบปราม การตรวจพิสูจน์หลักฐาน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น</p> <p>มีวัตถุประสงค์เผยแพร่ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาให้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติซึ่งสามารถนำมาอ้างอิง ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม</p> th-TH <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถิอว่าเป็นข้อคิดเห็นและความรั้บผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบใดๆ<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนเท่านั้น</p> usanut@rpca.ac.th (Usanut Sangtongdee, Ph.D.) jcfs@rpca.ac.th (Chalempon Sunthonnonth) Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการป้องกันภัยจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ในระบบควบคุมอุตสาหกรรมในโรงงานเขตพื้นที่พระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268396 <p>ในยุคของอุตสาหกรรม 5.0 ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมมีการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่ถูกโจมตีโดยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ดังนั้น งานวิจัยฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางการป้องกันภัยคุกคามจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่เหมาะสม สำหรับระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การประชุมทางวิชาการกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดหรือการสนทนากลุ่มเพื่อหาแนวทางป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ตลอดจนข้อปฏิบัติในการรับมือการโจมตีจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ภายในระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม ผลจากการวิจัย คือ 1) ได้แผนภาพแนวทางป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT), เทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) และระบบควบคุมอุตสาหกรรม (ICS) บนพื้นฐาน 5 ขั้นตอนของแนวทางของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา และ 2) ได้โมเดล (Model) ในการใช้งานจริงระหว่างไอทีโซน (IT Zone) และโอทีโซน (OT Zone) โดยให้ความสำคัญกับฐานข้อมูล และการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งเป็นจุดอ่อนในปัจจุบัน และได้นำไปใช้จริงในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นกรณีศึกษา</p> คริชณะ ฉิมมณี, พิทยา นครไทย , ณัทกฤช พรหมจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268396 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวไม่มีรูพรุนด้วยผงทัลคัมและผงฝุ่นขาว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269584 <p>งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวไม่มีรูพรุนสีเข้มด้วยผงทัลคัม และผงฝุ่นขาว การเปรียบเทียบประสิทธิภาพกระทำโดยการทดลองตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวไม่มีรูพรุนสีเข้ม 3 ชนิด ได้แก่ กระเบื้อง กระจก และ พลาสติก ด้วยระยะเวลาประทับนิ้วมือก่อนการตรวจเก็บที่แตกต่างกัน 5 ช่วงเวลา ได้แก่ ตรวจเก็บทันที, 1 วัน, 5 วัน, 7 วัน และ 14 วัน จากนั้นนำรอยลายนิ้วมือแฝงที่เก็บได้ด้วยวิธีการปัดฝุ่น มาทำการนับจุดลักษณะสำคัญพิเศษด้วยเครื่องตรวจสอบลายนิ้วมืออัตโนมัติ (Automated Fingerprints Identification System :AFIS) เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Independent T-Test เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการใช้ผงทัลคัม และผงฝุ่นขาว ในการตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวไม่มีรูพรุนสีเข้ม จากการวิจัยพบว่า การใช้ผงทัลคัมตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวไม่มีรูพรุนสีเข้มทั้ง 3 ชนิด ด้วยระยะเวลาประทับนิ้วมือก่อนการตรวจเก็บที่แตกต่างกัน 5 ช่วงเวลา นั้นมีประสิทธิภาพในการตรวจเก็บไม่แตกต่างกับการใช้ผงฝุ่นขาว</p> สุมิตตา แสงจันทร์, วรธัช วิชชุวาณิชย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269584 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การตรวจเก็บรอยประทับรองเท้าบนพื้นผิวที่แตกต่างกันด้วยเครื่องลอกรอยฝุ่นไฟฟ้าสถิต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269667 <p>รอยประทับที่มีรูปแบบ เช่น รอยรองเท้า เป็นหลักฐานอีกประเภทสำหรับเชื่อมโยงพฤติการณ์ในสถานที่เกิดเหตุ การตรวจเก็บรอยประทับใช้สำหรับตรวจเปรียบเทียบกับผู้ต้องสงสัยได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตรวจเก็บรอยรองเท้าเปื้อนฝุ่นบนพื้นผิววัสดุที่นิยมนำมาปูพื้นที่พักอาศัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยการจำลองรองเท้าที่เปื้อนฝุ่นดิน ประทับรอยลงบนพื้นผิววัสดุที่แตกต่างกัน 5 ชนิด ได้แก่ กระเบื้องยาง กระเบื้องเซรามิก พรมผ้า ลามิเนต และเสื่อน้ำมัน จากนั้นตรวจเก็บรอยรองเท้าเปื้อนฝุ่นด้วยเครื่องลอกรอยฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต วิเคราะห์คุณภาพของรอยรองเท้าโดยการตรวจนับจุดที่ปรากฏบนช่องที่กำหนดความละเอียดขนาด 0.6 x 0.6 เซนติเมตร ผลการศึกษาพบว่า เครื่องลอกรอยฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิตสามารถตรวจเก็บลอกรอยฝุ่นได้ โดยพบคุณภาพของรอยรองเท้าบนพื้นลามิเนตสูงที่สุด มีค่าเฉลี่ยของรอยที่ปรากฏ 90.85% สำหรับกระเบื้องยาง กระเบื้องเซรามิกและเสื่อน้ำมัน ให้ระดับคุณภาพของรอยรองเท้าที่ตรวจเก็บได้ใกล้เคียงกันรองลงมา พรมผ้าจะให้คุณภาพของรอยรองเท้าเปื้อนฝุ่นในระดับต่ำสุด ค่าเฉลี่ยของรอยที่ปรากฏ 6.72% เนื่องจากเป็นพื้นผิวไม่เรียบ มีรูพรุนสูง จึงตอบสนองต่อการประจุไฟฟ้าไม่ดีเทียบกับพื้นผิวชนิดอื่น ดังนั้น วิธีนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการประเมินและพิจารณาวิธีการตรวจเก็บรอยรองเท้าเปื้อนฝุ่นที่พบบนพื้นร่วมกับการบันทึกถ่ายภาพ เพื่อให้ได้รายละเอียดวัตถุพยานจากสถานที่เกิดเหตุและเชื่อมโยงการตรวจเปรียบเทียบอย่างมีประสิทธิภาพได้</p> ปภาดา ทองแนบ โพธิ์พระ, เชิดพงศ์ ชูกลิ่น, ปริญญา สีลานันท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269667 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การประเมินความเข้าใจของอาสาสมัครกู้ภัยในการป้องกันที่เกิดเหตุในคดีต่อชีวิตและร่างกาย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270598 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการปฏิบัติงาน ระดับความรู้ความเข้าใจและความคิดเห็นด้านการรักษาสถานที่เกิดเหตุ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภูมิหลังกับระดับความรู้ความเข้าใจและความคิดเห็นด้านการรักษาสถานที่เกิดเหตุของอาสาสมัครกู้ภัย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถามและแบบทดสอบจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นอาสาสมัครกู้ภัย 133 คน การสัมภาษณ์แบบเชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นหัวหน้าแผนก 6 คน และใช้วิธีสังเกตแบบมีส่วนร่วมด้วย สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนและค่าสหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครกู้ภัยส่วนใหญ่มีช่วงอายุระหว่าง 31-40 ปี มีระดับการศึกษาสูงสุด คือ จบมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานมาแล้ว 6-10 ปี ส่วนใหญ่เคยเข้าร่วมการสัมมนาและการฝึกอบรม ในด้านความรู้ความเข้าใจ ผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครกู้ภัยส่วนใหญ่มีระดับความรู้ความเข้าใจมาก คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.44 ในด้านความคิดเห็น พบว่า อาสาสมัครกู้ภัยส่วนใหญ่มีระดับความคิดเห็นปานกลาง คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 40.44 และพบว่า ความรู้ความเข้าใจมีความสัมพันธ์กับความคิดเห็น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.013 ปัญหาและอุปสรรคที่พบ คือ 1) การมุงดูที่เกิดเหตุ 2) สภาพแวดล้อมของสถานที่เกิดเหตุซึ่งส่งผลต่อความยากง่ายในการปฏิบัติงาน 3) ขาดแคลนบุคลากร 4) อุปกรณ์-เครื่องมือไม่ทันสมัย สำหรับแนวทางในการพัฒนาองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสถานที่เกิดเหตุ ได้แก่ การจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการจัดการไทยมุงและวิธีการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงจัดตารางการทำงานให้อาสาสมัครกู้ภัยเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อทำการจัดซื้อเครื่องมือ-อุปกรณ์ให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ</p> มนัชยานิษฐ์ ตั้งชิณคุปต์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270598 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวนจังหวัดระยอง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269902 <p>ตำรวจเป็นหน่วยงานที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากเป็นหน่วยงานแรกที่รับผิดชอบการอำนวยความยุติธรรมก่อนจะเข้าสู่ชั้นอัยการและศาล พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการพิจารณาคดีความในชั้นอัยการและศาล พยานหลักฐานที่มีบทบาทมากในปัจจุบันคือ พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้และความเข้าใจในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานต่อพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของพนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่จังหวัดระยองโดยทำการศึกษาจากพนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง จำนวน 126 คน โดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ในหัวข้อทั่วไปทางนิติวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรส่วนบุคคลกับคะแนนระดับความรู้ทางด้านนิติวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า พนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่จังหวัดระยองส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 51-60 ปี อายุราชการ 25 ปีขึ้นไป ประสบการณ์ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนอยู่ในช่วงระหว่าง 5-10 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีและเคยเข้ารับการฝึกอบรมการเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจทางนิติวิทยาศาสตร์ในระดับมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญขึ้นอยู่กับอายุ อายุราชการ ประสบการณ์ในตำแหน่งพนักงานสอบสวน การเข้ารับการฝึกอบรมด้านนิติวิทยาศาสตร์ (P-value ≤ 0.05) ปัญหาและอุปสรรคที่พบ คือ จำนวนพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอ ขาดความรู้ในการเก็บรวบรวบพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์บางชนิด พนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่จังหวัดระยองมีความคิดเห็นว่าพนักงานสอบสวนจะต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานด้านการเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ</p> วรรณพร สมนึก, วรธัช วิชชุวาณิชย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269902 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การได้มาซึ่งพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในชั้นสอบสวนในความผิดเกี่ยวกับเพศ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268812 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมถึงนำเสนอแนวทางในการได้มาซึ่งพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในชั้นสอบสวน เพื่อการดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับเพศ ซึ่งผลการศึกษาวิจัยสามารถสรุปได้ว่า ในด้านปัญหาและอุปสรรคของการได้มาซึ่งพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในชั้นสอบสวนเพื่อดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับเพศนั้น ได้แก่ บุคลากรที่เกี่ยวข้องยังขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ , ข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจเก็บวัตถุพยานจากตัวบุคคล , การป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุได้ไม่ต่อเนื่อง , งบประมาณที่ใช้สำหรับการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ , การขาดบุคลากรสนับสนุนงานสอบสวน และปัญหาด้านอื่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่ส่งผลต่อความถูกต้องสมบูรณ์การตรวจเก็บวัตถุพยานและกระบวนการทางคดี แนวทางสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับเพศ มีดังนี้ พัฒนาองค์ความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง , แก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 , การบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติมกำหนดโทษสำหรับผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้าไปในสถานที่เกิดเหตุ , จัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดซื้ออุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการปฏิบัติงาน , เพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รวมทั้งพนักงานสอบสวนหญิงและบุคลากรที่เกี่ยวข้องซึ่งมีทักษะให้เป็นผู้สนับสนุนงานสอบสวน และ ควรบัญญัติกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติเรื่องห่วงโซ่การครอบครองวัตถุพยาน และมีการตรวจสอบการได้มาซึ่งพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้นสอบสวนโดยพนักงานอัยการ</p> สุญาดา บุณยเกียรติ, วรธัช วิชชุวาณิชย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268812 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการป้องกันหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/273081 <p>ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเก็บและรวบรวมหลักฐานในเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รวมถึงเหตุที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ต้องคำนึงถึงการป้องกันพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ถือเป็นเจ้าหน้าที่ชุดแรกที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการช่วยเหลือ การปฏิบัติงานควบคู่กับการป้องกันความเสียหายหรือสูญหายของพยานหลักฐานเป็นสิ่งจำเป็นในกระบวนการยุติธรรม งานวิจัยนี้ทำการศึกษาระดับความรู้และความคิดเห็นของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในกรุงเทพมหานคร โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภูมิหลังกับระดับความรู้และความคิดเห็น เพื่อวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกับการป้องกันพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทำการวิจัยโดยใช้วิธีแบบผสมผสานผ่านการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ 136 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึกหัวหน้าชุดและเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ 15 คน ผลการศึกษาพบว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับความรู้และความคิดเห็น กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ในการป้องกันพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 79.41 แต่ยังขาดความเข้าใจในด้านการปฏิบัติจริง จากระดับความคิดเห็นที่ต้องการรับการฝึกอบรม (คะแนนเฉลี่ย 4.76) และการบรรจุเนื้อหาทางนิติวิทยาศาสตร์ในหลักสูตรฝึกอบรม (คะแนนเฉลี่ย 4.77) จากการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่า แนวทางการพัฒนาการป้องกันพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์สามารถทำได้โดยการมุ่งเน้นการฝึกอบรมภาคปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่ครอบคลุมบทบาทและหน้าที่ของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในสถานการณ์ที่หลากหลาย รวมถึงปรับปรุงข้อกฎหมายและเพิ่มเติมนโยบายการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม</p> ณิชา ชะเอม, ปริญญา สีลานันท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/273081 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การถ่ายทอดองค์ความรู้การพัฒนารูปแบบห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270443 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาและจัดทำคู่มือการพัฒนารูปแบบห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมในประเทศไทย 2) เพื่อถ่ายทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมในประเทศไทย ให้แก่หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมในการสอบสวนเด็กและเยาวชน 3) เพื่อประเมินผลของการนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ในการพัฒนารูปแบบห้องสอบสวนเด็กและเยาวชน ใช้วิธีการวิจัยเชิงการจัดการความรู้เป็นหลักในการดำเนินการศึกษาวิจัยโดยมีการผสมผสานเทคนิคในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล การจัดประชุมกลุ่ม การทดสอบความรู้ การสอบถาม และการสังเกตการณ์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนนายร้อยตำรวจหรือนักเรียนอบรม จำนวน 274 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจภูธรในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาห้องสอบสวนเด็กและเยาวชน จำนวน 36 คน พื้นที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ สถานีตำรวจภูธร เมืองนครปฐม, สามพราน, โพธิ์แก้ว, สามควายเผือก, นครชัยศรี, พุทธมณฑล, โพรงมะเดื่อ, กำแพงแสน, กระตีบ, ดอนตูม, บางเลน, บางหลวง และสำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม โดยผลลัพธ์ของการวิจัยครั้งนี้ พบว่า 1) คู่มือปฏิบัติงาน “รูปแบบห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนที่ได้มาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม” ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 และ 2) ภายหลังจากการฝึกอบรมและมีการผลักดันเชิงนโยบายโดย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม พบว่ามีสถานีตำรวจภูธรที่ผ่านมาตรฐาน ได้ค่าคะแนนห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนระดับดีจำนวน 9 แห่ง จากทั้งหมดจำนวน 12 แห่ง</p> จิรัตน์ สอนกระต่าย, วิชิต อาษากิจ, มีชัย สีเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270443 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางในการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การติดสินบนและการเปิดเผยข้อมูลของเทศบาลนคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272169 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเสี่ยงของการให้และรับสินบนในแต่ละขั้นตอนของการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร 2) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้การติดสินบนและการเปิดเผยข้อมูลในการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร และ 3) เพื่อศึกษานโยบาย หรือแนวทางในการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การติดสินบน โดยเฉพาะในเรื่องดัชนีการเปิดเผยข้อมูลของเทศบาลนคร ซึ่งการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และศึกษาจากเอกสารในประเด็นที่เกี่ยวกับการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร ผลการวิจัย พบว่า ประชาชนที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องการติดสินบนการขอใบอนุญาตก่อสร้าง ส่วนใหญ่พบปัญหาเรื่องการยื้อเวลาเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งสาเหตุของการติดสินบนดังกล่าวเกิดจากพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ 2522 เปิดช่องโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลพินิจในการพิจารณาออกใบอนุญาตมากจนเกินไป ตลอดจนประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย หรือระเบียบเกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร สำหรับข้อเสนอแนะในการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การติดสินบนและการเปิดเผยข้อมูลของเทศบาลนคร คือ ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐควรส่งเสริมนโยบายเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงาน รวมทั้งควรมีจุดบริการให้คำปรึกษาและมีช่องทางการเสริมสร้างการรับรู้กฎหมายเกี่ยวกับ<br />การขออนุญาตก่อสร้างที่ทันสมัย ตลอดจนควรมีการจัดทำแนวทางการจัดการการต่อต้านการติดสินบน ในกรณีการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารควรดำเนินการตามมาตรฐาน ISO 37001: 2016 เพื่อจัดวางระบบการดำเนินงานเรื่องการต่อต้านการติดสินบนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ </p> มุทิตา มากวิจิตร์, กันวิศา สุขพานิช Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272169 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การสอบสวนที่มิชอบด้วยกฎหมาย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270186 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและเสนอแนะแนวทางในการป้องกันปัญหา การสอบสวนโดยมิชอบ ผลการวิจัยพบว่า การสอบสวนที่บกพร่องในสาระสำคัญตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ทำให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าคดีนั้นไม่มีการสอบสวนมาก่อน ทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง มีอยู่ 4 กรณี ได้แก่ 1) ผู้สอบสวนมิได้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน 2)พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่ได้ดำเนินการในเขตอำนาจ 3)พนักงานสอบสวนไม่แจ้งข้อหาให้กับผู้ต้องหา และ 4) พนักงานสอบสวนมิได้มีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายในความผิดต่อส่วนตัว ผลกระทบต่อผู้เสียหาย ได้แก่ การการฟ้องร้องคดีใหม่ การเสียสิทธิขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์สินหรือชดใช้ค่าสินไหม เป็นต้น ส่วนผลกระทบต่อผู้ต้องหา ได้แก่ การถูกดำเนินคดีซ้ำจากการกระทำความผิดเพียงครั้งเดียว ส่วนผลกระทบต่อสังคม ได้แก่ ต้นทุนทางสังคมที่ต้องทำการสอบสวนคดีใหม่ ซึ่งไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับจากการยกฟ้องเพราะเหตุข้างต้น อีกทั้งการยกฟ้องด้วยเรื่องดังกล่าวมิใช่สาเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดบกพร่องของผู้เสียหาย ผู้ต้องหาหรือจำเลยแต่อย่างใด สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีอาญา โดยให้หัวหน้าสถานีตำรวจต้องทำการตรวจสอบเหตุแห่งการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยลดจำนวนคดีที่เกิดขึ้นจากการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ และจะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมและตำรวจมากยิ่งขึ้น</p> วัชรพล ศรีปักษา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270186 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษากระบวนการจัดการบริการสังคมของตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270744 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดการบริการสังคม ผลกระทบ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขการจัดการบริการสังคมของตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการจัดการบริการสังคม ผู้นำมีบทบาทในการบริหารจัดการมีความเป็นระบบแต่มีลักษณะแยกส่วนไม่เชื่อมโยงกัน และทรัพยากรทางการบริหารมีความขาดแคลนอย่างมาก ผลกระทบของการจัดบริการสังคมมีผลเชิงบวกในด้านเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ของตำรวจ ภาพลักษณ์ของจังหวัดและภาคตะวันออก ปัญหาสำคัญที่สุดในการจัดบริการสังคมของตำรวจ คือ ปัญหาความขาดแคลนด้านงบประมาณ คนและวัสดุอุปกรณ์ ส่วนอุปสรรคในการจัดบริการสังคม ได้แก่ ความก้าวหน้าและหลากหลายของเทคโนโลยี ความแตกต่างของพื้นที่ การขาดการประสานนโยบายร่วมกันของตำรวจกับหน่วยงานอื่น การโยกย้ายตำแหน่งของตำรวจ สำหรับแนวทางการแก้ไขแบ่งเป็น 4 ประการ คือ 1) การจัดสรรทรัพยากรในการบริหารจัดการโครงการให้เพียงพอ 2) การพิจารณาปัญหา นโยบายอย่างเชื่อมโยงและการจัดระบบการบริหารจัดการให้สั้น ชัดเจน และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เน้นความต้องการและการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ 3) ส่งเสริมการทำหน้าที่และจิตวิญญาณของตำรวจในการรับใช้ประชาชน 4) สร้างความร่วมมือและเครือข่ายกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง</p> สุเนตร สุวรรณละออง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270744 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาแนวทางในการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายออนไลน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272061 <p>การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหา แนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ 2) ให้ได้ข้อสรุปและนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของประเทศไทย โดยวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมสนทนากลุ่ม โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่มีประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป ผลการวิจัยพบสภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ คือ 1) ปัญหามาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นการเฉพาะ 2) ปัญหาบทลงโทษตามมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ กรณีผู้ขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภค เป็นโทษเบาไม่อาจข่มขู่ยับยั้งได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรมีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 หมวดที่ 2 การคุ้มครองผู้บริโภค โดยเพิ่มส่วนที่ 4 การคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ และเพิ่มบทกำหนดโทษ มาตรา 47 หากโฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดกระทำผิดซ้ำอีก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิ่มบทกำหนดโทษมาตรา 61/1 หากผู้ขายไม่ลงทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดกระทำผิดซ้ำอีก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ </p> วาชิณี ยศปัญญา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272061 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 วงจรการกระทำผิดซ้ำ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272179 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนพร้อมทั้งแสวงหาแนวทางในการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ จะทำการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ทั้งสิ้นจำนวน 155 คน กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำ ผู้บริหาร นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ และผู้ปกครอง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กที่กระทำผิดซ้ำจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แล้วทำการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 145 คน และสนทนากลุ่ม จำนวน 10 คน ผลการศึกษา พบว่า ลักษณะสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนมี 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านครอบครัว 2) ด้านสถานที่อยู่อาศัย 3) ด้านสภาพแวดล้อมในโรงเรียน/เพื่อน/บุคคลรอบข้าง 4) ด้านสื่อสังคมออนไลน์ 5) ด้านวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี 6) ด้านสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งสภาพแวดล้อมทั้ง 6 ด้านเหล่านี้ล้วนเอื้อส่งผลต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนได้ทั้งสิ้น ดังนั้นแนวทางสำคัญที่จะไม่ให้เด็กและเยาวชนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกก็คือการตัดหรือลดวงจรที่เป็นเหตุแห่งปัจจัยจากสภาพแวดล้อมเชิงลบที่อื้อต่อการกระทำความผิดให้ได้มากที่สุด</p> ธเนศ เกษศิลป์ , ฑิตฐิตา ธิติธรรมพฤกษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272179 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การสร้างภาพลักษณ์จำลองเพื่อทำนายลักษณะภายนอกของบุคคลด้วยดีเอ็นเอจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270635 <p>การสร้างภาพลักษณ์จำลองของบุคคลด้วยดีเอ็นเอเพื่อการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นเทคนิคที่ใช้ทำนายลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้จากภายนอกของบุคคล เช่น ลักษณะรูปร่าง อายุและเชื้อสายทางภูมิศาสตร์ จากหลักฐานดีเอ็นเอที่เก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรม ซึ่งช่วยสร้างข้อมูลเบื้องต้นในการติดตามหาผู้กระทำผิดในกรณีที่ไม่มีพยานรู้เห็นและไม่สามารถระบุตัวตนได้ด้วยเทคนิคลายพิมพ์ดีเอ็นเอแบบชอร์ทแทนเดมรีพีทส์ทั่วไป บทความนี้กล่าวถึงความก้าวหน้าของเทคนิคเอฟดีพีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการทำนายลักษณะทางกายภาพจากดีเอ็นเอ ทั้งสีตา สีผม และสีผิวรวมถึงในปัจจุบันยังสามารถคาดการณ์ลักษณะทางกายภาพอื่น เช่น สีคิ้ว ฝ้า กระ อาการผมร่วงในเพศชาย และความสูง นอกจากนั้นการทำนายเชื้อสายทางภูมิศาสตร์จากดีเอ็นเอได้พัฒนาจากการระบุเชื้อสายระดับทวีป ไปสู่การระบุเชื้อสายย่อยภายในทวีป และการจำแนกบุคคลที่มีเชื้อชาติผสมได้อีกด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดีเอ็นเอในปัจจุบันช่วยให้เกิดเทคนิคการวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่เหมาะสำหรับการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์และมีศักยภาพสูงในการวิเคราะห์เครื่องหมายดีเอ็นเอหลายร้อยตัวพร้อมกันแบบแมสซิฟพาราเรลซีเควนซิง หรือ เอ็มพีเอส ทำให้สามารถวิเคราะห์ได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้จำเป็นจะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การทำนายลักษณะทางกายภาพ เชื้อชาติและอายุจากดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุให้แม่นยำและละเอียดตามความต้องการของเจ้าหน้าผู้บังคับใช้กฏหมายมากยิ่งขึ้น</p> สุนทรต์ ชูลักษณ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/270635 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700