วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic <p>วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (Journal of Criminology and Forensic Science) ดำเนินการตีพิมพ์บทความอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 </p> <p>เปิดรับผลงานวิชาการประเภทบทความ ทั้งบทความวิชาการ (Academic) และบทความวิจัย (Research) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรม ผู้สนใจทั่วไป นักวิชาการ นักวิจัยอิสระ ตลอดจนครูอาจารย์ และนักศึกษาทุกระดับชั้น</p> <p>ขอบเขตเนื้อหามุ่งเน้นครอบคลุมทั้งอาชญาวิทยา นิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการยุติธรรม ส่วนประเด็นน่าสนใจ อาทิ การสืบสวนสอบสวน การป้องกันปราบปราม การตรวจพิสูจน์หลักฐาน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น</p> <p>มีวัตถุประสงค์เผยแพร่ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาให้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติซึ่งสามารถนำมาอ้างอิง ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม</p> th-TH <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถิอว่าเป็นข้อคิดเห็นและความรั้บผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบใดๆ<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนเท่านั้น</p> usanut@rpca.ac.th (Usanut Sangtongdee, Ph.D.) jcfs@rpca.ac.th (Chalempon Sunthonnonth) Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การออกแบบและทดลองใช้สื่อการสอนเพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ปลอดภัยในสถานศึกษาเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/274688 <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและทดลองใช้สื่อการสอนเพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ปลอดภัยในสถานศึกษาเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรมได้ในหลายแง่มุมอันเป็นผลมาจากอัตราการใช้เทคโนโลยีที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานเริ่มต้นจากการทบทวนวรรณกรรม การสัมภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุ่มกับผู้บริหาร ครู และบุคลากร 22 คน รวมถึงการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามกับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 341 คน พร้อมทั้งนำไปทดลองใช้กับนักเรียน 136 คน ผลการศึกษาพบว่าสื่อการสอนที่เหมาะสมควรเป็นรูปแบบอนิเมชั่นและมีเนื้อหาครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ การโกงข้อสอบ การพนันออนไลน์ และการปลูกจิตสำนึก หลังจากนำไปทดลองทำให้ทราบถึงความคิดเห็นเชิงบวกที่มีต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดจากแรงจูงใจ การรู้เท่าทัน ทัศนคติ และการรับรู้ของนักเรียน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ แนวทางการวิจัยในอนาคตควรมุ่งเน้นการออกแบบวิธีการสอนควบคู่ไปกับการพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการทุจริตในสถานศึกษาซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรมทางสังคมในวงกว้าง</p> กิตติพงษ์ เพียรพิทักษ์, อรรถพล กาญจนพงษ์พร Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/274688 Fri, 02 May 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปริมาณธาตุองค์ประกอบและสัณฐานของอนุภาคเขม่าดินปืนอาวุธปืนยาวที่เกิดจากการเหนี่ยวไกด้วยนิ้วเท้าโดยเทคนิคกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/271403 <p>สังคมกำลังเผชิญปัญหาทั้งโรคระบาดและเศรษฐกิจตกต่ำ ล้วนทำให้เกิดภาวะความเครียด ผู้คนไม่อาจหาทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่ ทำให้การเกิดอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น หลายกรณีใช้ปืนยาวก่ออัตวินิบาตกรรมโดยนิ้วเท้าเหนี่ยวไกปืน มักใช้ปืนลูกซองก่อเหตุเนื่องด้วยเป็นอาวุธที่ผู้คนทั่วไปถือครองได้ การวิจัยนี้มุ่งศึกษาปริมาณธาตุองค์ประกอบและสัณฐานของอนุภาคเขม่าดินปืนที่เกิดจากการเหนี่ยวไกด้วยนิ้วเท้า ด้วยเทคนิคกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยใช้ปืนยาว 2 แบบ ได้แก่ ปืนลูกซองไบคาล และ ปืนไรเฟิล เรมมิ่งตัน .308 และใช้กระสุนปืนจำนวน 4 ชนิด ในการทดลองประกอบด้วย กระสุนไรเฟิล (Rifle), กระสุนลูกซองลูกโดด (Slug), กระสุนลูกซองลูกปราย (80xBB) (Birdshot) และกระสุนลูกซองลูกเก้าเม็ด (Buckshot) พบว่าปริมาณธาตุองค์ประกอบที่สำคัญหลังจากยิงปืนจากกระสุนทั้ง 4 ชนิด เทียบจากกระสุนชนิดเดียวกันในแต่ละช่วงเวลาหลังจากยิงตั้งแต่ 0, 2, และ 6 ชั่วโมง ในธาตุชนิดเดียวกันมีปริมาณค่าเฉลี่ย % weight ไม่แตกต่างกัน และสัณฐานของอนุภาคเขม่าดินปืนจากกระสุนทั้ง 4 ชนิด พบว่ารูปทรงค่อนข้างกลม มีพื้นผิวคล้ายส้ม แสดงให้เห็นว่าระยะเวลาที่เก็บตัวอย่างทั้ง 3 ช่วงเวลาสามารถตรวจพบธาตุองค์ประกอบที่สำคัญ (ธาตุพลวง, ธาตุแบเรียม และ ธาตุตะกั่ว) ที่ใช้ในการยืนยันได้ว่ามาจากเขม่าดินปืนหลังจากการยิงปืน ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์หลักฐานในคดี เป็นการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับวัตถุพยาน และนำไปสู่การตัดสินความผิดหรือการยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาในงานด้านนิติวิทยาศาสตร์</p> วฉัตรชนก ธรรมกาย, ธิติ มหาเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/271403 Wed, 07 May 2025 00:00:00 +0700 ความรู้ความเข้าใจ และทัศนคติของนักศึกษา คณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิต: กรณีการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272931 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจ ระดับทัศนคติ และระดับความรู้ต่อกฎหมายกระท่อมฉบับใหม่ (พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.2565) กรณีการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชี<br />ยาเสพติดประเภทที่ห้า 2) ศึกษาเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจ ระดับทัศนคติ และระดับความรู้ต่อกฎหมายกระท่อม โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยมีวิธีการศึกษาวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1-4 คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต จำนวน 500 คน การศึกษาใช้วิธีสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม พบว่า ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพืชกระท่อม ทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 และความรู้ต่อกฎหมายกระท่อมฉบับใหม่ ในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง อายุ ระดับชั้นปีที่ศึกษา ภูมิลำเนา และการเคยได้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับยาเสพติดส่งผลต่อด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพืชกระท่อมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การเคยได้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับยาเสพติดส่งผลต่อทัศนคติของนักศึกษาต่อการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สถานภาพการสมรส และการเคยได้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับยาเสพติดส่งผลต่อความรู้ทั่วไปของนักศึกษาที่มีต่อกฎหมายกระท่อมฉบับใหม่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> พีรกานต์ บุษยพรรณพงศ์, มูฮำหมัด นิยมเดชา, กิตติศักดิ์ เหมือนดาว Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/272931 Fri, 16 May 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบการชันสูตรพลิกศพระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศ: แนวทางพัฒนากระบวนการยุติธรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/276287 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการชันสูตรพลิกศพระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของระบบในแต่ละประเทศเพื่อหาแนวทางพัฒนากระบวนการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย โดยใช้วิธีวิจัยเชิงเอกสาร และการศึกษาเปรียบเทียบระบบการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาพบว่าประเทศไทยใช้ระบบที่พึ่งพาบทบาทของตำรวจเป็นหลัก ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการใช้แพทย์เฉพาะทาง ส่วนสหรัฐอเมริกาเน้นการบริหารจัดการในระบบศาลและระบบผสม นอกจากนี้ยังพบปัญหาด้านกำลังคนและทรัพยากรในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการปฏิบัติงาน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดตั้งองค์กรเฉพาะทาง การพัฒนาทักษะบุคลากร และการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อยกระดับกระบวนการยุติธรรมในไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> จิรัตน์ สอนกระต่าย, วรธัช วิชชุวาณิชย์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/276287 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700 การตรวจพิสูจน์น้ำมันเบนซินบนผ้าต่างชนิดกันโดยใช้เทคนิคฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรสโคปี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/274902 <p>การวางเพลิงเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้เพลิงไหม้ยังทำให้การหาพยานหลักฐานเพื่อเชื่อมโยงไปยังตัวผู้กระทำผิดมีความสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจหาน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างพยานหลักฐานและผู้ต้องสงสัยในการวางเพลิง วัตถุประสงค์ของการทำการวิจัยในครั้งนี้มีเพื่อการตรวจพิสูจน์น้ำมันเบนซินบนผ้าต่างชนิดกัน โดยใช้เทคนิคฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรสโคปี (FTIR) ในการทดลองหยดน้ำมันเบนซินปริมาตร 50 µl ลงบนผ้าตัวอย่าง 6 ชนิดได้แก่ ผ้าฝ้ายดิบ ผ้าลินิน ผ้าไนลอน ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผ้าเรยอน ผ้าไหมอิตาลี เก็บตัวอย่างของน้ำมันเบนซินบนผ้าต่างชนิดกัน ในช่วงเวลาดังนี้ เก็บตัวอย่างทันที 1 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมงนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรสโคปี (FTIR) จากการทดลองได้ โครมาโทแกรมที่สามารถระบุได้ว่าเป็นน้ำมันเบนซินได้แก่ เบนซีน, โทลูอีน, ออโทไซลีน, พาราไซลีน และ เอทิลโทลูอีน ผลการวิจัยพบว่าการคงอยู่ของน้ำมันเบนซินบนผ้าทุกตัวอย่างหลังการสัมผัสน้ำมันเบนซินนานถึงระยะเวลา 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังพบว่าปริมาณน้ำมันเบนซินที่ตรวจพบในทุกตัวอย่างมีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ผลจากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าวิธีการที่พัฒนาขึ้นในการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหาน้ำมันเบนซินในสถานที่เกิดเหตุและเป็นประโยชน์ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนได้อย่างมีศักยภาพ</p> กนกพร บัวดอก, ธิติ มหาเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/274902 Fri, 23 May 2025 00:00:00 +0700