https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/issue/feed วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ 2024-06-29T00:00:00+07:00 Usanut Sangtongdee, Ph.D. usanut@rpca.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (Journal of Criminology and Forensic Science) ดำเนินการตีพิมพ์บทความอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 </p> <p>เปิดรับผลงานวิชาการประเภทบทความ ทั้งบทความวิชาการ (Academic) และบทความวิจัย (Research) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรม ผู้สนใจทั่วไป นักวิชาการ นักวิจัยอิสระ ตลอดจนครูอาจารย์ และนักศึกษาทุกระดับชั้น</p> <p>ขอบเขตเนื้อหามุ่งเน้นครอบคลุมทั้งอาชญาวิทยา นิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการยุติธรรม ส่วนประเด็นน่าสนใจ อาทิ การสืบสวนสอบสวน การป้องกันปราบปราม การตรวจพิสูจน์หลักฐาน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น</p> <p>มีวัตถุประสงค์เผยแพร่ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาให้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติซึ่งสามารถนำมาอ้างอิง ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268747 พยาธิสภาพของการตายอย่างฉับพลันจากหัวใจในสถาบันทางนิติเวชศาสตร์ในเขตเมืองของประเทศไทย 2024-03-12T11:14:19+07:00 ศักดา สถิรเรืองชัย sakda.sat@mahidol.edu ชัญญานุช วงศ์ทองมานะ noot_chigo@hotmail.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การตายอย่างฉับพลันจากหัวใจเป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั่วโลก แต่ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะนี้ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีน้อย ผู้วิจัยได้ทำการทบทวนรายงานการผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์ที่โรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดในเขตกรุงเทพฯตะวันตก โดยผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากรายงานการชันสูตรผู้ตายที่อายุมากกว่า 18 ปีระหว่างปี 2018 ถึง 2020 ได้แก่ อายุ, เพศ. ดัชนีมวลกาย, สภาพแวดล้อมการตาย, น้ำหนักหัวใจ, พยาธิสภาพของหัวใจ, และสาเหตุการตาย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้วิจัยพบการตายอย่างฉับพลันจากหัวใจจำนวน 794 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศขาย (85.4%) และมีอายุเฉลี่ย 53.3 ± 12.5 ปี สาเหตุการตายที่พบมากที่สุด ได้แก่ โรคหลอดเลือดแดงหัวใจ (n=554, 69.8%), ตามด้วย การตายที่หัวใจปกติ (n=114, 14.4%), หัวใจโต (n=81, 10.2%), กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (n=12, 1.5%), กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (n=11, 1.4%), โรคหัวใจจากความดันโลหิตสูง (n=10, 1.3%), โรคของลิ้นหัวใจ (n=8, 1%), และโรคหัวใจแต่กำเนิด (n=4, 0.5%). ผู้ตายในกลุ่มที่ 1 (โรคหลอดเลือดแดงหัวใจ) มีอายุเฉลี่ยนสูงสุดคือ 53.3 ± 12.5 ปี ตามด้วยกลุ่มที่ 2 (การตายจากโรคหัวใจอื่น) คือ 41.3 ± 13.0 ปี และกลุ่ม 3 (ผู้ตายที่มีหัวใจปกติ) คือ 38.7 ± 11.0 ปี ผู้ตายในกลุ่ม 1 และ 2 มีดัชนีมวลกายมากกว่า 25 คือ 25.4 ± 5.1 และ 26.8 ± 7.5 ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่ม 3 มีดัชนีมวลกายเฉลี่ย 23.0 ± 3.4 น้ำหนักหัวใจเฉลี่ยในผู้ตายทั้ง 3 กลุ่มมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่ม 1 มีน้ำหนักหัวใจเฉลี่ย 433.5 ± 106.1 กรัม กลุ่ม 2 มีน้ำหนักหัวใจเฉลี่ย 458.6 ± 121.6 กรัม และกลุ่ม 3 น้ำหนักหัวใจเฉลี่ย 311.7 ± 65.3 กรัม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; งานวิจัยนี้แสดงสาเหตุของการตายอย่างฉับพลันจากหัวใจในเขตเมืองของประเทศไทย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในทุกช่วงอายุ การตายที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้หลัการผ่าศพหรือการตายที่มีหัวใจปกติพบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยอายุระหว่าง 18-35 ปีที่มีสัดส่วนถึงหนึ่งในสาม</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/264863 การประยุกต์ใช้นิติกีฏวิทยาประมาณค่าช่วงเวลาหลังเสียชีวิต 2024-04-24T15:41:25+07:00 ประไพพิศ บัวดิลก 0818070681.pui@gmail.com <p>ปัจจุบันการสืบสวนคดีการเสียชีวิต แมลงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการคลี่คลายคดีในที่เกิดเหตุ ความสำคัญของงานวิจัยนี้ คือ การใช้ประโยชน์จากการศึกษาวงจรชีวิต พฤติกรรม และถิ่นที่อยู่อาศัยของแมลง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ในการประมาณระยะเวลาหลังการเสียชีวิต ที่เรียกว่า Post Mortem Interval (PMI) จุดประสงค์ของงานวิจัยนี้ คือ การทำอย่างไรให้ใช้นิติกีฏวิทยาเพื่อประโยชน์ในการประมาณระยะเวลาภายหลังการเสียชีวิตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด (PMI) ปัจจุบันนิติกีฏวิทยาเป็นหนึ่งในสาขาทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนาและเติบโตเร็วอย่างรวดเร็ว สามารถระบุสาเหตุของการเสียชีวิตและการทำนายช่วงเวลานับตั้งแต่เสียชีวิต การทำงานด้านนิติกีฏวิทยาทำภายใต้พระราชบัญญัติการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๙ การทดลองนี้เป็นการตรวจสอบหนอนและดักแด้ที่พบบนร่างศพในที่เกิดเหตุ จังหวัดปาตานี, ประเทศไทย วิธีการก็คือ เก็บตัวอย่างหนอนจากซากศพและนำมาผ่านกระบวนการ section บริเวณส่วนปลายของตัวหนอนที่ เรียกว่า spiracle จากนั้นจึงนำชิ้นส่วนที่ section เรียบร้อยแล้วมาส่องดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ (microscope) การศึกษาพบหนอนแมลงวันหัวเขียว วัยที่ 2 และ 3 ส่วนดักแด้แมลงวันทำการสแกนด้วย micro-CT</p> <p><u>ผลลัพธ์</u>: พบดักแด้และตัวหนอนแมลงวันหัวเขียววัยที่ 2 และ 3 ประเมินได้ว่าศพนี้ตายไปแล้วอย่างน้อย 30 วัน ตามกระบวนการศึกษา Post Mortem Interval (PMI)</p> <p><u>ผลลัพธ์หลัก</u> : การพบดักแด้และตัวหนอนแมลงวันหัวเขียววัยที่ 2 และ 3 ต้องศึกษาควบคู่ไปกับการย่อยสลาย (decomposition) ของซากศพด้วยจึงจะทำให้ได้การประมาณการระยะเวลาภายหลังการเสียชีวิตที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด minimum Post Mortem Interval (<sub>min</sub>PMI) สิ่งนี้มีความสำคัญสำหรับนักกีฏวิทยาและเป็นประโยชน์ในการค้นหาอัตราการตายที่สั้นและใกล้เคียงกับช่วงชันสูตรศพมากที่สุด</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/263351 คุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงบนกระดาษต่างชนิดด้วยวิธีสารเคมีนินไฮดริน และ 1,2-อินเดนไดโอน 2024-01-17T19:15:50+07:00 ทิฆัมพร ภูที S62122229005@ssru.ac.th สาธิกา นวลพลกรัง S62122229026@ssru.ac.th เบญจศิลป์ เปลี่ยนสันเที๊ยะ benjasine.la@ssru.ac.th ธนพงษ์ ผุยบัวค้อ Thanapong.chemcamp13@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรากฏขึ้นของรอยลายนิ้วมือแฝงบนกระดาษต่างชนิดกันในระยะเวลาประทับที่ต่างกันด้วยวิธีนินไฮดริน วิธี 1,2-อินเดนไดโอน และวิธี 1,2-อินเดนไดโอนตามด้วยวิธีนินไฮดริน โดยทำการทดลองด้วยการประทับลายนิ้วมือแฝงลงบนกระดาษทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ กระดาษถ่ายเอกสารสีขาว 80 แกรม กระดาษสา กระดาษไขอเนกประสงค์ และกระดาษฝ้าย และศึกษาการเปรียบเทียบวิธีการตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนกระดาษ จากนั้นใช้การนับจำนวนจุดลักษณะสำคัญพิเศษด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือแฝงแล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยใช้ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงบนกระดาษต่างชนิดที่ช่วงระยะเวลาประทับที่ต่างกันนอกจากนี้ยังใช้สถิติในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทาง (Two-way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่ารอยลายนิ้วมือแฝงที่ตรวจโดยวิธีนินไฮดรินจะให้คุณภาพของรอยลายนิ้วมือแฝงดีที่สุดบนกระดาษไขอเนกประสงค์ กระดาษสาให้คุณภาพระดับต่ำในช่วงระยะเวลา 3, 5, 7, และ 14 วัน และ คุณภาพของลายนิ้วมือมีแนวโน้มลดลงตามลำดับตามระยะเวลาที่มากขึ้น ในช่วงระยะเวลาการประทับทันที มีค่าเฉลี่ยจำนวนจุดลักษณะสำคัญพิเศษของรอยลายนิ้วมือแฝงสูงสุด และที่ช่วงระยะเวลาประทับ 14 วัน มีค่าเฉลี่ยจำนวนจุดลักษณะสำคัญพิเศษต่ำสุด ดังนั้นคุณภาพของลายนิ้วมือแฝงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/267521 การวิเคราะห์ปริมาณไนเตรทและไนไตรท์ในเขม่าดินปืนบนผ้าต่างชนิดโดยเทคนิคการดูดกลืนเเสงของยูวี-วิซิเบิล สเปกโตรสโคปปี 2024-04-17T11:09:50+07:00 ณิช วงศ์ส่องจ้า nich.wo@ssru.ac.th วลัยพร ผ่อนผัน walaiporn.ph@ssru.ac.th จาริณี ดิ่งกลาง s62122229022@ssru.ac.th ปวีณ์นุช ทองชัย s62122229013@ssru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณสารประกอบไนเตรทและไนไตรท์ในเขม่าดินปืนบนผ้าต่างชนิดและเปรียบเทียบปริมาณของสารประกอบไนเตรทและไนไตรท์ในเขม่าดินปืน โดยใช้เทคนิคการดูดกลืนแสงของยูวี-วิซิเบิล สเปกโตรสโคปปี (UV-Visible Spectroscopy) ซึ่งผู้วิจัยทำการศึกษาปริมาณไนเตรท และไนไตรท์ในเขม่าดินปืนที่ตกค้าง บนร่องรอยกระสุนปืนจากการยิงด้วยปืนพกรีวอลเวอร์ ยี่ห้อสมิทธ์ แอนด์ เวสซัน (Smith &amp; Wesson) กระสุนปืนขนาด .38 สเปเชียล (Special) ชนิดตะกั่วหุ้มทองแดงตลอดจนถึงปลายกระสุน (Full Metal Jacket) ยี่ห้อเอ็นอาร์ซี (NRC) ที่ระยะยิง 80 เซนติเมตร บนผ้า 3 ชนิด ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าร่ม และผ้าซาติน จากนั้นเก็บตัวอย่างในระยะเวลาที่ต่างกัน ได้แก่ 1 วัน, 1 สัปดาห์, 2 สัปดาห์ และ 1 เดือน ในสภาวะปิดและปกติ และนำมาวิเคราะห์เชิงปริมาณหาปริมาณสารประกอบในเขม่าดินปืน จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ ไนเตรทและไนไตรท์ โดยใช้เทคนิคการดูดกลืนแสงของ ยูวี-วิซิเบิล สเปกโตรสโคปปี และผลการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณไนเตรทและไนไตรท์ พบว่า ในสภาวะที่ต่างกันบนผ้าจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผ้าต่างชนิดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระยะเวลาที่ต่างกันจะมีปริมาณไนเตรทและไนไตรท์บนผ้าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268119 การจัดการบทบาทล่ามแปลภาษารัสเซียกับกระบวนการยุติธรรมไทย 2024-04-21T11:13:12+07:00 นวภัทร ณรงค์ศักดิ์ Navapat.s@rsu.ac.th จิราพร ร่วมพงษ์พัฒนะ jirapornt@g.swu.ac.th <p>งานวิจัยนี้ 1) มุ่งศึกษาถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติรัสเซียในประเทศไทย 2) วิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของล่ามในกระบวนการยุติธรรมไทย 3) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ล่ามไทยพบในกระบวนการยุติธรรมทั้งในระดับการสอบสวนและศาล รวมถึงการวิเคราะห์และเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการทำงานของล่ามแปลในคดีอาชญากรรมข้ามชาติรัสเซีย และนโยบายที่เสนอเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผลการศึกษา พบว่า นอกจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติรัสเซียที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมในประเทศไทย ยังพบว่าปัญหาเกี่ยวกับล่ามแปลภาษารัสเซียมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ซึ่งทำให้มีปัญหาในการเข้าใจกระบวนการยุติธรรม ปัญหาที่พบรวมทั้งความขาดแคลนของล่ามที่ชำนาญ ค่าตอบแทนที่ไม่เพียงพอปัญหาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดหาล่าม และความไม่สะดวกในการใช้ล่ามอาสา ดังนั้น จำเป็นที่หน่วยงานของรัฐจะต้องมีบทบาทในการส่งเสริมและจัดหาล่ามเพื่อให้มีระบบที่มีมาตรฐานสำหรับการเข้าถึงและการแปลที่มีประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาที่กล่าวถึงอาจต้องการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบ การสนับสนุนการฝึกอบรมให้กับล่าม และการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการจัดหาล่ามในกระบวนการยุติธรรมข้ามชาติ</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/268931 การสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัยด้านความรุนแรงทางเพศ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2561 – 2565) 2024-03-12T11:56:17+07:00 นันท์รพัช ไชยอัครพงศ์ nanrapat.c@ku.th วิชชุตา อิสรานุวรรธน์ whitchuta.i@gmail.com มณีรัตน์ ชื่นเจริญ c.maneerat7@gmail.com <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ สังเคราะห์ งานวิจัยเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศของไทยในช่วง 5 ปี (พ.ศ. 2561 – 2565) และเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายในการป้องกัน แก้ไข คุ้มครอง พิทักษ์สิทธิ และจัดสวัสดิการสังคมด้านความรุนแรงทางเพศ โดยเป็นการวิจัยเอกสาร จากรายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่เผยแพร่ไว้บนฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็มของวิทยานิพนธ์และรายงานการวิจัยไทย (Thai Digital Collection) ฐานข้อมูลงานวิจัยของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2565 มีงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ด้านความรุนแรงทางเพศที่นำมาสังเคราะห์องค์ความรู้ได้ตามเกณฑ์การพิจารณา จำนวน 31 ฉบับ โดยข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ 1. ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงทางเพศจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือและขับเคลื่อนประเด็นปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างเต็มศักยภาพ 2. ควรดำเนินการส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมและการให้ความช่วยเหลือที่เป็นมิตรกับผู้เสียหาย 3. ควรดำเนินการปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพความจริง เพื่อการคุ้มครองผู้เสียหายจากความรุนแรงทางเพศ ป้องกันการกระทำผิดซ้ำ และแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ 4. จำเป็นต้องมีกลไกในการส่งเสริมให้สังคมมีทัศนคติเชิงบวกต่อความรุนแรงทางเพศและผู้เสียหายจากความรุนแรงทางเพศแก่สมาชิกของสังคมในทุกระดับ</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269830 การป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุโดยอาสาสมัครกู้ภัย 2024-05-24T14:31:07+07:00 ธนาวดี คุ้มพะเนียด tanawadee.kh@gmail.com วรธัช วิชชุวาณิชย์ woratouch_w@yahoo.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาการเก็บรักษาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุของอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์ จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 353 คน ผลการศึกษาพบว่าผู้ให้ข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31-40 ปี คุณวุฒิทางการศึกษาอยู่ระดับชั้นปวช. ปวส. และปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน โดยมีประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครกู้ภัยระหว่าง 6-10 ปี และไม่เคยเข้ารับการอบรมทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนคะแนนการทำแบบทดสอบเฉลี่ยเท่ากับ 16.33 และค่า S.D. เท่ากับ 1.8 จากนั้นผู้วิจัยนำคะแนนการทำแบบทดสอบมาจัดระดับของความรู้ แสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครกู้ภัยส่วนใหญ่ได้คะแนนความรู้ระดับมาก และเมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลกับความรู้ความเข้าใจพบว่าเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครกู้ภัยและการเข้ารับการฝึกอบรมนั้นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p-value &lt;0.05) ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานพบว่าเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยนั้นยังขาดองค์ความรู้ในเรื่องของการรักษาวัตถุพยานและการป้องกันสถานที่เกิดเหตุ จึงทำให้บางครั้งเกิดการทำลายวัตถุพยานด้วยความไม่ตั้งใจหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้คือการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐจัดการอบรมเผยแพร่ความรู้อย่างเป็นระยะ</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/269894 การประเมินเพศและส่วนสูงโดยการวัดขนาดของรูขนาดใหญ่บนกระดูกท้ายทอยโดยใช้ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 2024-05-17T14:09:41+07:00 ชนากานต์ ประดับแก้ว pr.chanakan@gmail.com ธิติ มหาเจริญ thiti.m@rpca.ac.th <p>การประเมินเพศและความสูงนับเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทางมานุษยวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าฐานกะโหลกศรีษะยังคงไม่ถูกทำลายเมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น เนื่องจากมีรูขนาดใหญ่ที่เป็นทางผ่านของเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มีความสำคัญดังนั้นจึงมีเนื้อเยื่อปกคลุมเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นส่วนที่น่าสนในการศึกษาทางมานุษยวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินเพศและความสูงจากขนาดของรูขนาดใหญ่บนกระดูกท้ายทอย โดยการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตามยาวและตามขวางของรูขนาดใหญ่บนกระดูกท้ายทอยจากกลุ่มตัวอย่างภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 200 ตัวอย่าง (เพศชาย 100 ตัวอย่าง เพศหญิง 100 ตัวอย่าง) จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ผลการทดลองพบว่าค่าเฉลี่ยของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตามยาวและตามขวางในเพศชายมีขนาดมากกว่าเพศหญิงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 และมีความสัมพันธ์กับการประเมินเพศและความสูงของบุคคล จากการศึกษานี้พบว่าการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูขนาดใหญ่บนกระดูกท้ายทอยสามารถนำมาประเมินเพศและความสูงของบุคคลและนำมาประยุกต์ใช้ในงานมานุษยวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ได้</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/267338 นวัตกรรมความปลอดภัยสถานีชาร์จประจุรถยนต์ไฟฟ้า 2024-01-17T18:31:48+07:00 อมร คะณะศรี amon_kana@hotmail.com ณัฐวัช หอมรื่น nuttawat.nick47@gmail.com <p>สถานีชาร์จ EV เป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV value chain) โดยธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด จะส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถานีชาร์จ EV มีทิศทางขยายตัวตามไปด้วย การขับเคลื่อนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มุ่งมั่นขับเคลื่อนวิสัยทัศน์พลังงาน พร้อมส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม &nbsp;เพื่อความปลอดภัยการติดตั้งสายเมนวงจรสำหรับการติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ ต้องติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินไฟฟ้า และหลักดินวงจรชาร์จ EV รวมถึงการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟแบบติดผนัง (Wall Mounted Charger) และเต้ารับสำหรับสายชาร์จแบบพกพา (EV Socket-Outlet) ระบบวงจรไฟฟ้าภายในที่อยู่อาศัยต้องออกแบบเพื่อรองรับกับเครื่องชาร์จไฟยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานและความปลอดภัย ปัจจุบัน MEA ดำเนินการวิจัยและพัฒนาใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าภายในองค์กรอย่างจริงจัง พัฒนานวัตกรรมต่อยอดการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และยังคำนึงถึงความปลอดภัยสถานีชาร์จประจุรถยนต์ไฟฟ้า EV Charger Station เป็นประการสำคัญที่ส่งผลให้เป็นในทางบวก</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/forensic/article/view/267634 กลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 16 การเข้าถึงความยุติธรรม การส่งเสริมสังคมที่สงบสุขของประเทศไทย 2024-04-26T00:06:45+07:00 พิเชษฐ พิณทอง pichate.p@tsu.ac.th ธีร์จุฑาชาติ ยงสวัสดิ์ thee.yae@hotmail.com ขวัญสุมา แฉ่งฉายา kwansuma.chang@gmail.com <p>องค์การสหประชาชาติได้มีการประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (The Sustainable Development Goals – SDGs) ทั้งหมด 17 เป้าหมาย เพื่อต้องการให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม ได้มีการกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตั้งแต่ปี 2015 – 2030 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ตามตัวชี้วัดต่างๆ ในเป้าหมายที่ 16 การจะบรรลุเป้าหมายจึงต้องมีวิธีการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 16 ประกอบไปด้วย กลยุทธ์การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การส่งเสริมสังคมให้สงบสุขและครอบคลุมทุกกลุ่ม การจัดการเชิงสถาบันในการบริหารรายจ่ายภาครัฐ สำหรับข้อเสนอแนะภาครัฐต้องจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายย่อยที่จะดำเนินการก่อนหลัง กำหนดวิสัยทัศน์ร่วมและจัดตั้งคณะทำงานร่วมในการศึกษาข้อกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคให้รองรับกับการขับเคลื่อนได้ตามบรรลุเป้าหมาย</p> 2024-06-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์