https://so02.tci-thaijo.org/index.php/fam/issue/feed วารสารบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2025-06-25T00:00:00+07:00 Assistant Professor Dr. Saravanee Phuengpunum fam.journal@kmitl.ac.th Open Journal Systems <p> </p> <p>เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความก้าวหน้าทางวิชาการ และการวิจัยด้านบริหารธุรกิจ การจัดการ เศรษฐศาสตร์ และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีกำหนดการออกเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม) Online e-ISSN 2985-167X </p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/fam/article/view/275418 ทิศทางการใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างระหว่าง CB-SEM กับ PLS-SEM: ศาสตร์การตลาดในประเทศไทย 2024-12-13T08:59:01+07:00 กุลยา อุปพงษ์ kullaya.upp@uru.ac.th ธนเทพ สุดแสง thanatepuru@gmail.com ธิดารัตน์ เหมือนเดชา thidarat.mua@live.uru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์วิเคราะห์ข้อมูลให้เห็นถึงทิศทางและแนวโน้มของการใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างระหว่าง CB-SEM กับ PLS-SEM ของศาสตร์การตลาดในประเทศไทย ตลอดจนเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้ SEM แก่นักวิจัย และนักวิชาการ เป็นการวิจัยเอกสาร โดยการสืบค้นวารสารทางด้านการตลาดและวารสารที่เกี่ยวข้อง คัดเลือกวารสารที่มีการเผยแพร่ ระหว่าง พ.ศ. 2564-2566 และยังมีการ Active อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งหมด 1,118 วารสาร หลังจากนั้นคัดเลือกวารสารที่ถูกประเมินประเมินคุณภาพวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI1 และ TCI2 และมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา ได้แก่ การตลาด ธุรกิจ และการจัดการ มีวารสารทั้งสิ้น จำนวน 34 วารสาร ต่อมาคัดเลือกบทความจากวารสารเหล่านั้น โดยมีเกณฑ์คัดเลือกคือkdจะต้องเป็นบทความวิจัยฉบับเต็มเกี่ยวกับศาสตร์การตลาด และใช้สถิติ SEM ด้วยซอฟท์แวร์ CB-SEM หรือ PLS-SEM พบว่า มีบทความวิจัยทั้งสิ้น 162 บทความ คิดเป็น ร้อยละ 49.56 ของบทความวิจัยที่เผยแพร่ทั้งหมด เมื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ พบว่า ทิศทางการใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างระหว่าง CB-SEM กับ PLS-SEM ในศาสตร์การตลาด อนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น และอย่างต่อเนื่อง ทั้ง CB-SEM หรือ PLS-SEM อีกประเด็นที่นักวิจัยจะต้องตระหนักคือการเลือกใช้ระหว่าง CB-SEM กับ PLS-SEM อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งทั้ง 2 ซอฟท์แวร์ มีความแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น จุดเด่น เงื่อนไขข้อจำกัด การวิเคราะห์ข้อมูลและเกณฑ์การประเมิน ดังนั้นนักวิจัยจึงควรมีความรู้ความเข้าใจก่อนตัดสินใจเลือกใช้เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพ</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/fam/article/view/276537 ทิศทางความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ จากมุมมองผู้ใช้งานในภาคกลางของประเทศไทย 2025-03-19T10:47:23+07:00 ณัฐพิมล เนาวคุณ 66106017@kmitl.ac.th วอนชนก ไชยสุนทร wornchanok.ch@kmitl.ac.th สิงหะ ฉวีสุข singha.ch@kmitl.ac.th <p>งานวิจัยเรื่อง ทิศทางความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะจากมุมมองของผู้ใช้งานในภาคกลางของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชันตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างคือผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในภาคกลางของประเทศไทยจำนวน 400 คน ที่มีประสบการณ์ใช้งานแอปพลิเคชันสถานีชาร์จไม่น้อยกว่า 3 เดือน โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.92 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสถิติเชิงอนุมาน (t-test, One-way ANOVA และการถดถอยพหุคูณ) ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เช่น อายุ เพศ และระดับการศึกษา มีผลต่อความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะในด้านคุณภาพการบริการและประสิทธิภาพของระบบ ผู้ใช้งานเพศชายให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและการทำงานที่เสถียร ในขณะที่เพศหญิงให้ความสำคัญกับความง่ายในการใช้งานและข้อมูลที่ถูกต้อง กลุ่มอายุ 18–37 ปีให้ความสำคัญกับฟีเจอร์ที่ทันสมัย เช่น การแจ้งสถานะสถานีแบบเรียลไทม์ ขณะที่กลุ่มอายุ 38 ปีขึ้นไปเน้นการใช้งานที่เรียบง่ายและฟังก์ชันพื้นฐาน ผลการศึกษายังระบุว่าปัจจัยการรับรู้ถึงประโยชน์ การใช้งานที่ง่าย และความคาดหวังในประสิทธิภาพมีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวโน้มความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ข้อค้นพบเหล่านี้สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับนักพัฒนาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุงระบบแอปพลิเคชันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/fam/article/view/277573 อิทธิพลของคุณภาพการบริการด้านโลจิสติกส์ต่อความพึงพอใจ ความไว้วางใจ ความมุ่งมั่น และความภักดีของลูกค้าในบริบทการดำเนินธุรกิจระหว่างองค์กร (B2B) 2025-05-21T22:21:47+07:00 พรหมภัสสร ชุณหบุญญทิพย์ prompassorn@npu.ac.th รสสุคนธ์ สุวรรณกูฏ rossukon.koy@npu.ac.th ภัทริกา ชิณช่าง pattarika.ch@npu.ac.th <p>งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของ คุณภาพการบริการด้านโลจิสติกส์ (LSQ) ซึ่งแบ่งเป็น คุณภาพการบริการเชิงสัมพันธ์ (RLSQ) และ เชิงปฏิบัติการ (OLSQ) ต่อ ความพึงพอใจ, ความไว้วางใจ, ความมุ่งมั่นในการให้บริการ และความภักดีของลูกค้า ในบริบทธุรกิจ&nbsp; โลจิสติกส์แบบ B2B โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากลูกค้าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ 250 คน และวิเคราะห์ด้วย โมเดลสมการเชิงโครงสร้าง (PLS-SEM) ผลการวิจัยพบว่า RLSQ และ OLSQ ส่งผลเชิงบวกต่อความพึงพอใจของลูกค้า โดยเฉพาะ OLSQ ที่มีอิทธิพลต่อ ความไว้วางใจและความมุ่งมั่นในการให้บริการ นอกจากนี้ ความพึงพอใจของลูกค้า ยังส่งผลต่อ ความไว้วางใจและความภักดี ทั้งเชิงทัศนคติและพฤติกรรม ขณะเดียวกัน ความไว้วางใจและความมุ่งมั่นในการให้บริการ ส่งเสริมความภักดีของลูกค้า โดยลูกค้าที่รับรู้ถึงคุณภาพและความมุ่งมั่นของผู้ให้บริการมีแนวโน้ม ใช้บริการซ้ำและลดโอกาสเปลี่ยนไปใช้คู่แข่ง ข้อเสนอแนะจากการศึกษา ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการบริการทั้งด้านความสัมพันธ์และการดำเนินงาน การสร้าง ความไว้วางใจและความมุ่งมั่น ผ่านความโปร่งใสและความสม่ำเสมอของบริการ และ การส่งเสริมความภักดีเชิงทัศนคติผ่านโปรแกรมสร้างความผูกพัน นอกจากนี้ งานวิจัยในอนาคตควรขยายขอบเขตไปยัง ธุรกิจ B2C และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ รวมถึงศึกษาผลกระทบของ เทคโนโลยีโลจิสติกส์ เช่น AI, Blockchain และ IoT ที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง