Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal th-TH ajberm@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ก่อเกียรติ ขวัญสกุล) journal.etc.edu.msu@gmail.com (กองบรรณาธิการวารสาร) Tue, 23 Sep 2025 13:08:12 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 TPACK: กรอบแนวคิดสำหรับครูยุคใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280050 <p>บทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับ แนวทางจัดการเรียนรู้ด้วย TPACK (Technological Pedagogical Content Knowledge) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความสามารถในการบูรณาการความรู้ด้านเนื้อหา (Content Knowledge: CK) การสอน (Pedagogical Knowledge: PK) และเทคโนโลยี (Technological Knowledge: TK) ของครูยุคใหม่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรม และการบูรณาการองค์ความรู้ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน ตามกรอบแนวคิด TPACK ซึ่งเน้นการผสมผสานองค์ความรู้ทั้งสามด้าน เพื่อให้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทผู้เรียน โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ และหลักการบูรณาการนำมาประยุกต์ คือ ความรู้ด้านเนื้อหาและการสอน PCK (Pedagogical Content Knowledge) ความรู้ด้านเทคโนโลยีและเนื้อหา TCK (Technological Content Knowledge) ความรู้ด้านเทคโนโลยีและการสอน TPK (Technological Pedagogical Knowledge) มาช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นผ่านกิจกรรม เนื้อหา และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ แสดงความคิดเห็น และสะท้อนความคิดส่งเสริมการ เพื่อฝึกทักษะการวิเคราะห์ การประยุกต์ใช้ตามกรอบแนวคิดของ TPACK ในการตัดสินใจ การทำงานร่วมกัน และส่งเสริมการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ</p> ธัชพนธ์ สรภูมิ, จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280050 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ความจริงเสริม ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณ เรื่อง การเขียนโปรแกรมโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279243 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ความจริงเสริม สำหรับพัฒนาทักษะ การคิดเชิงคำนวณ 2) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณ หลังการเรียนรู้ผ่านสื่อความจริงเสริม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยสื่อความจริงเสริม กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านโพธิ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สื่อการเรียนรู้ความจริงเสริม เรื่อง การเขียนโปรแกรมโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ 2) แบบวัดทักษะการคิดเชิงคำนวณ 3) แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยสื่อความจริงเสริม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ยของประชากร (µ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร (σ) และค่าพัฒนาการสัมพัทธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การออกแบบสื่อการเรียนรู้ความจริงเสริม เรื่อง การเขียนโปรแกรมโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ผู้วิจัย ได้ดำเนินการออกแบบและพัฒนาตามรูปแบบ ADDIE Model โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1 การวิเคราะห์ (Analysis) 2 การออกแบบ (Design) 3 การพัฒนา (Development) 4 การนำไปใช้ (Implementation) 5 การประเมินผล (Evaluation) โดยได้สื่อการเรียนรู้ความจริงเสริมที่มีลักษณะเป็นแฟลชการ์ด ที่แบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบได้แก่ 1) สื่อเนื้อหาในรูปแบบภาพ 3 มิติ พร้อมเสียงบรรยาย 2) สื่อเนื้อหาในรูปแบบวิดีโออินโฟกราฟิก โดยมีจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) สัญลักษณ์พื้นฐานสำหรับการเขียนผังงาน 2) ความรู้เบื้องต้นของโปรแกรม Scratch และ3) กลุ่มคำสั่งพื้นฐานของโปรแกรม Scratch ซึ่งสื่อการเรียนรู้ความจริงเสริมได้พัฒนาขึ้นตามแนวคิด ของทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ด้วยตัวเองที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ</p> <p>2) ผลการพัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณพบว่าคะแนนร้อยละของระดับพัฒนาการของกลุ่มเป้าหมาย เท่ากับ ร้อยละ 82.24 แสดงว่ากลุ่มเป้าหมาย มีพัฒนาการหลังเรียน อยู่ในระดับสูงมาก</p> <div>3) ผลการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยสื่อความจริงเสริม พบว่าผลของความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก (µ = 4.57, σ = 0.14)</div> <p> </p> อนันต์ญา กิจเรืองศรี, ศรินย์พร ชัยวิศิษฎ์, สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279243 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโมชันกราฟิกแบบไมโครเลิร์นนิงเป็นฐาน เพื่อการลงทะเบียนและพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/278940 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนาสื่อโมชันกราฟิกแบบไมโครเลิร์นนิง สำหรับงานทะเบียนและงานพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจและความเข้าใจก่อนและหลังการรับชมสื่อโมชันกราฟิกแบบไมโครเลิร์นนิง ประชากรคือ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน จำนวน 1,757 คน โดยคัดเลือกตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบง่ายและแบบโควตา ประกอบด้วย 1) สัมภาษณ์เชิงลึก 48 คน (สุ่มแบบโควตา) 2) สำรวจเนื้อหาที่ต้องการทราบ 30 คน (สุ่มอย่างง่าย) และ 3) ศึกษาความพึงพอใจ 330 คน (สุ่มอย่างง่าย โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ที่ระดับคลาดเคลื่อน 5%) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยสื่อโมชันกราฟิก แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบทดสอบวัดความเข้าใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงแบบนอนพาราเมตริก เช่น การทดสอบวิลคอกซันและการทดสอบ ครัสคาล-วัลลิส กำหนดระดับนัยสำคัญ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีความสนใจสูงสุดต่อข้อมูลการลงทะเบียนเรียน เพิ่ม-ถอนรายวิชา ผ่อนผันค่าเทอม และการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา โดยต้องการรับข้อมูลผ่านสื่อโมชันกราฟิกมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจแยกตามชั้นปี พบว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงสุดทุกด้าน การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลัง การรับชมสื่อโมชันกราฟิก พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.11 และ 5.53 คะแนนตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงประสบการณ์และการรับรู้ถึงประโยชน์ของสื่อที่แตกต่างกันแสดงให้เห็นว่าสื่อโมชันกราฟิกแบบไมโครเลิร์นนิงที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มความเข้าใจและการเรียนรู้ที่ดีให้กับตัวอย่าง</p> <p><strong> </strong></p> สุพรรณิการ์ ย่องซื่อ, สตรีรัตน์ แสงหิรัญ, ลลิตวดี คงสิบ, บุญพิทักษ์ แก้วแกมทอง, นิภาพร ทิพย์มะณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/278940 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับโครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279734 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับโครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย 2) ประเมินทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษา และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับโครงงานเป็นฐาน กลุ่มที่ศึกษาในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 2 ระดับปริญญาตรีที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาฟิสิกส์พื้นฐาน (Fundamental Physics) ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 32 คน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษา และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษามีต่อกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\vec{x}" alt="equation" /> ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับโครงงานเป็นฐาน (STEM Project-based learning) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ระบุและเลือกปัญหาที่ต้องการแก้ไข/นวัตกรรมที่ต้องการพัฒนา (2) รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง (3) ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา/คิดค้นสร้างสรรค์ต้นแบบนวัตกรรม (4) วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (5) การทดสอบ ประเมิน และปรับปรุงนวัตกรรม และ (6) นำเสนอผลการแก้ปัญหาหรือผลการพัฒนานวัตกรรม 2) นักศึกษามีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม หลังการเรียนด้วยกิจกรรมการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับดี (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\vec{x}" alt="equation" />=3.17, S.D.=0.39) 3. ระดับความพึงพอใจนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\vec{x}" alt="equation" />=4.50, S.D.=0.50)</p> นิภาพร ช่วยธานี, ธเนศ สินธุ์ประจิม, สุริยัน เขตบรรจง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279734 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279983 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา และ 2) เปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน ตัวอย่าง คือ ครูสังกัดสำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จำนวน 226 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยเทียบสัดส่วนของประชากร และกำหนดสัดส่วนตัวอย่างรายโรงเรียน เพื่อให้ได้ตามจำนวนตัวอย่างที่ระบุเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถามแบบให้คะแนน 5 ระดับมีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว เมื่อพบความแตกต่าง จึงทำการทดสอบเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาโดยรวม อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.36 , S.D.= .53) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานครอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก คือ ด้านการจัดการเรียนรู้ รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการ และด้านที่อยู่ในอันดับสุดท้าย คือ ด้านอาคารสถานที่</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา พบว่า ความพึงพอใจของครูที่มีต่อการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร โดยจำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานโดยรวม แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ จำแนกตามอายุ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กชพร จันคามิ, ภูวนัย สุวรรณธารา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279983 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้จักรวาลนฤมิตตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279045 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คะแนนการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนที่เรียนด้วยสิ่งแวดล้อม ทางการเรียนรู้จักรวาลนฤมิตตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ 2) ความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้จักรวาลนฤมิตตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน โดยใช้รูปแบบการวิจัยก่อนการทดลองแบบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้จักรวาลนฤมิตตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ แบบวัดการคิดสร้างสรรค์ แบบสำรวจความคิดเห็นของผู้เรียน และแบบสัมภาษณ์การคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากการวัด การคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ และการวิเคราะห์ข้อมูล เชิงคุณภาพได้จากการสรุป ตีความ บรรยายเชิงวิเคราะห์ และการวิเคราะห์โปรโตคอล</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1. คะแนนการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนร้อยละ 92.11 มีคะแนนการคิดสร้างสรรค์เฉลี่ย ในภาพรวม คิดเป็นร้อยละ 87.99 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และผลการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนที่โดยการวิเคราะห์โปรโตรคอล พบว่า ผู้เรียนมีมิติการคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1) การคิดคล่อง 2) การคิดยืดหยุ่น 3) การคิดริเริ่ม และ 4) การคิดละเอียดลออ</p> <p>2. ความคิดเห็นของผู้เรียน พบว่า 1) ด้านเนื้อหา ทันสมัย ท้าทายความสามารถ และเพียงพอสำหรับ การสร้างความรู้ 2) ด้านสื่อจักรวาลนฤมิตมีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการเรียนรู้ 3) ด้านการออกแบบ เหมาะสม และ ส่งเสริมการเรียนรู้ในโลกเสมือนจริง </p> ศรีประไพ เพียนอก, สุดใจ ศรีจามร, จีรนันทร์ แก่นนาคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279045 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์สำหรับการจัดการเรียนรู้ ของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279703 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่คาดหวังและประเมินความต้องการจำเป็น เกี่ยวกับการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ 2) พัฒนารูปแบบการนิเทศแบบผสมผสาน และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศแบบผสมผสาน โดยใช้วิธีวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ครู 456 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน โดยการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) และครูที่เข้าร่วมทดลองใช้รูปแบบ จำนวน 40 คน โดยการสุ่ม<br />อย่างง่าย (Sample Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ รูปแบบการนิเทศแบบผสมผสาน แบบทดสอบ แบบประเมินทักษะและคุณลักษณะ แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดเรียงลำดับความสำคัญของ ความต้องการความจำเป็น Priority need index แบบปรับปรุง (PNImodified) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติสำหรับการอ้างอิง ได้แก่ Wilcoxon Matched Pairs Signed-Ranks และ t-test (Dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.422, S.D. = 0.960) สภาพที่คาดหวัง อยู่ในระดับ มาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.162, S.D.=0.873) และความต้องการจำเป็นสูงสุด คือด้านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับ สนุน การเรียนรู้ (PNI Modified = 0.2673)</p> <p>2) รูปแบบการนิเทศแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ ระบบสนับสนุนการนิเทศและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ กระบวนการนิเทศ ทั้งแบบลงพื้นที่และออนไลน์ และผลลัพธ์การนิเทศ </p> <p>3) หลังการนิเทศครูมีคะแนนด้านความรู้สูงกว่าก่อนการนิเทศอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 มีผลการประเมินทักษะอยู่ในระดับดีมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.665, S.D.=0.472) ผลการประเมินด้านคุณลักษณะสูงกว่าก่อนการนิเทศอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ.05 และมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการนิเทศในระดับมากที่สุด <br />(<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.642, S.D.=0.533) </p> สนธยา หลักทอง, พลชัย ชุมปัญญา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279703 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของบุคคลออทิสติกโดยใช้โปรแกรมการสื่อสาร Visual image https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280135 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมการสื่อสาร Visual image ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของบุคคลออทิสติก<span style="font-size: 0.875rem;">2) ศึกษาผลการพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของบุคคลออทิสติก และ</span>3) ศึกษาความพึงพอใจของบุคคลออทิสติกที่มีต่อโปรแกรมการสื่อสาร Visual image ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคคลออทิสติก อายุระหว่าง 5 -10 ปี ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการสื่อสาร Visual image 2) แผนการดำเนินงานแบบ A-B-A Design 3) แบบสังเกตความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และ4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการพัฒนาโปรแกรมการสื่อสาร Visual image ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของบุคคลออทิสติก มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.86)</p> <p>2) บุคคลออทิสติกมีความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น ตามแผนการทดลองแบบ A-B-A Design เมื่อเปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ระยะเส้นฐาน (A1) อยู่ในเกณฑ์ระดับพอใช้ (x̄ = 1.80) ระยะระหว่างการทดลอง (B) อยู่ในเกณฑ์ระดับดี (x̄ = 3.80) ระยะหลังการทดลอง (A2) อยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก (x̄ = 4.50) และ</p> <p>3) บุคคลออทิสติกมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมการสื่อสาร Visual image อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.38)</p> กนกอร สว่างอารมณ์, รัตนาภรณ์ จันทรา, ภูชิศ สถิตย์พงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280135 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ร่วมกับแนวคิดการกำกับตนเองเพื่อส่งเสริมการคิดเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280300 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ 3) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 4) ศึกษาผลประเมินการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกการประชุมแบบมีส่วนร่วม แบบประเมินร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จำนวน 30 ข้อ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ แบบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 20 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ และการทดสอบที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent Samples t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1. การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพควรใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดการกำกับตนเอง เพื่อเชื่อมโยงความรู้กับชีวิตจริงและส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การมีส่วนร่วมและทักษะการคิดเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์</p> <p>2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ เลือกปรากฏการณ์ร่วมกับสังเกตตนเอง สะท้อนความคิดร่วมกับตั้งเป้าหมาย วางแผนร่วมกับตรวจสอบตนเอง ดำเนินการร่วมกับประเมินพฤติกรรม ประเมินผลร่วมกับแสดงปฏิกิริยาต่อตนเอง (4) ระบบสังคม (5) หลักการตอบสนอง และ (6) ผลที่เกิดขึ้นจากรูปแบบการเรียนรู้ โดยผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด </p> <p>3. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนนี้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> <p>4. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีคุณภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.68, S.D.=0.09) </p> นันทพร ระภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280300 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280257 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ห้องเรียนแผนภาษาอังกฤษ-จีน จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน &nbsp;&nbsp;&nbsp;3) แบบทดสอบ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Dependent Sample T-Test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน พบว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาประเมินคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคประเมินคุณภาพอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 2) เกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.66/80.22 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อเกมมิฟิเคชัน เรื่อง คำศัพท์ภาษาจีน อยู่ในระดับมากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58</p> สายทิพย์ สดุดี, รัตนาภรณ์ จันทรา, ภูชิศ สถิตย์พงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280257 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 กลวิธีการเขียนสารคดีแนวใหม่ในเรื่องเล่าของเยาวชนจากบ้านกาญจนาภิเษก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280392 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลวิธีการเขียนสารคดีแนวใหม่ในเรื่องเล่าของเยาวชนจาก บ้านกาญจนาภิเษก จากหนังสือสารคดี 2 เล่ม ได้แก่ เรื่องเล่าจากบ้านกาญจนาภิเษกและก้าวที่พลาด รวม 30 เรื่อง โดยศึกษาตามกรอบแนวคิดสารคดีแนวใหม่ คือ การผสมผสานระหว่างงานวิชาการกับวรรณกรรม ได้แก่ การตั้งชื่อเรื่อง ความนำ การดำเนินเรื่อง ความจบ การใช้กระบวนความหรือโวหาร และการเสริมข้อมูลประกอบสารคดี โดยเสนอผลเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1.การตั้งชื่อเรื่องมี 5 กลวิธี ได้แก่ การตั้งชื่อแบบเรื่องสั้นและนวนิยาย การเล่นคำสัมผัสคล้องจองและการใช้โวหารความเปรียบ การใช้คำหลักนำหน้าตามด้วยข้อความที่เป็นส่วนขยาย การใช้ชื่อตรงไปตรงมา และการใช้คำหรือกลุ่มคำ 2.ความนำมี 4 กลวิธี ได้แก่ ความนำสนทนากับผู้อ่าน ความนำแบบเรื่องสั้น ความนำการอ้างคำพูดหรือวาทะบุคคล และความนำแบบบรรยาย 3. การดำเนินเรื่อง พบ การเล่าเรื่องโดยใช้ลีลาแบบเรื่องสั้นและนวนิยายผ่านตัวละครในรูปแบบบันทึก 4. ความจบมี 4 กลวิธี ได้แก่ การจบแบบคลี่คลายด้วยการแฝงข้อคิด การจบแบบทิ้งท้ายให้คิด การจบแบบทันทีทันใดและการจบด้วยการย้อนหลัง 5. การใช้กระบวนความหรือโวหารมี 3 กลวิธี การบรรยาย การพรรณนา และการอธิบายความ และ6. การเสริมข้อมูลประกอบสารคดี มี 2 กลวิธี ได้แก่ การอ้าง คำพูดและการแทรกบทสนทนา และการอ้างอิงจากข้อมูลเอกสารและภาคสนาม</p> วันจรัตน์ เดชวิลัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/280392 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่มีเว็บสนับสนุน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279471 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปฏิบัติการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่มีเว็บสนับสนุน 2) พัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่มีเว็บสนับสนุน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่มีเว็บสนับสนุน โดยกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 11 โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่มีเว็บสนับสนุน แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบบันทึกการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกอนุทินของนักเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่มีเว็บสนับสนุน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ไขปัญหา 6 ขั้น เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึก 1.การระบุปัญหา 2.รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3.ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4.วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา ทดสอบ 5.ประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน 6.การนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผู้สอนช่วยสนับสนุนในการศึกษาโดยมี เว็บสนับสนุน ที่สามารถให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามที่ต้องการ สามารถทบทวนและแบ่งปันความรู้กับผู้อื่นได้</p> <p>2) ผลของการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่มีเว็บสนับสนุน พบว่าผู้เรียนมีคะแนนความสามารถในการคิดแก้ปัญหา หลังเรียนอยู่ในระดับสูง มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.66 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.06</p> <p>3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของ ผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่มีเว็บสนับสนุน พบว่า ผู้เรียนมีคะแนนความพึงพอใจทุกด้านเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.96 มีระดับความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก</p> ณัฐภัทร อินทร์อ๋อง, ทรงศักดิ์ สองสนิท, ประวิทย์ สิมมาทัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/279471 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281084 <p><br />การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภายหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ภายหลังการเรียนรู้แบบร่วมมือกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 90 คน โรงเรียนประถมศึกษา ฉือซือ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเลือกด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งมีทั้งรูปแบบปรนัยและอัตนัย และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t แบบกลุ่มตัวอย่างเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การมีส่วนร่วมของนักเรียนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ภายหลังการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมืออยู่โดยรวมอยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.72, S.D.=0.70) ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมด้านอารมณ์มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.15, S.D.=0.68) รองลงมาคือการมีส่วนร่วมด้านพฤติกรรม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.04, S.D.=0.77) สำหรับการมีส่วนร่วมด้านการรับรู้ นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์การคิดขั้นสูงได้อย่างต่อเนื่อง นักเรียนบางส่วนที่มีระดับการมีส่วนร่วมต่ำ พบความยากลำบากในการแสดงความคิดเห็นและรู้สึกถูกกีดกันจากกิจกรรมกลุ่ม</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนภายหลังการเรียนรู้แบบร่วมมือมีค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 85.60 (t = 8.94, p &lt; 0.05) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่คาดหมายอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p>3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.42, S.D.=0.53)</p> เวิน เสี่ยวอี้, สุธิดา กรรณสูตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281084 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนประถมศึกษาซิงโจว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281008 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนประถมศึกษาซิงโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน และ 2) เพื่อศึกษาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียนหลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 45 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น จากประชากรนักเรียนทั้งหมด 315 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานจำนวน 15 ชั่วโมง ครอบคลุมเนื้อหาคณิตศาสตร์ 3 เรื่อง ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ จำนวน 36 ข้อแบบปรนัย โดยแบบทดสอบได้ผ่านการวิเคราะห์ข้อสอบ 2 รอบ ทั้งด้านความยากง่ายและอำนาจจำแนก ผลการวิเคราะห์พบว่า 35 ข้อมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (D ≥ 0.25) และมีค่าความยากง่ายเฉลี่ย (P) เท่ากับ 0.77 โดยมีค่า IOC = 1.00 และ 3) เกณฑ์การประเมินทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ 5 ด้าน ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและมีค่า IOC = 1.00 การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เวลา 3 สัปดาห์ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2567 โดยจัดการเรียนการสอนสัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง รวม 15 ชั่วโมง และดำเนินการทดสอบก่อนและหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานด้วยการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างคู่ (Paired Sample t-test) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -16.32, p &lt; 0.05) และ</p> <p>2) นักเรียนมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์อยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.15, S.D.=0.52) โดยทักษะที่โดดเด่นที่สุดคือ การประเมินค่า (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.37, S.D.=0.34) รองลงมาคือ การใช้เหตุผล (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.31, S.D.=0.34) และ การวิเคราะห์ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.29, S.D.=0.45) สะท้อนถึงความสามารถของนักเรียนในการใช้กระบวนการคิดเชิงวิเคราะห์และการตัดสินใจในกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะส</p> จ้าว หยูหาว, ชนาธิป บุบผามาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281008 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีดิจิทัลของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281284 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีดิจิทัลของนักศึกษาครู 2) พัฒนาชุดการสอนตามรูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีดิจิทัลของนักศึกษาครู ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/ E2 (80/80) 3) ศึกษาประสิทธิผลการใช้ชุดการสอน โดยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียน 4) ศึกษาความพึงพอใจของชุดการสอน การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development) โดยกำหนดประชากร คือ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวนทั้งสิ้น 180 คน ครอบคลุม 6 ห้องเรียน (ห้องละ 30 คน) ใช้วิธีการสุ่มกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยกำหนดหมายเลข 1–6 แทนแต่ละห้อง แล้วจับสลากจำนวน 1 กลุ่มเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดการสอนตามรูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ประกอบด้วย 5 แผนการจัดกิจกรรม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของ ผู้เรียน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) รูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ (EX-Tech Learning Model) โดยมีกระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน</p> <p>2) ชุดการสอนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 80.73/80.42 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ</p> <p>4) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อชุดการสอนในภาพรวมอยูในระดับ “มากที่สุด (𝑥̄=4.52, S.D. = 0.82)</p> เพชร รองพล, มณีนุช รองพล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/281284 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700