https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/issue/feed Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) 2024-03-17T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจาย์ก่อเกียรติ ขวัญสกุล [email protected] Open Journal Systems https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/266486 ปัจจัยและการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ภาษาไทยในสื่อสังคมออนไลน์แห่งยุควิถีใหม่ 2023-11-16T13:44:54+07:00 วันจรัตน์ เดชวิลัย [email protected] โสพิตา สุขช่วย [email protected] สิรินดา โอศิริ [email protected] <p>ภาษาสัมพันธ์กับสังคมและมนุษย์เรียนรู้การใช้ภาษาตามบริบทของสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยและการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ภาษาไทยในสื่อสังคมออนไลน์ แห่งยุควิถีใหม่ ซึ่งศึกษาและเก็บข้อมูลของคำในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2563- ธันวาคม 2565 โดยนำแนวคิดการเปลี่ยนแปลงของภาษาตามตัวแปรเชิงภาษาศาสตร์สังคมมาเป็นกรอบการวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษามี 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยภายใน (ผู้ใช้ภาษา) ได้แก่ การออกเสียงตามสะดวก การใช้ภาษาตามความรู้สึกของผู้พูด และการใช้ภาษาตามฐานะและสถานภาพของผู้ใช้ภาษา 2) ปัจจัยภายนอก (สังคม) ได้แก่ ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาไทยในสื่อสังคมออนไลน์ ของคนยุควิถีใหม่ 3 ด้าน คือ 1) ด้านเสียง ได้แก่ การกลมกลืนเสียง การเพิ่มเสียง การสูญเสียง การเปลี่ยนเสียง และการเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์ 2) ด้านคำ ได้แก่ คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน การรวมคำ การตัดคำ และการยืมทับศัพท์ 3) ด้านความหมาย ได้แก่ ความหมายกว้างขึ้น และความหมายแคบลง อันสอดรับกับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของวิวัฒนาการทางภาษาที่มีการเลื่อนไหลไปตามสภาวะของสังคม ระหว่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ความท้าทายในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในสังคมแห่งยุควิถีใหม่ คือ ผู้ใช้ภาษาต้องมีศักยภาพในการสื่อสาร คือ การใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านเนื้อหาและวิธีการใช้ภาษาทั้งด้านเนื้อหาและวิธีการใช้ภาษา</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267781 การเรียนรู้เชิงรุกวิถีใหม่ เพื่อเปิดประสบการณ์การเรียนรู้บนโลกเสมือนจริง 2024-02-05T09:56:02+07:00 นภัสวรรณ สุพัตร [email protected] เอกนฤน บางท่าไม้ [email protected] สิทธิชัย ลายเสมา [email protected] <p> ปัจจุบันพบหลายปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการการเรียนรู้ของนักเรียน ได้แก่ ความขาดแคลนแรงจูงใจในการเรียน การจัดสรรเวลาของผู้เรียน ความขาดเชื่อมั่นในตนเอง และขาดทรัพยากรการเรียนรู้ที่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้การส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพและศักยภาพทางการศึกษาของผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกเป็นสิ่งสำคัญ โดยการให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และลงมือปฏิบัติ การใช้เทคโนโลยี Virtual Reality จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการเรียนรู้ เช่น เพิ่มความสนใจและกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ ที่เชื่อมโยงผู้เรียนกับชีวิตจริง ประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการเล่นเกมบนโลกเสมือนจริง และสร้างประสบการณ์ การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติบนสถานการณ์จำลอง ดังนั้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี VR กับการศึกษานั้น มีทั้งโอกาสและความท้าทายในการสนับสนุนทางการศึกษา โดยเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้แบบเดิมเป็นการเรียนรู้เชิงรุกอย่างสร้างสรรค์และกว้างขวางมากขึ้นในโลกอนาคต</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/266940 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ โดยใช้เทคนิค SQ4R เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอเมืองหนองบัวลำภู 2023-12-14T13:53:34+07:00 วรรธนพงศ์ ทับธานี [email protected] ธนดล ภูสีฤทธิ์ [email protected] <p>การวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียนออนไลน์ โดยใช้เทคนิค SQ4R ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความของนักศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3)เปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 4)ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์ โดยใช้เทคนิค SQ4R 2) แบบวัดทักษะการอ่านจับใจความระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเป็นแบบทดสอบปรนัย 20 ข้อ 3) แบบทดสอบทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยเป็นแบบทดสอบปรนัย 30 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1)การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ด้านการออกแบบและด้านเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า อยู่ในระดับเหมาะสมมากและบทเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.11/82.78 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด</p> <p>2)นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3)นักศึกษามีคะแนนของการวัดทักษะการอ่านจับใจความหลังเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>4)นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ โดยรวมแล้วอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267034 การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 2024-01-12T12:16:07+07:00 รัตติกาล หมานสะยะ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 2) เพื่อพัฒนาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 3) เพื่อศึกษาผลการดำเนินงาน ได้แก่ การประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน การประเมินความร่วมมือของบุคลากรในการดำเนินงานและการเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังการดำเนินงาน 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจและปรับปรุงการบริหารงาน การวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) 58 คน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา พื้นฐาน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) 58 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 68 คน ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาผลการดำเนินงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 169 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น และขั้นตอนที่ 4 การศึกษาความพึงพอใจ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่ม แผนการดำเนินงาน แบบประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานวิชาการ แบบประเมินความร่วมมือของบุคลากร แบบประเมินทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานด้วย t-test Dependent Sample และการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) ข้อมูลพื้นฐานด้านบุคลากรมีปัญหาในการบริหารงานวิชาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก และต้องการมีส่วนร่วมในระดับมากทั้งโดยรวมและรายด้าน ส่วนผู้ปกครองและชุมชนต้องการมีส่วนร่วมโดยรวมในระดับมาก</p> <p>2) การพัฒนาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานสรุปได้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในชุมชน (2) การพัฒนาหลักสูตรร่วมกับชุมชน (3) การจัดการเรียนรู้โดยชุมชนมีส่วนร่วม (4) การนิเทศการสอนโดยชุมชนมีส่วนร่วม และ (5) การประเมินผู้เรียนโดยชุมชนมีส่วนร่วม</p> <p>3) ผลการดำเนินงาน พบว่า ประสิทธิภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานของโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.42) การมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาผู้เรียนด้านทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมโดยรวมในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.55) และนักเรียนมีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสูงขึ้นทุกด้าน และ</p> <p>4) การประเมินความพึงพอใจต่อการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียน พบว่ามีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" width="5" height="6" />= 4.46)</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267155 ผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบโต้แย้ง (ADI) ร่วมกับการเรียนรู้ดิจิทัล เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-01-19T10:43:39+07:00 ทักษิณ แก้วประเสริฐ [email protected] สุภัชฌาน ศรีเอี่ยม [email protected] ฐาปนา จ้อยเจริญ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีไทย ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบโต้แย้ง (ADI) ร่วมกับการเรียนรู้ดิจิทัลของห้องทดลอง ระหว่างหลังได้รับการเรียนรู้เทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 70 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีไทยหลังได้รับการเรียนรู้ระหว่างห้องทดลองกับห้องควบคุม ที่ได้รับกระบวนการสอนรูปแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 2 ห้องเรียน คือ ห้องทดลอง (ม.3/6) จำนวน 40 คน และห้องควบคุม (ม.3/7) จำนวน 40 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบโต้แย้ง (ADI) ร่วมกับการเรียนรู้ดิจิทัล แผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบปกติ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ห้องทดลองมีผลสัมฤทธิ์หลังจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยด้วยกระบวนการสอนรูปแบบโต้แย้ง (ADI) ร่วมกับการเรียนรู้ดิจิทัลสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2) ห้องทดลองมีผลสัมฤทธิ์หลังจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยด้วยกระบวนการสอนรูปแบบโต้แย้ง (ADI) ร่วมกับการเรียนรู้ดิจิทัลสูงกว่าห้องควบคุมที่จัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยด้วยรูปแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/268057 การพัฒนาระบบเบิกจ่ายสารเคมี สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2024-02-14T10:40:10+07:00 บังอร ละเอียดออง [email protected] ธันยรัศมิ์ ผุริจันทร์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบเบิกจ่ายสารเคมี สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2) เพื่อประเมินคุณภาพระบบเบิกจ่ายสารเคมีและ3) เพื่อประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบเบิกจ่ายสารเคมี กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และนักศึกษาปริญญาตรีที่ใช้บริการเบิกจ่ายสารเคมีโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ระบบการเบิกจ่ายสารเคมี แบบประเมินคุณภาพการใช้งานระบบ และแบบประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบเบิกจ่ายสารเคมี การพัฒนาระบบใช้กระบวนการพัฒนาแบบ System Development Life Cycle (SDLC) โดยใช้ภาษา PHP และ เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ผลการพัฒนาระบบเบิกจ่ายสารเคมีได้ระบบการเบิกจ่ายสารเคมีที่พัฒนาอย่างมีคุณภาพ</p> <p>2.ผลการประเมินคุณภาพของระบบเบิกจ่ายสารเคมี โดยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.79 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.31</p> <p>3.ผลการประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบเบิกจ่ายสารเคมี พบว่าผู้ใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.62 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.49</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/266272 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเทคโนโลยีในการสอนเนื้อหาวิชาเฉพาะ (TPACK) เรื่องเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2023-12-15T13:05:27+07:00 วิภาวี ม่วงทำ [email protected] อพันตรี พูลพุทธา [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเทคโนโลยีในการสอนเนื้อหา วิชาเฉพาะ (TPACK) เรื่องเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแวงน้อยศึกษา อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น จำนวน 31 คน จำนวน 1 ห้อง ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเทคโนโลยีในการสอนเนื้อหาวิชาเฉพาะ (TPACK) เรื่อง เลขยกกำลัง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อการจัดกิจกรรม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละความก้าวหน้า และการทดสอบค่าที ผล</p> <p>การวิจัยพบว่า</p> <p>1.การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเทคโนโลยีในการสอนเนื้อหาวิชาเฉพาะ (TPACK) เรื่องเลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 78.54/73.55 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 70/70</p> <p>2.นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3.นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก(<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.15,S.D.=1.06)</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267226 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี 2024-01-28T16:57:55+07:00 อภิชัย สุขโนนจารย์ [email protected] เหมมิญช์ ธนปัทม์มีมณี [email protected] <p>การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ทดสอบประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์กับนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการพัฒนาทักษะปฏิบัติของนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์ กับนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนิสิตระดับปริญญาตรี ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่นำมาวิจัยในครั้งนี้ มีจำนวน 41 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) แล้วทำการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 จำนวน 21 คน กำหนดให้เป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 คน กำหนดให้เป็นกลุ่มควบคุม เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบไปด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์ จำนวน 4 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวม 16 ชั่วโมง และแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ จำนวน 4 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวม 16 ชั่วโมง 2) บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาเว็บไซต์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก 4) แบบวัด ความสามารถในการพัฒนาทักษะปฏิบัติ จำนวน 3 ข้อ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนิสิต จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่า t-test for Independent Sample</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี คือ 82.86/81.43 เป็นไปตามเกณฑ์กำหนดไว้</p> <p>2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์สูงกว่านิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p> <p>3. ผลความสามารถในการพัฒนาทักษะปฏิบัติของนิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับการสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์สูงกว่านิสิตที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>4. ความพึงพอใจของนิสิตระดับปริญญาตรีที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับ การสอนทักษะปฏิบัติโดยใช้บทเรียนออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.46</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267822 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา ที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-02-20T19:07:27+07:00 ณัฏฐณิชา เพียรจัด [email protected] รัฐสาน์ เลาหสุรโยธิน [email protected] <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนการสอน มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.71, S.D.=0.35) 2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.75 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 38 คน โรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Ramdom Sampling) แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการทดสอบค่าที (t-test Dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.การจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75.43/77.24 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75</p> <p>2.นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3.ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.41, S.D.=0.56) </p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/268404 วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร 2024-02-23T15:40:34+07:00 ณัฏฐธิดา มูลทรัพย์ [email protected] นิษรา พรสุริวงษ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1.เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาระดับองค์การแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15สังกัดกรุงเทพมหานคร 4.เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15 สังกัดกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้บริหารและครูผู้สอนสถานศึกษา จำนวน 205 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างใช้สูตรยามาเน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.วัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15สังกัดกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.17,S.D.=.544)</p> <p>2.องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15สังกัดกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก(<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.17,S.D.=.558)</p> <p>3.วัฒนธรรมองค์กรมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง (rXY=.892)กับองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15สังกัดกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>4.ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีขององค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร ดังนี้ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต (x9) ด้านการยอมรับนับถือ (x7) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และ ด้านความมุ่งประสงค์ขององค์กร (x1) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ.958 แสดงว่าตัวแปรพยากรณ์ชุดนี้ร่วมกันสามารถพยากรณ์องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่15สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 91.70 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ161ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ</p> <p> Y = .102 + .473X<sub>9 </sub>- .122X<sub>7 </sub>- .081X<sub>1</sub> </p> <p>สมการในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน</p> <p>ZY = .505X<sub>9 </sub>- .132X<sub>7 </sub>- .086X<sub>1</sub></p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/267144 การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 2024-01-16T18:42:49+07:00 ภูเบศ เลื่อมใส [email protected] พิมพ์สุพร สุนทรินทร์ [email protected] <div>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก2)เพื่อพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล3)เพื่อประเมินและรับรองหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล และ 4)เพื่อใช้หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล มีวิธีการดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มกำลังแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 400 คน กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ประกอบการ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการจำเป็น และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนาหลักสูตร แหล่งข้อมูล คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมร่างหลักสูตร แบบบันทึกผลการสัมมนาอิงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 3 การใช้หลักสูตร กลุ่มตัวอย่าง คือ กำลังแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ หลักสูตรฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล และแบบประเมินความพึงพอใจ ค่าสถิติพื้นฐานที่ใช้ ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที (t-test แบบ Dependent) การทดสอบประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/ E<sub>2</sub> </div> <div>ผลการวิจัยพบว่า</div> <div>1. ค่าเฉลี่ยความต้องการจำเป็นทักษะปัจจุบันต่ำกว่าทักษะที่ต้องการพัฒนาทุกรายการและมีดัชนีความสำคัญของลำดับความต้องการจำเป็น (PNIModified) อยู่ระหว่างร้อยละ 14.8 ถึง ร้อยละ 47</div> <div> </div> <div>2. หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการรู้ดิจิทัล (Digital literacy) มีองค์ประกอบ คือ (1) ชื่อหลักสูตร (2) ปัญหาและความต้องการ (3) หลักการ (4) เป้าหมาย (5) วัตถุประสงค์ (6) เนื้อหาสาระ (7) กระบวนการ (8) กิจกรรม (9) สื่อและแหล่งเรียนรู้ (10) การวัดและประเมินผล</div> <div> </div> <div>3. ผลการทดสอบประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>=81.56/84.41 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</div> <div> </div> <div>4.การประเมินและรับรองหลักสูตรหลังจากทดลองใช้แล้ว โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.34, S.D.=.42)</div> <div> </div> <div>5. หลังการใช้หลักสูตร (1) คะแนนการรู้ดิจิทัล (Digital literacy) ทุกหน่วยการเรียน หลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความพึงพอใจโดยรวม อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.93), (S.D.=.73)</div> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/268467 การพัฒนาบทเรียนบนเว็บตามหลักการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาในรายวิชาวิทยาการคำนวณและการออกแบบเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-02-24T13:46:09+07:00 ฌัชวิทย์ อินทราราม [email protected] มานิตย์ อาษานอก [email protected] <p>ความมุ่งหมายของการวิจัยในครั้งนี้ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนาบทเรียนบนเว็บตามหลักการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา ในรายวิชาวิทยาการคำนวณและการออกแบบ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียนหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผู้เรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 80 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนบนเว็บตามหลักการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา 2) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหา 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการออกแบบและพัฒนาบทเรียนบนเว็บตามหลักการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา มีประสิทธิภาพ 84.29/83.33 และคุณภาพมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.54 อยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 8.47 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.7</p> <p>3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.33</p> <p>4) ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.49 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.59 อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก</p> 2024-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)