https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/issue/feed
Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
2024-09-16T00:00:00+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจาย์ก่อเกียรติ ขวัญสกุล
ajberm@gmail.com
Open Journal Systems
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271776
เครื่องมือประเมินผลระหว่างเรียนเชิงดิจิทัล: การประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
2024-07-27T16:27:54+07:00
ญาณิกา ลุนราศรี
yanika.lu@go.buu.ac.th
<p>การประเมินผลระหว่างเรียนเชิงดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษา เพราะช่วยให้ข้อมูลย้อนกลับ แบบทันทีทันใด การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน และส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล เครื่องมือสำหรับ การประเมินผลระหว่างเรียนเชิงดิจิทัลได้รับความนิยมมากขึ้นในการศึกษายุคใหม่ บทความนี้ได้ศึกษาหลักการของ การประเมินผลระหว่างเรียนและการประเมินระหว่างเรียนเชิงดิจิทัล ซึ่งครอบคลุมถึงสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดิจิทัล การเรียนรู้และการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการเรียนรู้และการประเมินแบบร่วมมือกันของนักเรียน นอกจากนี้ ยังแบ่งประเภทของการประเมินผลระหว่างเรียนเชิงดิจิทัลและยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้เครื่องมือการประเมินผลระหว่างเรียนเชิงดิจิทัล เช่น การใช้ Entry และ Exit Slips การทำแบบทดสอบ การใช้แบบสำรวจ การทำแบบฝึกหัด การประเมินย้อนกลับจากเพื่อน และการสะท้อนคิด รวมทั้งให้คำแนะนำในการประยุกต์ใช้เครื่องมือการประเมินระหว่างเรียนเชิงดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก การมีส่วนร่วมของนักเรียน และสร้าง สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนนักเรียน </p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271809
ทักษะการรู้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ในสังคมแห่งการเรียนรู้
2024-07-04T12:00:12+07:00
อภิสิทธิ์ คุณวรปัญญา
aphisit.kunnaworapanya@gmail.com
อภิชา พรหมแสง
apicha.pra@mahidol.ac.th
<p>บทความทางวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญด้านทักษะการรู้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับ การปฏิบัติงานในสังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความจำเป็นสำหรับบุคลากรทางการศึกษา ทั้งทางด้านแนวคิด ทฤษฎี บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งจากการศึกษาดังกล่าวพบองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะการรู้เทคโนโลยีดิจิทัลของบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วยการเข้าถึงสารสนเทศ การจัดการสารสนเทศ การบูรณาการสารสนเทศ การประเมินสารสนเทศ การสร้างสรรค์สารสนเทศ การพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ และการยกระดับการเรียนรู้ โดยบุคลากรทางการศึกษาจะต้องมีสมรรถนะในการการเข้าใจ การใช้ การแก้ปัญหา และ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271211
การจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-06-13T15:12:24+07:00
อริญชยา บุญประสาน
arinchaya.b@ku.th
บุญรัตน์ แผลงศร
boonrat.p@ku.ac.th
วัตสาตรี ดิถียนต์
feduwtd@ku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อน และหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2) ศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง จำนวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2) หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับ การเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 4) แบบประเมิน ความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ dependent sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียนด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01</p> <p>2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้หนังสือเทคโนโลยีความจริงเสริมร่วมกับการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.42, S.D. = 0.77)</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271175
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง สารละลาย เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2024-06-12T11:04:15+07:00
ชนาธิป ใบยา
chanathip.ba@ku.th
ณัฐพล รำไพ
fedunpra@ku.ac.th
วัตสาตรี ดิถียนต์
feduwtd@ku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ใช้สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (cluster random sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และ t-test แบบ Dependent Samples</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหามีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดี (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.36, S.D.=0.57) คุณภาพด้านเทคนิคอยู่ในระดับดีมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.81, S.D.=0.29) และ ประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.05/76.37 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>2) คะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ</p> <p>3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.58, S.D.=0.58)</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/269821
การพัฒนาทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Word โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-05-23T15:22:10+07:00
นพรัตน์ เฉิดวาสนา
nopparat.ch1990@gmail.com
วิจิตรา โสเพ็ง
wijitra14@npu.ac.th
สฤษดิ์ ศรีขาว
sarit63@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกับ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ไมโครซอฟต์เวิร์ดเบื้องต้น ตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Word ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ไมโครซอฟต์เวิร์ดเบื้องต้น และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ไมโครซอฟต์เวิร์ดเบื้องต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 10 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน 2) แบบวัดทักษะการใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด และ 3) แบบสอบถามความพึงใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Dependent Samples)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ไมโครซอฟต์เวิร์ดเบื้องต้น มีค่าเท่ากับ 78.40/80.60</p> <p>2. ทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Word โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งมีค่าสถิติทดสอบ t-test เท่ากับ 16.661</p> <p>3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.25, S.D.= 0.74) เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์รายด้าน พบว่าความพึงพอใจของนักเรียน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ นักเรียนมีความพึงพอใจด้านผู้สอนอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.57, S.D.=0.58) รองลงมา ได้แก่ ความพึงพอใจด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.32, S.D.=0.73) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.27, S.D.=0.72) ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.18, S.D.=0.87) และ ด้านการวัดประเมินผล อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.93, S.D.=0.75) ตามลำดับ</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/270999
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่ส่งเสริมทักษะการทำงานกลุ่มและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-06-03T11:21:57+07:00
สุภาพร พรประไพ
64010583008@msu.ac.th
ฐาปนี สีเฉลียว
thapanee.see@msu.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 เกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและของทักษะการทำงานกลุ่ม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านภูเหล็ก ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญ คือ 1) ขั้นการสอน 2) ขั้นการศึกษาของทีม 3) ขั้นการทดสอบ 4) ขั้นการรับรางวัลของทีม ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในระดับดีมาก (µ= 4.86, <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma" alt="equation" />=0.022) มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.80/85.80 เป็นไปตามที่กำหนด</p> <p>2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.6491 ซึ่งแสดงว่า นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก้าวหน้า คิดเป็นร้อยละ 64.91 มีค่าดัชนีประสิทธิผลของทักษะการทำงานกลุ่ม มีค่าเท่ากับ 0.7322 ซึ่งแสดงว่า นักเรียนมีคะแนนทักษะการทำงานกลุ่มก้าวหน้า คิดเป็น ร้อยละ 73.22</p> <p>3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.78 ,<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma" alt="equation" /> = 0.45)</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/270732
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะการนำเสนอโดยใช้การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-06-11T13:06:36+07:00
ธัญพิชชา วัลไพจิตร
65130562@dpu.ac.th
สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล
skanung@dpu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard 2) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เปรียบเทียบทักษะการนำเสนอของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนการเคหะท่าทราย จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้การวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ และ 3) แบบประเมินทักษะการนำเสนอ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test for one sample</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 60.27 คะแนน)</p> <p>2) ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> <p>3) ทักษะการนำเสนอของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับกระดาน Moodboard สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271664
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการเกมมิฟิเคชันร่วมกับโปรแกรมสแครช เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2024-07-08T09:27:29+07:00
พรรนิภา ชายขุนทด
pannipa.chayk@ku.th
สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล
sutithep.s@ku.th
ณัฐพล รำไพ
drnattaphon@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการเกมมิฟิชันร่วมกับโปรแกรมสแครช เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงคำนวณ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฯ กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงคำนวณฯ กับเกณฑ์ร้อยละ 80 4) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน จำนวน 41 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความสามารถในการคิดเชิงคำนวณ แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และ t-test แบบ One Sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ขั้นตอนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการเกมมิฟิชันร่วมกับโปรแกรมสแครชเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงคำนวณประกอบด้วย1.กำหนดวัตถุประสงค์2.วิเคราะห์ผู้เรียน3.ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนการออกแบบการเรียนการสอน ADDIE Model 4.ประยุกต์ใช้กลไกของเกม</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3) ความสามารถในการคิดเชิงคำนวณสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>4) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271740
ผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมสมรรถนะดิจิทัล โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2024-07-20T14:35:45+07:00
ทวีวัฒน์ มูลจัด
taweewat.moon@srru.ac.th
อุดม หอมคำ
uuddoomm@srru.ac.th
ขจรศักดิ์ สงวนสัตย์
kajohnss@srru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริง ด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) และสื่อแบบวิดีโอ (Video) ที่ส่งเสริมสมรรถนะดิจิทัล โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนทางตรง และ 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) และสื่อแบบวิดีโอ (Video) โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีรูปแบบการเรียน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยี<br />เสมือนจริงด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) และกลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริง ด้วยสื่อแบบวิดีโอ (Video) กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ที่มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) ได้จำนวน 2 ห้อง รวม 60 คน และได้นำผลการเรียนที่เกี่ยวกับรายวิชา ทางคอมพิวเตอร์ของปีการศึกษาที่ผ่านมาเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย และทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีจับคู่ (Match pair) เข้ากลุ่มทดลองทั้ง 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อที่แตกต่างกัน แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงโดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนทางตรง ข้อสอบวัดความรู้สมรรนะดิจิทัลของนักศึกษาปริญญาตรี แบบประเมินภาคปฏิบัติการสร้างสื่อดิจิทัลสำหรับนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s.d.) การวิเคราะห์ เปรียบเทียบหาความแตกต่างระหว่างคะแนนหลังเรียนของ 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน (t-test independent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริง ด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) และ สื่อแบบวิดีโอ (Video) ที่ส่งเสริมสมรรถนะดิจิทัล โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง ซึ่งจากการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการเรียน 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริง ด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) มีคะแนนสมรรถนะดิจิทัลเฉลี่ยเท่ากับ 31.00 ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดได้ 43 คะแนน และผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดได้ 17 คะแนน มีผู้ที่ผ่านจำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.33 และกลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงโดยด้วยสื่อแบบวิดีโอ (Video) มีคะแนนสมรรถนะดิจิทัลเฉลี่ยเท่ากับ 36.40 ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดได้ 51 คะแนน และผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดได้ 20 คะแนน มีผู้ที่ผ่านจำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33</p> <p>2.ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) และสื่อแบบวิดีโอ (Video) โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง จากการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีรูปแบบการเรียน 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบวิดีโอ (Video) มีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 36.40 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนเท่ากับ 7.71 ซึ่งมีคะแนนสูงกว่า กลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) มีค่าเฉลี่ยนคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 31.00 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนเท่ากับ 8.12 ดังนั้นนักศึกษาปริญญาตรีกลุ่มที่มีจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบภาพนิ่ง (Still Image) โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนทางตรง และกลุ่มที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนเทคโนโลยีเสมือนจริงด้วยสื่อแบบวิดีโอ (Video) โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง มีสมรรถนะดิจิทัลที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271564
การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการเขียนโปรแกรมแบบบล็อก เรื่อง การสร้างแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างนวัตกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-07-20T14:37:37+07:00
วันวิสาข์ สว่างดี
wanwisa.sawang@ku.th
สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล
fedustt@ku.ac.th
ณัฐพล รำไพ
fedunpra@ku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการเขียนโปรแกรมแบบบล็อก เรื่อง การสร้างแอปพลิเคชัน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) ศึกษาความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 4) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ จังหวัดราชบุรี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 39 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) บทเรียนอีเลิร์นนิง 3) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนอีเลิร์นนิง 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบประเมินความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 6) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และ t-test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1)บทเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับการเขียนโปรแกรมแบบบล็อก เรื่อง การสร้างแอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างนวัตกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับคุณภาพมากที่สุด</p> <p>2)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>3)ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>4)ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.54, S.D.=0.69) </p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/272500
การพัฒนาแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษายโสธร เขต 1
2024-08-02T18:01:25+07:00
จิตติญา สมเพ็ง
jittiya_@hotmail.co.th
ทัศน์ศิรินทร์ สว่างบุญ
tatsirin.s@msu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียนคณิตศาสตร์ 2) เพื่อวินิจฉัยการเรียนคณิตศาสตร์ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขข้อบกพร่อง เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร เขต 1 ที่ได้จากการสุ่ม จำนวน 431 คน</p> <p>ผลการวิจัยปรากฎดังนี้</p> <p>1) ได้แบบทดสอบวินิจฉัยการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติ ที่มีคุณภาพโดยผ่านการวิเคราะห์คุณภาพแบบทดสอบตามแนวคิดทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบโดยค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง0.29–2.43ค่าความยาก อยู่ระหว่าง -0.79–2.22ค่าการเดา อยู่ระหว่าง0.00–0.30 แบบทดสอบวินิจฉัยการเรียนคณิตศาสตร์นี้ ให้ค่าสารสนเทศของข้อสอบแต่ละข้ออยู่ระหว่าง 0.00–0.81 ค่าสารสนเทศของแบบสอบที่สูงที่สุดตรงกับนักเรียนที่มีความสามารถ θ=0.87 </p> <p>2)การวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิตสองมิติ พบว่าประเด็นที่พบ ข้อบกพร่องมากที่สุด คือโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยมโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับวงกลม พื้นที่ของวงกลม พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม</p> <p>3)ในการศึกษาแนวทางในการแก้ไขมีแนวทางคือการตรวจสอบความรู้ที่มีมาก่อนของนักเรียนและทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาก่อนการส่งเสริมการวิเคราะห์โจทย์การส่งเสริมให้นักเรียนจดจำสูตรได้การอธิบายที่มาของสูตรการทำแบบฝึกหัดทบทวนการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการคูณการหาร และการนำสถานการณ์จริงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของนักเรียนเข้ามาในบทเรียน</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/270470
การพัฒนาแอปพลิเคชันส่งเสริมทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
2024-06-21T10:38:50+07:00
ชุติมาธร นะมาเส
chutinama@gmail.com
กรวรรณ โหม่งพุฒ
korrru@kku.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันส่งเสริมทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน2)เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแอปพลิเคชันส่งเสริมทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิต ให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มเป้าหมายการศึกษาในครั้งนี้ คือ ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จำนวน 7 คน กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดขอนแก่นซึ่งผู้วิจัยได้คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แอปพลิเคชันส่งเสริมทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 2) แบบประเมินทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ทำการทดลองสัปดาห์ละ 3 วัน เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ งานวิจัยนี้ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่ HE653260</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) แอปพลิเคชันได้รับการพัฒนาตรวจสอบคุณภาพว่ามีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.36/85.11 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้</p> <p>2) ค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.81 แสดงให้เห็นว่าแอปฟลิเคชันส่งเสริมทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตให้สำเร็จด้านความจำขณะทำงานของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 81 </p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271402
การพัฒนาใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC ที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ วิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-07-11T09:00:54+07:00
ธิดารัตน์ เยาวลักษณ์
giibb.thidarat@gmail.com
ขจรศักดิ์ สงวนสัตย์
kajohnss@srru.ac.th
นุชจรี บุญเกต
nootjaree.b@srru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC ที่ส่งผลต่อ ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม (ClusterRandomSampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ 1) ใบงานดิจิทัล 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เทคนิค CIRC 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการพัฒนาใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC ที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญอยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุดมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่4.80 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.11 แผนการจัดการเรียนรู้ใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC ที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน จับใจความสำคัญ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.83 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.14</p> <p>2) ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 15.76 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 19.24 ผลการเปรียบเทียบใบงานดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271557
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้บริบทท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจและทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2024-07-13T16:34:11+07:00
เสาวลักษณ์ พิศนุย
saowaluckae1@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้บริบทท้องถิ่น 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรู้ แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้บริบทท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ 4) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิศาลปุณณวิทยา ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) รูปแบบการเรียนรู้ แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้บริบทท้องถิ่น 2) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ 3) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 4) แบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ พบว่า จุดมุ่งหมายของหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษคือ การพัฒนาและส่งเสริมความสามารถในการอ่านและทักษะการคิดวิเคราะห์โดยเน้นผู้เรียนได้ปฏิบัติงานอย่างมีขั้นตอนและสร้างเป้าหมายของการปฏิบัติอย่างชัดเจนช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจความตระหนักในการเรียน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบและมีความสุขในการเรียนรู้</p> <p>2. รูปแบบการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ มีชื่อว่า “PASAR Model” ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล ซึ่งมีกระบวนการเรียนรู้ได้แก่ ขั้นเตรียมความพร้อมและสร้างแรงจูงใจ (P: Preparing and Motivating) ขั้นกระตุ้นความรู้เดิม (A: Activating background knowledge) ขั้นเรียนรู้อย่างมีความหมายและฝึกภาษา (S: Studying and Practicing) ขั้นวิเคราะห์ และนำความรู้ไปใช้ (A: Analyzing and Applying) และขั้นสะท้อนความคิด (R: Reviewing) ซึ่งรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.76/ 83.50</p> <p>3. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนด้วยรูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>4. ทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>5. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้บริบทท้องถิ่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/271168
การศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์
2024-07-15T20:34:09+07:00
วิชชากร บุตรโยธี
vichakorn88859@gmail.com
อุดม หอมคำ
UUDDOOMM@GMILE.COM
ขจรศักดิ์ สงวนสัตย์
kajohnss@srru.ac.th
<p>การศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์ครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพ ปัญหาและความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์ โดยจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที (t-test Independence) สถิติเอฟ (F-test : One Way ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์มีการใช้และความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แต่ยังมีปัญหาในการใช้งานอยู่บ้าง โดยเฉพาะ ในด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามี ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ระหว่างกลุ่มผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่างกัน ในด้านสภาพ ปัญหา และความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยกเว้นในด้านบันเทิงที่ไม่พบความแตกต่างตามอายุ</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/etcedumsujournal/article/view/272422
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ ในรายวิชาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-07-30T18:26:31+07:00
ฌัชวิทย์ อินทราราม
chatchawitsatit@gmail.com
ธัญญาลักษณ์ จินะเขียว
t.jinakheiw@gmail.com
พิชาภัส วงค์จรณบูรณ์
Wongpichapat17@gmail.com
อชิรญาณ์ สีชา
achiraya.sc@gmail.com
<p>ก</p> <p>กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มกลุ่ม เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) แบบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ 82.13/80.35 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คุณภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.34</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 25.47 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.9</p> <p>3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 25.8 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 86</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Journal of Educational Technology and Communications Faculty of Education Mahasarakham University (JETC)