วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu <p>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความทางวิชาการทางศึกษาศาสตร์ของบุคลากรมหาวิทยาลัยทักษิณ และจากหน่วยงานภายนอกโดยจัดทำเป็นวารสารราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม Online ISSN : XXXX-XXXX</p> th-TH <p>ในกรณีที่กองบรรณาธิการ หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้ตรวจบทความวิจัย หรือ บทความทางวิชาการมีความเห็นว่าควรแก้ไขความบกพร่อง ทางกองบรรณาธิการจะส่งต้นฉบับให้ ผู้เขียนพิจารณาจัดการแก้ไขให้เหมาะสมก่อนที่จะลงพิมพ์ ทั้งนี้ กองบรรณาธิการจะยึดถือความคิด เห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเกณฑ์</p> [email protected] (อาจารย์ ดร.รุ่งทิพย์ แซ่แต้) [email protected] (ศุกร์พรัตน์ รักษกาญจน์) Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และผสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง วัสดุและสสาร ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259023 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง วัสดุและสสาร 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง วัสดุและสสาร กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองปรือ จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 22 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง วัสดุและสสาร 2) แบบประเมินความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ความถี่ ร้อยละ และความก้าวหน้าทางการเรียน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทุกคน ก่อนเรียน อยู่ในระดับปรับปรุง หลังเรียนความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น อยู่ในระดับดี จำนวน 7 คน (ร้อยละ 31.82) อยู่ในระดับพอใช้ จำนวน 13 คน (ร้อยละ 59.09) และอยู่ในระดับปรับปรุงจำนวน 2 คน (ร้อยละ 9.09) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เมื่อคิดระดับความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียน พบว่า มีความก้าวหน้าทางการเรียนรายชั้นอยู่ในระดับปานกลาง <span style="font-size: 0.875rem;">(&lt;g&gt; = 0.31)</span></p> จุฑารัตน์ ปัจจัยโค, จุฬารัตน์ ธรรมประทีป, ดวงเดือน สุวรรณจินดา Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259023 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์และทักษะการคิดขั้นสูง สำหรับนักเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260076 <p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบกลุ่มเดียวก่อนสอบและหลังสอบ (One Group Pretest- Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก และ 2) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มอำเภอเมืองสงขลา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 จำนวน 8 โรงเรียน ในภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2565 จำนวน 73 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ แบบทดสอบวัดทักษะการคิดขั้นสูงในวิชาประวัติศาสตร์ และแบบสอบถามของครูในโรงเรียนขนาดเล็ก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน 16 สัปดาห์ เวลา 16 ชั่วโมง ดำเนินการจัดการเรียนรู้ใน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การทำความเข้าใจสถานการณ์ ขั้นที่ 2 การรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขั้นที่ 3 การพิจารณาและตีความข้อมูล ขั้นที่ 4 การตัดสินใจเลือกข้อสรุป ขั้นที่ 5 การอภิปรายข้อมูลร่วมกัน 2) ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 ทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 และผลการศึกษาความคิดเห็นของครูที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ พบว่า ครูมีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_jvn&amp;space;\bar{x}" />= 4.35, S.D. = 0.12)</p> วิภาดา พินลา, วิภาพรรณ พินลา, ณัชชา มหปุญญานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260076 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ โรงเรียนเทศบาล 2 (อ่อนอุทิศ) สำนักการศึกษา เทศบาลนครสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/264564 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ 2. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ 3. เพื่อพัฒนาโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 2 (อ่อนอุทิศ) เทศบาลนครสงขลา ปีการศึกษา 2564 รวมจำนวน 392 คน ซึ่งได้จากตารางเครจซีและมอร์แกน (Krejcie &amp; Morgan) เครื่องมือที่ใช้จำนวน 4 ฉบับ คือ แบบสอบถามความคิดเห็น แบบประเมิน แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อโปรแกรม และแบบสอบถามความพึงพอใจในการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_jvn&amp;space;\bar{x}" /> ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> </span>1. องค์ประกอบและตัวชี้วัดสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ ประกอบด้วย ด้านการทำงานเป็นทีม 6 ตัวชี้วัด ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน 7 ตัวชี้วัด และด้านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 7 ตัวชี้วัด ซึ่งมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุดทั้งหมด<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะครูที่มากที่สุดในแต่ละด้าน มีดังนี้ ด้านการทำงานเป็นทีม คือ การมีเป้าหมายเดียวกัน ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน คือ การจัดเก็บความรู้ และด้านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ คือ ระยะที่ 3 ส่งมอบนวัตกรรม <br /> 3. ผลการใช้โปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ พบว่า ครูมีสมรรถนะหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรม อย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสมรรถนะครูด้านการทำงานเป็นทีม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และกระบวนการคิดเชิงออกแบบ พบว่าสูงกว่าร้อยละ 80 ทุกด้าน และความพึงพอใจที่มีต่อโปรแกรม ด้านการทำงานเป็นทีมและด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> อมรินทร์ มัชฌิมาภิโร Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/264564 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์ สำหรับผู้พิการทางสายตา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259679 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อการพัฒนาระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา 2) เพื่อสร้างระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา 3) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา4) เพื่อประเมินรับรองระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา และ 5) เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายของระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้พิการทางสายตาที่บอดสนิทและเลือนราง จากโรงเรียนในสังกัดมูลนิธิธรรมิกชนทั่วประเทศ จำนวน 70 คน ผู้อำนวยการและผู้แทนสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล จำนวน 3 คน ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ดิจิทัล จำนวน 40 คน ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินร่างระบบ จำนวน 9 คน ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินสื่อ จำนวน 5 คน กลุ่มตัวอย่างที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพ จำนวน 42 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการรับรองระบบ จำนวน 5 คน<br /> เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ แบบสอบถามผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ แบบสอบถามความต้องการจำเป็นของผู้พิการทางสายตา แบบประเมินคุณภาพสื่อ สื่อโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินและรับรองระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตาสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/ E<sub>2</sub>) <br /> ผลการวิจัยพบว่า <br /> 1. <span style="font-size: 0.875rem;">องค์ประกอบของระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา มี 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) บริบท ได้แก่ นโยบาย สถานการณ์ของผู้พิการทางสายตา และเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร 2) ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ กลุ่มเป้าหมาย เนื้อหารายการ บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์/เครื่องมือ เสียงบรรยายภาพ และปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ 3) กระบวนการสร้างระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพ 3P7e แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก และ 7 ขั้นตอนย่อย คือ ก่อนการผลิตรายการ (1) วิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย (2) เขียนบทบรรยายภาพ (3) ตรวจสอบบทบรรยายภาพ ขั้นตอนการผลิตรายการ (4) ลงเสียงบรรยายภาพ และขั้นตอนหลังการผลิต (5) ตัดต่อลำดับภาพและใส่เสียงบรรยายภาพ (6) ตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ และ (7) นำไปเผยแพร่ 4) ผลลัพธ์ ได้แก่ ระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา และ 5) ผลย้อนกลับ<br /> 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.66/ 87.55 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้<br /> 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการรับรองระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา คะแนนเฉลี่ย <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 4.75 อยู่ในระดับดีมาก<br /> 4. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย มีการนำเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ดิจิทัล และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการนำระบบไปใช้งาน ต้องทำการศึกษากลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ทำการศึกษาองค์ประกอบของระบบการผลิตเสียงบรรยายภาพประกอบรายการโทรทัศน์สำหรับผู้พิการทางสายตา ทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรายการโทรทัศน์ที่มีเสียงบรรยายภาพให้บุคคลทั่วไปได้ทราบ รวมทั้ง สนับสนุนสถาบันการศึกษาให้ทำการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับผู้พิการทางสายตาให้มากขึ้น</span></p> ภัททิรา กลิ่นเลขา, ชัชวาล ชุมรักษา, จินตนา กสินันท์, นพเก้า ณ พัทลุง Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259679 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุมชน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนธนรัตน์วิทยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/261963 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิ์ภาพสื่อวีดิทัศน์ เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุนชน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุมชนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประชากรจำนวน 42 คน เลือกสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุนชน จำนวน 6 แผน 2) สื่อวีดิทัศน์ เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุนชน จำนวน 3 เรื่อง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุมชน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิ์ภาพของสื่อวีดิทัศน์การเรียนการสอนเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของครอบครัวและชุนชน มีค่า E1/E2 เท่ากับ 83.33/83.55 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จิรชญา สันชัย, อนงค์ศิริ วิชาลัย, นิตยา มูลสาร Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/261963 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาแอปพลิเคชันเรื่อง การจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยใน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259138 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ สภาพปัญหา การเรียนการสอนเรื่องการจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในรูปแบบเดิม และความต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันเรื่องการจัดเรียงแบบฟอร์ม เวชระเบียนผู้ป่วยใน 2) พัฒนาแอปพลิเคชัน เรื่องการจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยใน 3) เปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้กระดาษ 4) เปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้แอปพลิเคชัน 5) เปรียบเทียบความรู้ระหว่างหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้กระดาษ กับ หลังการใช้แอปพลิเคชัน และ 6) ศึกษาระดับ ความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาหลักสูตร ปวส.เวชระเบียน ชั้นปีที่ 1 จำนวน 90 คน โดยทำการสนทนากลุ่มตัวอย่างที่ 1 เพื่อศึกษาสถานการณ์ สภาพปัญหาและความต้องการแอปพลิเคชัน ให้กลุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ 2 ทำแบบทดสอบก่อนและหลังฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในแบบกระดาษ ให้กลุ่มตัวอย่างที่ 3 ทำแบบทดสอบก่อนและหลังฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้แอปพลิเคชันพร้อมทั้งทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้แอปพลิเคชัน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีความต้องการให้จัดทำแอปพลิเคชันที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยใน โดยออกแบบมาในรูปแบบของเกม ผลการพัฒนาแอปพลิเคชันเรื่องการจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยใน พบว่า แอปพลิเคชันประกอบไปด้วย ส่วนที่ให้ลงชื่อเข้าใช้ เมนูภายใน แอปพลิเคชัน เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการจัดเรียงเวชระเบียนผู้ป่วยใน 7 ใบหลัก 5 ใบเสริม ส่วนของการเล่นเกมจับคู่ ส่วนแสดงผลคะแนน และส่วน Logout ผลการหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันเรื่องการจัดเรียงแบบฟอร์ม เวชระเบียนผู้ป่วยใน เท่ากับ 80.19/80.89 ความรู้ก่อนและหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้กระดาษ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความรู้ก่อนและหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์ม เวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้แอปพลิเคชัน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความรู้ระหว่างหลังการฝึกจัดเรียงแบบฟอร์มเวชระเบียนผู้ป่วยในโดยใช้กระดาษ กับ หลังการใช้แอปพลิเคชัน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระดับความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันของนักศึกษา ปวส.เวชระเบียน ชั้นปีที่ 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อัญชลี อ่ำประสิทธิ์, ญาณิศา วงษ์สมบัติ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259138 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของครูวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260321 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นครูวิทยาศาสตร์ที่สอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 372 คน ซึ่งได้จากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการคำนวณโดยใช้สูตรของยามาเน่ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และได้มาจากการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจัดการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตามลำดับดังนี้ 1) ให้ผู้เรียนตั้งคำถาม/มีส่วนร่วมในการตั้งคำถามจากสถานการณ์ที่นำเสนอแก่ผู้เรียน (97.1%) 2) ให้ผู้เรียนทำการทดลองตามแผนที่วางไว้ (94.1%) 3) ให้ผู้เรียนทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากสถานการณ์/การสำรวจ/การทดลอง (91.2%) 4) ให้ผู้เรียนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งที่สงสัย (85.3%) 5) ให้ผู้เรียนทำการสำรวจตามแผนที่วางไว้ (79.4%) 6) ให้ผู้เรียนออกแบบการทดลอง (63.6%) และ 7) ให้ผู้เรียนออกแบบการสำรวจ (52.9%) โดยเมื่อพิจารณาในรายละเอียดลักษณะสำคัญของคำถาม สมมติฐาน การออกแบบการสำรวจและการทดลองและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครูวิทยาศาสตร์ให้ผู้เรียนปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พบว่าหลายลักษณะอยู่ในระดับที่น้อยกว่า 50% โดยเฉพาะที่อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ การบอกแนวโน้มหรือผลกระทบสำหรับการสำรวจ/การทดลองครั้งต่อไป (3.1%) การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล (18.8%) และการให้ผู้เรียนประเมินกระบวนการเพื่อการปรับปรุงการสำรวจ/การทดลองจากข้อมูล (18.8%) ซึ่งสมควรได้รับการพัฒนาต่อไป</p> ดวงเดือน สุวรรณจินดา Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260321 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาตัวแปรที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260287 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความมีวินัยในตนเอง เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และกรอบความคิดแบบเติบโต กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 2) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี จังหวัด เพชรบุรี ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น จำนวน 209 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบประเมินตัวแปรที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียน ประกอบไปด้วย 1) ความมีวินัยในตนเอง 2) เจตคติทางวิทยาศาสตร์ 3) เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ 4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 5) กรอบความคิดแบบเติบโต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ สหสัมพันธ์พหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ตัวแปรทุกตัวมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันมากที่สุดเท่ากับ .598 และ 2) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มากที่สุด ซึ่งตัวแปรที่ได้ศึกษาสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีของนักเรียนคิดเป็นร้อยละ 37.40 ซึ่งสามารถสร้างสมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>Z′ = -.132(Z<sub>1</sub>) - .106(Z<sub>2</sub>) + .070(Z<sub>3</sub>) + .646(Z<sub>4</sub>)* + .095(Z<sub>5</sub>)</p> วิภาวัน แสงสวี, ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์, นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260287 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความสุขในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259518 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสุขในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบความสุขในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และรายได้ต่อเดือน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 310 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าสถิติร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสถิติค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความสุขในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบระดับความสุขในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน รายได้ต่อเดือน พบว่า บุคลากรทางการศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 มีความสุขในการทำงานในภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อารีรัตน์ จงดี, สมใจ สืบเสาะ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259518 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 นวัตกรรมวีดิทัศน์วิเคราะห์ทักษะการตบวอลเลย์บอลของนักกีฬาเยาวชน โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/261058 <p>การวิจัยเรื่อง นวัตกรรมวีดิทัศน์วิเคราะห์ทักษะการตบวอลเลย์บอลของนักกีฬาเยาวชนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างเครื่องมือช่วยในการรู้จำทักษะพื้นฐานของการตบบอลกีฬาวอลเลย์บอล 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพจากนวัตกรรมวีดีทัศน์ที่พัฒนาขึ้น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักกีฬาวอลเลย์บอลที่พัฒนาสู่ความเป็นเลิศในจังหวัดศรีสะเกษ รวมทั้งสิ้น 60 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมการตบบอลต้นแบบจำนวน 4 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลประเมินการสร้างเครื่องมือช่วยในการรู้จำทักษะพื้นฐานของการตบบอลของกีฬาวอลเลย์บอล ค่าความตรงตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งฉบับมีค่า (IOC) เท่ากับ 0.88 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อคำถามพบว่าทุกข้อคำถามมีค่า (IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกข้อ ยกเว้นข้อคำถามด้านสามารถกลับมาแก้ไขโปรแกรมได้ วางแผนระบบโปรแกรมถูกต้อง โปรแกรมสามารถรองรับได้หลายระบบ มีค่า (IOC) เท่ากับ 0.67 2) ผลประเมินประสิทธิภาพการสร้างเครื่องมือช่วยในการรู้จำทักษะพื้นฐานของการตบบอลของกีฬาวอลเลย์บอล โดยในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม 4.80 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านให้ผลลัพธ์ที่เชื่อมั่นได้ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 5.00) ด้านผลการประเมินที่ได้มีความชัดเจนเข้าใจง่าย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 5.00) ด้านสามารถประมวลผลได้อย่างถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 4.80) ด้านสามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 4.80) ตามลำดับ</p> ดำรงค์ฤทธิ์ จันทรา Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/261058 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ สำหรับนักเรียนประถมศึกษา สังกัดเครือข่ายการศึกษาเมืองใหม่พัฒนา จังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260026 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ และ 2) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบกลุ่มเดียวก่อนสอบและหลังสอบ (One Group Pretest- Posttest Design) โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดเครือข่ายการศึกษาเมืองใหม่พัฒนา จำนวน 6 โรงเรียนในจังหวัดสงขลา ในภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2565 จำนวน 145 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเรียนรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน 20 สัปดาห์ เวลา 20 ชั่วโมง ดำเนินการจัดการเรียนรู้ใน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 เสนอสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อม ขั้นที่ 2 สำรวจและรวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 3 สะท้อนความคิดในสิ่งที่เกิดขึ้น ขั้นที่ 4 สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ขั้นที่ 5 วัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2) ผลการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ พบว่า ผลการเรียนรู้ของนักเรียนด้านความสามารถในการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}" />= 4.41, S.D. = 0.23)</p> วิภาพรรณ พิมลา, วิภาดา พิมลา, ณัชชา มหปุญญานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/260026 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการสำรวจมโนมติที่คลาดเคลื่อนในรายวิชาชีววิทยา เรื่อง เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยแบบทดสอบวินิจฉัยหลายตัวเลือกแบบสองลำดับขั้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259591 <p> จากเป้าหมายการเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยาเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหลักการ ทฤษฎีและข้อจำกัดโดยผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองจากความรู้ และความเข้าใจที่มีอยู่เดิมผสานกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน แต่มโนมติที่สร้างขึ้นอาจเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์หรือถูกต้องบางส่วน และจากการสำรวจมโนมติที่คลาดเคลื่อนของนักเรียนโดยการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยหลายตัวเลือกแบบสองลำดับขั้นในรายวิชาชีววิทยา เรื่อง เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 63 คน ซึ่งได้รับการเลือกแบบเจาะจงเฉพาะนักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี<br /> ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีมโนมติในระดับที่คลาดเคลื่อนในมโนมติหลักเรื่องชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่พบในสิ่งมีชีวิตในข้อที่ 3 มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 79.37 รองลงมาเรื่องปัจจัยและตัวยับยั้งของเอนไซม์คิดเป็นร้อยละ 66.67 และมโนมติหลักเรื่องการทดสอบคาร์โบไฮเดรต นักเรียนมีมโนมติในระดับที่คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.51 ดังนั้นผลจากการสำรวจและรวบรวมสามารถนำไปใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพ บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและพัฒนามโนมติที่ถูกต้องสมบูรณ์ของนักเรียนต่อไป</p> ภาณุพงศ์ นุ้ยผุด, อรุณรัศมิ์ วณิชชานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259591 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700 ห้องเรียนครูสังคมศึกษากับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259549 <p>การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานเป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การแสวงหาความรู้ ทักษะ กระบวนการ และเจตคติจากชุมชนท้องถิ่น ภายใต้การมีส่วนร่วมระหว่างครู ผู้เรียน และกลุ่มคนในชุมชน ในลักษณะของการเป็นหุ้นส่วนในการเรียนรู้ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร โดยมีขั้นตอนกระบวนการ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 วิเคราะห์ชุมชน ขั้นที่ 2 การวางแผนงานชุมชน ขั้นที่ 3 การปฏิบัติการลงพื้นที่ชุมชน และขั้นที่ 4 การสะท้อนผลชุมชน ซึ่งแต่ละขั้นตอนส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม และเกิดความรัก ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน ตลอดจนการเป็นพลเมืองที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข</p> วิภาดา พินลา, วิภาพรรณ พินลา Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/259549 Tue, 12 Dec 2023 00:00:00 +0700