วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu <p>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความทางวิชาการทางศึกษาศาสตร์ของบุคลากรมหาวิทยาลัยทักษิณ และจากหน่วยงานภายนอกโดยจัดทำเป็นวารสารราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม Online ISSN : 3027-8368</p> th-TH <p>ในกรณีที่กองบรรณาธิการ หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้ตรวจบทความวิจัย หรือ บทความทางวิชาการมีความเห็นว่าควรแก้ไขความบกพร่อง ทางกองบรรณาธิการจะส่งต้นฉบับให้ ผู้เขียนพิจารณาจัดการแก้ไขให้เหมาะสมก่อนที่จะลงพิมพ์ ทั้งนี้ กองบรรณาธิการจะยึดถือความคิด เห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเกณฑ์</p> rungthip@tsu.ac.th (อาจารย์ ดร.รุ่งทิพย์ แซ่แต้) journal.edu.tsu@gmail.com (ศุกร์พรัตน์ รักษกาญจน์) Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้เรียนชั้นประถมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283617 <p>การพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้เรียนระดับประถมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและความรู้ในการป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ ที่พบในโลกไซเบอร์ เช่น การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ การล่อลวง การโจมตีข้อมูลส่วนบุคคล และการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การศึกษาแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง การส่งเสริมความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ การพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลและความฉลาดทางอารมณ์ของผู้เรียน ซึ่งครอบคลุมทักษะสำคัญ เช่น การรักษาอัตลักษณ์ออนไลน์ การคิดวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และการใช้เวลาหน้าจออย่างเหมาะสม ส่วนที่สอง การพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัย โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เกม Interland ได้รับการออกแบบให้ผู้เรียนสามารถฝึกฝนทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านการเล่นเกม ตัวอย่างเช่น การฝึกทักษะคิดก่อนแชร์ข้อมูล การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล การตั้งค่ารหัสผ่านที่ปลอดภัย และการป้องกันตนเองจากการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทาง<br>ไซเบอร์เป็นไปอย่างสนุกสนาน เข้าถึงง่าย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ยศวัจน์ อภิรัตน์ระพี, บุญรัตน์ แผลงศร แผลงศร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283617 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 The Development of a Blended Learning Model Using Case Studies and Business Model Concepts to Enhance Business Planning Skills in Applying Science and Mathematics for Nursing Students in Mae Rim District, Chiang Mai https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283618 <p><strong>Abstract</strong></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>This study aimed to develop and evaluate a blended learning model integrating case studies and business model concepts to enhance business planning skills and the application of science and mathematics in everyday life among nursing students in Mae Rim District, Chiang Mai Province. The research employed a mixed-methods approach with 150 nursing students as the sample. Data collection instruments included surveys, semi-structured interviews, lesson plans, and assessments of learning outcomes. The model consisted of three core components: instructional elements (teachers, students, case studies, digital technology, and learning environment), a structured learning process (preparation, case analysis, learning activities, presentation, and evaluation), and dual platforms (online and classroom-based). The findings revealed a statistically significant improvement in business planning skills, as evidenced by post-test scores (p &lt; 0.05), alongside high levels of student satisfaction and expert validation of the model's appropriateness. The study underscores the model's effectiveness in fostering critical thinking, problem-solving, and the integration of theoretical knowledge into practical applications. The results suggest that the blended learning approach is a robust framework for enhancing educational outcomes, particularly in nursing education. Recommendations include further refinement of the model for diverse educational contexts and ongoing support for digital competency development.</p> Nunticha Pudjaiyo, Kajornatthapol Pongwiritthon, Suttipong Thumtheang, Chavalit Honglertsakul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283618 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องระบบสัทอักษรพินอิน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้องเรียนไตรภาษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง(ฝ่ายมัธยม) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283619 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องระบบสัทอักษรพินอินของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้องเรียนไตรภาษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD&nbsp; กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้องเรียนไตรภาษา ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) ปีการศึกษา 2567 จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย&nbsp; ได้แก่&nbsp; แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องระบบสัทอักษรพินอิน แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD&nbsp; สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการทดสอบที&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD&nbsp;&nbsp; หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; และ 2) ความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD อยู่ในระดับสูง&nbsp; โดยมีค่าเฉลี่ยรวมทุกข้อเท่ากับ 4.29</p> ฐิติมุนินทร์ ชูประดิษฐ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283619 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา เครือซาเลเซียนในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283623 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา และ 2) เปรียบเทียบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา จำแนกตามเพศ อายุ ศาสนา และสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู จำนวน 261 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม จำนวน 52 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .989 สถิติที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (T-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา ทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) การเปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา จำแนกตามเพศ โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และรายด้านต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 ตามลำดับ อายุโดยภาพรวมต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และรายด้านต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 ตามลำดับ ศาสนาในรายด้านมีความคิดเห็นต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสถานศึกษาโดยภาพรวมและรายด้านต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> สิทธิโชติ เอกพันธ์, รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283623 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย สำหรับเด็ก ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283624 <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2) เปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครู สถานที่ปฏิบัติงาน และคุณวุฒิการศึกษา 3) ประมวลข้อเสนอแนะการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครู โดยกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูศูนย์การศึกษาพิเศษ จำนวน 126 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ Scheffe’</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) สภาพการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและด้านการนำหลักสูตรไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย ในภาพรวมและรายด้าน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัย สรุปว่า ควรมีการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นำข้อมูลจากการประเมินหลักสูตรมาใช้วางแผน และจัดให้มีการทำรายงานสรุปผลการดำเนินการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปีการศึกษา</p> มัรญาณ์ อาแว, อะห์มัด ยี่สุ่นทรง, มูฮำหมัด อัซซอมาดีย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283624 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในโลกชีวิตวิถีใหม่ เพื่อส่งเสริมทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283625 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชาคณิตศาสตร์ 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนที่เรียนด้วยสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชาคณิตศาสตร์ และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชาคณิตศาสตร์ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนโนนสุวรรณพิทยาคม จำนวน 30 คน สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย สื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อ E1/E2 และสถิติทดสอบ t-test for dependent</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในรายวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พัฒนาตามกระบวนการของ ADDIE Model มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.83/80.17 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยมีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมโดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53</p> เลอสันต์ ฤทธิขันธ์, จารุมาศ แสงสว่าง, วิชญาพร จันทะนันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283625 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น วิถีชนคนเหนือเขื่อน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283626 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างหลักสูตรท้องถิ่นวิถีชนคนเหนือเขื่อนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และ 2) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นวิถีชนคนเหนือเขื่อนผ่านกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ศึกษาบริบทชุมชน ใช้แบบบันทึกข้อมูลภาคสนาม แบบบันทึกการสำรวจชุมชน แบบสำรวจศักยภาพและทุนทางสังคมในพื้นที่เทศบาลตำบลก้อ สถานที่ที่ใช้ศึกษา ได้แก่ ชุมชนตำบลก้อและโรงเรียนบ้านก้อจัดสรร จากนั้นทำการสนทนากลุ่มร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครู ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 และผู้ที่มีประสบการณ์ มีความเข้าใจเกี่ยวกับชุมชนตำบลก้อ โดยใช้แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกการประชุม ข้อค้นพบหลัก คือ ได้หลักสูตรท้องถิ่นวิถีชนคนเหนือเขื่อนที่ชาวบ้านในชุมชนตำบลก้อร่วมกันสร้างเพื่อให้เป็นไปตามแนวคิดที่ชาวบ้านให้ความสำคัญเห็นว่าเป็นความจำเป็นที่สมาชิกของท้องถิ่นต้องเรียนรู้เพื่อความอยู่รอด ประกอบด้วย หลักสูตรท้องถิ่นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้&nbsp; &nbsp;ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2 หน่วยการเรียนรู้ และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 2 หน่วยการเรียนรู้ กระบวนการวิจัยนี้เน้นส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นโดยโรงเรียนเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นนี้ขึ้นมาได้จนสำเร็จ</p> นิดา เปี้ยวงค์, พิสิษฏ์ นาสี, ออมสิน จตุพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283626 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับนักศึกษาครู https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283627 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาคุณภาพหลักสูตรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับนักศึกษาครู และ 2) ศึกษาผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับนักศึกษาครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาครู สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 29 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566&nbsp; ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) หลักสูตรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับนักศึกษาครู 2) เอกสารประกอบหลักสูตรฯ&nbsp; 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และ 4) แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – test dependent samples</p> <p>&nbsp;ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการสร้างหลักสูตรฯ ประกอบด้วย 4 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ภัยร้าย PM หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เติมเต็มองค์ความรู้ ชั่วโมงหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 กูรูสู้ฝุ่น และหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 สานฝันฉลาดรู้สุขภาพ&nbsp; จำนวน 8 ชั่วโมง และคุณภาพของหลักสูตรฯ มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.60, S.D = 0.44) เอกสารประกอบหลักสูตรฯ มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.51, S.D = 0.52)&nbsp; 2) การศึกษาผลการใช้หลักสูตรฯ พบว่า นักศึกษาครู สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 29 คน ที่ผ่านการเรียนรู้ตามหลักสูตรฯ มีคะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีระดับความสามารถในการรอบรู้ด้านสุขภาพภาพรวมอยู่ในระดับสูง ( =3.63, S.D = 0.51)</p> เกษทิพย์ ศิริชัยศิลป์, พิชชา ถนอมเสียง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283627 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาวิธีการเผชิญปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283628 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบวัดวิธีการเผชิญปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ และ 2) ศึกษาระดับวิธีการเผชิญปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบวัดวิธีการเผชิญปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 1-4 ระดับปริญญาตรี ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2567 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จำนวน 379 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ระดับวิธีการเผชิญปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.14 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการสร้างความปลอดภัยทางออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 รองลงมาได้แก่&nbsp; ด้านการตระหนักรู้ในตนเอง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12 ด้านการจัดการทางอารมณ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 ด้านการจัดการแบบมุ่งไปที่ปัญหา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.09 และด้านการสนับสนุนทางสังคม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.07 ตามลำดับ</p> พัทธ์รดา ยาประเสริฐ, สุวัชราพร สวยอารมณ์, ปฐมา สุขทวี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283628 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283630 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะงานวิจัยเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานของนักศึกษา และเพื่อศึกษาค่าขนาดอิทธิพลจำแนกตามระดับการศึกษา และรายวิชาของงานวิจัย กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยงานวิจัยที่นำมาสังเคราะห์ในครั้งนี้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่ศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain<strong>-</strong>base Learning<strong>) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</strong>ซึ่งสืบค้นรายชื่อวิจัยจากฐานข้อมูลงานวิจัย Thailis ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่จัดเก็บเอกสารฉบับเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Collection<strong>) </strong>พบว่างานวิจัยที่ได้จากการสืบค้นเป็นจำนวน 50 เล่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสังเคราะห์งานวิจัยซึ่งมีลักษณะเป็นแบบตรวจเช็ครายการ ซึ่งมีประเด็นดังต่อไปนี้ คือ&nbsp; &nbsp;1) สถาบันการศึกษา 2) ปีการศึกษาที่ผลิต 3) รายวิชา 4) ระดับชั้นของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง 5) สาขาวิชา&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;6) การเลือกกลุ่มตัวอย่าง 7) จำนวนตัวแปรตาม 8) ตัวแปรตาม 9) แบบแผนการวิจัย 10) แบบแผนการทดลอง&nbsp;&nbsp; &nbsp;11) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม 12) ข้อมูลสถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิจัย และ 13) สถิติทดสอบสมมติฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะงานวิจัยเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานของนักศึกษา พบว่า มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.00 สาขาวิชาที่ผลิตงานวิจัยมากคือ สาขาหลักสูตรและการสอน คิดเป็นร้อยละ 72.00 &nbsp;&nbsp;วิชาที่มีการวิจัยมากที่สุดคือวิชาภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อยละ 30.00 การเลือกกลุ่มตัวอย่างสุ่มแบบกลุ่มมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ&nbsp; 46.00 แบบแผนการวิจัยมากที่สุดคือ One-Group Pretest-Posttest Design&nbsp; คิดเป็นร้อยละ 58.00 เครื่องมือที่ใช้วัดตัวแปรตามคือแบบทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 42.39 และค่าขนาดอิทธิพลของระดับการศึกษา และรายวิชาของงานวิจัย พบว่า ค่าขนาดอิทธิพลของผลการวิจัยตามตัวแปรคุณลักษณะงานวิจัย ซึ่งได้ค่าอิทธิพลของตัวแปรทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ ด้านรายวิชาและระดับการศึกษาของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผลการศึกษาค่าขนาดอิทธิพลของงานวิจัยด้านรายวิชา คือ ศิลปะ ดนตรีและนาฎศิลป์ มีค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพลมากที่สุด 4.51&nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาค่าขนาดอิทธิพลของงานวิจัยด้านระดับการศึกษาของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง คือ ระดับชั้นมัธยมศึกษา มีค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพลมากที่สุด 3.76</p> นัสริน สาและ, ฮานีซะห์ มายิ, เดียนา สาและ, อานิษา เด็งระแม, ธีระยุทธ รัชชะ, ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283630 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดแก้ปัญหาที่มีต่อกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283631 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดแก้ปัญหากับกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และ 2) สร้างสมการพยากรณ์กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดแก้ปัญหากลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล กรุงเทพมหานคร ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างมีสัดส่วน จำนวน 220 คน เครื่องมือการวิจัยนี้เป็นแบบทดสอบ 4 ฉบับ (1) แบบทดสอบความคิดวิจารณญาณ (2) แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์&nbsp; (3) แบบทดสอบการคิดแก้ปัญหา และ (4) แบบทดสอบกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม&nbsp; สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson) และสหสัมพันธ์พหุคูณ(Multiple Correlation Coefficient)&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) ตัวแปรทุกตัวมีความสัมพันธ์กับกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยความคิดวิจารณญาณมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันมากที่สุด เท่ากับ .965 และ (2) การค้นหาตัวพยากรณ์ พบว่า&nbsp; การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์และการคิดแก้ปัญหาสามารถพยากรณ์กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมได้ ซึ่งสามารถสร้างสมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Z’ = .639 (Z<sub>1</sub>) + .127 (Z<sub>2</sub>) + .254 (Z<sub>3</sub>)</p> ชุลี สัมพดา , ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ , ดวงเดือน สุวรรณจินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283631 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในเครือข่ายเยาวชนพัฒนา สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283632 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารตามความคิดเห็นของครู 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามเพศและอายุ และ3) ประมวลผลข้อเสนอแนะในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในเครือข่ายเยาวชนพัฒนา สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในเครือข่ายเยาวชนพัฒนา สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และหาค่าความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิแอลฟ่าของ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ครอนบาค ได้เท่ากับ .970 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีอิสระ (t-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหาร ภาพรวม อยู่ในระดับมาก (= 4.04 , SD = .46) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการบริหารงบประมาณ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 4.10 , SD = .61) ด้านการบริหารงานวิชาการ มีค่าเฉลี่ยรองลงมา (= 4.04 , SD = .46) และด้านการบริหารงานบุคคล มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด&nbsp; (= 4.01 , SD = .48) 2) ครูโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในเครือข่ายเยาวชนพัฒนา สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา ที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และครูที่มีอายุต่างกันมีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนไม่แตกต่าง 3) ข้อเสนอแนะในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานของผู้บริหาร ได้แก่ ผู้บริหารควรส่งเสริมพัฒนาด้านการเรียนการสอนและติดตาม สะท้อนผลการนิเทศของครูอย่างต่อเนื่อง ควรวางแผนดำเนินงานและมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ควรมีแผนปฏิบัติการที่ยึดวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นหลักและควบคุมการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า สร้างความโปร่งใส ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ และควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาคาร สถานที่และบุคลากรทุกคน</p> วิษณุ บินล่าเต๊ะ, นวรัตน์ ไวชมภู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283632 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเองสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283634 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเองสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. เปรียบเทียบการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ และ 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบ (One Group Pretest-Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนอนุบาลระแงะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ 2. แบบวัดการเห็นคุณค่าในตนเองสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.87 3. แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.91 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test for Dependent Samples)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ ประกอบด้วย 7 แผน แผนละ 1 กิจกรรม/คาบเรียน ซึ่งได้รับการประเมินแล้วว่ามีประสิทธิภาพอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุดในทุกด้าน มีความเหมาะสมทางภาษาและเวลาที่กำหนด 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการเห็นคุณค่าในตนเองภายหลัง สูงกว่าก่อนใช้การจัดกิจกรรมแนะแนวฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวฯ รายด้าน อยู่ในระดับมากทุกด้าน</p> มูฮัมหมัดฟาเดล ยาลาแว, สุพรรษา สุวรรณชาตรี, ฮารีซอล ขุนอินคีรี, จุฑา ธรรมชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283634 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อการตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาต่อ ในระดับอุดมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283639 <p>นักเรียนในการตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแนะแนว 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดกิจกรรมแนะแนว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแสงจริยธรรมวิทยา จำนวน 32 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมแนะแนว &nbsp;แบบวัดการสำรวจตนเองตามความสนใจและความถนัดและแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบของวิลคอกซัน (Wilcoxon signed-ranks test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนจากแบบวัดการสำรวจตนเองตามความสนใจและความถนัด เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงสรุปได้ว่าหลังการจัดกิจกรรมแนะแนวนักเรียนมีคะแนนความสามารถในการสำรวจตนเองตามความสนใจและความถนัดของนักเรียนสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม และความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดกิจกรรมแนะแนวอยู่ในระดับมาก</p> ฮิบบาน เจะเลาะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283639 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 อุปนิสัยที่มีประสิทธิผลสูงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนสังกัดเทศบาลนครสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283638 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอุปนิสัยที่มีประสิทธิผลสูงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ2) เสนอแนวทางการพัฒนาอุปนิสัยที่มีประสิทธิผลสูงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครสงขลา จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลนครสงขลา จำนวน 153 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้โปรแกรม G* Power Analysis จากนั้นทำการสุ่มแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน แล้วทำการสุ่มอย่างง่ายตามสัดส่วนของจำนวนประชากรครูในแต่ละโรงเรียน และมีผู้บริหารให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.80-1.00 ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้ง 2 ฉบับเท่ากับ .989 &nbsp;และ .984 วิเคราะห์ข้อมูลโดย การทดสอบสมมุติฐาน ใช้สถิติการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) อุปนิสัยที่มีประสิทธิผลสูงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน สังกัดเทศบาลนครสงขลา จังหวัดสงขลา คือ อุปนิสัยการประสานพลังสร้างสิ่งใหม่ (X<sub>6</sub>) เป็นตัวแปรพยากรณ์ที่สามารถพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา ได้ดีที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) แนวทางการพัฒนาอุปนิสัยที่มีประสิทธิผลสูงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครสงขลา จังหวัดสงขลา ได้แก่ การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ครู การสร้างความศรัทธาและความเชื่อถือ การมีภาวะผู้นำของการเปลี่ยนแปลงที่ทันต่อเหตุการณ์การกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนการเรียงลำดับความสำคัญของงาน การคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม และเข้าใจความแตกต่างของครูก่อนที่จะมอบหมายงาน</p> เกตน์พิมพ์ ไพจิตรจินดา, นวรัตน์ ไวชมภู, วัน เดชพิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/283638 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700