https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/issue/feed วารสารครุพิบูล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 2025-06-24T00:00:00+07:00 วารสารครุพิบูล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม edujournal@psru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารเพื่อการตีพิมพ์บทความวิชาการ นำเสนอผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อพัฒนาท้องถิ่น</p> <p><strong>วารสารครุพิบูล</strong> ได้จัดทำทั้งในรูปแบบตีพิมพ์ และอิเล็กทรอนิกส์</p> <p><strong>วารสารครุพิบูล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม</strong></p> <p><strong>Journal of Faculty of Education Pibulsongkram Rajabhat University</strong></p> <p>ขอแจ้งเปลี่ยนแปลงเลขมาตรฐานสากลประจำวารสารครุพิบูล ISSN (Print) และ ISSN (Online)</p> <p>เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ TCI เกี่ยวกับวารสารมีการจดทะเบียน ISSN ที่ถูกต้องกับชื่อภาษาอังกฤษของวารสาร</p> <p><strong>จากเดิม </strong>ISSN: 2351-0943 (Print) <strong>และ </strong>ISSN: 2586-8969 (Online) ตั้งแต่ปี 2557-2566</p> <p><strong>เปลี่ยนเป็นเลข ISSN (ใหม่) </strong></p> <p><strong> <a href="https://portal.issn.org/api/search?search[]=MUST=allissnbis=%223027-7701%22&amp;search_id=37327636">ISSN: 3027-7701 (Print)</a></strong></p> <p><strong> <a href="https://portal.issn.org/api/search?search[]=MUST=allissnbis=%223027-7701%22&amp;search_id=37327636">ISSN: 3027-771X (Online)</a></strong></p> <p><strong>* โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2567) เป็นต้นไป</strong></p> <p><a href="https://www.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/index">https://www.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/index</a></p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/267655 แนวทางสนับสนุนความพร้อมทางการเรียนสำหรับเด็กอนุบาลในห้องเรียนรวมโดยใช้ กรอบการสนับสนุนหลายระดับในห้องเรียนอนุบาลแบบเรียนรวม (MTSS-IKCs) 2024-02-27T10:03:04+07:00 วรรณพร วุฒิจำนงค์ karn91@hotmail.com ศศิลักษณ์ ขยันกิจ sasilak.k@chula.ac.th ชนิศา ตันติเฉลิม chanisa.a@chula.ac.th <p>การจัดการเรียนรวมในระดับชั้นอนุบาลเป็นแนวคิดในการตอบสนองเชิงบวกต่อเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือไม่ บทความนี้นำเสนอแนวทางในการสนับสนุนความพร้อมทางการเรียนสำหรับเด็กอนุบาลที่มีความต้องการจำเป็นและระดับพัฒนาการที่แตกต่างกันในห้องเรียนแบบเรียนรวม โดยใช้กรอบการสนับสนุนหลายระดับในห้องเรียนอนุบาลแบบเรียนรวม (MTSS-IKCs) ที่ผู้เขียนสังเคราะห์ขึ้น ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 4 ประการ ได้แก่ 1) การค้นหาเด็กที่มีปัญหาโดยเร็ว 2) การติดตามความก้าวหน้าเป็นระยะ 3) การออกแบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นตามระดับความต้องการจำเป็น 3 ระดับ และ 4) การประสานร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องกับเด็ก และประกอบด้วยองค์ประกอบ 6 ประการ ได้แก่ 1) การคัดกรองและการประเมินผล 2) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและการวางแผนอย่างตั้งใจ 3) การออกแบบวิธีการสอนและอุปกรณ์ที่ยืดหยุ่น 4) การช่วยเหลือเป็นระดับ 5) การสนับสนุนจากโรงเรียน และ 6) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โดยแต่ละองค์ประกอบมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การส่งเสริมความพร้อมในการเรียนสำหรับเด็กอนุบาลในห้องเรียนแบบเรียนรวมจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และสัมพันธ์กัน</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/272994 อุดมการณ์ครอบครัวเป็นสุขในวรรณกรรมเรื่อง “โซ่เวรี” และ “บ่วงวิมาลา” 2024-11-15T23:17:49+07:00 สุภาวดี เพชรเกตุ supawadeepk@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์อุดมการณ์ครอบครัวเป็นสุขในวรรณกรรมเรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลา โดยศึกษา<br />จากนวนิยายเรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลาของณารา และละครโทรทัศน์เรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลาที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7HD งานวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องอุดมการณ์ในการวิเคราะห์ผลการวิจัยพบว่าในวรรณกรรมเรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลา ปรากฏอุดมการณ์ครอบครัวเป็นสุข 3 ประการ คือ ประการแรกลูกมีหน้าที่ทำให้พ่อแม่มีความสุข ต้องไม่นำความเดือดร้อน และไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ประการที่สอง พ่อแม่ย่อมรักลูก แม้จะเป็นพ่อแม่โดยไม่ตั้งใจ ต้องให้อภัยและอยู่เคียงข้างลูก ประการสุดท้ายครอบครัวที่สมบูรณ์ประกอบด้วยพ่อแม่ลูก หากเกิดความไม่เข้าใจกันทุกคนในครอบครัวควรพูดคุยปรับความเข้าใจกัน และรู้จักยอมรับในข้อผิดพลาดของตนเอง นอกจากนี้ในวรรณกรรมเรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลาพยายามสร้างอุดมการณ์ใหม่ให้สังคม คือ ผู้หญิงสามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลได้ และผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลลูกสำคัญกว่าผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูก อุดมการณ์ครอบครัวเป็นสุขที่ปรากฏในเรื่องโซ่เวรีและบ่วงวิมาลาเป็นอุดมการณ์ที่ได้รับการสืบทอดกันมานานในสังคมไทยผ่านสถาบันต่าง ๆ ในสังคม อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าวรรณกรรมมีส่วนในการส่งต่ออุดมการณ์ครอบครัวสู่สังคมและมีทั้งส่วนที่ผลักดันหรือส่วนฉุดรั้งการพัฒนาสังคมได้</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/268779 ลักษณะเฉพาะความสยองขวัญ ในนวนิยายของตรี อภิรุม 2024-03-24T16:14:15+07:00 วัชรีย์ อินทะชิต Mickeyz_p@hotmail.com กาญจนา วิชญาปกรณ์ Mickeyz_p@hotmail.com <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่อง “การศึกษานวนิยายของตรี อภิรุม ในฐานะวรรณกรรมสยองขวัญ” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะเฉพาะความสยองขวัญที่ปรากฏในนวนิยายสยองขวัญของตรี อภิรุม จำนวน 6 เรื่อง ได้แก่ แก้วขนเหล็ก จอมเมฆินทร์ นาคี1 ลูกสาวซาตาน ภูตพยัคฆ์ และนางพญาอสรพิษ โดยใช้กรอบแนวคิดลักษณะความเป็นนวนิยายสยองขวัญ ผลการศึกษาพบว่า นวนิยายของตรี อภิรุม มีคุณลักษณะของความเป็นนวนิยายสยองขวัญสร้างโดยใช้ลักษณะเฉพาะความสยองขวัญ ผ่านการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ 1) ภาพ เกิดจากการรับรู้ด้วยตา เช่น การนองเลือด แผลเหวอะหวะ ศพเน่า การแปรเปลี่ยนสภาพร่างกาย อวัยวะหัก ขาด 2) รส เกิดจากการรับรู้ด้วยลิ้น เช่น ผีดิบกัดคอดูดเลือด ได้รับรสคาว รสกร่อยของเลือด 3) กลิ่น เกิดจากการรับรู้ด้วยจมูก เช่น การได้กลิ่นเน่าของซากศพ กลิ่นสาบ กลิ่นตุ ๆ กลิ่นคาวเลือด และกลิ่นเหม็นเขียว 4) เสียง เกิดจากการรับรู้ด้วยหู เช่น เสียงหมาหอน เสียงของอมนุษย์ เสียงร้องโหยหวนทรมาน และ 5) สัมผัส เกิดจากการรับรู้ด้วยกาย เช่น สัมผัสกายผีดิบ สัมผัสโครงกระดูก ซึ่งลักษณะเฉพาะความสยองขวัญดังกล่าวมีส่วนทำให้นวนิยายของตรี อภิรุม มีความเป็นนวนิยายสยองขวัญอย่างเด่นชัด</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/275063 การส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนโดยใช้นวัตกรรมสื่อการสอนจากแท็บเล็ตเก่าร่วมกับบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ในชั้นเรียนที่สอนด้วยวิธีการแบบเปิด 2025-01-10T22:49:46+07:00 เทพธิทัต เขียวคำ theptithut.k@psru.ac.th ไกรลาส มาตรมูล theptithut.k@psru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีปฏิบัติเชิงการสอนสำหรับส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนโดยใช้นวัตกรรมสื่อการสอนจากแท็บเล็ตเก่าร่วมกับบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ในชั้นเรียนที่สอนด้วยวิธีการแบบเปิด และ 2) ศึกษาผลการประเมินทักษะการแก้ปัญหาด้านการคิดเชิงคำนวณของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายคือ ทีมการศึกษาชั้นเรียน จำนวน 10 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 22 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กของรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย นวัตกรรมสื่อการสอนจากแท็บเล็ตเก่าร่วมกับบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหาด้านการคิดเชิงคำนวณของนักเรียน แบบบันทึกวิธีปฏิบัติเชิงการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ เครื่องบันทึกวีดิทัศน์ เครื่องบันทึกเสียง และเครื่องบันทึกภาพนิ่ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์วิดีทัศน์ร่วมกับวิเคราะห์โพรโทคอล และวิเคราะห์ค่าร้อยละจากนั้นนำเสนอข้อมูลในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ และแผนภูมิแท่งเปรียบเทียบ ผลการวิจัยพบว่า 1) วิธีปฏิบัติเชิงการสอนสำหรับส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณ ประกอบด้วย ครูต้องให้ความสำคัญกับการใช้ปัญหาปลายเปิดที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของนักเรียนผ่านการใช้นวัตกรรมสื่อการสอน ฯ เพื่อช่วยกระตุ้นให้นักเรียนใช้การคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาร่วมกันกับเพื่อน หลังจากนั้นครูสำรวจการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนเพื่อใช้จัดลำดับ และทำการเชื่อมโยงการคิดเชิงคำนวณในขั้นของการอภิปรายร่วมกันโดยครูเชื่อมโยงการคิดเชิงคำนวณตั้งแต่ การคิดแบบลำดับขั้นตอนแบบเหตุการณ์ แบบเงื่อนไข และแบบวนซ้ำ ผ่านการใช้คำถาม การอภิปรายร่วมกัน และการใช้นวัตกรรมสื่อการสอนจนนำไปสู่การบรรลุจุดประสงค์ของบทเรียนที่มีความหมายและยั่งยืน 2) ผลประเมินทักษะการแก้ปัญหาด้านการคิดเชิงคำนวณของผู้เรียนในแต่ละประเภทมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นประกอบด้วย แบบลำดับขั้นตอนเพิ่มจากร้อยละ 18.00 เป็นร้อยละ 30.00 แบบเหตุการณ์เพิ่มจากร้อยละ 17.00 เป็นร้อยละ 29.00 แบบเงื่อนไขเพิ่มจากร้อยละ 12.00 เป็นร้อยละ 32.00 และแบบวนซ้ำเพิ่มจากร้อยละ 3.00 เป็นร้อยละ 45.00 ตามลำดับ</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/270810 การพัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับ Formula coding ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel เรื่อง สารละลายสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2024-07-09T11:12:32+07:00 เอมอัชนา เพ็ชรสะอาด aimutchanap65@nu.ac.th สุรีย์พร สว่างเมฆ sureepornka@nu.ac.th <p> งานวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับ Formula coding ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel เรื่อง สารละลาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และเพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนจากการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะการคิดเชิงคำนวณ และแบบบันทึกกิจกรรม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบความน่าเชื่อถือแบบสามเส้าด้านแหล่งข้อมูล และวิธีรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับโปรแกรม Microsoft Excel เรื่อง สารละลาย ขั้นยืนยันปัญหาครูควรใช้ประเด็นเกี่ยวกับสารเคมีตกค้างในการเกษตร และแบ่งปัญหาออกเป็นส่วนย่อย ขั้นชี้แจงปัญหาควรพิจารณารูปแบบปัญหาที่มีรายละเอียดคล้ายกันนำมาระบุรายละเอียดที่สำคัญ ขั้นวางแผนควรออกแบบขั้นตอนการแก้ปัญหาด้วยการบูรณาการกับสะเต็ม และ Formula coding ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel และขั้นประเมินแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด และ 2) หลังการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็มศึกษาร่วมกับ Formula coding ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel พบว่าทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนมีการพัฒนาจากระดับ พอใช้ เป็นระดับ ดี</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/267122 สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนขยายโอกาส 2024-01-15T16:07:49+07:00 พัชญา ศรีเสมอ patchaya.sg63@ubru.ac.th จำลอง วงษ์ประเสริฐ patchaya.sg63@ubru.ac.th ปริญญา มูลสิน patchaya.sg63@ubru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาส 2) เพื่อประเมินดัชนีความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาส กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 46 คน และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 333 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็น จำนวน 2 ฉบับ แบ่งเป็น สำหรับครู 1 ฉบับ และสำหรับนักเรียน 1 ฉบับ มีค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.98 และ 0.97 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการวิเคราะห์สภาพปัญหาในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงคำนวณ ระดับของสภาพปัญหาโดยภาพรวมทั้งของครูและนักเรียน อยู่ในระดับมาก ซึ่งครูมีค่าเฉลี่ยระดับของสภาพปัญหาอันดับแรก ได้แก่ ด้านรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และนักเรียนมีค่าเฉลี่ยระดับของสภาพปัญหาอันดับแรก ได้แก่ ด้านสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 2. ผลการประเมินดัชนีความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงคำนวณ มีค่าเฉลี่ยดัชนีความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีลำดับความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ ด้านความสามารถในการแก้ปัญหา</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/269780 การพัฒนาและการใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้วยรูปแบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันตก 2024-09-24T15:30:18+07:00 อนุ เจริญวงศ์ระยับ anujarer@gmail.com <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการพัฒนาครูและบุคลกรทางการศึกษาภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี 2) ศึกษาผลการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ Active Learning โดยกระบวนการจัดการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แหล่งข้อมูลในการศึกษาเป็น คลิปประชาสัมพันธ์โครงการ คลิปสัมภาษณ์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เอกสารการอบรมและคลิปการอบรม ผลงานการออกแบบการเรียนรู้ จำนวน 10 ผลงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อสังเคราะห์ให้เห็นกระบวนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาของโครงการ และ ผลการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สพฐ. และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันตกมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะต้นน้ำเป็นระยะการให้ความรู้และการฝึกปฏิบัติโดย สพฐ. และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ระยะกลางน้ำเป็นระยะการดำเนินการจัดการเรียนรู้ของครู ภายใต้การดูแลจากโรงเรียน สพฐ. และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และระยะปลายน้ำเป็นผลผลิตจากโครงการ ได้แก่ เรื่องเล่าความสำเร็จ (A3) คลิปวิดีโอการสอน และการจัดนิทรรศการ ผลการดำเนินการในระยะกลางน้ำพบว่า การมีส่วนร่วม PLC ในการสนับสนครูของโรงเรียนยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก 2) ผลการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps พบว่า ครูออกแบบการจัดการเรียนรู้ทำให้นักเรียนสามารถสร้างนวัตกรรมเป็น 2 กลุ่มคือ นวัตกรรมเชิงรูปธรรม นวัตกรรมเชิงนามธรรม และในบางกลุ่มสาระครูใช้ GPAS 5 Steps เป็นเพียงขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ แต่กระบวนการเรียนรู้ยังคงเป็นกระบวนการภายใต้ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้เฉพาะของหน่วยการเรียนรู้นั้น</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/264790 การพัฒนาระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์เพื่อใช้ในงานฝึกประสบการณ์วิชาชีพ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 2024-12-04T17:10:40+07:00 สุรีย์พร แก้วหล่อ sureeporn.ka@psru.ac.th บัญชา สำรวยรื่น sureeporn.ka@psru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์ 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์ และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจที่มีต่อระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์เพื่อใช้ในงานฝึกประสบการณ์วิชาชีพ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 242 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพและแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผ่านการหาค่าความเชื่อมั่นของคำถามจากผู้ทรงคุณวุฒิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ได้ระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์เพื่อใช้ในงานฝึกประสบการณ์วิชาชีพที่พัฒนาจาก Google for Education 2) ระบบที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.59, S=0.49) และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อระบบข้อมูลนักศึกษาแบบออนไลน์ฯ ในภาพรวมในระดับมาก (M=4.36, S=0.56)</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/264282 การศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 2025-03-30T21:59:39+07:00 นริศรา แสงจันทร์ narissara@phichit2.go.th ปาริฉัตร ผูกจิตร pkruchat@gmail.com สวนีย์ เสริมสุข v_svanee@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 2) ศึกษาระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 7 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 285 คน ได้มาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกน (Krejcies &amp; Morgan, 1970) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง จำนวน 5 ข้อ และแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) เครื่องมือวัดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ประกอบด้วย 6 ด้าน มีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 และมีค่าความเที่ยงในแต่ละด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนด้านเนื้อหา จุดประสงค์และตัวชี้วัด มีค่าเท่ากับ 0.863 ด้านที่ 2 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน มีค่าเท่ากับ 0.954 ด้านที่ 3 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน มีค่าเท่ากับ 0.955 ด้านที่ 4 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้มีค่าเท่ากับ 0.916 ด้านที่ 5 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอน มีค่าเท่ากับ 0.953 และด้านที่ 6 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการวัดผลและประเมินผลมีค่าเท่ากับ 0.922 ค่าความเที่ยง ทั้งฉบับ มีค่าเท่ากับ 0.953 2) ระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ในภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับสูง (M = 3.91) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย พบว่า ครูผู้สอนที่มีอายุและประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้แตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/266690 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ 2023-12-26T09:40:26+07:00 อวยพร ดำริมุ่งกิจ auayporn.nam@gmail.com สุรีย์พร สว่างเมฆ auaypornd63@nu.ac.th มลิวรรณ นาคขุนทด auaypornd63@nu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สำรวจสภาพปัญหาในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์จากอาจารย์ผู้สอน และ 2) สำรวจความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์จากนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบสำรวจสภาพปัญหาในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์จากอาจารย์ผู้สอน และ 2) แบบสำรวจความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์จากนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1) การศึกษาเชิงคุณภาพเป็นการศึกษาข้อมูลจากข้อคำถามปลายเปิด โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และ 2) การศึกษาเชิงปริมาณเป็นการศึกษาข้อมูลจากมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNImodified) กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ ในการสอนรายวิชาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จำนวน 134 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่ม โดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกนแกน (Krejcie and Morgan) และนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 44 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (purposive Sampling) โดยเป็นนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ที่จะต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2566 ผลการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณจากอาจารย์ และนักศึกษามีความสอดคล้องกัน ซึ่งผลการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพพบว่า นักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์มีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมรรถนะด้านการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาข้อมูลเชิงปริมาณที่พบว่า ระดับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ในด้านสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับต่ำกว่าด้านสภาพที่คาดหวัง และเมื่อพิจารณาผลการจัดลำดับความต้องการจำเป็นรายสมรรถนะพบว่า สมรรถนะที่มีความต้องการจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สมรรถนะด้านการเรียนรู้ รองลงมา คือ สมรรถนะด้านการศึกษา สมรรถนะด้านเทคโนโลยี และสมรรถนะด้านสังคม ตามลำดับ</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/264136 การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย 2023-08-07T13:41:29+07:00 สุจิตรา อิ่มกระจ่าง sujittra210334@gmail.com เกสร กอกอง Sujittra210334@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams และ 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดสุพรรณพนมทองก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ผลการวิจัย พบว่า 1. ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ประกอบด้วยชุดกิจกรรม 5 ชุด ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมภาพสวยด้วยมือเรา 2) ชุดกิจกรรมเร้าใจให้สร้างสรรค์ 3) ชุดกิจกรรมมทราบซึ้งความหมาย 4) ชุดกิจกรรมมหัศจรรย์จากรูปภาพ และ 5) ชุดกิจกรรมประดิษฐ์เป็นเรื่องราว เมื่อนำไปตรวจสอบคุณภาพพบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.92 / 80.95 2. ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams โดยรวมอยู่ในระดับมาก (M = 7.29) (S = 0.73) 3. ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsru/article/view/268589 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว 2024-04-22T10:50:13+07:00 ชัชฎา ทรรภลักษณ์ aorphd@gmail.com สุกัญญา แช่มช้อย aorphd@gmail.com พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ aorphd@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว และ2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว ประชากร คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,360 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 343โรงเรียน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษากลุ่มบริหารวิชาการ หรือ หัวหน้างานฝ่ายบริหารวิชาการ รวมทั้งสิ้น 686 คน เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.33) และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.64) 2) ความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว จำแนกตามการบริหารวิชาการ พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ ด้านการวัดและประเมินผล (PNImodified = .085) รองลงมาคือด้านการพัฒนาหลักสูตร (PNImodified = .0072) และด้านการจัดการเรียนรู้ (PNImodified = .066) ตามลำดับ เมื่อจำแนกตามแนวคิดผู้เรียนที่ฉับไว พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ ความฉับไวทางผู้คน (PNImodified = .078) ความฉับไวทางผลลัพธ์ (PNImodified = .077) และความฉับไวทางการเปลี่ยนแปลง (PNImodified = .075) ตามลำดับ</p> 2025-06-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม