https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/issue/feed
วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2025-08-31T11:36:02+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิราวรรณ จรัสรวีวัฒน์
sirawan@go.buu.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา<strong> ISSN 2822-0730 (Online) </strong>เป็นวารสารด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ที่เผยแพร่บทความวิชาการ และบทความวิจัยที่เกี่ยวกับสาขาศึกษาศาสตร์ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ของบุคลากร คณาจารย์ นิสิต และผู้สนใจ ทุกบทความผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จากหลากหลายสถาบัน ซึ่งไม่อยู่สังกัดเดียวกันกับผู้แต่ง อย่างน้อย 3 ท่าน ซึ่งไม่เปิดเผยข้อมูลเจ้าของบทความและข้อมูลผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ (Double blinded) โดยกองบรรณาธิการมีสิทธิ์แก้ไขบทความตามความเหมาะสม มีกำหนดออกเผยแพร่วารสาร จำนวน 3 ฉบับต่อปี ดังนี้<br />ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม -เมษายน<br />ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>ISSN <span style="font-size: 0.875rem;">2822-0730</span> (Online)</strong></p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/269490
การวิเคราะห์องค์ประกอบความสำเร็จของการจัดการศึกษาเรียนรวม โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-05-30T22:08:46+07:00
จิรัฐิพร โพธิ์ด้วง
63603046@kmitl.ac.th
บุญจันทร์ สีสันต์
boonchan.si@kmitl.ac.th
ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์
pariyaporn.tu@kmitl.ac.th
ขวัญธิศศรา อภิสุขสกุล
kwantitsara.ap@kmitl.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันความสำเร็จของการจัดการศึกษาเรียนรวม โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครูที่รับผิดชอบงานการจัดการศึกษาเรียนรวม ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดฉะเชิงเทรา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 476 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยโปรแกรม G* Power3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 และค่าความเชื่อถือได้ทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง (Confirmatory Factor Analysis : CFA) ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบความสำเร็จของการจัดการศึกษาเรียนรวม โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) ด้านนักเรียน 2) ด้านสภาพแวดล้อม 3) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และ 4) ด้านเครื่องมือ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" /> = 207.55; <em>df</em> = 181; <em>p-value</em> = 0.09; <em>GFI</em> = 0.97; <em>AGFI</em> = 0.93; <em>CFI</em> = 1.00; <em>SRMR</em> = 0.02; <em>RMSEA</em> = 0.02; <em>RMR</em> = 0.02</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/269510
การสังเคราะห์องค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นพลเมืองดิจิทัลของนักเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย
2024-05-07T21:53:06+07:00
บุญญาพร บุญถนอม
tuam233@gmail.com
ยศวีร์ สายฟ้า
yotsawee.s@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบความเป็นพลเมืองดิจิทัลและพฤติกรรมบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นพลเมืองดิจิทัลของนักเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย จากการศึกษาแหล่งข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 14 แหล่ง ซึ่งผ่านการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ผลการสังเคราะห์องค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นพลเมืองดิจิทัล พบว่า ความเป็นพลเมืองดิจิทัลมี 10 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การเข้าถึงดิจิทัล 2) การเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ 3) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ 4) การมีจริยธรรมและการเอาใจใส่ 5) การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี 6) การสร้างอัตลักษณ์และการสื่อสาร 7) การมีส่วนร่วมในฐานะพลเมือง 8) การมีสิทธิและความรับผิดชอบ 9) การจัดการความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย และ 10) การตระหนักรู้ในฐานะผู้บริโภค โดยมีพฤติกรรมบ่งชี้รวม 139 ตัวบ่งชี้ ครอบคลุมด้านพุทธิพิสัย (K) ด้านทักษะพิสัย (P) และด้านจิตพิสัย (A)</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274096
การพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะโดยใช้การฝึกพลัยโอเมตริกควบคู่กับการฝึกตาราง 9 ช่อง เพื่อเสริมสร้างความคล่องแคล่วว่องไวสำหรับนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง
2024-11-25T09:41:18+07:00
สุทธิศักดิ์ อินโนนพะเนา
sutthisak1324@gmail.com
วสันต์ สรรพสุข
wasan.sa@up.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะโดยใช้การฝึกพลัยโอเมตริกควบคู่กับการฝึกตาราง 9 ช่อง เพื่อเสริมสร้างความคล่องแคล่วว่องไว 2) เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมฝึกทักษะโดยใช้การฝึก พลัยโอเมตริกควบคู่กับการฝึกตาราง 9 ช่อง 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงที่มีต่อโปรแกรมฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนที่เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงของโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) โปรแกรมการฝึกทักษะโดยใช้การฝึกพลัยโอเมตริกควบคู่กับการฝึกตาราง 9 ช่อง 2) แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักกีฬาวอลเลย์บอล ที่มีต่อโปรแกรมฝึกทักษะ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระยะเวลา 6 สัปดาห์ และทำการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 6 จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเหมาะสมของโปรแกรมฝึกทักษะโดยใช้การฝึกพลัยโอเมตริกควบคู่กับการฝึกตาราง 9 ช่อง มีค่าเฉลี่ยจากการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด <span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> </span>= 4.78, <em>S.D. </em>= 0.11) 2) ผลการเปรียบเทียบความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกและก่อนการฝึกมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงที่มีต่อโปรแกรมฝึกทักษะ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด <span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></span><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;"> = 4</span><span style="font-size: 0.875rem;">.75 </span><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">และ </span><span style="font-size: 0.875rem;">S.D.</span><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;"> = 0.</span><span style="font-size: 0.875rem;">44</span><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">)</span></p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274097
การวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายรูปแบบ (MULTIMODAL CONTENT ANALYSIS) ระหว่างวิดีโอการสอนวิชาเคมีจากยูทูบ (YOUTUBE) ของไทยและต่างประเทศ
2024-11-19T14:18:18+07:00
ศรัญญา กสิพร้อง
sarunya.puifai@gmail.com
ชยุตม์ ภิรมย์สมบัติ
chayut.p@chula.ac.th
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้มีเพื่อวิเคราะห์ลักษณะการใช้รูปแบบที่หลากหลาย (Multimodality) ของสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาเคมีในรูปแบบวิดีโอจากยูทูบและเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาเคมีในรูปแบบวิดีโอจากยูทูบของไทยและต่างประเทศ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายรูปแบบ (Multimodal content analysis) เพื่อทำความเข้าใจลักษณะการใช้รูปแบบที่หลากหลายที่อยู่ภายในสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาเคมี โดยได้คัดเลือกสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาเคมีในรูปแบบวิดีโอจากยูทูบในหัวในวิชาเคมี คือ การเกิดพันธะเคมี (พันธะไอออนิกและพันธะโคเวเลนต์) ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบที่ปรากฎในวิดีโอจากยูทูบของไทยและต่างประเทศ มีการใช้ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง สัญศาสตร์ อีกทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบต่าง ๆ เพื่อร่วมกันสื่อความหมาย ทำให้วิดีโอสามารถอธิบายให้ผู้เรียนได้เข้าใจความเป็นนามธรรมของวิชาเคมีได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า ความยาวของวิดีโอต่างประเทศสั้นกว่าของไทย รูปแบบการดำเนินวิดีโอของไทยมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน และจุดประสงค์ของวิดีโอต่างประเทศเน้นอธิบายที่หลักการและการประยุกต์ใช้ในบทเรียนมากกว่าของไทยที่เน้นการสอนแบบอธิบาย ซึ่งเหมาะสำหรับการทบทวนก่อนสอบ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274497
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร
2024-11-28T13:51:31+07:00
ศิวาพร ทำตะลุง
siwaporn.tumtalung@gmail.com
อุไร สุทธิแย้ม
urai_suthiyam@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่าง คือ ครูสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของโคเฮน จำนวน 370 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.973 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน <br /><br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ภาพรวมอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274515
การทำช่องรายการสร้างการรับรู้ ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการดำเนินการธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่
2024-12-05T14:13:50+07:00
ณฐาภพ สมคิด
nathapobs@go.buu.ac.th
นคร ละลอกน้ำ
nakhon@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารของกลุ่มเป้าหมาย และศึกษาความต้องการดำเนินการธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ 2) เพื่อจัดทำช่องรายการสร้างการรับรู้ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อรายการสร้างการรับรู้ การวิจัยเป็นรูปแบบวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ 1) นิสิตระดับปริญญาตรี ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ (Snowball sampling) 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน 3) ประชาชนทั่วไปที่เข้ามารับชมรายการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินคุณภาพ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการศึกษา พบว่า 1) ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารสูงสุดคือ Facebook ช่วงเวลาที่เข้าใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด คือช่วง 16.00-18.00 น. ระยะเวลาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในแต่ละวัน อยู่ที่ 6-8 ชั่วโมง อุปกรณ์ที่เข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด คือ โทรศัพท์มือถือ รูปแบบ VDO คอนเทนต์ในการสร้างการรับรู้สำหรับการเป็นผู้ประกอบการ คือ สัมภาษณ์และตอบคำถามต่าง ๆ 2) ผลการพัฒนาช่องรายการประกอบไปด้วยรายการจำนวน 6 ตอน และผลการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ช่องรายการสร้างการรับรู้ ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการดำเนินการธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ พบว่ามีค่าเฉลี่ยรวม 4.56 อยู่ในเกณฑ์ “มากที่สุด” 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจ ภาพรวมทั้ง 6 ตอน มีค่าเฉลี่ยรวม 4.63 อยู่ในระดับ “มากที่สุด” ดังนั้นรูปแบบช่องรายการที่พัฒนาขึ้นเป็นระบบที่มีคุณภาพและมีความพึงพอใจต่อผู้รับชม</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274528
มิติของความเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
2024-11-13T23:12:29+07:00
เพียงหทัย ยาวิราช
pianghathai.nulek@gmail.com
สันติ บูรณะชาติ
santi.bu@up.ac.th
วิทยา จันทร์ศิลา
pianghathai.nulek@gmail.com
น้ำฝน กันมา
numfon.gu@up.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) มิติของความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และ 3) มิติของความเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ส่งผลต่อการส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 383 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) มิติของความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู อยู่ในระดับมากที่สุด คือ มิติด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย มิติด้านการรู้ดิจิทัล มิติด้านการเคารพสิทธิของบุคคลอื่น และมิติด้านการรักษาอัตลักษณ์และข้อมูลส่วนบุคคล ตามลำดับ 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู อยู่ในระดับมาก คือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และ ด้านการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์เชิงบวก ทั้ง 4 มิติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมิติที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู คือ มิติด้านการรู้ดิจิทัล และมิติด้านการเคารพสิทธิของบุคคลอื่น สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูร้อยละ 30.3</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/274639
แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา อำเภอพบพระ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2
2024-11-13T23:06:54+07:00
ธีรศักดิ์ จำปาฤทธิ์
kruaun9@gmail.com
ประจบ ขวัญมั่น
krujob69@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบและหาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้บริหารสถานศึกษา อำเภอพบพระ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้กลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและครูผู้สอนรวม 254 คน หาแนวทางพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญ 17 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย ร้อยละ และสถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงจำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน (3) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง พบว่า 1) การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ผู้บริหารควรพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายภายนอกนำองค์กรสู่ความสำเร็จได้ 2) การสร้างแรงบันดาลใจ ผู้บริหารควรส่งเสริมพัฒนาครูและเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพัฒนาสู่เป้าหมาย 3) การกระตุ้นทางปัญญาผู้บริหารควรนำเทคนิคการบริหารประยุกต์ใช้แก้ปัญหา พัฒนาองค์กรผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ 4) การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ผู้บริหารควรศึกษาระเบียบกฎหมายข้อปฏิบัติเป็นที่ปรึกษาให้ครูได้</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edubuu/article/view/278412
การพัฒนา WEB APPLICATION เพื่อการบริการและการเรียนรู้ สำหรับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา
2025-05-15T16:41:20+07:00
เฉลิมเกียรติ ดีสม
chalermkiat@go.buu.ac.th
วีระพันธ์ พานิชย์
weerapun@go.buu.ac.th
ศรัณย์ ภิบาลชนม์
sarunp@go.buu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา Web application เพื่อการบริการและการเรียนรู้ สำหรับสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา 2) ประเมินคุณภาพ Web application โดยผู้เชี่ยวชาญ และ 3) ประเมินความพึงพอใจการใช้ Web application เพื่อการบริการและการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ADDIE Model ในการดำเนินงาน</p> <p>Web application ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยฟังก์ชันหลัก ได้แก่ Smart classroom พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดประตูอัตโนมัติด้วยมือถือของผู้ใช้บริการ Web board ที่มีฟังก์ชันค้นหาข้อมูลช่วยในการถาม-ตอบ ระบบ Poll สำหรับสำรวจความคิดเห็นการใช้บริการและความนิยมในการเข้าถึงสารสนเทศ และระบบ e-resource สำหรับเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศ</p> <p>กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ใช้บริการห้องสมุดจำนวน 380 คน และเจ้าหน้าที่ห้องสมุดจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ Web application ที่พัฒนาขึ้น แบบประเมินคุณภาพ Web application โดยผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความพึงพอใจการใช้ Web application สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>S.D.</em>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) Web application ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยฟังก์ชันหลัก ได้แก่ Smart classroom พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดประตูอัตโนมัติด้วยมือถือของผู้ใช้บริการ Web board ที่มีฟังก์ชันค้นหาข้อมูลช่วยในการถาม-ตอบ ระบบ Poll สำหรับสำรวจความคิดเห็นการใช้บริการและความนิยม ในการเข้าถึงสารสนเทศ และระบบ e-resource สำหรับเขาถึงทรัพยากรสารสนเทศ 2) Web application ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />= 5.00) จากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ในทุกด้าน ทั้งด้านความสามารถในการทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ และด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจการใช้ Web application พบว่า กลุ่มผู้ใช้บริการห้องสมุดมีความพึงพอใจในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />= 4.22, <em>S.D.</em>= 0.58) และกลุ่มเจ้าหน้าที่ห้องสมุดมีความพึงพอใจในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />= 4.29, <em>S.D.</em>= 0.59) สรุปได้ว่า Web application ที่พัฒนาขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ห้องสมุดได้อย่างมีคุณภาพและมีศักยภาพในการยกระดับการบริการและการเรียนรู้ภายในห้องสมุด</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา