วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm <p>วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารธุรกิจ มนุษย์ศาสตร์สังคมศาสตร์ บริหารการศึกษา ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย </p> th-TH appmaadmimppm@gmail.com (ดร.อำนวย บุญรัตนไมตรี) paewphan.rcim@gmail.com (นางสาวแพรวพรรณ พระพานะ) Fri, 29 Aug 2025 22:58:23 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาข้อเสนอแนะในการยกระดับแผนพัฒนาท้องถิ่น เทศบาลนครสุราษฎร์ธานีบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272557 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมและสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานตามแผนพัฒนาเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี&nbsp; 2) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจากการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี 3) เพื่อให้ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีในปีงบประมาณต่อไป&nbsp; การวิจัยเป็นแบบผสมผสาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่ในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จำนวน 400 ตัวอย่าง โดยจำแนกการเก็บข้อมูลตามเขตพื้นที่พัฒนา จำนวน 4 เขต สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการสร้างแบบสัมภาษณ์ในสนทนากลุ่ม ครอบคลุม 4 เขตพื้นที่การพัฒนา การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย&nbsp;</p> <p>ผลการศึกษา 1) ประชาชนมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ตั้งแต่ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ รองลงมาการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ตามลำดับ 2) ความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานตามแผนพัฒนาเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลางทุกยุทธศาสตร์ &nbsp;3) สภาพปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจากการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า การจัดทำบริการสาธารณะของเทศบาลยังไม่ครอบคลุมทั่วเขตการดูแลของเทศบาล ปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอก อาทิ ปัญหาปริมาณขยะรวมถึงความต้องการถังขยะ ปัญหาด้านน้ำประปา ปัญหาด้านถนน ปัญหาการจราจร ปัญหาความไม่ปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ&nbsp; ประชาชนและชุมชนมีความต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการสาธารณะอยู่ในระดับมาก 4) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาของเทศบาล พบว่า ผลการวิเคราะห์ภาพจำลองหรือภาพอนาคตการบริการสาธารณะของเทศบาลเทศบาลหรือเรียกว่า ฉากทัศน์ โดยการพัฒนาในรูปแบบ “เมืองของทุกคน” เน้นนโยบายส่งเสริมการพัฒนาเมืองเพื่อให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ และพัฒนาทักษะของคนที่อยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้น สามารถดึงดูดให้คนเข้ามาร่วมพัฒนาเมืองมากขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการทำงานเพื่อออกแบบและตอบโจทย์ให้กับความหลากหลายของคนในเมือง ให้เป็นเมืองที่คนทุกช่วงวัยอยู่ในเมือง “อย่างมีความสุข”</p> วัฒนา นนทชิต, อุบลวรรณ บุญแก้ว, กรวิทย์ เกาะกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272557 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดเพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267820 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อพรรณนาการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัย ขององค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรี 2)เพื่อวิเคราะห์ความพร้อมการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรี และ3)เพื่อเสนอแนวทางการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดนวัตกรรมสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยและทฤษฎีการจัดการเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ องค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดเพชรบุรี อำเภอละ 1 ตำบล รวม 8 ตำบล โดยเลือกแบบเจาะจงจากตำบลที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการดีเด่นด้านใดด้านหนึ่ง ในรอบแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 8 คน และผู้นำท้องที่ ผู้นำชุมชน จำนวน 16 คน ซึ่งเลือกแบบเจาะจงจากผู้มีประสบการณ์ด้านการพัฒนางานผู้สูงวัย อำเภอละ 2 คน รวมผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า<br /> 1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรีมีการดำเนินการในประเด็นการจัดสวัสดิการด้านสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเรียนรู้และเทคโนโลยี ตามนโยบายรัฐบาล จังหวัด และบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบล <br /> 2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรีต้องมีการพัฒนาความพร้อมด้านการจัดการที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยได้แก่นโยบายและแผนการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัยเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจัดการด้านอื่นๆ ได้แก่ การจัดองค์กร บุคลากร การอำนวยการ การประสานงาน และการรายงานผลการปฏิบัติงาน<br /> 3. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเพชรบุรี มีแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมตามรูปแบบบันได 7 ขั้น 4PCCN Model ประกอบด้วย 1) สร้างการรับรู้ (Perception) 2) จัดตั้งองค์กรแบบมีส่วนร่วม (Participatory organization) 3) จัดทำนโยบายพัฒนาสังคมสูงวัยระดับตำบล (Policy for Aging Society) 4) จัดทำแผนการจัดการสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงวัย (Plan for the elderly social) 5) พัฒนาศักยภาพบุคลากร (Core Competency’s Staff) 6) พัฒนาระบบการสื่อสาร (Communication System) และ 7) พัฒนาภาคีเครือข่าย (Networking)</p> นพวรรณ เลิศผสมสิทธิ์, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์, อำนวย บุญรัตนไมตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267820 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267696 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการบริหารความปลอดภัยของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 18 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 266 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า1. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการบริหารงานความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ปัจจัยด้านผู้บริหาร ปัจจัยด้านครู และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนส่งผลต่อการบริหารงานความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์</p> มยุรี ไพฑูลย์, วรรณรี ปานศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267696 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้เรียนให้ห่างไกลจากยาเสพติด ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267683 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้เรียนให้ห่างไกลจากยาเสพติดและ 2)ศึกษาการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้เรียนให้ห่างไกลจาก ยาเสพติด จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่างคือครู จำนวน 289 คน คิดเป็นร้อยละ 98.30 ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือแบบสอบถาม มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า ที แบบอิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้เรียนให้ห่างไกลจากยาเสพติด พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำได้ดังนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รองลงมาได้แก่ การเฝ้าระวัง การบริหารจัดการ การให้คำปรึกษา และการบำบัดรักษา ตามลำดับ 2. การบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมผู้เรียนให้ห่างไกลจากยาเสพติด จำแนกตามเพศ และประสบการณ์ในการทำงานไม่มีความแตกต่างในภาพรวมแต่มีความแตกต่างในรายด้าน เมื่อจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่ามีความแตกต่างในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำนวน 4 ด้าน</p> ศิริวรรณ ม่วงไหมทอง, พิภพ วชังเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267683 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารกับการมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267688 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 2) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารกับมีการส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 จำนวน 289 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า <span lang="X-NONE" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">1</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">. บทบาทของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต </span><span lang="X-NONE" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">2</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;"> อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้แก่ บทบาทด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รองลงมาได้แก่ บทบาทด้านการตัดสินใจ และบทบาทด้านสารสนเทศ </span>2. การมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยดังนี้ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล</p> พัฒน์ธิตา หอมฤทธิ์, วรรณนรี ปานศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267688 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267477 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของครู และ 2)เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยจำแนกตามเพศ อายุ วุฒิทางการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดการยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 278 คน ใช้วิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครซี่ และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1.การยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยภาพรวม และรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก <br />2.การยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 จำแนกตามเพศ อายุ วุฒิทางการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ ต่อครูและผู้บริหารสถานศึกษา สามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนาการยอมรับนวัตกรรมทางการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ให้เกิดประสิทธิภาพทางการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้นในสถานศึกษา</p> ชะมัยพร นาคสิงห์, สมใจ สืบเสาะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267477 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล ของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269054 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร สร้างและประเมินรูปแบบการนิเทศฯ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนตามวัตถุประสงค์ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครโดย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน 400 คน ขั้นตอนที่ 2 การร่างรูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครโดย ศึกษานิเทศก์ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์เนื้อหาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองขององค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดล =173.98,&nbsp; df=154,&nbsp; p=0.12912, /df=1.13, GFI=0.96, AGFI =0.94 ,RMSEA=0.018, RMR= 0.016 และ SRMR=0.037 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด องค์ประกอบมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีความสอดคล้องกับกรอบแนวคิด ทฤษฎีของการวิจัย 2) รูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบได้แก่ (1) ด้านหลักการของรูปแบบ (2) ด้านวัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) ด้านกระบวนการนิเทศ (4) ด้านผลลัพธ์การนิเทศ และ (5) ด้านปัจจัยเอื้อความสำเร็จ 3) รูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> ลลวัลย์ อธิชกุล, จิรศักดิ์ สุรังคพิพรรธน์, วรรณรี ปานศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269054 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269397 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพแบบสร้างทฤษฎีจากข้อมูล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ 2) ออกแบบนวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ และ 3) ตรวจสอบและยืนยันนวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ กลุ่มครู กลุ่มผู้บริหาร และกลุ่มนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการศึกษาปฐมวัย จำนวน 26 คน โดยการเลือกแบบกำหนดเกณฑ์เฉพาะ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเกตและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และนำผลลัพธ์ทั้งหมดมาประกอบกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ ประกอบไปด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ด้านการมีส่วนร่วม และด้านความปลอดภัย 2) นวัตกรรมแนวคิดที่ได้จากการออกแบบ คือ นวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ภายใต้องค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ที่เรียกว่า PPS Triangle และ3) นวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในความปรกติใหม่ มีความถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปได้ในระดับดีมาก</p> นัฏฐ์ดนุช จรครบุรีธนาดุล, ทนง ทองภูเบศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269397 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กยุคหลังโควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/271022 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)&nbsp; เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นการบริหารทรัพยากรการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กยุคหลังโควิด-19 2) เพื่อสร้างกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กยุคหลังโควิด-19 และ 3)&nbsp; เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กยุคหลังโควิด-19 เป็นการวิจัยผสมผสาน การวิจัยปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 375 โรงเรียน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยการเปิดตาราง Krejcie and Morgan (1970) และสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับฉลากแบบไม่ใส่คืน แหล่งข้อมูลวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก เก็บรวมรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น การวิจัยคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสําคัญในการสนทนากลุ่ม จำนวน 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาแบบอุปนัย ผลการวิจัย พบว่า ในการบริหารบุคลากรและงบประมาณ โรงเรียนมีความสามารถในการมอบหมายงานตามความถนัดและมีการใช้เทคโนโลยีจัดการข้อมูลอย่างมีระบบ แต่ยังคงประสบปัญหางบประมาณจำกัด ด้านวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ โรงเรียนมีการสำรวจความต้องการและใช้เทคโนโลยีในการจัดการข้อมูล ขณะที่ด้านการระดมทรัพยากรและการจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันโควิด-19 โรงเรียนมีมาตรการที่ดีและเน้นการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการสนับสนุน</p> กติกา พฤกจันทร์, วรรณรี ปานศิริ, ทนง ทองภูเบศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/271022 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมความตั้งใจในการลดขยะอาหารในร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269301 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สร้างขยะอาหาร ในร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โดยมีกรอบแนวคิดของงานวิจัยประยุกต์จากทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน และได้เพิ่มปัจจัยเกี่ยวกับทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อม รสนิยมการทานอาหาร และการให้รางวัล วิธีการสำรวจเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จำนวน 547 คน จากผู้ใช้บริการร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อตอบแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัย พบว่าปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สร้างขยะอาหาร ในร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ได้แก่ บรรทัดฐานส่วนตัว ทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อม การควบคุมพฤติกรรม รสนิยมการทานอาหาร และความตั้งใจที่จะลดขยะอาหาร ประโยชน์ที่ได้จากงานวิจัย สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาการวางแผนกลยุทธ์ในการกำหนดรูปแบบการให้บริการ การกำหนดเงื่อนไขในการให้บริการ รวมถึงการพัฒนาด้านการให้บริการ เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการและการควบคุมปริมาณขยะอาหารที่เกิดขึ้นในการให้บริการร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ได้ในอนาคต</p> รมยพร กิติเวียง, จุฑามาศ วงค์กันทรากร, ถนอมศักดิ์ สุวรรณน้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269301 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267480 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี จำแนกตาม เพศ อายุ วุฒิการศึกษา และ ประสบการณ์การทำงาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือ สถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 วิทยาลัย บุคลากรทั้งหมด 306 คน ใช้วิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน่ และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1.<span style="font-size: 0.875rem;">การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี จำแนกตาม อายุ และ ประสบการณ์การทำงานโดยภาพรวม และรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </span><span style="font-size: 0.875rem;">องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์เพื่อพัฒนาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารจัดการงานอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี</span></p> ระเด่น ธรรมเนียม, สมใจ สืบเสาะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267480 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/268824 <h1>บทความนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา 2)เพื่อศึกษาระดับทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู 3)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู 4)เพื่อพยากรณ์ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู 5) เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 370 คน โดยกําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane, 1973) และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.957 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย () ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2.ระดับทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู โดยภาพรวมและรายทักษะมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3.ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ในทางบวกและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 4.ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ด้านที่มากที่สุดคือ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 5.ผู้บริหารต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สามารถถ่ายทอดให้กับครูในสถานศึกษาให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฎิบัติงาน</h1> นภาเพ็ญ ภูหาด, อัจฉราวรรณ จันทร์เพ็ญศรี, มีนมาส พรานป่า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/268824 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้หลักธรรมทศพิธราชธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการทำงานของครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269498 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ระดับการใช้หลักธรรมทศพิธราชธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ 2) ระดับแรงจูงใจในการทำงานของครู และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้หลักธรรมทศพิธราชธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยคือ ครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ จำนวน 217 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1) การใช้หลักธรรมทศพิธราชธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ ในภาพรวมและรายข้ออยู๋ในระดับมากที่สุด 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูตามความเห็นของครูในภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมากที่สุด 3) การใช้หลักธรรมทศพิธราชธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงในในการทำงานของครู มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง และเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ในแต่ละด้านพบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>องค์ความรู้ DM's circle จากงานวิจัยนี้ พบว่า ครูในยุคศตวรรษที่ 21 ให้ความสำคัญกับการทำงานโดยการสร้างแรงผลักดัน แรงกระตุ้นจากตนเองเป็นหลัก เห็นได้ชัดจากผลการวิจัยที่มีคะแนนทางสถิติสูงสุด 3 ด้าน ของหลักทศพิธราชธรรม คือ ด้านอวิโรธนัง, ด้านอะวิหิงสา, และด้านตะปัง สะท้อนให้เห็นว่าการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้บริหาร เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารบุคลากร และองค์กร</p> ปรียาภรณ์ คำผุด, อัจฉราวรรณ จันทร์เพ็ญศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269498 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269538 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาระดับปัจจัยการบริหารและการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 3)ศึกษาแนวทางการบริหารที่เอื้อต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยตารางเครซี่และมอร์แกน จำนวน 222 คน คัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย โดยใช้แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นด้านปัจจัยการบริหาร .92 และค่าความเชื่อมั่นด้านการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในทำงาน .93 เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล คือผู้บริหาร จำนวน 6 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับปัจจัยการบริหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับมาก (r=.778) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3. แนวทางการบริหารที่เอื้อต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสร้างเครือข่ายทางวิชาการ เพิ่มทางช่องทางที่หลากหลายในการตืดต่อสื่อสาร จัดหาสื่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพการศึกษ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน</p> <p> องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ได้แก่ Ma’s manage กระบวนการในการบริหารจัดการเพื่อให้การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ</p> มาลิสา รักษ์วงษ์, ศิริรัตน์ ทองมีศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269538 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อการบริหารงานของเทศบาลเมืองทุ่งสง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269847 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาการสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงาน 2) เปรียบเทียบการสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงานเทศบาลเมืองทุ่งสงจำแนกตาม เพศ อายุ ประเภทกลุ่ม ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน สถานภาพ และระยะเวลาอาศัยอยู่ในเทศบาลเมืองทุ่งสง และ 3) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงานของเทศบาลเมืองทุ่งสง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองทุ่งสง จำนวน 394 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยตารางสำเร็จรูปของทาโร่ ยามาเน่ โดยสุ่มอย่างง่าย และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน กำหนดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเที่ยง เทากับ .98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า1) การสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงานของเทศบาลเมืองทุ่งสง ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ประชาชนที่มีเพศ อายุ และสถานภาพสมรสแตกต่างกันมีการสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงานเทศบาลเมืองทุ่งสงแตกต่างกัน และ 3) แนวทางการส่งเสริมการสื่อสารในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการบริหารงานของเทศบาลเมืองทุ่งสง ประกอบด้วย1) ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 2) สร้างความสัมพันธ์เสมือนคนในครอบครัว 3) เปลี่ยนการมีส่วนร่วมเป็นเชิงรุก 4) ใช้การสื่อสารทั้งแบบดั่งเดิมและสมัยใหม่ และ 5) ตรงกลุ่มเป้าหมายและชัดเจน</p> สมฤดี หวังวณิชชากร, วิทยาธร ท่อแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269847 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางวิชาการ ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273049 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1)ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2)ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 3)ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 369 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิโดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยแบบสอบถามภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 และแบบสอบถามการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย ผลวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2.ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 </p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาในการนำผลการวิจัยเรื่องภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษามาใช้ในการพัฒนาตนเองและองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา</p> ทิพย์วรรณ บัวพล, กฤษฎิ์ กิตติฐานัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273049 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การจัดการองค์ประกอบการฝึกอบรมที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/270826 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักสูตร ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจเลือกใช้บริการของการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย ของ บริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด และ 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักสูตรและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่ใช้บริการ ของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด จำนวน 300 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า<br />1.องค์ประกอบหลักสูตรของการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัดภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด<br />2.ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของบริการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัดภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด<br />3.การตัดสินใจเลือกใช้บริการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัดภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด<br />4.องค์ประกอบหลักสูตรและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของบริษัทเพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ เป็นแนวทางสำหรับการจัดองค์ประกอบของการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย ให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้เข้ารับการอบรม และสามารถนำไปใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด</p> พิชชาภา กันทะวงค์, อรไท ชั้วเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/270826 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในกลุ่มพนัสนิคม 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272240 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในกลุ่มพนัสนิคม 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 2 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีใช้แนวคิดของฮอลย์ อิงลิช และสเตฟฟี่ (Hoyle, English &amp; Steffy, 1998) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนในกลุ่มพนัสนิคม 3 ประชากร คือ ครูผู้สอนในโรงเรียนกลุ่มพนัสนิคม 3 จำนวน 129 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และผู้บริหารการศึกษาในจังหวัดชลบุรีจำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการบริหารของผู้บริหารโดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับทักษะการบริหาร คือ 1.1) ค่านิยมและจริยธรรมของการเป็นผู้นำ 1.2) การวางแผนและการพัฒนาหลักสูตร1.3) การจัดการเรียนรู้ 1.4) การประเมินผลงานและการบริหารบุคลากร 1.5) การพัฒนาบุคลากร 1.6) การสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน 1.7) การกำหนดนโยบายและการปกครอง1.8) ความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ 1.9) การบริหารจัดการองค์กร 1.10) การวิจัยทางการศึกษา การประเมินผล และการวางแผน และ 2) แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า 2.1) ทักษะการวิจัยทางการศึกษาการประเมินผลและการวางแผน ผู้บริหารควรสร้างความตระหนักให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาถึงความสำคัญของการวิจัย และส่งเสริมการทำวิจัยใน ชั้นเรียนเพื่อแก้ไขและพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้นวัตกรรมในจัดการเรียนการสอน นำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเสนอผลงาน ผ่านช่องทางวารสารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2.2) ทักษะการบริหารจัดการองค์กร ผู้บริหารควรบริหารจัดการองค์กรโดยแบ่งออกเป็น 4 ฝ่าย ใช้หลัก 4M ในการบริหารจัดการ และ SWOT สภาพปัญหาทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ผู้บริหารต้องรู้ระเบียบและรู้กฎหมาย ยึดหลักการบริหารแบบ มีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งในองค์กรและชุมชน จะทำให้สถานศึกษา มีความสุข และมีประสิทธิภาพ และ 2.3) ทักษะความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ผู้บริหารควรทบทวนปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จจากความรู้ ประสบการณ์การปฏิบัติงาน การปฏิบัติตน เพื่อเพิ่มทักษะ สมรรถนะในการบริหาร และส่งเสริมผู้บริหารสถานศึกษาศึกษาดูงานโรงเรียนที่เป็นเลิศเพื่อพัฒนาโรงเรียนให้ถึงเป้าหมาย</p> พรพิมล บานเย็น, มีนมาส พรานป่า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272240 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273047 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2)เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัย เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูของโรงเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 369 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบคำนวณโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ โดยการใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นของการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ตอน คือ1) แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร 3) แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า1. ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 2.ระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.676 และสามารถพยากรณ์การบริหารงานวิชาการของโรงเรียน ได้ร้อยละ 45.70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังนี้ Y = 2.455 + 0.437X</p> <p> องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบริหารวิชาการนำผลการวิจัยมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานและปรับใช้ในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนและผู้บริหารโรงเรียนนำผลการวิจัยมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง</p> <p> </p> จันทร์นภา ฉิมพาลี, กฤษฎิ์ กิตติฐานัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273047 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับการใช้อำนาจ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273096 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2)เพื่อศึกษาระดับการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับการใช้อำนาจ ของผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้ทฤษฎีความฉลาดทางอารมณ์ ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และทฤษฎีการใช้อำนาจของเฟร็นซ์และราเวน เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือโรงเรียนสังกัด สพม.กท 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ จำนวน 369 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ จำแนกตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า1. ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความดี มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านความสุข ส่วนด้านความเก่ง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2. ระดับการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอำนาจการให้โทษ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านอำนาจความชอบธรรม ส่วนด้านอำนาจการให้รางวัล มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3. ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์ กับการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทิศทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .637 </p> <h1 style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาให้เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมในฐานะผู้นำเพื่อพัฒนาองค์การให้ประสบผลสำเร็จในการดำเนินงาน</span></h1> รตินันท์ เพชรแท้, กฤษฎิ์ กิตติฐานัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/273096 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/279681 <p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบการรณรงค์หาเสียงที่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย และ 2) รูปแบบการจัดตั้งหัวคะแนนที่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล เจ้าหน้าที่เทศบาล หัวคะแนน ผู้นำชุมชน และประชาชนทั่วไป โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 40 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสร้างข้อสรุป</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า1) รูปแบบการรณรงค์หาเสียงที่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย คือ การออกเดินไปตามบ้านเรือนของประชาชน หรือที่เรียกว่า “การเคาะประตูบ้านขอคะแนน” เพราะเป็นการเข้าถึงประชาชนโดยเฉพาะเทศบาลตำบลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตเมือง 2) รูปแบบการจัดตั้งหัวคะแนนที่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย คือ ระบบหัวคะแนนแบบเครือข่ายหรือแบบขายตรง</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การใช้รูปแบบการรณรงค์หาเสียงแบบเคาะประตูบ้าน ร่วมกับการจัดรณรงค์หาเสียงแบบเครือข่ายหรือแบบขายตรง มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลยดังนั้นผู้สมัครอาจใช้แนวทางนี้เป็นแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลในจังหวัดเลย</p> เลแกน สุธรรม, วิษณุชัย พละบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/279681 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 Organizing New Public Services that Emphasize the Use of Digital Technology and Sustainability: Challenges and Opportunities https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/278384 <p>In the present era, the development of digital technology has progressed rapidly and has played an important role in changing the way people live and work. Digital technology is not only changing business sectors and industries, but it also has the potential to raise the quality of public services in many areas, such as health services, education, and transportation management and resource management. However, the use of digital technology in providing public services still faces many challenges, both in terms of information security, equality of access, developing people's digital skills, and bureaucratic adjustment (World Economic Forum, 2021).</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Meanwhile, sustainability is becoming an increasingly important issue in all sectors of society. Sustainable development means using resources in an efficient and environmentally responsible manner to create a good and stable well-being for present and future generations. Integrating digital technology with sustainability concepts in public services is an interesting approach that has the potential to solve many problems facing society (World Bank, 2021).</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The concept development and presentation "New Public Services Focused on Digital Technology and Sustainability: NPDS" has arisen in response to emerging needs and challenges. The combination of technology and sustainability concepts not only improves service efficiency but can also reduce environmental impact and create long-term sustainability (Forbes, 2020).</p> <p>This article aims to explore the key elements, challenges, and opportunities of reorganizing public services that emphasize the use of digital technology and sustainability. It is hoped that this content will be beneficial to policy development and operations in various sectors in Thailand.</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> Wanlop Rathachatranon ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/278384 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรทางการศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/270856 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรทางการศึกษาได้แก่1)ศึกษาแนวความคิดการสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรทางการศึกษ2)แนวทางการสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรทางการศึกษา โดยปัจจุบันการบริหารจัดการการศึกษาต้องอาศัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เน้นกระบวนการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริหารจัดการศึกษาประสบความสำเร็จ</p> <p>ผู้เขียนจะนำเสนอแนวทางการสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทัศนคติและจิตใจให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมายขององค์กรโดยองค์กรจะต้องมีการสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรให้กับบุคลากรในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย 1)ด้านพฤติกรรมที่แสดงออก 2) ด้านการรับรู้ 3) ด้านความคงอยู่ 4) ด้านทัศนคติ และ 5) ด้านบรรทัดฐาน</p> ชัยณรงค์ สิริพรปรีดา, อุษา งามมีศรี, พิภพ วชังเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/270856 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารของผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อความสำเร็จในองค์กร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269082 <p>การสื่อสารทางการเมืองของผู้บริหารท้องถิ่น เป็นกระบวนการที่สำคัญในการปฏิบัติงานทั้งทางการด้านการเมืองและการบริหารองค์กร ดังนั้นผู้บริหารท้องถิ่นจำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่ดี เช่น การให้โอกาสผู้รับข่าวสารโต้กลับ การเลือกใช้ภาษาที่ง่าย ๆ การตั้งใจรับฟัง ระงับการมีอารมณ์และความรู้สึก และ สังเกตอากัปกิริยาของคู่สนทนา นอกจากนี้ผู้บริหารท้องถิ่นควรนำหลัก หลัก 9C’s ซึ่งประกอบด้วย 1) ความชัดเจน 2) ความถูกต้อง 3) ความครบถ้วน 4) ความหนักแน่นมีสาระ 5) ความกระชับ 6) ความสมเหตุสมผล 7) ความมีมารยาท 8) ความน่าเชื่อถือ และ 9) ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้การสื่อสารทั้งภายในและภายนอกส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรได้</p> นฤมล รัตนาภิบาล, วิทยาธร ท่อแก้ว, สุภาภรณ์ ศรีดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269082 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700