https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/issue/feed
วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
2024-09-13T20:41:58+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
phumphakhawat.ps@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารธุรกิจ มนุษย์ศาสตร์สังคมศาสตร์ บริหารการศึกษา ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย </p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267152
เครื่องมือทางการคลังกับการจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน
2023-12-22T19:43:34+07:00
สุรสีห์ บัวจันทร์
ttin_srs@hotmail.com
สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ
shssr@mahidol.ac.th
<p> บทความนี้เป็นการศึกษาเครื่องมือทางการคลังที่ใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในบริบทของประเทศไทย และศึกษาการใช้เครื่องมือทางการคลัง ผ่านกรณีศึกษาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ทั้งนี้ การจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการจัดการจำนวนมาก ดังนั้น เครื่องมือทางการคลังจึงเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาล ซึ่งภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดเครื่องมือทางการคลังที่ใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน 4 ประการ ได้แก่ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มติม พระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณ และพระราชกำหนดกู้เงิน โดยเครื่องมือแต่ละประการมีลักษณะเฉพาะที่ถูกนำมาใช้ในระยะของการบริหารจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เป็นการฉายภาพการใช้เครื่องมือทางการคลังภายใต้สถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินของประเทศที่เกิดขึ้นจริง โดยรัฐบาลใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางและงบประมาณเงินกู้เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งมีโครงสร้าง กลไก และกระบวนการตัดสินใจที่มีลักษณะเป็นสายบังคับบัญชาและรวมศูนย์ ทั้งนี้ บทความได้ฉายภาพสะท้อนปัจจัยแห่งความสำเร็จและข้อจำกัดที่เกิดขึ้น และนำไปสู่ข้อเสนอในการพัฒนาการเตรียมความพร้อมของเครื่องมือทางการคลังให้พร้อมและสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266582
การศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืนและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การ กรณีศึกษาธุรกิจอุตสาหกรรม การผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดปทุมธานี
2023-11-13T16:22:24+07:00
อากรณ์ ช่วยแก้ว
arkorn523@gmail.com
สุทธาทิพย์ กำธรพิพัฒนกุล
ksutthathip@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ด้านการกำกับดูแลกิจการ ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและเป็นธรรม ด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ ด้านการพัฒนาศักยภาพและความรู้ความสามารถ ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคง ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตงานกับชีวิตด้านอื่นที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน และความผูกพันต่อองค์การ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ร่วมงานระดับหัวหน้างานขึ้นไปในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 350 คน ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืน ด้านการกำกับดูแลกิจการ (จริยธรรม/จรรยาบรรณ) ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน ด้านพัฒนาศักยภาพและความรู้ความสามารถ ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตงานกับชีวิตด้านอื่น ด้านความก้าวหน้าในงานและความมั่นคงส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน ความพึงพอใจในงานส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การ ด้านการเชื่อมั่น ยอมรับเป้าหมายและค่านิยมขององค์การ ด้านความเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อองค์การ ด้านความปรารถนาที่จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นสมาชิกภาพในองค์การ</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269569
การยกระดับมาตรฐานเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ของเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-05-07T09:55:04+07:00
พัชรี สุเมโธกุล
patcharee.sumethokul@gmail.com
มนทิรา สังข์ทอง
patcharee_sum@nstru.ac.th
เมธาวัตร ภูธรภักดี
patcharee_sum@nstru.ac.th
ศณัทชา ธีระชุนห์
patcharee_sum@nstru.ac.th
ธนกฤต ยอดอุดม
patcharee_sum@nstru.ac.th
ตรีฤกษ์ เพชรมนต์
patcharee_sum@nstru.ac.th
รวิศ คำหาญพล
patcharee_sum@nstru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าสินค่าและบริการ จากชุมชนเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลของ กลุ่มวิสาหกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านแหลมโฮมสเตย์ และเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 30 คน ผู้วิจัยเก็บรวมรวมข้อมูลจากการนำเทคนิค AIC (Appreciation-Influence-Control) ในขั้นตอนการเรียนรู้ (Appreciation) มาใช้ในการระดมความคิดเห็นของชุมชน ด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) ทั้ง 3 ขั้นตอน คือ1. การเรียนรู้ (Appreciation) 2. การสร้างการพัฒนา (Influence) 3. การสร้างแนวทางปฏิบัติ (Control) ผลการวิจัยพบว่า (1) ด้านการบริหารจัดการ กลุ่มความเข้มแข็งด้านการบริหาร แต่เป็นการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จแบบสั่งการจากประธาน แต่สมาชิกทุกคนยินยอมและเต็มใจ (2) ด้านการฝึกอบรมยกระดับมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยว กลุ่มสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง (3) ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลุ่มสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้ใหม่ และสร้างรายได้ให้วิสาหกิจ (4) ด้านการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน กลุ่มสามารถสร้างเครือข่ายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวได้ จำนวน 6 วิสาหกิจชุมชน เป็นการเกิดเครือข่ายแบบ <strong>“เครือข่ายจัดตั้ง</strong><strong>”</strong></p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266267
มูลค่าทางเศรษฐกิจและการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนให้อนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ – เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์
2023-10-27T10:27:45+07:00
มานิตย์ สิงห์ทองชัย
singthongchai.m@gmail.com
ลักษมี งามมีศรี
singthongchai.m@gmail.com
นวพร ประสมทอง
singthongchai.m@gmail.com
<p>วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้และไม่ใช้ของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และ 3) เพื่อประเมินผลการสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ โดยทำการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 250 คน และกลุ่มผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ จำนวน 150 คน โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละและวิธีประมาณการตามตัวแบบโลจิตและโพบิตรวมถึงการวิเคราะห์ความเต็มใจที่จะจ่าย </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การวิเคราะห์ด้วยวิธีต้นทุนการเดินทางที่ใช้สำหรับการประมาณการผลประโยชน์ของการท่องเที่ยวรอบบริเวณเขาหน่อ-เขาแก้ว อยู่ที่ประมาณ 8,910,000 บาทต่อปี และการวิเคราะห์ด้วยวิธีวิธีการประเมินค่าโดยการสัมภาษณ์ชุมชนโดยตรง ซึ่งใช้สำหรับการประเมินมูลค่าการใช้และไม่ใช้ทรัพยากรรอบบริเวณแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว มีมูลค่าประมาณ 1,480,000 บาทและ 127 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นมูลค่ารวมของเศรษฐกิจของพื้นที่รอบแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว เป็น 129,160,000 บาทต่อปี เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่าผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกคน โดยได้คะแนนเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.00 – 8.00 แสดงให้เห็นว่าการอบรมครั้งนี้ส่งผลต่อความรู้ความเข้าใจในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ – เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมร้อยละ 100 มีความรู้ความเข้าใจ/มีความสนใจและตระหนักถึงคุณค่าและหวงแหนทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/265571
การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21
2023-10-06T21:35:43+07:00
ปุญชรัสมิ์ โตสัมพันธ์
puncharat.tos@rmutr.ac.th
ทนง ทองภูเบศร์
puncharat.tos@rmutr.ac.th
วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย
puncharat.tos@rmutr.ac.th
<h1>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดคุณลักษณะผู้บริหารอันพึงประสงค์ การพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารอันพึงประสงค์เพื่อกำหนดนโยบายในการพัฒนาผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสังกัด ด้านบุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ความรู้ความสามารถทางการบริหาร และ คุณธรรมและจริยธรรม เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร จำนวน 415 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบชั้นภูมิ จำแนกตามมหาวิทยาลัย ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลสถิติความถี่ ค่าร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ความรู้ความสามารถทางการบริหาร และคุณธรรมและจริยธรรม และ 2) ผลการยืนยันองค์ประกอบของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ค่าไค - แสควร์ (χ2) = 125.825 ค่าองศาอิสระ (df) = 102 ค่านัยสำคัญทางสถิติ (P-value) = 0.055 ค่าดัชนีวัดความสอดคล้องกลมกลืนเชิงสัมพัทธ์ (CFI) = 0.994 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง (GFI) = 0.971 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) = 0.940 และค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.024</h1>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน