https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/issue/feed
วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
2024-09-13T20:41:58+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
phumphakhawat.ps@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารธุรกิจ มนุษย์ศาสตร์สังคมศาสตร์ บริหารการศึกษา ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย </p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266582
การศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืนและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การ กรณีศึกษาธุรกิจอุตสาหกรรม การผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดปทุมธานี
2023-11-13T16:22:24+07:00
อากรณ์ ช่วยแก้ว
arkorn523@gmail.com
สุทธาทิพย์ กำธรพิพัฒนกุล
ksutthathip@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ด้านการกำกับดูแลกิจการ ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและเป็นธรรม ด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ ด้านการพัฒนาศักยภาพและความรู้ความสามารถ ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคง ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตงานกับชีวิตด้านอื่นที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน และความผูกพันต่อองค์การ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ร่วมงานระดับหัวหน้างานขึ้นไปในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 350 คน ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืน ด้านการกำกับดูแลกิจการ (จริยธรรม/จรรยาบรรณ) ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน ด้านพัฒนาศักยภาพและความรู้ความสามารถ ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตงานกับชีวิตด้านอื่น ด้านความก้าวหน้าในงานและความมั่นคงส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน ความพึงพอใจในงานส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การ ด้านการเชื่อมั่น ยอมรับเป้าหมายและค่านิยมขององค์การ ด้านความเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อองค์การ ด้านความปรารถนาที่จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นสมาชิกภาพในองค์การ</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269569
การยกระดับมาตรฐานเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ของเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-05-07T09:55:04+07:00
พัชรี สุเมโธกุล
patcharee.sumethokul@gmail.com
มนทิรา สังข์ทอง
patcharee_sum@nstru.ac.th
เมธาวัตร ภูธรภักดี
patcharee_sum@nstru.ac.th
ศณัทชา ธีระชุนห์
patcharee_sum@nstru.ac.th
ธนกฤต ยอดอุดม
patcharee_sum@nstru.ac.th
ตรีฤกษ์ เพชรมนต์
patcharee_sum@nstru.ac.th
รวิศ คำหาญพล
patcharee_sum@nstru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าสินค่าและบริการ จากชุมชนเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลของ กลุ่มวิสาหกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านแหลมโฮมสเตย์ และเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 30 คน ผู้วิจัยเก็บรวมรวมข้อมูลจากการนำเทคนิค AIC (Appreciation-Influence-Control) ในขั้นตอนการเรียนรู้ (Appreciation) มาใช้ในการระดมความคิดเห็นของชุมชน ด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) ทั้ง 3 ขั้นตอน คือ1. การเรียนรู้ (Appreciation) 2. การสร้างการพัฒนา (Influence) 3. การสร้างแนวทางปฏิบัติ (Control) ผลการวิจัยพบว่า (1) ด้านการบริหารจัดการ กลุ่มความเข้มแข็งด้านการบริหาร แต่เป็นการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จแบบสั่งการจากประธาน แต่สมาชิกทุกคนยินยอมและเต็มใจ (2) ด้านการฝึกอบรมยกระดับมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยว กลุ่มสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง (3) ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลุ่มสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้ใหม่ และสร้างรายได้ให้วิสาหกิจ (4) ด้านการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน กลุ่มสามารถสร้างเครือข่ายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวได้ จำนวน 6 วิสาหกิจชุมชน เป็นการเกิดเครือข่ายแบบ <strong>“เครือข่ายจัดตั้ง</strong><strong>”</strong></p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266267
มูลค่าทางเศรษฐกิจและการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนให้อนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ – เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์
2023-10-27T10:27:45+07:00
มานิตย์ สิงห์ทองชัย
singthongchai.m@gmail.com
ลักษมี งามมีศรี
singthongchai.m@gmail.com
นวพร ประสมทอง
singthongchai.m@gmail.com
<p>วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้และไม่ใช้ของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และ 3) เพื่อประเมินผลการสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ โดยทำการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 250 คน และกลุ่มผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ จำนวน 150 คน โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละและวิธีประมาณการตามตัวแบบโลจิตและโพบิตรวมถึงการวิเคราะห์ความเต็มใจที่จะจ่าย </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การวิเคราะห์ด้วยวิธีต้นทุนการเดินทางที่ใช้สำหรับการประมาณการผลประโยชน์ของการท่องเที่ยวรอบบริเวณเขาหน่อ-เขาแก้ว อยู่ที่ประมาณ 8,910,000 บาทต่อปี และการวิเคราะห์ด้วยวิธีวิธีการประเมินค่าโดยการสัมภาษณ์ชุมชนโดยตรง ซึ่งใช้สำหรับการประเมินมูลค่าการใช้และไม่ใช้ทรัพยากรรอบบริเวณแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว มีมูลค่าประมาณ 1,480,000 บาทและ 127 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นมูลค่ารวมของเศรษฐกิจของพื้นที่รอบแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ-เขาแก้ว เป็น 129,160,000 บาทต่อปี เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่าผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกคน โดยได้คะแนนเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.00 – 8.00 แสดงให้เห็นว่าการอบรมครั้งนี้ส่งผลต่อความรู้ความเข้าใจในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเขาหน่อ – เขาแก้ว ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมร้อยละ 100 มีความรู้ความเข้าใจ/มีความสนใจและตระหนักถึงคุณค่าและหวงแหนทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/265571
การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21
2023-10-06T21:35:43+07:00
ปุญชรัสมิ์ โตสัมพันธ์
puncharat.tos@rmutr.ac.th
ทนง ทองภูเบศร์
puncharat.tos@rmutr.ac.th
วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย
puncharat.tos@rmutr.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดคุณลักษณะผู้บริหารอันพึงประสงค์ การพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารอันพึงประสงค์เพื่อกำหนดนโยบายในการพัฒนาผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสังกัด ด้านบุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ความรู้ความสามารถทางการบริหาร และ คุณธรรมและจริยธรรม เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหาร จำนวน 415 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบชั้นภูมิ จำแนกตามมหาวิทยาลัย โดยสุ่มแบบเจาะจง และสุ่มอย่าง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1ชนิด คือ แบบสแบถาม วิเคราะห์ข้อมูลสถิติความถี่ ค่าร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า 1)องค์ประกอบของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ความรู้ความสามารถทางการบริหาร และคุณธรรมและจริยธรรมและ2)ผลการยืนยันองค์ประกอบของตัวบ่งชี้คุณลักษณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอันพึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21พบว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ค่าไค - แสควร์ (χ2) = 125.825 ค่าองศาอิสระ (df) = 102 ค่านัยสำคัญทางสถิติ (P-value) = 0.055 ค่าดัชนีวัดความสอดคล้องกลมกลืนเชิงสัมพัทธ์ (CFI) = 0.994 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง (GFI) = 0.971 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) = 0.940 และค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.024</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/260134
การบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาตามแนวคิดมิติใหม่ไร้ถังของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2
2023-01-07T10:32:58+07:00
ชนกานต์ ศิวิลัย
chanakan_py@hotmail.com
สมใจ สืบเสาะ
somjai.sub@mutr.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษา 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาตามแนวคิดมิติใหม่ไร้ถังของสถานศึกษา จำแนกตาม ขนาดโรงเรียนและเขตอำเภอ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดการดำเนินงานตามนโยบายด้านการจัดการขยะของกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 273 คน ใช้วิธีคัดเลือกขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครซี่ มอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.การบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาตามแนวคิดมิติใหม่ไร้ถังของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก </p> <p>2.การเปรียบเทียบการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูที่อยู่ในขนาดโรงเรียนต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาภาพรวมไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้บริหารและครูที่อยู่ในเขตอำเภอต่างกันมีความคิดเห็นภาพรวมต่อการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาสามารถนำไปใช้วางแผนการบริหารจัดการขยะในสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/260092
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์
2023-01-07T10:28:11+07:00
วจีนันท์ สิทธิรักษ์
wajeenun.s@gmail.com
พิภพ วชังเงิน
pipobvachungngern@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้แนวคิดการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มตัวอย่างข้าราชการครู จำนวน 336 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของยามาเน่ และใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและแบบประเมินแนวทาง สถิติที่วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติค่าที <br />ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพที่เป็นจริงของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับมาก 2. สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับความต้องการจำเป็นมากที่สุด ได้แก่ (1) การเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (2) การมีวิสัยทัศน์ (3) การสร้างแรงจูงใจ (4) การทำงานเป็นทีม (5) การมีความคิดสร้างสรรค์ <br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา สามารถนำไปพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และพัฒนาการบริหารสถานศึกษาต่อไป</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264906
สมการพยากรณ์การมีส่วนร่วมของบุคลากรในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์
2023-08-21T09:24:20+07:00
สุชีวัน อยู่คง
sucheewan1309@gmail.com
สมใจ สืบเสาะ
somjai.sub@rmutr.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์2)เพื่อวิเคราะห์การมีส่วนร่วมการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา3)เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการมีส่วนร่วมการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาและ4)เพื่อนำเสนอสมการพยากรณ์การมีส่วนร่วมการดำเนินงานประกันคุณภาพในสถานศึกษา</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างจำนวน 286 คนโดยวิธีกําหนดขนาดของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ1)แบบสัมภาษณ์ และ 2) แบบสอบถาม สถิติที่วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบปกติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.<span style="font-size: 0.875rem;">ระดับปัจจัยการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ระดับการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยและการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยการมีส่วนร่วมการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบปกติ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.622 พยากรณ์การมีส่วนร่วมการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาร้อยละ 38.70 สร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้</span></p> <p> สมการพยากรณ์รูปแบบคะแนนดิบ</p> <p> Y ̂ = .339 + .203(X1) - .149(X2) + .776(X3) </p> <p> สมการพยากรณ์รูปแบบคะแนนมาตรฐาน</p> <p> Z ̂ = .385(Z1) - .135(Z2) + .640(Z3) </p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ นำไปวางแผนพัฒนา ปรับปรุงการดำเนินงานประกันคุณภาพการศีกษาของสถานศึกษา ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264883
บทบาทการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2
2023-08-21T09:22:53+07:00
อารีรัตน์ เกตุสุข
arreerat.jane@gmail.com
สมใจ สืบเสาะ
arreerat.jane@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาระดับบทบาทการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และเขต 2 2)เพื่อเปรียบเทียบบทบาทการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และเขต 2 โดยจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดสถานศึกษา</p> <p>การวิจัยนี้เป็นเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดการบริหารการศึกษาเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริหารและครู จำนวน 329 คนกำหนดขนาดตัวอย่างโดยตารางของเครจซี่และมอร์แกนและวิธีการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสถิติที่วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติค่าเอฟ และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับบทบาทการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และเขต 2 ภาพรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับบทบาทการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์เขต 1 และเขต 2 โดยจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดสถานศึกษาภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</li> </ol> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำไปวางแผนและส่งเสริมให้สถานศึกษาหน่วยงานการศึกษามีการบริหารงานตามหลักธรรมภิบาลอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p class="xxx" style="text-align: left; text-indent: 0cm;" align="left"> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266936
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์ของนักศึกษาสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา
2023-12-22T19:08:32+07:00
กนิษฐา สังขรัตน์
kanittha.s@pnru.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)เพื่อศึกษาและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์2)เพื่อประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์ ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลได้แก่ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Selection)เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะทางนาฏศิลป์ไทยกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ชั้นปีที่ 3 จำนวน 30 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)รูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์ของนักศึกษาสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษาประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1.หลักการ 2.วัตถุประสงค์ 3.กระบวนการโดยกระบวนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยสมรรถนะทางนาฏศิลป์ของนักศึกษาสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษาดังนี้ สมรรถนะทางนาฏศิลป์แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1.สมรรถนะด้านความรู้ ประกอบด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์และความเชี่ยวชาญด้านการสอน 2.สมรรถนะด้านทักษะ ประกอบด้วย มีความคิดสร้างสรรค์การประยุกต์ใช้และแก้ปัญหา ทักษะการถ่ายทอดและวิธีการสื่อสาร3.สมรรถนะด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลประกอบด้วยการจัดการตนเองและการทำงานร่วมกับผู้อื่นและ4.วัดประเมินผล2)ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์ผลการวิเคราะห์อยู่ในระดับมากที่สุดพบว่าโดยภาพรวมของความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางนาฏศิลป์ของนักศึกษาสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา เท่ากับ 5.00</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์และแนวทางในการนำไปใช้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267895
ระบบการจัดการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า : กรณีศึกษา บริษัท ซันร้อยแปด จำกัด
2024-02-02T09:07:57+07:00
จุฬาพร พรหมสาขา ณ สกลนคร
juraporn.po@ssru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระบบและกลไกการรับส่งสินค้าคลัง ระบบควบคุมจัดการคลังสินค้าของธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า (2) เพื่อหาแนวทางการประยุกต์ใช้การบริหารจัดการคลังสินค้า ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เนื้อหา เก็บข้อมูลพื้นที่วิจัย คือ บริษัท ซันร้อยแปด จำกัด โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชากรกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 10 คน ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ ดังกล่าว (1) พบว่าศูนย์กระจายสินค้า การบริหารจัดการคลังมาตรฐานคลังสินค้าแห้ง (Dry Warehouse) ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาควบคุมทุกกระบวนการ เริ่มจากการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย การควบคุมบริหารจัดการคลังสินค้า ระบบการจัดการการหยิบสินค้าหน่วยย่อยและหน่วยใหญ่ รวมถึงการขนส่งและกระจายสินค้าที่มีผู้ดูแลข้อมูลคำนวณรายการขายสินค้าที่จะเติมเต็มโดยคำนวณน้ำหนักในลังและการขนส่งทันในเวลา(Lead time) คุณภาพเพียงพอกับปริมาณการสั่งซื้อ เพื่อความมั่นใจต่อผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ (2) พบว่าการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ต้องส่งเสริมระบบบริการโลจิสติกส์ ตามมาตรฐานสากลเพื่อการป้องกันความเสี่ยง การบริหารสินค้าคงคลังครอบคลุมเพื่อการเพิ่มรายได้ในระยะยาว มาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง การรับฟังความคิดเห็นทุกส่วนและความพึงพอใจของทุกฝ่าย กระบวนการเก็บข้อมูล ความผิดพลาดที่โปร่งใส รวดเร็วในเวลาและการรายงานต่อผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องทุกระดับสอดรับกับเป้าหมายรวมใหญ่</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264951
การจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์ของร้านขายยาเชนสโตร์ในประเทศไทย
2023-08-23T10:31:02+07:00
ศิวปรียา ณ สงขลา
siwapreeya3883@gmail.com
เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์
siwapreeya3883@gmail.com
อำนวย บุญรัตนไมตรี
siwapreeya3883@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์1.)เพื่อพรรณาสถานการณ์ปัจจุบันด้านการจัดการการตลาดโดยเฉพาะด้านลูกค้าสัมพันธ์ของร้านขายยาเชนสโตร์ในประเทศไทย2.)เพื่อแจกแจงปัญหาและอุปสรรคของการจัดการการตลาดโดยเฉพาะด้านลูกค้าสัมพันธ์ของร้านขายเชนสโตร์ในประเทศไทย และ 3.)เพื่อสร้างแนวทางในการพัฒนาการตลาดโดยเฉพาะด้านลูกค้าสัมพันธ์ของร้านขายยาเชนสโตร์ในประเทศไทย และในด้านอื่นๆเพื่อประโยชน์ทางด้านวิชาการและด้านปฎิบัติของร้านขายยาเชนสโตร์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหารระดับสูง ผู้จัดการเขต เภสัชกร พนักงานและผู้ใช้บริการร้านขายยาเชนสโตร์ จำนวน 37 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้หลักการ วิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า1.)สถานการณ์ปัจจุบันโอกาสของร้านขายยาในประเทศไทยมาจาก 3 ปัจจัย คือกระแสดูแลสุขภาพ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์และความต้องการใช้บริการออนไลน์ อุปสรรคของร้านขายยาในประเทศไทยมาจาก 2 ปัจจัย คือการขาดแคลนเภสัชกรและการเข้าสู่มาตราฐานเภสัชกรรมชุมชน ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวและการแข่งขันของร้านยามี 5 ปัจจัยคือ ช่องทางการจัดจำหน่าย ลูกค้า สินค้า ตัวเภสัชกรและโรค 2.) ปัญหาและอุปสรรคของการจัดการการตลาด กลยุทธ์ไม่ดึงดูดใจลูกค้า ระบบปฏิบัติงานที่ซับซ้อน การทำงานของบุคลากรบางแผนกยังไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ทราบวัฒนธรรมและเหตุผลในการเลือกใช้บริการร้านยาของลูกค้าอย่างแท้จริง เภสัชกรยังขาดสมรรถนะในการปฏิบัติงาน3.)แนวทางในการพัฒนาการตลาดโดยศึกษาความต้องการของลูกค้า ปรับกลยุทธ์องค์กรตามวัฒนธรรมของลูกค้า การสื่อสารภายในองค์กรและกับลูกค้า พัฒนาสมรรถนะของเภสัชกรด้าน ความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264715
กลยุทธ์นวัตกรรมการจัดการกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในเขตภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย
2023-08-10T13:08:25+07:00
ปนิดา มูลนานัด
panida.moo@rmutr.ac.th
ชัชวาล แสงทองล้วน
panida.moo@rmutr.ac.th
กาญจนา พันธุ์เอี่ยม
panida.moo@rmutr.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ1)เพื่อพรรณนาการจัดการเพื่อยกระดับกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในเขตภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย2)เพื่อระบุปัญหาการจัดการกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในเขตภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยและ3)เพื่อเสนอกลยุทธ์นวัตกรรมการจัดการกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในเขตภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน ได้แก่ ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรจำนวน 12 ท่าน เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับงานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรจำนวน 4 ท่านเป็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) วิเคราะห์ข้อมูลแบบแก่นสาระ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมีการจัดการเพื่อยกระดับตามแนวทางของกรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 5 มิติ ได้แก่ 1) มิติด้านการจัดการ 2) มิติด้านการจัดการทุนและทรัพยากร 3)มิติการพัฒนาความรู้ความสามารถของสมาชิก 4) มิติด้านการพัฒนาสินค้าและบริการ 5) มิติด้านการบริการสาธารณะประโยชน์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยมีแบ่งเกณฑ์การประเมินเป็นทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่ 1)ระดับดี 2)ระดับปานกลาง 3)ระดับปรับปรุง 2.ปัญหาการจัดการกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร มีดังนี้ 1) ด้านกลยุทธ์ ยังขาดการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน 2)ด้านโครงสร้างรูปแบบการจัดโครงสร้างยังไม่ชัดเจน 3)ด้านรูปแบบ ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน 4)ด้านระบบ ยังไม่มีการจัดการที่เป็นระบบ 5)ด้านบุคลากร ยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน และมีบุคลากรไม่เพียงพอกับงาน 6)ด้านทักษะยังขาดทักษะทางด้านการตลาด และ ด้านบริหารจัดการองค์กร 7)ด้านค่านิยมร่วม กลุ่มยังขาดการกำหนดค่านิยมร่วมในองค์กรและขาดการผลักดันให้เกิดค่านิยมร่วมกันภายในกลุ่ม 3.เสนอกลยุทธ์นวัตกรรมการจัดการกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรซึ่งมีทั้งหมด 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) ระดับองค์กร ใช้กลยุทธ์ การเติบโต 2) ระดับธุรกิจ ใช้กลยุทธ์ ความแตกต่าง และการสร้างความแข็งแกร่งต่อระบบองค์กร 3)ระดับหน้าที่ใช้กลยุทธ์ นวัตกรรมตามภาระกิจ</p> <p> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264482
นวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลโดยใช้รูปแบบ การบริหารแบบมีส่วนร่วม และการบริหารแบบเครือข่าย ของกลุ่มโรงเรียนเอกชนคาทอลิกภาคใต้
2023-07-27T15:48:10+07:00
เพชรสุภัค กิจสกุล
Phetsuphak.kit@rmutr.ac.th
พิภพ วชังเงิน
Phetsuphak.kit@rmutr.ac.th
ทนง ทองภูเบศร์
Phetsuphak.kit@rmutr.ac.th
<p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของนวัตกรรมและทฤษฎีในการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล2)เพื่อออกแบบนวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลและ3)เพื่อกำหนดแนวทางการใช้นวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลการวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหารสถานศึกษา รางวัลพระราชทานและที่ได้รับผลการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)ระดับดีเยี่ยมและดีมาก จำนวน 8 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1)แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2)แผนการวิจัยปฏิบัติการโดยใช้หลักการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพและ3)แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแบบอุปนัยด้วยเทคนิค</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า<br />1.องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ได้แก่ 1)การบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วม 4 ด้าน คือ (1)ด้านการตัดสินใจ(2)ด้านการปฏิบัติ(3)มีส่วนร่วมจากบุคคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กร และ (4)ด้านการประเมิน และ 2)การบริหารสถานศึกษาแบบเครือข่าย 5 ด้าน คือ(1)ด้านการศึกษา (2)ด้านสังคม (3) ด้านชุมชน(4)ด้านผู้ปกครองและ(5)ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร2.นวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของกลุ่มโรงเรียนเอกชนคาทอลิกภาคใต้ คือรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ผสมผสานกับการบริหารแบบเครือข่ายและ3.แนวทางการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ได้แก่ (1)การบริหารการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา(2)การสร้างวัฒนธรรมสถานศึกษาที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง(3)การจัดการความรู้ในสถานศึกษายุคดิจิทัล(4)การทำงานเป็นเครือข่าย(5)การบริหารเทคโนโลยี(6)การยอมรับเทคโนโลยีนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงและ(7)การเข้าถึงเทคโนโลยีโดยเชื่อมโยงความคิดและความรู้ให้กับผู้เรียน </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/263313
ความร่วมมือเชิงบูรณาการในการจัดบริการสาธารณะ ด้านการสาธารณสุขมูลฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2023-06-06T13:24:26+07:00
พุทธบุตร มหาพุทธรังสี
phutthabut888@gmail.com
วรเดช จันทรศร
Phutthabut888@gmail.com
เพ็ญศรี ฉิรินัง
Phutthabut888@gmail.com
จุมพล หนิมพานิช
Phutthabut888@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาเพื่อศึกษาระดับความร่วมมือเชิงบูรณาการในการจัดบริการสาธารณะด้านการสาธารณสุขมูลฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 2)เพื่อศึกษาปัจจัยความร่วมมือเชิงบูรณาการในการจัดบริการสาธารณะที่ส่งผลต่อความร่วมมือด้านการสาธารณสุขมูลฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดความร่วมมือเชิงบูรณาการการจัดบริการสาธารณะและการจัดบริการสาธารณะด้านการสาธารณสุขมูลฐานเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 373 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์การถดถอยชนิดตัวแปรหลายตัว ผลการวิจัยพบว่า <span lang="X-NONE" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">1.</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อความร่วมมือด้านการสาธารณสุขมูลฐานทั้งโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกันโรคด้านการส่งเสริมสุขภาพอนามัย ด้านการรักษาพยาบาล และด้านการฟื้นฟูสภาพ)ในระดับมาก </span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">2.ปัจจัยด้านบทบาทผู้นำปัจจัยด้านการสื่อสาร ปัจจัยด้านความเหมาะสมของการนำนโยบายไปปฏิบัติและปัจจัยด้านคุณลักษณะของบุคคลสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความร่วมมือด้านการสาธารณสุขมูลฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร้อยละ 63.4 นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าปัจจัยด้าน</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">บทบาทผู้นำและปัจจัยด้านการสื่อสารมีผลต่อความร่วมมือด้านการสาธารณสุขมูลฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ </span><span lang="X-NONE" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Niramit AS'; font-weight: normal;">.01</span></p> <p> </p> <p> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/269860
การใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ของเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
2024-05-06T14:37:41+07:00
ไพศาล ผกาเกตุ
kanok1341@gmail.com
สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา
Paisarn.p5599@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้และแนวทางการส่งเสริมการใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนของเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีภูมิลำเนาในเขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 397 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของทาโร่ ยามาเน่ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1)การใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนของเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.19, S.D =0.45) และทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ หลักอัตถจริยา ค่าเฉลี่ย (= 4.36, S.D. = 0.56) รองลงมาคือ หลักปิยะวาจา ค่าเฉลี่ย (= 4.16, S.D.= 0.54) หลักสมานัตตตา ค่าเฉลี่ย (=4.11, S.D. = 0.54) และหลักทาน ค่าเฉลี่ย (=3.98, S.D.= 0.55) และ 2) แนวทางการส่งเสริมการใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนของเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองคลองแห (1)ควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้คําแนะนําต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่มารับบริการ (2)ควรตรวจสอบการใช้วาจาที่ไพเราะ อ่อนหวาน สุภาพอ่อนโยน พูดด้วยความจริงใจ (3)ควรให้การต้อนรับ อาสาให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยความกระตือรืนร้น และ (4)ต้องให้บริการที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266523
อิทธิพลเชิงโครงสร้างของปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีศึกษาพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
2023-11-14T09:18:56+07:00
สิริพงษ์ กิจบุญศรี
cookiesilly@gmail.com
ธัญนันท์ บุญอยู่
thanyanan7@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1)คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความไว้วางใจ ความพึงพอใจของลูกค้า และการตัดสินใจเลือกใช้บริการ 2)ความไว้วางใจที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าและการตัดสินใจเลือกใช้บริการ และ 3)ความพึงพอใจของลูกค้าที่ส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งการวิจัยนี้ได้มีรูปแบบของการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครที่เลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล จำนวน 270 ตัวอย่าง ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย โดยมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัยและสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ การวิเคราะห์ด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)คุณภาพการให้บริการส่งผลทางตรงต่อความไว้วางใจ ความพึงพอใจของลูกค้า และการตัดสินใจเลือกใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.803, 0.212 และ 0.192 ตามลำดับ และคุณภาพการให้บริการส่งผลทางอ้อมต่อความพึงพอใจของลูกค้าและการตัดสินใจเลือกใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.601, 0.487 2)ความไว้วางใจส่งผลทางตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้าและการตัดสินใจเลือกใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.748 และ 0.436 แต่ความไว้วางใจไม่ส่งผลทางอ้อมต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.126 และ 3)ความพึงพอใจของลูกค้าไม่ส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.168</p> <p> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/271137
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2
2024-06-10T16:50:04+07:00
จตุพร ทองจิตร
kanok1341@gmail.com
พระครูวินัยธร วุฒิชัย ชยวฑโฒ
jatuporn.ton@student.mbu.ac.th
สุภัทรา ภูษิตรัตนาวลี
jatuporn.ton@student.mbu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2)ระดับการบริหารงานวิชาการ 3)ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ และ 4)ตัวแปรพยากรณ์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารการสถานศึกษาที่ส่งผลต่อบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 331 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซี่และมอร์แกน สุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของโรงเรียนและสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับฉลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.937 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1)ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรดิจิทัลมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และการบริหารงานโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด2)ระดับการบริหารงานวิชาการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดและการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่นมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด3)ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกทุกด้านกับการบริหารงานวิชาการมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สูงเท่ากับ .894 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.014)ภาวะผู้นำดิจิทัลส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ โดยสามารถเขียนเป็นในรูปคะแนนดิบ= 0.620+0.272 (X<sub>2</sub>) + 0.271(X<sub>3</sub>) +0.277(X<sub>4</sub>) และสมการพยากรณ์ โดยใช้คะแนนมาตรฐาน <sub>Y</sub> = 0.264(X<sub>2</sub>) +0.277 (X<sub>3</sub>) + 0.271(X<sub>4</sub>)</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266695
คุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมนำเข้าเคมีอาหารในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร
2023-11-21T09:58:46+07:00
เสาวิภา บรรดาดี
saowipabun17@gmail.com
ธัญนันท์ บุญอยู่
thanyanan7@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)เปรียบเทียบประสิทธิภาพของพนักงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 2)คุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมนำเข้าเคมีอาหารในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์ในอุตสาหกรรมนำเข้าเคมีอาหารพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร จำนวน 104 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test , F-test และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1)เปรียบเทียบประสิทธิภาพของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า พนักงานที่มีปัจจัยด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือนและประสบการณ์การทำงานด้านขนส่งต่างกัน มีประสิทธิภาพของพนักงานที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนพนักงานที่มีปัจจัยด้านอายุและระดับการศึกษาต่างกัน มีประสิทธิภาพของพนักงานที่ไม่แตกต่างกัน และ 2)คุณภาพการให้บริการมีผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมนำเข้าเคมีอาหารในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับดังนี้ ความน่าเชื่อถือ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" />=0.266) การตอบสนองความต้องการ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" />=0.261) ความมั่นใจ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" />=0.199) และความดูแลเอาใจใส่ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" />=0.195) ร่วมกันอธิบายประสิทธิภาพของพนักงานธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมนำเข้าเคมีอาหารในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร โดยมีค่าพยากรณ์ร้อยละ 48.30 (R Square=0.483)</p> <p> </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267672
ความแตกต่างระหว่างวัยกับความพึงพอใจต่อการซื้อสินค้าแบรนด์เนมของผู้บริโภคในประเทศไทย
2024-01-17T15:44:00+07:00
ก้าวไกล วุฒิเสน
kawklai@hotmail.com
<div> บทความนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อเปรียบเทียบช่วงอายุของผู้ซื้อที่มีผลต่อความพึงพอใจในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทย และ 2)เพื่อระบุถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าแบรนด์เนม ในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับแบบจำลองดัชนีความพึงพอใจของผู้บริโภคชาวอเมริกัน เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ซื้อสินค้าแบรนด์เนม จำนวน 415 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ทีเทส ทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่ มีตัวแปร 2 ตัวแปร และวันเวย์อโนวา เป็นการทดสอบสมมติฐานสำหรับข้อมูลที่มีตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปร วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค โดยใช้การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเส้นตรง </div> <div> ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1พบว่าผู้ซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่มีอายุระหว่าง 53 ปี -71 ปี จะมีความพึงพอใจต่อการซื้อสินค้าแบรนด์เนมสูงสุด และ วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลความพึงพอใจในการซื้อสินค้าแบรนด์เนม ในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ประกอบด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อ ความคาดหวัง ภาพลักษณ์ และมุมมองคุณค่า </div> <div> งานวิจัยนี้จะช่วยให้ผู้บริหารวางแผนจัดการเกี่ยวกับการบริหารการตลาดในสินค้าประเภทแบรนด์เนมได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีผลต่อการซื้อสินค้าแบรนด์เนมและลดค่าใช้จ่ายในการวางแผนการจ้างงานผู้มีอิทธิพลทางสื่อให้ตรงตามกับกลุ่มเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ และยังทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีและการบอกต่อในสังคมออนไลน์ของผู้บริโภค</div>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272613
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์การแบบปรับตัว ของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัย เทคโนโลยี และอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย
2024-08-15T16:28:04+07:00
จตุพร เงินยัง
jatuporn@sisbschool.com
กฤษฎิ์ กิตติฐานัส
ngeinyangctuphr@gmai.com
<p> การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา 1)ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯสังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย2)ศึกษาระดับวัฒนธรรมองค์การแบบปรับตัวของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯสังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทยและ3)ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์การแบบปรับตัวของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ครูผู้สอน ในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย ปีการศึกษา 2565 จำนวน 322 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สัน (Pearson’s correlation) วิเคราะห์พหุคูณแบบขั้นตอน โดยวิธี Stepwise (Stepwise Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1)ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทยโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การกระตุ้นการใช้ปัญญา รองลงมาคือ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การสร้างแรงบันดาลใจ 2)ระดับวัฒนธรรมองค์การแบบปรับตัวของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมุ่งเน้นผู้รับบริการ รองลงมาคือ การเรียนรู้ขององค์การ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลง 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับวัฒนธรรมองค์การแบบปรับตัวของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพฯ สังกัดสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/266516
การบริหารสถานศึกษาภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก
2023-11-10T09:36:26+07:00
พชรวัณย์ วงษ์อินทร์
littlepooh_bp@hotmail.com
ระติกรณ์ นิยมะจันทร์
bewwtyp@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก 2)เพื่อเปรียบเที่ยบสภาพการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จําแนกตาม ตำแหน่ง และขนาดของสถานศึกษา และ3)เพื่อเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนและผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก จำนวน 292 คน จากการเทียบตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน วิธีการได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มอย่างง่าย ใช้วิธีตารางเลขสุ่ม (Table of Random Numbers) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1)ระดับการบริหารสถานศึกษาภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการและเชื่อมโยงประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้เรียน 2)ผลการเปรียบเที่ยบสภาพการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา จําแนกตาม ตำแหน่ง และขนาดของสถานศึกษา ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3)แนวทางการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 พบว่าผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีการวางแผน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนมีการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/272951
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูกับการบริหารงานบุคคล ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1
2024-08-28T10:13:27+07:00
สายสุณีย์ ตะเภาทอง
saisunee.tapa@wpb.ac.th
กฤษฎิ์ กิตติฐานัส
saisunee.tapa@wpb.ac.th
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียน2)เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน และ 3)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูกับการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูของบาร์นาร์ด และทฤษฎีการบริหารงานบุคคลของมอนดี้เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูของโรงเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 369 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบคำนวณโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และใช้เทคนิคการเลือกตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ จำแนกตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ตอน คือ1)แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2)แบบสอบถามเกี่ยวกับการแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู 3)แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า<br /> 1.แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความดึงดูดใจทางสังคม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างกว้างขวาง ส่วนด้านสิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2.การบริหารงานบุคคลของโรงเรียน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ส่วนด้านประเมินผลการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3.แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกในระดับสูงกับการบริหาร<br />งานบุคคลของโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็น .858</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> องค์</span>ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารในการนำผลการวิจัยเรื่องแรงจูงใจในการปฏิบั<span style="font-size: 0.875rem;">ติงานของครูมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองและปรับใช้ในการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน</span></p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/265531
นวัตกรรมการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี
2023-09-21T15:19:44+07:00
สุภาวิณี โบว์สุวรรณ
Supawinee.bow@rmutr.ac.th
ฐิติมา โห้ลำยอง
Supawinee.bow@rmutr.ac.th
ภคมน โภคะธีรกุล
Supawinee.bow@rmutr.ac.th
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อพรรณนาบริบทการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี 2)เพื่อระบุปัญหาการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี 3)เพื่อเสนอรูปแบบนวัตกรรมการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 15 คน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้ประกอบการ ตัวแทนชุมชน และนักท่องเที่ยว การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระ <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1)บริบทการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี มีอาหารท้องถิ่นมีเอกลักษณ์ มีมรดกทางวัฒนธรรมอาหาร จึงเป็นการสร้างโอกาสให้กับการค้าและการท่องเที่ยวของจังหวัด 2)ปัญหาการจัดการเชิงกลยุทธ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร จังหวัดเพชรบุรี พบว่าขาดการสร้างความร่วมมือของหน่วยงาน ข้อมูลด้านสารสนเทศ การสร้างการรับรู้ รวมถึงการประเมินผลและการติดตามผลการดำเนินงาน 3)รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ประกอบด้วย (1)มีกลยุทธ์การจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร (2)การบูรณาการของหน่วยงานแต่ละภาคส่วน และ (3)การสนับสนุนจากรัฐ </p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267152
เครื่องมือทางการคลังกับการจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน
2023-12-22T19:43:34+07:00
สุรสีห์ บัวจันทร์
ttin_srs@hotmail.com
สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ
shssr@mahidol.ac.th
<p> บทความนี้เป็นการศึกษาเครื่องมือทางการคลังที่ใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในบริบทของประเทศไทย และศึกษาการใช้เครื่องมือทางการคลัง ผ่านกรณีศึกษาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ทั้งนี้ การจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการจัดการจำนวนมาก ดังนั้น เครื่องมือทางการคลังจึงเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาล ซึ่งภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดเครื่องมือทางการคลังที่ใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน 4 ประการ ได้แก่ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มติม พระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณ และพระราชกำหนดกู้เงิน โดยเครื่องมือแต่ละประการมีลักษณะเฉพาะที่ถูกนำมาใช้ในระยะของการบริหารจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เป็นการฉายภาพการใช้เครื่องมือทางการคลังภายใต้สถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินของประเทศที่เกิดขึ้นจริง โดยรัฐบาลใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางและงบประมาณเงินกู้เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งมีโครงสร้าง กลไก และกระบวนการตัดสินใจที่มีลักษณะเป็นสายบังคับบัญชาและรวมศูนย์ ทั้งนี้ บทความได้ฉายภาพสะท้อนปัจจัยแห่งความสำเร็จและข้อจำกัดที่เกิดขึ้น และนำไปสู่ข้อเสนอในการพัฒนาการเตรียมความพร้อมของเครื่องมือทางการคลังให้พร้อมและสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป</p>
2024-09-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน