https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/issue/feed
วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
2024-07-05T19:27:22+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
phumphakhawat.ps@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารธุรกิจ มนุษย์ศาสตร์สังคมศาสตร์ บริหารการศึกษา ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย </p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/263009
การพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัยจากสภาพปัญหาการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลเมืองพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
2023-05-27T10:38:34+07:00
สรยา แสวงศรี
sorayasawangsee@gmail.com
ศิริรัตน์ ทองมีศรี
soraya.gple@pnru.ac.th
ระติกรณ์ นิยมะจันทร์
soraya.gple@pnru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาปัญหาการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลเมืองพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 2) ศึกษาแนวทางแก้ปัญหาและการวางแผนการจัดการศึกษาปฐมวัยฯ ในอนาคต และ 3) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัยฯ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน พื้นที่วิจัย คือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดเทศบาลเมืองพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 125 คน ได้จากการใช้วิธีเลือกแบบง่าย และผู้ให้ข้อมูลแบบสัมภาษณ์ คือ หัวหน้าศูนย์ ครูผู้แลเด็ก และคณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 11 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางแก้ปัญหาและการวางแผนการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในอนาคต คือ จัดทำแผนพัฒนาการจัดศึกษาโดยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ปรับปรุงอาคารเรียนและสนามเด็กเล่นให้เอื้อต่อการเรียนรู้ มีมาตรฐานและปลอดภัย จัดหาบุคลากรให้เหมาะสมตามมาตรฐานตำแหน่ง ส่งเสริมให้ครูผู้ดูแลเด็กได้รับการพัฒนาวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในด้านการส่งเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัย มีส่วนร่วมกับชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาการศึกษา และสร้างเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานอื่นอย่างเป็นรูปธรรม และ 3) ข้อเสนอแนวทางพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตามวงจรคุณภาพ PDCA ประกอบด้วย 6 ด้าน 18 องค์ประกอบ 175 แนวทางปฏิบัติ</p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267513
กระบวนการตัดสินใจในการเลือกเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้ง จังหวัดอุทัยธานี
2024-01-12T14:13:35+07:00
เจนจิรา เงินจันทร์
p_phoo@hotmail.com
ลาวรรณ เหมพิจิตร
teacher_lawan@hotmail.com
สิริกาญจน์ ทวีพิธานันท์
p_phoo@hotmail.com
นวพร ประสมทอง
Janejira.ngo@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้ง จังหวัดอุทัยธานี และ 2) เพื่อศึกษากระบวนการตัดสินใจในการเลือกเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้ง จังหวัดอุทัยธานี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะประชากรศาสตร์ แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และแนวคิดกระบวนการตัดสินใจ มาเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือจังหวัดอุทัยธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบแคมปิ้ง และผู้ที่มาใช้บริการที่พักแบบประเภทแคมปิ้ง จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบตามความสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลแล้วนำมาเขียนบรรยายเชิงพรรณนา </p> <ol> <li class="show">ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า วัตถุประสงค์การเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้งเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ มีประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้งอยู่ระหว่าง 1 - 3 ปี ค้นหาจากเว็บไซต์ ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เดินทางมากับเพื่อน/เพื่อนร่วมงาน งบประมาณที่คาดว่าจะใช้อยู่ระหว่าง 5,000 - 7,000 บาท สนใจกิจกรรมถ่านยรูป/พักผ่อน และปัจจัยในการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว ได้แก่ ความสวยงามของธรรมชาติ</li> <li class="show">ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการการตัดสินใจในการเลือกเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมป์ปิ้ง จังหวัดอุทัยธานี มีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านการแสวงหาข้อมูล ด้านการรับรู้ปัญหา ด้านการตัดสินใจซื้อ ด้านการประเมินทางเลือก และด้านพฤติกรรมหลังการซื้อ ตามลำดับ</li> </ol> <p> องค์ความรู้ว่าด้วยกระบวนการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบแคมปป์ปิ้ง แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ขั้นตอนในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว และข้อจำกัดของการท่องเที่ยวที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการปฏิบัติต่อไป</p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/260002
การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1
2023-01-07T10:18:10+07:00
ธนากร ชมเชย
thanakorn2537.h20p@gmail.com
สมใจ สืบเสาะ
somjai.sub@rmutr.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค ประเทศไทย 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 1 ตามความของเห็นครู โดยจำแนกตามระดับการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดการบริหารวิชาการของผู้บริหารในยุคประเทศไทย 4.0 เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 297 คน ใช้วิธีคัดเลือกขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครซี่ มอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง ทำการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<span style="font-size: 0.875rem;">1.การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคประเทศไทย 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 จำแนกระดับการศึกษา และขนาดโรงเรียน โดยภาพรวม และรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาสามารถนำไปใช้วางแผนการบริหารงานวิชาการ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267471
ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และศักยภาพทางการแข่งขันของเกษตรกรผู้ปลูก ดอกมะลิในอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์
2024-01-30T16:42:39+07:00
นันทพร ไม้ทองดี
singthongchai.m@gmail.com
ชุณษิตา นาคภพ
singthongchai.m@gmail.com
วราวุธ วัชรสรณ์
singthongchai.m@gmail.com
นาตยา แพ่งศรีสาร
singthongchai.m@gmail.com
มานิตย์ สิงห์ทองชัย
singthongchai.m@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ลักษณะการผลิต การตลาด ห่วงโซ่อุปทาน และศักยภาพทางการแข่งขันของเกษตรกรผู้ปลูกดอกมะลิ 2) วิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางการเงินในการลงทุนปลูกดอกมะลิ และ 3) วิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์การดำเนินงานแก่เกษตรกรผู้ปลูกดอกมะลิ ใช้แนวคิดการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค พื้นที่วิจัย คือ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกดอกมะลิ จำนวน 36 ราย ใช้วิธีการเลือกสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ของเกษตรกรเป็นต้นทุนแปรผันที่เป็นค่าจ้างคนงานรายวัน ค่าผลิตภัณฑ์ทางเคมี และค่าปุ๋ยเคมี ตามลำดับ ราคาขายของดอกมะลิเป็นไปตามกลไกของท้องตลาดโดยมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อที่สวนหรือภายในหมู่บ้าน</p> <p>2. เกษตรกรมีผลตอบแทนทางการเงินคุ้มค่าต่อการลงทุนและเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกดอกมะลิขนาดใหญ่มีผลตอบแทนทางการเงินดีที่สุด</p> <p>3. เกษตรกรที่ลงทุนในพื้นที่ขนาดเล็ก ควรขยายขนาดพื้นที่เพาะปลูกเพื่อการประหยัดต่อขนาดของต้นทุนและได้รับผลตอบแทนมากขึ้นและควรปรับเปลี่ยนเทคนิคการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในราคาของปัจจัยการผลิตและเน้นให้ผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงที่มีความต้องการของผู้บริโภคสูงเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนปลูกดอกมะลิ</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัย ได้แก่ เกษตรกรควรขยายการลงทุนปลูกดอกมะลิในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น เพราะการลงทุนในพื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้นผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น ระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้น มีความคุ้มค่าในการใช้ต้นทุนคงที่มากขึ้น จึงทำให้มีการประหยัดต่อขนาดในต้นทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย</p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/262616
รูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรม เพื่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร
2023-05-11T09:38:56+07:00
สุรัตน์วดี ปานโพธิ์ทอง
suratvadee24@gmail.com
สุวิทย์ ภาณุจารี
uwitmbu@hotmail.com
วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย
pkc_d@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์3ประการ(1)เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศฯ (2)เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศฯ (3)เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมเพื่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร</p> <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อขยายผลการวิจัยเชิงคุณภาพประชากรที่ใช้ในงานวิจัย โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 205 โรงเรียนผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน จำนวน 820 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิดคือ1)แบบสอบถามรูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ(exploratory factor analysis: EFA)วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor analysis: CFA) 2)ประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเทคโนโลยี<br />สารสนเทศฯ 4 ด้าน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมเพื่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครพบ3องค์ประกอบหลักประกอบไปด้วย การบริหารงานวิชาการ การบริหารสถานศึกษาและหลักพรหมวิหารธรรม รวมทั้งหมด13องค์ประกอบย่อย</li> <li>ผลการสร้างรูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คือ1)แนวคิดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการมี4 องค์ประกอบ 2)แนวคิดการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษามี5องค์ประกอบ 3)หลักพรหมวิหารธรรม มี 4 องค์ประกอบ</li> <li>ผลการประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศฯ สรุปภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 97.18 เมื่อพิจารณาภาพรวมเป็นรายตัวบ่งชี้ พบว่า ตัวบ่งชี้สรุปรวมของรูปแบบด้านที่อยู่ในระดับมากที่สุดเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความเหมาะสมของรูปแบบ ด้านความถูกต้องของรูปแบบ ด้านความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ และด้านความเป็นไปได้ของรูปแบบ<br /> <p>องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ เป็นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษาทั่วประเทศใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษาลให้มีประสิทธิภาพต่อไป</p> </li> </ol>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267447
การบริหารจัดการหนี้สินภาคครัวเรือนภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในตำบลหนองกระโดน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
2024-01-05T09:36:12+07:00
พัชราภา สิงห์ธนสาร
phat-sing@hotmail.com
ลักษมี งามมีศรี
luxlek@hotmail.com
มานิตย์ สิงห์ทองชัย
singthongchai.m@gmail.com
วิไลลักษณา สร้อยคีรี
wilailaksana.s@nsru.ac.th
<h1>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาภาวะหนี้สินภาคครัวเรือน 2) เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการบริหารจัดการหนี้สินภาคครัวเรือนแบบมีส่วนร่วมภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ตามแนวคิดการบริหารหนี้ส่วนบุคคล แนวคิดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริโภคแบบรายได้ถาวรในวงจรชีวิตเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลหนองกระโดน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มฯ จำนวน 24 ราย โดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่มีโครงสร้าง การสังเกตแบบไม่ได้มีส่วนร่วมและการสนทนากลุ่ม โดยวิเคราะห์ข้อมูลวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้สถิติเชิงพรรนณา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</h1> <h1>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของกลุ่มวิสาหกิจอยู่ในระดับมาก (X̅ = 3.43, S.D. =0.439) และการบริหารจัดการหนี้สินของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจ อยู่ในระดับมาก (X̅ = 3.75, S.D. =0.672) 2) กระบวนการเรียนรู้ในการบริหารจัดการหนี้สิน เน้นการสร้างองค์ความรู้เศรษฐกิจหมุนเวียนและวินัยทางการเงินให้กับสมาชิก โดยการแก้ไขปัญหาหนี้สะสมที่ได้เป็นวงจรหนึ่งซึ่งจะนำพาไปสู่วงจรกับดักสภาพหนี้และส่งผลต่อกิจกรรมอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ใช้นโยบายการชะลอหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ 3) กลุ่มเกษตรกรมีความคาดหวังในการต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากภาครัฐจากปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้สิน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาหลักที่เกิดจากกระบวนการการเกษตร แต่เป็นปัญหาที่ทำให้การดำเนินโครงการไปสู่การแก้ปัญหาแบบยั่งยืนไม่ประสบผลสำเร็จ</h1> <h1>องค์ความรู้ ได้แก่ กระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจแบบมีส่วนร่วมนำไปสู่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกี่ยวกับวงจรการผลิตสามารถเปลี่ยนระบบการผลิตจากการทำเกษตรเคมี เป็นการทำเกษตรปลอดภัยให้คุณภาพชีวิตหรือสุขภาพดี ผ่านกลไกการขับเคลื่อนจากสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจขนาดเล็กสู่การเป็นต้นแบบสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจขนาดใหญ่ขึ้น</h1> <p> </p> <p><strong> </strong></p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264829
การจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอย่างยั่งยืนของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี
2023-08-16T09:23:35+07:00
วรวุฒิ ตั้งประดิษฐ
worawut8406@gmail.com
ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ
supawat.suk@rmutr.ac.th
ฐิติมา โห้ลำยอง
thitima@gmail.com
<div> <h1><span lang="TH">บทความนี้มีวัตถุประสงค์ </span><span lang="X-NONE">1) </span><span lang="TH">เพื่อระบุการจัดการขยะของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี </span><span lang="X-NONE">2) </span><span lang="TH">เพื่อพรรณนาการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และ </span><span lang="X-NONE">3) </span><span lang="TH">เพื่อเสนอแนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอย่างยั่งยืนของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมจากกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้เสียในการจัดการขยะของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จำนวน </span><span lang="EN-US">20 </span><span lang="TH">คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</span></h1> </div> <div> <h1><span lang="TH">ผลการวิจัยพบว่า </span><span lang="EN-US">1) </span><span lang="TH">ประชาชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ไม่มีพฤติกรรมการคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งให้เทศบาล/อบต. มาจัดเก็บ ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย </span><span lang="EN-US">2) </span><span lang="TH">ประชาชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ส่วนใหญ่เป็นประชากรแฝง ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานหารายได้ จึงไม่ได้ใส่ใจในการคัดแยกขยะหรือเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นมากนัก </span><span lang="EN-US">3) </span><span lang="TH">ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับแนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอย่างยั่งยืนของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี พบว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้ให้ข้อเสนอโดยให้ความสำคัญทางด้านพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่ การปลูกฝังจิตสำนึกในการคัดแยกขยะ การจัดกิจกรรมที่เป็นแรงจูงใจเพื่อคัดแยกขยะ การร่วมมือระหว่างท้องถิ่นในการกำจัดขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง การประชาสัมพันธ์ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในการจัดการขยะมูลฝอย รวมถึงการทำหนังสือบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างภาครัฐ ผู้รับสัมปทาน </span><span lang="TH">และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างครบวงจร เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนเกิดความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคงความเจริญรุ่งเรืองของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ควบคู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน นำมาสู่แนวทางในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีต่อไปในอนาคต </span></h1> </div>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/264147
ผลกระทบของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองของกลุ่มมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย
2023-07-10T10:44:54+07:00
ครูทร หนูทอง
Torn956@hotmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อการก่อเกิด และพัฒนาการของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ของกลุ่มมุสลิม ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย 2) เพื่อกลยุทธ์ และปฏิบัติการของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองของกลุ่มมุสลิม ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย และ 3) เพื่อศึกษาผลกระทบระดับโครงสร้าง สังคม วัฒนธรรม และระดับบุคคล ที่เกิดขึ้นจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ของกลุ่มมุสลิม ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย. การศึกษาวิจัย ใช้แนวคิด ทฤษฎีการระดมทรัพยากร ทฤษฎีกระบวนการทางการเมือง แนวคิดขบวนการทางสังคม แนวคิดโครงสร้างทางสังคม และ แนวคิดพื้นฐานแรก วิธีการศึกษา ใช้การศึกษาเชิงคุณภาพ กระบวนการศึกษาวิจัย ยึดกรอบแนวคิดทฤษฎีเป็นหลัก ในการสำรวจวรรณกรรม การวิเคราะห์เอกสาร และการสัมภาษณ์เจาะลึก จากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 40 คน ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและแบบไม่มีส่วนร่วม จำนวน 18 เวที ฐานข้อมูลสำคัญ ที่ได้จาก การศึกษาวิจัย เก็บจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เชื่อมโยงหลากหลายมิติ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย</p> <h1>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การก่อเกิดและพัฒนาการ ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ของกลุ่มมุสลิม ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย ปัญหาไม่ได้เกิดจาก ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา การศึกษา และวัฒนธรรม แต่เกิดจากโครงสร้าง การเมืองการปกครอง การปฏิบัติตาม นโยบายรัฐ ที่ไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ โดยเฉพาะ ประเด็นความชอบธรรม และการมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง การปกครอง เป็นผลให้ ปัจเจก และชนชั้นนำ ที่คิดต่าง และไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐ และการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับอัตลักษณ์ของสังคมมุสลิม จึงก่อเกิดและพัฒนาการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองมุสลิม </h1>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/appm/article/view/267116
การประเมินประสิทธิผลโครงการธงฟ้าประชารัฐของกระทรวงพาณิชย์ กรณีศึกษาเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร
2023-12-14T11:57:39+07:00
นันท์นภัส บุญโพธิ์
nunnaphut5653@gmail.com
สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ
nunnaphut5653@gmail.com
<p><span lang="TH">บทความนี้มีวัตถุประสงค์ </span>1) <span lang="TH">เพื่อประเมินประสิทธิผลของโครงการ </span>“<span lang="TH">ธงฟ้าประชารัฐ</span>” <span lang="TH">เขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ในส่วนของบริบท (</span>Context<span lang="TH">) ปัจจัยนำเข้า (</span>Input<span lang="TH">) กระบวนการ (</span>Process<span lang="TH">) และผลผลิต (</span>Product<span lang="TH">) </span>2) <span lang="TH">เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันที่ส่งผลต่อการประเมินประสิทธิผลของโครงการธงฟ้าประชารัฐของประชาชน ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร </span>3) <span lang="TH">เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรค</span><span lang="TH">ในการดำเนินโครงการธงฟ้าประชารัฐ เขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และ 4) เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการธงฟ้าประชารัฐในอนาคต ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสาน โดยใช้</span><span lang="TH">แนวทางการประเมินผลแบบ </span>CIPP <span lang="TH">ในด้านบริบทและสภาพแวดล้อม ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต </span><span lang="TH">เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่าง </span><span lang="TH">คือ </span><span lang="TH">1) ประชากรจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 400 คน 2) ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 387 แห่ง 3) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการ</span><span lang="TH">ธงฟ้าประชารัฐ จำนวน 5 หน่วยงาน</span><span lang="TH"> กลุ่มตัวอย่างที่ 1 และ 2 ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ 3 ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ </span>1) <span lang="TH">การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร </span>2) <span lang="TH">การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์</span> 3) <span lang="TH">การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า </span><span lang="X-NONE">1. </span><span lang="TH">ตัวแทนประชากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 246 คน (ร้อยละ 61.5) มีอายุระหว่าง อายุ </span><span lang="X-NONE">56 </span><span lang="TH">ปีขึ้นไป </span><span lang="X-NONE">139 </span><span lang="TH">คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">34.80) </span><span lang="TH">โดยส่วนมากอาศัยอยู่อำเภอเมือง 200 คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">50.00) </span><span lang="TH">โดยมีระดับการศึกษาปริญญาตรี 133 คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">33.20) </span><span lang="TH">มีสถานภาพสมรส 215 คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">53.80) </span><span lang="TH">ประกอบอาชีพค้าขาย / ธุรกิจส่วนตัว 175 คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">43.80) </span><span lang="TH">มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,000 – 10,000 บาท 105 คน (ร้อยละ </span><span lang="X-NONE">26.20) </span><span lang="X-NONE">2. </span><span lang="TH">การประเมินประสิทธิผลโครงการธงฟ้าประชารัฐ เขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม</span><span lang="TH">อยู่ในระดับมาก (</span><span lang="X-NONE">𝑥̅</span><span lang="X-NONE"> =</span> <span lang="TH">3.95) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมากไปน้อย 3 ลำดับแรก คือ</span> <span lang="TH">ด้านบริบทและสภาพแวดล้อม (</span><span lang="X-NONE">𝑥̅</span><span lang="X-NONE"> =</span> <span lang="TH">4.11) ด้านผลผลิตของโครงการ (</span><span lang="X-NONE">𝑥̅</span><span lang="X-NONE"> =</span><span lang="TH">4.02) และด้านปัจจัยนำเข้า</span><span lang="TH">ของโครงการ (</span><span lang="X-NONE">𝑥̅</span><span lang="X-NONE"> =</span> <span lang="TH">3.85) </span><span lang="TH">3.</span><span lang="TH">ความแตกต่างของเพศมิได้ส่งผลต่อการประเมินด้านบริบทและสภาพแวดล้อม ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเชิงนโยบาย</span></p> <div><span lang="TH">องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการประเมินประสิทธิผลโครงการ</span><span lang="TH">ธงฟ้าประชารัฐ ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ในทุก ๆ ด้าน (</span><span lang="TH">ด้านบริบทและสภาพแวดล้อม </span><span lang="TH">ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต</span><span lang="TH">) คือ </span><span lang="TH">ระดับการศึกษา และสถานภาพ</span></div>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ การจัดการภาครัฐและเอกชน