วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM <p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ </span><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ </span></strong></p> <p> วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ เป็นวารสารระดับชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดผลงานวิจัยและผลงานวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และด้านอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย</p> <p>โดยบทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับการประเมินคุณภาพทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประเมิน (reviewers) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้พิจารณาบทความ และผู้เกี่ยวข้อง (double-blinded review)</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></p> <p><strong> </strong>วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการฯ ได้เริ่มจัดทำขึ้นวัน 1 กันยายน 2554 ปีที่ 1 <br />ฉบับที่ 1 (กันยายน - ธันวาคม 2554) ISSN 2229-1598 (Print) รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ วันที่ 1 มกราคม 2559 ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม - เมษายน 2562) E-ISSN 2697-4460 (Online) และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน 2568) จะมีการเผยแพร่ระบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว โดยมีหมายเลข ISSN 3057-1758 (Online) โดยมีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ประกอบด้วย</p> <p> ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน)</p> <p> ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม)</p> <p> ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความในวารสาร</strong></p> <p> ผู้ส่งบทความจะชำระเมื่อผู้ส่งบทความดำเนินการปรับบทความตามรูปแบบของวารสารเบื่ยงต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางบรรณาธิการแจ้งให้ผู้ส่งบทความชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ<br /> บทความภาษาไทย 4,500 บาท<br /> บทความภาษาอังกฤษ 6,500 บาท</p> <p> </p> <p> </p> th-TH <p>ข้อความและบทความในวารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ เป็นแนวคิดของผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของคณะผู้จัดทำ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์</p> <p>ข้อความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการีพิมพ์ในวารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ หากบุคคลใดหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการก่อนเท่านั้น</p> haruthai.s@rmutr.ac.th (ดร.หฤทัย สมศักดิ์) haruthai.s@rmutr.ac.th (ดร.หฤทัย สมศักดิ์) Wed, 20 Aug 2025 13:35:03 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 รูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ขององค์การภาครัฐและเอกชน สู่องค์การยุคใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/272891 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงานรูปแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ขององค์การภาครัฐและเอกชน และเพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรครูปแบบการทำงานแบบผสมผสานขององค์การภาครัฐและเอกชน ผู้วิจัยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสิ้น 20 คน ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานในองค์การภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยเอกสาร การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมอีกด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์แบบอุปนัย</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงานรูปแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ขององค์การภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย (1) ด้านทักษะการทำงาน (2) ด้านวัฒนธรรมองค์กร (3) ด้านโครงสร้างองค์กร (4) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ (5) ด้านภาวะผู้นำ ส่วนปัญหาและอุปสรรคในการการทำงานแบบผสมผสานขององค์การภาครัฐและเอกชน พบว่า (1) การทำงานรูปแบบผสมผสานไม่เหมาะสมกับงานบางประเภท เช่น งานด้านวิศวกรรม (2) ปัญหาด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์และการเชื่อมต่อ (3) ปัญหาขาดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา (4) ปัญหาด้านวัฒนธรรมองค์การจากการทำงานที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม (5) ด้านผู้รับบริการบางส่วนยังไม่สามารถเข้าถึงงานบริการได้ เนื่องจากขาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึง รวมทั้งขาดความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยี-ดิจิทัล (6) ความหลากหลายของช่วงอายุที่ส่งผลต่อทักษะความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน</p> กัญญาภัทร ปานหอมยา กาญจนพบู, จันทนา อินทฉิม, พรรณวัสส์ โกศะโยดม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/272891 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวจากยุวมัคคุเทศก์ เพื่อเสริมสร้างความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/272532 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวจากยุวมัคคุเทศก์ เพื่อเสริมสร้างความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา พบว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 55.00 อายุ 50-59 ปี ร้อยละ 35.00 มีระดับการศึกษามัธยมศึกษา และสูงกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 35.00 และมีจำนวนปีที่อาศัยอยู่ในไทย 6-10 ปี ร้อยละ 45.00&nbsp; นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความพึงพอใจที่ได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวจากยุวมัคคุเทศก์ โดยรวมมีค่าแปลผลค่าเฉลี่ย (</strong> <strong>&nbsp;=3.47, S.D = 1.23) </strong><strong>ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความพึงพอใจยุวมัคคุเทศก์เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีปัญหาในการพูดติดอ่าง หรือออกเสียง ไม่ชัดเจน หรือเสียงไม่ดัง มีกิริยามารยาทสุภาพนุ่มนวล เอาใจใส่ต่อนักท่องเที่ยวทุกคน และมีความตรงต่อเวลาในทุก ๆ กรณี ข้อเสนอแนะ องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำปราณ ควรมีการฝึกอบรมและทบทวนการปฏิบัติงานของยุวมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง เพื่อการให้บริการนำเที่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น </strong></p> ทัศนีย์ วีรปรีชาชัย, ธนัชชยาณินทร์ ดอกสร้อยฟ้า, นิพล เอกอุดม, อุไร มากคณา, พิชญาภา วงศ์ยิ้มย่อง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/272532 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารนโยบายของพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2566 ของประชาชนในจังหวัดภาคใต้ตอนบน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276885 <p>การสื่อสารนโยบายพรรคการเมือง มีความสำคัญต่อพรรคการเมืองและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะเป็นเครื่องมือที่ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะลงคะแนนเสียงให้กับบุคคลใด บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษา 1) เพื่อวิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมือง 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการสื่อสารนโยบายของพรรคการเมือง 3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ และ 4) เพื่อนำเสนอรูปแบบการสื่อสารนโยบายของพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปของประชาชน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เก็บข้อมูลจาdประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 700 คน และผู้ให้ข้อมูลจำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบบบันทึกข้อมูล และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และวิเคราะห์ด้วยความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า :</p> <ol> <li>นโยบายของพรรคการเมือง ส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชานิยม บางนโยบายสามารถทำได้จริง เกิดนโยบายแนวคิดใหม่ และเป็นนโยบายภาพรวมไม่สามารถเชื่อมโยงมายังระดับพื้นที่ได้</li> <li>องค์ประกอบของการสื่อสารนโยบายพรรคการเมือง ประกอบด้วย ผู้สมัครรับเลือกตั้ง นโยบาย การรณรงค์หาเสียง และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง</li> <li>ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ด้านนโยบายหา เสียงของพรรคการเมือง ด้านการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้านคุณลักษณะของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้านคุณลักษณะของพรรคการเมือง ด้านผลงานที่ผ่านมาของผู้สมัครและด้านผลประโยชน์ต่าง ตอบแทน</li> <li>รูปแบบการสื่อสารนโยบายของพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปของประชาชน เรียกว่า 5Ps Model ประกอบด้วย นักการเมือง), นโยบาย, ประชาชน), สื่อ และ รูปแบบของสถานการณ์</li> </ol> สุดารัตน์ สุดสมบูรณ์, กันตภณ หนูทองแก้ว, สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276885 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274621 <p>บทความวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความต้องการใช้ระบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) พัฒนานวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้กระบวนการ ADDIE โมเดล 3) ทดลองและประเมินนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 378 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนหรือผู้ดูแลระบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 756 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสํารวจ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ระยะที่ 2 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยกระบวนการสนทนากลุ่ม จำนวน 9 คน ใช้วิธีการกำหนดคุณสมบัติ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลใช้การพรรณนาวิเคราะห์ ระยะที่ 3 ผู้ทดลองและประเมิน คือ ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กหรือผู้ดูแลระบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 30 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบนวัตกรรมที่มีความต้องการใช้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กมากที่สุด 10 อันดับแรก โดยเรียงจากความต้องการมากที่สุด คือ ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ระบบบริหารงานงบประมาณ (E-budget) ระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Dpa) ระบบนวัตกรรมอื่น ๆ การบริหารระบบการจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (DMC) ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ระบบบริหารจัดการผลการเรียน (School MIS) ระบบการรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) ระบบฝึกอบรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Training) ตามลำดับ 2) นวัตกรรมการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กประกอบด้วย ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารงานทั่วไป 3) นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้จริงในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก</p> มารุต แพรกหา, อุษา งามมีศรี, ละมุล รอดขวัญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274621 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ แบบห้องเรียนอาชีพ สำหรับสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274122 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพและแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ แบบห้องเรียนอาชีพ สำหรับสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา 2)สร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ แบบห้องเรียนอาชีพ สำหรับสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา และ 3) ประเมินรูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ แบบห้องเรียนอาชีพ สำหรับสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรและผู้ให้ข้อมูล แบ่งได้ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1)ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา จำนวน 147 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 107 คน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิสำหรับการสัมภาษณ์ จำนวน 9 คน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิสำหรับการสนทนากลุ่ม จำนวน 11 คน และ 4) ผู้ทรงคุณวุฒิสำหรับประเมินรูปแบบ จำนวน 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดย 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบบันทึกข้อมูล และ4) แบบประเมินรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <p>1.สภาพการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพแบบห้องเรียนอาชีพ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพแบบห้องเรียนอาชีพ มี 5 แนวทาง ดังนี้ 1)ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย 2) พัฒนาหลักสูตรโดยผสมผสานภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ 3) สร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม 4) พัฒนาการวัดผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และ 5) พัฒนาบุคลากร</p> <p>2.รูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพแบบห้องเรียนอาชีพ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ร่วมพัฒนาการศึกษาอาชีพ 2) ศึกษาความต้องการอาชีพ 3) พลิกโฉมการศึกษาอาชีพ 4) จัดการเรียนรู้สู่อาชีพ 5) วัดประสิทธิผลการเรียนรู้อาชีพ และ 6) ทบทวนกระบวนการศึกษาอาชีพ</p> <p>3.การประเมินรูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพแบบห้องเรียนอาชีพ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> กิตติศักดิ์ ชยันตร์สุภาพ , ทัศนีย์ ช่อเทียนทิพย์, ขจรศักดิ์ ศิริมัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274122 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการคุณภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดินในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274674 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อระบุปัญหา อุปสรรคในการจัดการคุณภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดินในพื้นที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดินในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการจัดการคุณภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดินในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วิจัยในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 37 ท่าน ได้แก่ 1) เจ้าพนักงานที่ดิน 2) หัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ 3) ประชาชนผู้มาติดต่อขอรับบริการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหา อุปสรรคของการจัดการคุณภาพการให้บริการ ได้แก่ 1. ด้านขั้นตอนการให้บริการ 2. ด้านประเภทของการให้บริการ 3. ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 4. ด้านความเชื่อมั่นในการให้บริการ 5. ด้านบุคลากร 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ได้นำแนวคิดทฤษฎีการจัดการเป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ได้แก่ 1. การวางแผน มีการนำแผนปฏิบัติราชการประจำปี มีการกำหนดแผนงาน มีการนำแผนมาพัฒนาคุณภาพการให้บริการ 2. การจัดการองค์การ มีการกำหนดบุคลากรผู้รับผิดชอบ เพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการ 3. การชี้นำหรือการสั่งการมีการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน 4. การควบคุมหรือการประเมินผล มีการติดตามผลการดำเนินงาน มีการแก้ไข ปรับปรุง และนำผลที่ได้มาพัฒนาคุณภาพการให้บริการ 3) รูปแบบการจัดการคุณภาพการให้บริการ ได้นำแนวคิดดทฤษฎีการให้บริการมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ได้รูปแบบหรือองค์ประกอบที่ส่งผลให้ผู้มาขอรับบริการได้รับความ พึงพอใจ ได้แก่ 1. การให้บริการอย่างเสมอภาค 2. การให้บริการอย่างตรงเวลา 3. การให้บริการอย่างเพียงพอ 4. การให้บริการอย่างต่อเนื่อง 5. การให้บริการอย่างก้าวหน้า</p> พวงทิพย์ บุญธรรม, กาญจนา พันธุ์เอี่ยม, ธนัญชกร ปกิตตาวิจิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274674 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัยเทคโนโลยี และอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274647 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการการบริหารจัดการความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล 2) สร้างแนวทางการบริหารจัดการความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล 3) ประเมินแนวทางการบริหารจัดการความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล การวิจัยใช้รูปแบบผสานวิธี โดยมีพื้นที่ศึกษาใน 15 จังหวัดภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้จัดการสถานประกอบการ ผู้อำนวยการ และครูจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน รวม 550 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสถานประกอบการและอาชีวศึกษา 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบบันทึกการประชุมกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบประเมินแนวทาง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานและการบรรยายเชิงพรรณนาผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการการบริหารจัดการความร่วมมือในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการบริหารจัดการที่สร้างขึ้นครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการ การบริหารจัดการความร่วมมือ การบริหารสถานประกอบการในยุคดิจิทัล การบริหารจัดการวิทยาลัยและเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล และการบริหารจัดการความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนในยุคดิจิทัล และ 3) การประเมินแนวทาง พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมาก สามารถนำไปใช้ได้จริง</p> พรทิพา ลิมปภาส, พงษ์กฤตย์ นามปพนอังกูร, ละมุล รอดขวัญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274647 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปประเทศอินโดนีเซีย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/277305 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปประเทศอินโดนีเซีย และ 2) เพื่อประเมินขนาดและทิศทางของผลกระทบกับมูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศไทยไปประเทศอินโดนีเซีย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิรายไตรมาสในช่วงปี พ.ศ. 2552-2566 รวมระยะเวลา 15 ปี และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ ปริมาณการส่งออกข้าวขาว 5-10% และอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งปัจจัยทั้งสองปัจจัยมีผลกระทบกับมูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศอินโดนีเซียในทิศทางเดียวกัน โดยปริมาณการส่งออกข้าวขาว 5-10% (ตัน) ส่งผลกระทบมากที่สุด มีค่า Beta สูงเป็นอันดับ 1 คือ 0.922 และมีค่า B คือ 0.019 และอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (บาท/ รูเปียห์) ส่งผลกระทบรองลงมา มีค่า Beta สูงเป็นอันดับ 2 คือ 0.146 และมีค่า B คือ 703.686 ข้อสรุปของงานวิจัยนี้เสนอแนะให้ผู้ประกอบการข้าวไทยให้ความสำคัญกับปริมาณการส่งออกข้าวขาว 5-10% และอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วยการปรับปรุงกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดข้าวในประเทศอินโดนีเซียโดยใช้ประโยชน์จากผลการศึกษาในครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดข้าวอินโดนีเซีย</p> ชนรดี เดชคุ้ม, พฤฒิพงศ์ อภิวัฒนกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/277305 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1- 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273328 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1 - 4 2) เพื่อเปรียบเทียบขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1-4 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1-4 รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสานวิธี แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัย คือ บุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1- 4 จำนวน 179 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า เท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการทดสอบแอลเอสดี ขั้นตอนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1-4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากสุด คือ ด้านความสันพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยสุด คือ ด้านสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน 2) ประชากรที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประเภทบุคลากร อายุงาน ตำแหน่งในสายงาน ประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งงาน ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1-4 แตกต่างกัน อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค1-4 ควรปรับกระบวนการการปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้บุคลากรมีอุปกรณ์พร้อมใช้และเพียงพอต่อการใช้งาน ควรสนับสนุนบุคลากรให้ได้รับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และพัฒนาศักยภาพ</p> มนทชา มานะมุติ, อภิชาติ พานสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273328 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการและคุณภาพการบริการต่อความภักดีของลูกค้าร้านค้าสวัสดิการ กรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273675 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ส่วนประสมทางการตลาดบริการ 2) คุณภาพบริการ 3) ความภักดีของลูกค้า 4) ผลกระทบของส่วนประสมทางการตลาดบริการต่อความภักดีของลูกค้าร้านค้าสวัสดิการกรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี และ 5) ผลกระทบของคุณภาพบริการต่อความภักดีของลูกค้าร้านค้าสวัสดิการ กรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี โดยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่น ระหว่าง 0.79-0.88 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคลากรกรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี จำนวน 358 คน ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ส่วนประสมทางการตลาดบริการทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยอันดับแรกคือ ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือ กระบวนการ และสุดท้ายคือ ช่องทางการจัดจำหน่าย 2) คุณภาพบริการทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยอันดับแรกคือ ด้านความเป็นรูปธรรม รองลงมาคือ การสร้างความมั่นใจ และสุดท้ายคือ การตอบสนองต่อความต้องการ 3) ความภักดีของลูกค้าทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยอันดับแรกคือ พฤติกรรมการบอกต่อ รองลงมาคือ พฤติกรรมการร้องเรียน และสุดท้ายคือ ความอ่อนไหวต่อปัจจัยราคา 4) ส่วนประสมทางการตลาดบริการส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าร้านค้าสวัสดิการกรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี ประมาณ ร้อยละ 54 <strong> </strong> และ 5) คุณภาพบริการส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าร้านค้าสวัสดิการกรมชลประทาน ปากเกร็ด นนทบุรี ประมาณ ร้อยละ 51 </p> กญญ แสงเดือน, ยุทธนาท บุณยะชัย, ฉัตยาพร เสมอใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273675 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273471 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือผู้บริหารและครู จำนวน 317 คน ดำเนินการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น .96 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงจากมากไปน้อย คือ ด้านความมีมนุษย์สัมพันธ์ ด้านการมีส่วนร่วมในการทำงาน ด้านการยอมรับนับถือ ด้านการสื่อสารในทีมหรือการสื่อสารอย่างเปิดเผย ด้านการไว้วางใจซึ่งกันและกันหรือความไว้เนื้อเชื่อใจ และด้านเป้าหมายของทีมหรือเป้าหมายเดียวกัน ในส่วนของการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ที่มีเพศ และวุฒิการศึกษาต่างกันมีการทำงานเป็นทีมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนอายุ ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน</p> กันยา ดวงคำ, ดรุณี ปัญจรัตนากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/273471 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความตั้งใจชำระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนเครือข่ายความร่วมมือ เบญจมิตรวิชาการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275234 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจชำระหนี้ของนักศึกษากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนเครือข่ายความร่วมมือเบญจมิตรวิชาการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยธนบุรี 2) มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ 3) มหาวิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ และ 4) มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ (กยศ.) จำนวน 364 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) และเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทัศนคติที่มีต่อพฤติกรรมส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจในการชำระหนี้ โดยเมื่อทัศนคติเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ความตั้งใจในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น 0.175 หน่วย การรับรู้ถึงความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจในการชำระหนี้ โดยเมื่อการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ความตั้งใจในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น 0.466 หน่วย และอุปสรรคของการไม่ชำระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจในการชำระหนี้ โดยเมื่ออุปสรรคของการไม่ชำระหนี้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย ความตั้งใจในการชำระหนี้ลดลง -0.050 หน่วย ดังนั้น ควรเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกของนักศึกษาต่อการชำระหนี้ (กยศ.) โดยการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และความสำคัญของการชำระหนี้ สนับสนุนการเพิ่มความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของผู้กู้ ด้วยการจัดหาข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการปรับปรุงระบบติดตามการชำระหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนามาตรการจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นให้ผู้กู้ชำระหนี้ตรงเวลา</p> จินต์กัญญา พะลัง, พรพิมล สัมพัทธ์พงศ์, ยุทธนาท บุญยะชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275234 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาและความต้องการด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร: กรณีศึกษาสำนักป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275961 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสำรวจระดับปัญหาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาความต้องการด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร และ (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาการใช้ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากรกับความต้องการด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรในสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 350 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับปัญหาด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยปัญหาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (2) ระดับความต้องการด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ความต้องการพัฒนาทักษะการพูดมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (3) ปัญหาการใช้ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงาน และความต้องการด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงาน มีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่ามีค่า 0.89 แสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูง</p> กิตตินันท์ พลอยรัตน์, ศักดา ศิลปาภิสันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275961 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน ส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275450 <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ และ 2) เปรียบเทียบการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ จำแนกตามเพศ อายุ และตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 100 คน โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงรายข้ออยู่ระหว่าง .67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธี LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) ผลการเปรียบเทียบการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา จำแนกตามเพศและอายุ พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีเพศ อายุ และตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน</p> อภิภู คหินทพงศ์, ดรุณี ปัญจรัตนากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275450 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275964 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงในกองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 140 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ค่าสถิติวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับความผูกพันต่อองค์การของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ภาพรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความเต็มใจที่จะปฏิบัติงานเพื่อองค์กร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ความจงรักภักดีต่อองค์กร ด้านความทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มความสามารถ และความเสียสละเพื่อองค์กร มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และ (2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 4 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยลักษณะงาน มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> ยงยุทธ งามเจริญ, ศักดา ศิลปาภิสันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275964 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบล องครักษ์ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275184 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการให้บริการสาธารณะ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการให้บริการสาธารณะ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการให้บริการสาธารณะ วิธีดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพการให้บริการสาธารณะ และเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการให้บริการสาธารณะ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนในพื้นที่ จำนวน 370 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการทดสอบแอลเอสดี และ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาการให้บริการสาธารณะ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ กำนันตำบลองครักษ์ ผู้ใหญ่บ้านตำบลองครักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนในตำบลองครักษ์ และเจ้าอาวาสวัดในตำบลองครักษ์ จำนวน 14 คน วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการให้บริการสาธารณะ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อยู่ในระดับมาก ด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับปานกลาง 2) ประชาชนที่มีอาชีพ และรายได้แตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อการให้บริการสาธารณะ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3) แนวทางพัฒนาการให้บริการสาธารณะ ได้แก่ (1) ควรส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมหรือมีบทบาทในการรักษาความสะอาดของพื้นที่ ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ การกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลที่ถูกต้อง และ (2) ควรพัฒนาหลักสูตรการอบรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมแก่ประชาชนในทุกช่วงวัย</p> พรพรรณ อินถาวร, กมลวรรณ วรรณธนัง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275184 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Grab ที่มีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274286 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความพึงพอใจและเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้บริโภคผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Grab ที่มีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Grab ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรมีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี จำนวน 35,028 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 396 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) การกำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จของ Taro Yamane โดยการแจกแบบสอบถาม หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ที่ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการหาค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของผู้บริโภคผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Grab ที่มีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจ ของผู้บริโภคผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Grab ที่มีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อจำแนกตามอาชีพโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แนวทางสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Grab มีดังนี้ ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ บุคลากรและการบริการอยู่เสมอ มีการประชาสัมพันธ์ที่หลากหลาย และมีการปรับราคาสินค้าให้เหมาะสม</p> จิราภรณ์ แท่นคำ, ปรีชา ปาโนรัมย์, กุลกัลยา ศรีสุข, ปิติพัฒน์ นิตยกมลพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/274286 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้าออนไลน์ กรณีศึกษา บริษัท XXX จำกัด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276761 <p>การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการจัดเก็บสต็อกสินค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บริษัท XXX จำกัด และ เพื่อลดเวลาในการค้นหาการหยิบสินค้าของพนักงานคลังสินค้าและแก้ไขปัญหาพนักงานหยิบสินค้าผิด ของบริษัทที่เป็นกรณีศึกษา โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้จัดการ หัวหน้างานหรือเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคลังสินค้าของบริษัทที่เป็นกรณีศึกษา จำนวน 5 คน โดยการใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและรูปแบบการสนทนากลุ่มในการเก็บรวบรวม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การจัดวางสินค้าในคลังสินค้าไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นหมวดหมู่ มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ ของบริษัท XXX จำกัดที่เป็นกรณีศึกษา 2) สาเหตุของปัญหาที่มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ ของบริษัท XXX จำกัดที่เป็นกรณีศึกษา คือ (1) ไม่มีมาตรฐานในการทำงานที่ชัดเจน สินค้ามีหลากหลาย SKU ขาดการตรวจสอบความถูกต้อง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงาน (2) พนักงานขาดทักษะและความเข้าใจในการทำงาน เนื่องจากปริมาณงานมากเกินไปและมีการเปลี่ยนแปลงของพนักงานบ่อย 3) วิธีการจัดกลุ่มสินค้าแบบระบบ เอบีซี สามารถจัดพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้ 3 กลุ่ม คือ พื้นที่จัดเก็บสินค้าโซนเอ เป็นกลุ่มสินค้าหนังสือ (ร้อยละ 89) พื้นที่จัดเก็บสินค้าโซนบี เป็นกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ในสำนักงาน (ร้อยละ 7) และพื้นที่จัดเก็บสินค้าโซนซี เป็นกลุ่มสินค้าทั่วๆไป (ร้อยละ 4) และ 4) ผลการแก้ไขและปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าออนไลน์ ของบริษัท XXX จำกัด ในด้านเวลา พบว่า ลดความสูญเสียเรื่องเวลารวม ลดลงจาก 132 นาทีต่อครั้ง คิดเป็นร้อยละ 60.27 ส่วนในด้านอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 55.50 </p> ณัฐพร การเขตร์, บวรวิทย์ โรจน์สุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276761 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 การกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276552 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการกำหนดนโยบายสาธารณะ 2) ศึกษานโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของต่างประเทศ 3) ศึกษานโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของประเทศไทย และ 4) เสนอแนะแนวทางในการกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร</p> <p>จากการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายสาธารณะ รวมทั้งนโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว พบว่า 1) แนวคิดและทฤษฎีการกำหนดนโยบายสาธารณะ มีความมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม 2) นโยบายสาธารณะภาคการเกษตรของต่างประเทศ (ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย และประเทศไต้หวัน) มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในภาคการเกษตร เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร 3) นโยบายสาธารณะด้านการเกษตรของประเทศไทย ถูกกำหนดโดยฝ่ายการเมือง ไม่สามารถแก้ปัญหาและความต้องการของเกษตรได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน และ 4) ข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตร โดยที่การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นกระบวนการต้นน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคม ฉะนั้น ในการกำหนดนโยบายสาธารณะภาคการเกษตรต้องสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเป็นองค์ประกอบและส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรอย่างแท้จริง</p> ชมภูนุช หุ่นนาค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/276552 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700 พลเมืองที่ตื่นตัวกับการเป็นพลเมืองดิจิทัลในการบริการสาธารณะแนวใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275569 <p>ในโลกปัจจุบันความท้าทายของความตื่นตัวในการเป็นพลเมืองกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการให้การบริการสาธารณะเป็นประเด็นที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการให้เป็นการจัดการบริการสาธารณะแนวใหม่ ความเป็นพลเมืองที่ตื่นตัว การให้ความร่วมมือในการทำประโยชน์ให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน สังคมเป็นประจำ ปฏิบัติต่อคนทุกคน ทุกกลุ่มโดยเสมอภาคกัน มีความรู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม การเป็นพลเมืองที่ตื่นตัวในสังคมยุคปัจจุบันโดยการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะของชุมชนและต้องมีความเป็นพลเมืองดิจิทัลเป็นพลเมืองที่สามารถศึกษาและเข้าถึงข้อมูลดิจิทัล มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี การเข้าใจถึงสิทธิของตนเอง และเคารพในสิทธิผู้อื่น มีความซื่อสัตย์ มีมารยาทในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น เคารพกฎหมาย สามารถใช้เทคโนโลยีโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต สร้างสรรค์ และแบ่งปันสิ่งที่เป็นประโยชน์และสามารถป้องกันตนเองจากภัยคุกคามทางดิจิทัล ในสังคมปัจจุบันและอนาคตความเป็นพลเมืองดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยดิจิทัลเพื่อใช้ในการบริการสาธารณะแนวใหม่ในการสร้างความร่วมมือ การใช้ผลประโยชน์สาธารณะ การคิดอย่างมีกลยุทธ์โดยพิจารณาปัจจัยแวดล้อม มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ บทบาท และขั้นตอนในการการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล การใช้แอปพลิเคชันมือถือ ปัญญาประดิษฐ์ ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงกันและรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ชุดข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมาก และ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลและการทำธุรกรรมที่มีความปลอดภัยมาใช้ร่วมกับการออกแบบบริการสาธารณะตามช่องทางบนโลกออนไลน์ที่รัฐเปิดโอกาสให้พลเมืองมีปฏิสัมพันธ์มากกว่าหนึ่งช่องทางของระบบบริการสาธารณะ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในบริการสาธารณะของรัฐที่ให้บริการและมีความเท่าเทียมเพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการสาธารณะภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ การให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น มีความมั่นคงปลอดภัยในการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้พลเมืองในยุคใหม่มีความพร้อมในการปรับตัวและรับมือกับโลกยุคดิจิทัลในโลกปัจจุบันและอนาคต</p> สุวิมล แซ่ก่อง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/RCIM/article/view/275569 Wed, 20 Aug 2025 00:00:00 +0700