วารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal <p>วารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ (Journal of Social Science, Law and Politics) เป็นวารสารวิชาการที่จัดตั้งขึ้น โดยคณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด เริ่มดำเนินการนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา และเมื่อปี พ.ศ. 2565 วารสารฯ ได้รับการพิจารณารับรองให้มีผลการประเมินคุณภาพวารสารจัดอยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre) TCI กลุ่มที่ 2 ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 และต่อเนื่อง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2567</p> <p>วารสารฯ มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนโลกทัศน์ทางความรู้เชิงวิชาการ และเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าและการอ้างอิงในวงวิชาการ โดยมีขอบเขตเนื้อหาในการเผยแพร่บทความด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดการออกเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ทุก ๆ 6 เดือนต่อปี ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม)</p> <p>วารสารฯ เก็บค่าธรรมเนียมการพิจารณาตีพิมพ์บทความ <strong>ภาษาไทยบทความละ </strong><strong>3,000 บาท</strong> <strong>ภาษาต่างประเทศบทความละ </strong><strong>3,500 บาท โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมฯ ครั้งเดียว เมื่อผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการ ก่อนส่งบทความ</strong>เข้าสู่กระบวนการพิจารณา<strong>ของผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ</strong></p> <p>วารสารฯ มีระบบการประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer-Review) จำนวน 3 ท่าน โดยปกปิดข้อมูลทั้งสองฝ่าย (Double-Blind Peer Review) และจะต้องได้รับผลการประเมินว่า “ผ่านการพิจารณา” จึงถือได้ว่า ผ่านเกณฑ์การประเมินการตีพิมพ์บทความ</p> <p><strong>วารสารฯ ไม่มีนโยบายรับจัดรูปแบบต้นฉบับบทความ</strong></p> <p><strong> </strong><strong>เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร </strong><strong>[</strong>ISSN<strong>] </strong>Online 2985-2102</p> th-TH <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด</p> <p>ความคิดเห็นในบทความและงานเขียน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้ประพันธ์โดยอิสระ กองบรรณาธิการ วารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป หากท่านประสงค์จะนำบทความหรืองานเขียนเล่มนี้ไปตีพิมพ์เผยแพร่ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ประพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์</p> </div> [email protected] (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจวรรณ บุญโทแสง) [email protected] (นางสาววาสนา เลิศมะเลา) Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 มาตรการทางกฎหมายในการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร: กรณีศึกษา ตำบลภูเงิน อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265351 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสภาพปัญหาแนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายในการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ในพื้นที่ตำบลภูเงิน อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ </p> <p>จากการศึกษา พบว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร กฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาและสัญญา ที่พัก กิจกรรมท่องเที่ยว กรณีนักท่องเที่ยวได้รับอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ ไม่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้ คงใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับในการเรียกค่าสินไหมทดแทน กฎหมายเกี่ยวกับมัคคุเทศก์ ไม่ได้กำหนดมัคคุเทศก์ด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรไว้ ทำให้การจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรไม่มีประสิทธิภาพ ด้านราคาสินค้าและบริการ กฎหมายไม่มีมาตรการบังคับ รวมถึงการกำหนดโทษที่เป็นรูปธรรม กรณีผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวไม่แสดงราคาสินค้าและบริการ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายภายในเขตพื้นที่ของตนยังไม่เป็นรูปธรรม</p> <p>ดังนั้น เพื่อให้การจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้มาตรฐาน ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยการตั้ง “คณะกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” เพื่อบริหารจัดการท่องเที่ยว รวมทั้งมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายภายในเขตพื้นที่ของตน ทั้งในด้านการโฆษณาและสัญญา ด้านที่พัก ด้านกิจกรรมท่องเที่ยวด้านมัคคุเทศก์ ด้านราคาสินค้าและบริการ ทั้งนี้ เพื่อควบคุมคุณภาพหรือมาตรฐานของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ให้ได้มาตรฐานเพื่อนำไปสู่เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวต่อไป</p> วระเดช ภาวัตเวคิน, เด่นคุณ ธรรมนิตย์ชยุต Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265351 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัญหาความรับผิดทางอาญากรณีพระสงฆ์ เสพเมถุนโดยคู่กรณียินยอม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264772 <p>การศึกษางานวิจัย เรื่องปัญหาความรับผิดทางอาญากรณีพระสงฆ์เสพเมถุนโดยคู่กรณีสมยอมนี้ ผู้เขียนได้ประมวลเอกสารทางพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา หนังสือ บทความเอกสารด้านกฎหมาย รวมทั้งแนวคิดและทฤษฎีจากตำราของนักวิชาการ ตลอดจนผลงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาความไม่เหมาะสมของกฎหมายในการลงโทษพระสงฆ์ที่เสพเมถุน โดยศึกษาเปรียบเทียบบทบัญญัติกฎหมายในเรื่องของการเสพเมถุนของพระสงฆ์ในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งศึกษาค้นคว้าในประเด็นกฎหมายของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัยในเรื่องการเสพเมถุน จากการศึกษาพบว่า แนวทางการพัฒนาทางเลือกในการป้องกันปัญหาพระภิกษุเสพเมถุนนั้น มีผู้เสนอทางเลือกที่ให้มีการใช้บังคับตามกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ ไม่ควรกำหนดโทษทางอาญาแก่พระภิกษุที่เสพเมถุน โดยมีเหตุผลว่า การลงโทษในการกระทำความผิดตามพระธรรมวินัยเป็นกิจการของคณะสงฆ์โดยเฉพาะ ซึ่งรัฐไม่ควรเข้าแทรกแซง อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษามีความเห็นว่า รัฐมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และยังมีหน้าที่ช่วยป้องกันความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา หากมีการกำหนดบทลงโทษตามกฎหมายอาญาในกรณีดังกล่าว อาจทำให้เกิดความเกรงกลัวในการที่จะฝ่าฝืนพระธรรมวินัย กรณีนี้ จึงเห็นควรกำหนดให้มีการดำเนินคดีทางอาญาแก่พระภิกษุที่ละเมิดพระธรรมวินัยในกรณีต้องอาบัติปาราชิกสิกขาบท 1 ว่าด้วยการเสพเมถุน นอกจากนี้พระสงฆ์ถือเป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ที่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญในยุคปัจจุบันในการที่จะดำรงไว้ซึ่งการสืบต่อพระพุทธศาสนา การศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาจะเน้นหลักการเรียนรู้สามประการ คือ 1) ปฏิบัติ 2) ปริยัติ และ 3) ปฏิเวธ ซึ่งเป็นหลักการปฏิบัติที่พระสงฆ์พึงต้องปฏิบัติ เพื่อให้ชีวิตประสบความสุขและความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระสงฆ์พึงต้องปฏิบัติตามกรอบแห่งพระธรรมวินัย ซึ่งในพระพุทธศาสนามีพระวินัยธรปรากฏชัดเจนทั้งพระภิกษุและพระภิกษุณีที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ในตำแหน่งเอตทัคคะทางพระวินัย คือ พระอุบาลีเถระ และพระปฏาจาราเถรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฐานะคณะพระสงฆ์ผู้รักษาพระวินัย จึงถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของคณะสงฆ์เถรวาท เพราะเหตุแห่งการยึดถือและปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดสืบจนถึงปัจจุบันนี้</p> ยุทธศักดิ์ รัมมะเอ็จ Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264772 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อคะแนนที่ได้รับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265444 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งของนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการวิจัยในเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลป่าไผ่ ซึ่งการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการได้รับคะแนนเสี่ยงเลือกตั้งของนายกเทศมนตรีตำบลป่าไผ่ เพื่อให้ทราบว่าการได้รับคะแนนเสียงนั้นเกิดจากปัจจัยใดบ้าง และอย่างไร โดยศึกษาจากประชากร จำนวน 10,306 คน คำนวณของ Yamane ได้ 386 ตัวอย่าง แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้ง มีอยู่ 3 ปัจจัย ซึ่งมีความสำคัญแตกต่างกัน ลดหลั่นกันลงมา กล่าวคือ ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มีอิทธิพลที่สุด คือ กลยุทธ์การหาเสียง (Campaigning) รองลงมาคือ บริจาคแก่สาธารณะ (Donation) และกลโกงต่างๆ (Fraud) ตามลำดับ ซึ่งสามารถนำมาเขียนสมาการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้ Obtaining the vote 1= 9.41+0.51 Campaigning + 0.25 Donation +0.16 Fraud</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้ คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งควรหาวิธีการป้องกัน กลโกง และการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม และแสวงหาวิธีการป้องกันการแจกจ่ายทรัพย์สินเงินทอง โดยผ่านตัวแทน หัวคะแนน หรือแจกจ่ายโดยตรงให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนนักการเมืองหรือผู้นำท้องถิ่นควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ในสมการว่าปัจจัยใดที่มีผลทำให้ตนเองและตัวแทนพรรคพวกของตนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับนักวิจัยควรนำวิธีการวิจัยนี้ไปขยายขอบเขตการวิจัยให้กว้างขว้างมากยิ่งขึ้น จนสามารถนำมาสร้างเป็นทฤษฎีทางการเมืองยุคใหม่ได้</p> สมาน กาบมาลา Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265444 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภาษาโคราช ด้วยกระบวนการการจัดการทางวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265022 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาบริบทและความสำคัญของภาษาโคราชกับความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภาษาโคราชแบบมีส่วนร่วม และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภาษาโคราชด้วยกระบวนการการจัดการทางวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม การวิจัยครั้งนี้เป็นวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากชุมชนและภาคีเครือข่าย จำนวน 30 คน โดยวิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) และวิธีการสืบเสาะหาด้วยวิธีการบอกต่อ (Snow ball) รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน จากนั้นนำผลการศึกษามาวิเคราะห์ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นรูปแบบการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภาษาโคราช ด้วยกระบวนการการจัดการทางวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม<br />ผลการศึกษา พบว่า 1) บริบทและความสำคัญของภาษาโคราชกับความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมา พบว่าภาษาโคราชถือเป็นภาษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สื่อถึงความเป็นโคราชหรือนครราชสีมา ยังนำมาถ่ายทอดด้านสุนทรียะผ่านเพลงโคราชแต่ด้วยจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มอาศัยอยู่ จึงทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม รวมไปถึงวัฒนธรรมภาษาโคราชด้วยที่มีการเปลี่ยนแปลง 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภาษาโคราชแบบมีส่วนร่วม พบว่า ภาษาก็เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอการเปลี่ยนแปลงของภาษาจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ จึงไม่ค่อยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของภาษาได้ชัดเจน โดยมีสาเหตุจาก 1) ปัจจัยด้านเวลา 2) การขาดการติดต่อสมาคมระหว่างผู้พูดภาษา 3) การรับวัฒนธรรมและการผสมกันทางเชื้อชาติ 4) ปัจจัยด้านสังคม และ 5) ปัจจัยด้านแนวคิดและค่านิยม</p> สิทธิศักดิ์ พรมสิทธิ์, สุรพงษ์ แสงเรณู, สุกิจจ์ บุตรเคน Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/265022 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 การสำรวจและวิเคราะห์ป้ายร้านค้าภาษาจีน กรณีศึกษา: ชุมชนจีนตลาดเก่าระนอง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264614 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและศึกษาโครงสร้างของป้ายชื่อร้านค้าภาษาจีน จึงได้ทำการสำรวจเก็บข้อมูลป้ายชื่อร้านค้าภาษาจีนในชุมชนจีนตลาดเก่าระนอง ตั้งอยู่บนถนนเรืองราษฎร์ ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง จำนวนทั้งสิ้น 55 ร้าน เครื่องมือที่ใช้ในในการวิจัย คือ แบบบันทึกการสำรวจ โดยแบ่งเป็นข้อมูลภาพ ที่ตั้ง ประเภทร้านค้า หมวดหมู่ ใช้สถิติพรรณาโดยแจกแจงค่าความถี่ และค่าร้อยละของจำนวนประเภทร้านค้า และโครงสร้างชื่อร้านค้า จาก<br />ผลสำรวจพบว่า เป็นร้านค้าประเภทของชำมากที่สุด จำนวน 14 ร้าน รองลงมาเป็นร้านขายทองคำ จำนวน 9 ร้าน ผลการศึกษาพบว่า ป้ายชื่อที่เป็นโครงสร้างเดี่ยว มีจำนวน 32 ร้าน แบ่งเป็นโครงสร้างเดี่ยวชื่อคนอย่างเดียวมีจำนวน 21 ร้าน คำทับศัพท์ มีจำนวน 7 ร้าน และคำมงคล 4 ร้าน ป้ายโครงสร้างผสมพบเป็นจำนวน 23 ร้าน แบ่งเป็น แซ่+ชื่อคน และส่วนประกอบอื่นที่ไม่บังคับปรากฏ มีจำนวน 12 ร้าน คำทับเสียงและส่วนประกอบอื่นที่ไม่บังคับปรากฏ จำนวน 4 ร้าน ชื่อสถานที่เป็นส่วนบังคับปรากฏและส่วนประกอบที่ไม่บังคับปรากฏ จำนวน 7 ร้าน </p> ุยุพิน กรัณยเดช , ศิริขวัญ ไผทรักษ์, พิทยา ลิ่มบุตร Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264614 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายการปรับตัวทางสังคมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ที่มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/263511 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการปรับตัวทางสังคมและปัจจัยทำนายการปรับตัวทางสังคมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4–5 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวน 286 ราย ได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า 1) การปรับตัวทางสังคมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.78 และ 2) ปัจจัยทำนายการปรับตัวทางสังคมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ได้แก่ การเห็นคุณค่าในตนเอง การสนับสนุนทางสังคม รายได้ สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการรับรู้ความรุนแรงของโรค โดยทั้ง 5 ตัวแปร สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ซึ่งมีอำนาจพยากรณ์ได้ร้อยละ 47.1</p> กนกวรรณ ด่านส่งเสบียง, เสาวธาร โพธิ์กลัด, วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/263511 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 การประเมินความต้องการจำเป็นและแนวทางการเสริมสร้าง พลังอำนาจครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264397 <p>การวิจัยนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับความต้องการจำเป็นด้านการเสริมสร้างพลังอำนาจครู ของครูในสถานศึกษามัธยมศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างพลังอำนาจครู โรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครู โรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 260 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจำนวนประชากรทั้งหมดกับตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan (1970) ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยกลุ่มครูกระจายสัดส่วนจำนวนกลุ่มตัวอย่าง โดยการเทียบจำนวนประชากรแต่ละขนาดของโรงเรียนกับกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังอำนาจครู เท่ากับ 0.82 และแนวทางการเสริมสร้างพลังอำนาจครูใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูล จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการเสริมสร้างพลังอำนาจครูในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำ ได้แก่ ด้านแรงจูงใจ ด้านการสื่อสารภายในองค์กร ด้านการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ส่วนด้านการสร้างบรรยากาศมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดส่วนสภาพที่พึงประสงค์ในการเสริมสร้างพลังอำนาจครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำ ได้แก่ ด้านการมอบอำนาจหน้าที่และด้านการสื่อสารภายในองค์กร ด้านการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ด้านแรงจูงใจ และด้านการสร้างบรรยากาศมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) แนวทางการการเสริมสร้างพลังอำนาจครู โรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญสามารถทำได้ดังนี้ การมอบอำนาจหน้าที่ การบริหารแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาบุคลากร การสื่อสารภายในองค์กร การสร้างแรงจูงใจ การส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และการสร้างบรรยากาศ</p> อภิชา วัฒน์โรจนกร, วิชิต กำมันตะคุณ Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264397 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 การปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครูสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264398 <p>การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการสอนของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษากับประสิทธิภาพการสอนของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด และ 4) สร้างสมการพยากรณ์การปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษากับประสิทธิภาพการสอนของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาจำนวน 18 คน และครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 317 คน รวม 335 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ หาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามตอนที่ 2 เท่ากับ 0.984 และตอนที่ 3 เท่ากับ 0.970 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและสร้างสมการเพื่อพยากรณ์ตัวแปรตาม โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาและรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน <br />2) ประสิทธิภาพการสอนของครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษากับประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = .931 4) การปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด ร้อยละ 66.20 เมื่อเพิ่มด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมเข้าไป มีอำนาจในการพยากรณ์ร้อยละ 77.80 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 11.60 เมื่อเพิ่มด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่ายเข้าไป มีอำนาจในการพยากรณ์ ร้อยละ 82.20 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 4.40 เมื่อเพิ่ม ด้านการบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการเข้าไป มีอำนาจในการพยากรณ์ ร้อยละ 85.60 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 3.40 และเมื่อเพิ่มด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพเข้าไป มีอำนาจในการพยากรณ์ ร้อยละ 86.80 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 1.20 ดังนั้น การปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสถานศึกษา ทั้ง 5 ด้านจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </p> ชานนท์ กุสุริย์, วิชิต กำมันตะคุณ Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264398 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัญหาการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในเหตุที่จะออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264435 <p>บทความนี้ได้ศึกษาถึงเหตุออกหมายจับ โดยศึกษาถึงหลักการ เงื่อนไข และการใช้บังคับมาตรการจับของไทยและประเทศเยอรมัน เนื่องจากการจับเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในร่างกายของบุคคล เงื่อนไขในการใช้บังคับจึงต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและมีขึ้น เพื่อให้การดำเนินคดีอาญาดำเนินการไปได้โดยไม่มีปัญหาเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอันเกิดจากการใช้มาตรการจับ</p> <p>จากการศึกษา พบว่า เงื่อนไขของเหตุออกหมายจับตามมาตรา 66 (1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของการจับ ทั้งการกำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี เป็นเงื่อนไขของเหตุออกหมายจับได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานกว่า 89 ปีแล้ว จึงไม่สอดคล้องกับกฎหมายอาญาที่ได้กำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าสามปี ไว้มากกว่า 170 ฐานความผิด อาจเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานของรัฐใช้มาตรการจับได้ง่ายเกินกว่าความจำเป็น ในขณะที่กฎหมายต่างประเทศได้กำหนดเงื่อนไขในการใช้บังคับไว้อย่างเหมาะสม ดังนั้น เหตุออกหมายจับตามมาตรา 66 (1) จึงต้องนำเงื่อนไขของเหตุออกหมายจับตามเหตุเฉพาะเจาะจงอื่น เช่น เหตุว่าจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือจะไปก่ออันตรายประการอื่นมาประกอบด้วย และในส่วนของเหตุออกหมายจับตามมาตรา 66 (2) เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปก่ออันตรายประการอื่นโดยการกระทำผิดซ้ำ ซึ่งเป็นเหตุออกหมายจับในลักษณะการป้องกันสังคมไว้ล่วงหน้าในความผิดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ กรณีดังกล่าวจึงอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควร จึงควรต้องกำหนดเงื่อนไขให้มีความสมเหตุสมผลเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน โดยควรกำหนดให้ใช้กับคดีในบางประเภทที่มีอัตราการกระทำความผิดซ้ำเท่านั้น</p> <p>ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นควรกำหนดเงื่อนไขของเหตุออกหมายจับตามมาตรา 66 โดยให้มีเงื่อนไขในการใช้บังคับให้เหมาะสมเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของการจับซึ่งอาจนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายประเทศเยอรมันมาปรับใช้ โดยคำนึงหลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อันเป็นหลักประกันที่กฎหมายรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้</p> <p> </p> สุภัทรา ลิ่มปี่ Copyright (c) 2023 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Lawpol_Journal/article/view/264435 Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700