วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU <p><a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2985-1491"><strong>E-ISSN : 2985-1491 (Online)</strong></a></p> <p> เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีนโยบายที่จะยกระดับคุณภาพวารสารให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น ในการนี้ วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวารสารของมหาวิทยาลัยฯ จึงมีการปรับเปลี่ยนดังนี้ <br /> 1) เปลี่ยนชื่อวารสารจากเดิม “วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์”<strong> เป็น</strong> “<strong>Journal of Global of Perspectives in Humanities and Social Sciences (J-GPHSS)</strong>” ทั้งนี้ ชื่อวารสารใหม่ไม่มีชื่อภาษาไทย และเริ่มใช้ชื่อวารสารใหม่ตั้งแต่ Vol. 20 No. 3 (September – December 2026) เป็นต้นไป <br /> 2) ปรับเปลี่ยน วัตถุประสงค์และขอบเขต (Aim &amp; Scope) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป <br /> 3) เปิดรับเฉพาะบทความฉบับภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ผู้ที่ส่งบทความตั้งแต่บัดนี้ จะได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสาร Vol. 20 No. 3 (September – December 2026) เป็นต้นไป</p> <p> วารสารกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ต้นฉบับที่รับพิจารณาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อนและไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่น บทความที่เผยแพร่ผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</p> <p> Journal of Global of Perspectives in Humanities and Social Sciences (J-GPHSS) <strong>ได้รับการประเมินให้อยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1</strong> ตามที่ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index-TCI) ได้ดำเนินการพิจารณาจัดกลุ่มคุณภาพวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2568-2572</p> <p> ค่าธรรมเนียมในการขอตีพิมพ์บทความใน Journal of Global of Perspectives in Humanities and Social Sciences (J-GPHSS) <strong>บทความละ 7,000 บาท</strong> โดยจะต้องชำระเมื่อบทความที่ส่งได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง สมบูรณ์ และผ่านการพิจารณาด้านคุณภาพในเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการแล้ว เพื่อทำการส่งไปยังผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาต่อไป โดยบรรณาธิการจะเป็นผู้แจ้งให้ผู้เขียนได้ทราบเมื่อต้องชำระค่าธรรมเนียม</p> en-US <p>บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ทรรศนะและข้อคิดเห็นในบทความวารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มิใช่เป็นทรรศนะและความคิดของผู้จัดทำจึงมิใช่ความรับผิดชอบของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มา</p> journal.grad@365.vru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภัชฌาน์ ศรีเอี่ยม) journal.grad@365.vru.ac.th (คุณเพ็ญพิชชา ปราบสกุล หรือคุณธิดา โยธากุล ) Sun, 24 Aug 2025 14:24:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับการทำงานเป็นทีมของผู้นำนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/276840 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้นำนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) ศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของผู้นำนักศึกษา 3) เปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้นำนักศึกษา จำแนกตามคณะ และ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัล<br />กับการทำงานเป็นทีมของผู้นำนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นสภานักศึกษา นักศึกษาองค์การนักศึกษา และนักศึกษาสโมสรนักศึกษาทั้ง 7 คณะ ได้แก่ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตร และคณะพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 205 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.984 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้นำนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการทำงานเป็นทีมของผู้นำนักศึกษาในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) เปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้นำนักศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามคณะ และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลกับการทำงานเป็นทีมของผู้นำนักศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ปิยะพัชร์ คล้ำจีน, ศิราณี จุโฑปะมา, พิทยา พันธะไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/276840 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ในธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272498 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ความพึงพอใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร และประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรของธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟ และเพื่อกำหนดแนวทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ความพึงพอใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟ จำนวน 400 ตัวอย่าง โดยกำหนดรูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถาม ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ส่วนค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานนั้นใช้การวิเคราะห์โดยใช้ วิธี PLS-SEM วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรแฝงและตัวแปรสังเกตได้เป็นแบบ Reflective โดยสถิติที่ใช้เป็นไปตามเกณฑ์การวัดแบบจำลอง ภายนอกหรือแบบจำลองการวัด และเกณฑ์การวัดแบบจำลองภายใน ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน</p> <p>ผลการวิเคราะห์อิทธิพลระหว่างตัวแปรแฝงภายนอกและตัวแปรแฝงภายในแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ความพึงพอใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร และประสิทธิภาพการทำงาน โดยมีอิทธิพลรวมสูงสุดต่อความพึงพอใจในการทำงาน (0.631) รองลงมาคือความผูกพันต่อองค์กร (0.588) และประสิทธิภาพการทำงาน (0.531) ตามลำดับ ทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P &lt; .000 ความพึงพอใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงต่อความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าอิทธิพลสูงถึง 0.697 (P &lt; .000) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความพึงพอใจในการสร้างความผูกพันต่อองค์กร ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยมีค่าอิทธิพล 0.278 (P &lt; .003) ซึ่งแม้จะมีค่าน้อยกว่าปัจจัยอื่น แต่ก็ยังมีนัยสำคัญทางสถิติ ความพึงพอใจในการทำงานมีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยมีอิทธิพลรวม 0.471 (P &lt; .000) ซึ่งประกอบด้วยผลกระทบทางตรง 0.277 และผลกระทบทางอ้อม 0.193</p> กฤษดา เชียรวัฒนสุข, ธีทัต ตรีศิริโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272498 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ของผู้บริโภคในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272744 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยประสมทางการตลาด (7Ps) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ ราคา การจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด บุคลากร กระบวนการ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และปัจจัยความไว้วางใจ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมของผู้บริโภค ในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม จำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยการวิเคราะห์ การถดถอยกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งเป็นเพศชาย อายุระหว่าง 16 – 25 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 15,001 - 20,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมของผู้บริโภค ในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวน 3 ปัจจัย เรียงลำดับตามความสำคัญ คือ ความไว้วางใจ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และการส่งเสริมการตลาด ที่ระดับนัยสำคัญ .05 และปัจจัยที่ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา การจัดจำหน่าย บุคลากร และกระบวนการ</p> กมลพรรณ รัตนบุศย์, ดนุนัย ตั้งเจริญ, ทัศณพงศ์ บุญครัน, พุฒิพงศ์ ใจห้าว, พงศ์ปณต วรรณคีรี, สิริกร อินทร์แก้ว, จิรยุทธ์ จันทนพันธ์, กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272744 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบนวัตกรรมการสั่งงานด้วยเสียงสำหรับธุรกิจในอนาคต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273437 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบนวัตกรรมการสั่งงานด้วยเสียงสำหรับธุรกิจในอนาคต ดำเนินการวิจัยโดยอาศัยปัญญาประดิษฐ์ในการวิจัย ภายใต้กรอบ Human-in-the-Loop ผนวกกับวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพแบบดั้งเดิม เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น ประกอบด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการวิจัยคำหลัก โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เว็บไซต์ของผู้ประกอบการ ชุมชนออนไลน์ และการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบฟอร์มบันทึกข้อมูล ร่วมกับเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ โมเดลการประมวลผลภาษาธรรมชาติ และเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น เครื่องมือดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ เครื่องมือวิจัยคำหลัก มีการทบทวนข้อมูลอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์และตีความหมายข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบอุปนัย และการวิเคราะห์ โดยการเปรียบเทียบเหตุการณ์ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า ปรากฏข้อค้นพบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผลการวิจัยปรากฏรูปแบบนวัตกรรมการสั่งงานด้วยเสียงสำหรับธุรกิจในอนาคต ทำงานผ่านการประยุกต์ใช้ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) การบริการลูกค้าที่เปิดใช้งานด้วยเสียง 2) การซื้อสินค้าที่สั่งงานด้วยเสียง 3) สถานที่ทำงานที่สั่งงานด้วยเสียง 4) การวิเคราะห์ข้อมูลที่สั่งงานด้วยเสียง และ 5) การตลาดที่สั่งงานด้วยเสียง</p> โกศล จิตวิรัตน์, กันธิชา เจริญไวยเจตน์, วันงาม มีบุญสล้าง, จันทราวรรณ อัครเมธานนท์, วุฒิศาสตร์ คำคม, เบญจมาศ นาควงษ์, กันยาวีร์ เมฆีวราพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273437 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติต ตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต (4 ปี) คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/269580 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาที่มีต่อการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูด้านการปฏิบัติงานและปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา 2) ศึกษาแนวทางการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูด้านการปฏิบัติงานและปฏิบัติตนของนักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาของคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู รวมทั้งสิ้น 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์สภาพปัญหาและแนวทางในการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์โดยการจำแนกชนิดข้อมูลแบบการวิเคราะห์สาระบบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาที่มีต่อการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูด้าน การปฏิบัติงานและปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา มีดังนี้ (1) ระบบการประเมินนักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอนมีความซับซ้อน การเข้าถึงข้อมูลมีหลายขั้นตอน ระบบประเมินฯ ยังขาดความเสถียร ใช้เวลาในการประมวลผลช้าทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการประเมิน (2) รายการประเมินและระยะเวลาในการประเมินมีจำนวนมากเกินไป โดยเฉพาะในส่วนของการประเมินสมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้รวมถึงรายละเอียดของระดับคุณภาพทำให้เกิดความสับสนในการประเมิน และ 2) แนวทางการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนของของนักศึกษาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา มีดังนี้ (1) ควรจัดทำคู่มือแนะนำและจัดอบรม การใช้งานระบบประเมินนักศึกษาฯ อย่างต่อเนื่อง และควรปรับลดขั้นตอนในการเข้าใช้งานได้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น (2) ปรับลดระยะเวลาในการประเมินให้น้อยลงเนื่องจากจำนวนที่กำหนดไว้ 3 ครั้ง มากเกินไปส่งผลให้เกิดความสับสนในการประเมินแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง (3) ปรับลดรายละเอียดของสมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้ เกณฑ์คุณภาพ และสัดส่วนคะแนนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมที่โรงเรียนดำเนินการ รวมถึงการกำหนดภาระงานให้ครอบคลุมตัวบ่งชี้และเกณฑ์คุณภาพโดยเน้นการบูรณาการเพื่อตอบสนองต่อสมรรถนะย่อยและพฤติกรรมบ่งชี้มากกว่า 1 ข้อ</p> จริยา ตะลังวิทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/269580 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติโดยใช้ งานทางคณิตศาสตร์ที่มีต่อความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีสมาธิสั้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270234 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติโดยใช้งานทางคณิตศาสตร์ที่มีต่อความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีสมาธิสั้น ของโรงเรียนประถมศึกษา ขนาดเล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 3 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน 3 วงจร โดยใช้ระยะเวลาทั้งหมด 12 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 3 แผน ใบกิจกรรม และแบบทดสอบวัดความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและหาค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทุกคนมีระดับความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก เมื่อพิจารณาองค์ประกอบรายด้าน พบว่า นักเรียนมีความสามารถด้านการเขียนโดยใช้รูปภาพมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 86.11 รองลงมา คือ ด้านการเขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 77.78 และด้านการเขียนโดยใช้ข้อความ คิดเป็นร้อยละ 61.11 ตามลำดับ</p> จันทร์ฉาย ฉิมบุญ, วนินทร พูนไพบูลย์พิพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270234 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของประสิทธิผลโรงเรียน ด้านผลลัพธ์ทางสังคม โรงเรียนมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/268247 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างรูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของxระสิทธิผลโรงเรียนด้านผลลัพธ์ทางสังคม โรงเรียนมัธยมศึกษา 2) ทดสอบรูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของประสิทธิผลโรงเรียนด้านผลลัพธ์ทางสังคม โรงเรียนมัธยมศึกษา กับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) ศึกษาอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลรวมของปัจจัยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของประสิทธิผลโรงเรียนด้านผลลัพธ์ทางสังคมโรงเรียนมัธยมศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 1) เป็นการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย โดยวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จำนวน 54 คน และ 2) เป็นการตรวจสอบสมมติฐานการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 502 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับหนึ่ง และวิเคราะห์โมเดลสมการเชิงโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของประสิทธิผลโรงเรียนทางด้านผลลัพธ์ทางสังคมโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 5 ปัจจัย คือ ภาวะผู้นำพลังบวกของผู้บริหาร ภาวะผู้นำทางวิชาการของครู วัฒนธรรมคุณภาพของโรงเรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ และประสิทธิผลโรงเรียนทางด้านผลลัพธ์ทางสังคม 2) รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของประสิทธิผลโรงเรียนทางด้านผลลัพธ์ทางสังคมโรงเรียนมัธยมศึกษาที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าสถิติ χ<sup>2</sup>= 17.72, P-value = 0.911, DF = 27, χ<sup>2</sup>/DF = 0.656, GFI = 0.995, AGFI = 0.980, RMR = 0.014 SRMR = 0.014, RMSEA = 0.000, CFI = 1.00 CN = 1329.14 เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์พยากรณ์ (R2) ของปัจจัยทั้ง 5 ปัจจัย พบว่า สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนประสิทธิผลโรงเรียนทางด้านผลลัพธ์ทางสังคม โรงเรียนมัธยมศึกษา ได้ร้อยละ 90 และ 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิผลโรงเรียนทางด้านผลลัพธ์ทางสังคม โรงเรียนมัธยมศึกษา เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และ ภาวะผู้นำทางวิชาการของครู ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อม พบว่าภาวะผู้นำพลังบวกของผู้บริหารมีอิทธิพลทางอ้อมโดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ ภาวะผู้นำทางวิชาการของครูมีอิทธิพลทางอ้อมโดยผ่านวัฒนธรรมคุณภาพของโรงเรียน และกระบวนการจัดการเรียนรู้ และวัฒนธรรมคุณภาพของโรงเรียน มีอิทธิพลทางอ้อมโดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ อิทธิพลรวม เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ภาวะผู้นำทางวิชาการของครู ภาวะผู้นำพลังบวกของผู้บริหาร และ วัฒนธรรมคุณภาพของโรงเรียน</p> เชษินีร์ แสวงสุข, พรสวัสดิ์ ศิรศาตนันท์, ธีรังกูร วรบำรุงกุล, สวัสดิ์ชัย ศรีพนมธนากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/268247 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหาร ของเด็กปฐมวัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273392 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย 1) เด็กที่มีอายุ 3 - 5 ปี ที่ลงทะเบียนเรียนอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กพัฒนาเนอสเซอรี่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 10 คน 2) พ่อ หรือ แม่ หรือ ผู้ปกครองของเด็กกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหารให้ลูก และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีพื้นฐานในการติดต่อสื่อสาร (Line OA) จำนวน 10 คน โดยใน 1 ครอบครัว จะมีสมาชิกในครอบครัว 1 คนที่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกับเด็กเป็นผู้ตอบแบบประเมิน ผ่าน Line OA ที่ได้ลงทะเบียนไว้เท่านั้น เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย แบบประเมินพัฒนาการทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กปฐมวัย 12 ข้อ และ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อโปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหาร<br />ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมฯมีคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดเชิงบริหารโดยรวมหลังใช้โปรแกรมฯ (34.10) สูงกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ (30.20) โดยมีการจำเพื่อใช้งาน การยับยั้งชั่งใจ และความยืดหยุ่นทางความคิด เด็กสามารถจดจำรูปแบบการทำกิจกรรมในแต่ละชุดกิจกรรม<br />และนำมาปฏิบัติในครั้งถัดไปได้อย่างถูกต้อง ทำกิจกรรมจนสำเร็จ สามารถยับยั้งตนเองไม่ให้ทำอย่างอื่นได้ดีมากขึ้น ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ดุสิตา จันทรสร, ชลาธิป สมาหิโต, ปิยะนันท์ หิรัณย์ชโลทร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273392 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสอนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เสมือนจริงแบบสืบสอบ และแบบเสริมต่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270375 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการสอนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เสมือนจริงแบบสืบสอบและแบบเสริมต่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา และ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เสมือนจริงแบบสืบสอบและแบบเสริมต่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา ตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรูปแบบการสอนฯ 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนฯ 3) แบบทดสอบการรู้วิทยาศาสตร์ 4) เว็บไซต์ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) สื่อเทคโนโลยี (2) กิจกรรมการเรียนรู้ (3) การเสริมต่อการเรียนรู้ และ (4) การประเมินผล และขั้นตอนการเรียนการสอน 5 ขั้น ได้แก่ (1) ขั้นตั้งประเด็นคำถาม (2) ขั้นวางแผน (3) ขั้นปฏิบัติการ (4) ขั้นนำเสนอ และ (5) ขั้นสรุปผล มีผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ประเมินคุณภาพของรูปแบบการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม ในระดับดีมาก (𝑥̅ = 4.65, SD = 0.64) สามารถนำไปใช้ได้ 2) ผลของการใช้รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น มีค่าเฉลี่ยคะแนนการรู้วิทยาศาสตร์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> นภสร ศรีสมบัติ, ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270375 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง แก๊ส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/271428 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง แก๊ส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนจตุรมิตรวิทยาคาร จังหวัดขอนแก่น จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 2) แบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาแบบอัตนัย 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน 4) แบบบันทึกอนุทินของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ นักเรียนมีการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ดังต่อไปนี้ วงจรปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 23 คน มีคะแนนรวมคิดเป็นร้อยละ 49.74 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 11.94, SD = 6.04) วงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 17 คน มีคะแนนรวมคิดเป็นร้อยละ 59.06 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 14.17, SD = 3.65) วงจรปฏิบัติการที่ 3 นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 6 คน มีคะแนนรวมคิดเป็นร้อยละ 70.10 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 16.82, SD = 2.72) และวงจรปฏิบัติการที่ 4 นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 100 มีคะแนนรวม คิดเป็นร้อยละ 78.47 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 18.83, SD = 1.17) นักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มีจำนวนลดลงในทุกวงจรปฏิบัติการ แสดงว่าการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยห้องเรียนกลับด้านร่วมกับรูปแบบสืบเสาะหาความรู้สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาของนักเรียนได้</p> พัชระ จำปานา, พรรณวิไล ดอกไม้ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/271428 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการสร้างความสุขในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270103 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสุขในการทำงาน 2) หาแนวทางการสร้างความสุขในการทำงาน และ 3) ประเมินแนวทางการสร้างความสุขในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร แบ่งการดำเนินการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาความสุข กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 231 คน ได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความสุขด้วยตนเอง Happinometer มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.934 สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ และร้อยละ ระยะที่ 2 หาแนวทางการสร้างความสุข ผู้ให้ข้อมูลมาจากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และยืนยันแนวทางโดยผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดิม จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบยืนยันข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ระยะที่ 3 ประเมินแนวทางการสร้างความสุข นำแนวทางที่ได้รับจากการยืนยัน ในระยะที่ 2 มาสร้างแบบประเมินแนวทาง ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญที่เลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน ประเมินด้านความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องครอบคลุม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสุขในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร ส่วนใหญ่มีความสุขอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการสร้างความสุขในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร ใน 9 ด้าน ได้รับการยืนยันและประเมินว่าใช้ได้ทุกแนวทาง และ 3) แนวทางการสร้างความสุขในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร มีความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องครอบคลุมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> พัลลภ คำพรมมา, พนายุทธ เชยบาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270103 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/269141 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก และ 2) พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 121 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 11 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.98 และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็กโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และความต้องการในการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) รูปแบบฯ ที่พัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบการบริหารสถานศึกษา 6 ด้าน ได้แก่ (1) หลักสูตรสถานศึกษา (2) งบประมาณ (3) การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา (4) การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (5) นโยบายและแผนพัฒนาสถานศึกษา และ (6) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ร่วมวางแผน 2) ร่วมตัดสินใจ 3) ร่วมปฏิบัติ และ 4) ร่วมประเมินผล ซึ่งรูปแบบมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> พีระพงศ์ บุญแน่น, ชวนคิด มะเสนะ, นเรศ ขันธะรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/269141 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 แบบจำลองการบริหารโรงเรียนมาตรฐานสากลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272608 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบจำลองการบริหารโรงเรียนมาตรฐานสากลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 520 คน เป็นผู้บริหาร ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ เก็บข้อมูลแบบชั้นภูมิ สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลองประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ ศักยภาพของผู้เรียน คุณภาพบุคลากร การจัดการเรียนรู้มาตรฐานสากล และโรงเรียนมาตรฐานสากล OBECQA รวม 18 ตัวชี้วัด ทุกองค์ประกอบมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ผลการสร้างแบบจำลองพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมด 153 คู่ มีความสัมพันธ์กันและความสัมพันธ์ของตัวแปรทุกคู่มีทิศทางเดียวกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเป็นความสัมพันธ์ทางบวก มีขนาดของความสัมพันธ์หรือค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.201 ถึง 0.798 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ค่าสถิติ Chi-Square () = 65.23, df=54, p-value = 0.141, /df = 1.21, GFI=0.99, AGFI=0.96, RMR=0.012, SRMR= 0.021, RMSEA=0.020, CFI=1.00, ซึ่งผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด แบบจำลองการวัดของทุกองค์ประกอบมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และผลการประเมินแบบจำลองทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุดสามารถนำไปใช้ได้</p> พัทธณะไชย ห่วงแก้ว, จิราภรณ์ ผันสว่าง, สุเทพ เมยไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272608 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการพัฒนาและจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิตอย่างมีส่วนร่วมสำหรับนักเรียนประถมศึกษาตอนต้นในเขตทุ่งครุ – เขตบางขุนเทียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272024 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระบุความต้องการทักษะชีวิตของนักเรียนระดับประถมศึกษา และพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ฐานชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตอย่างมีส่วนร่วม ในเขตทุ่งครุ-บางขุนเทียน 2. เพื่อประเมินผลและสรุปการจัดกิจกรรมร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนิเวศการเรียนรู้ โดยมีกรอบแนวคิดในการพัฒนากิจกรรมจากหลักการ 4 H และการออกแบบอย่างมีส่วนร่วมกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ระยะที่ 1 ครู จำนวน 24 คน และ ผู้ปกครอง จำนวน 25 คน นักเรียนจำนวน 33 คน รวมทั้งสิ้น 82 คน ระยะที่ 2 ประกอบด้วย ผู้ประกอบการพื้นที่เรียนรู้ 4 คน ผู้ปกครอง 26 คน และนักเรียน 26 คน รวมทั้งสิ้น 56 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากรูปแบบการศึกษา 4 ประเภท ได้แก่ โรงเรียนรัฐบาล เอกชน ทางเลือก และบ้านเรียน ระยะที่ 3 ประกอบด้วย ครู 4 คน ผู้ปกครอง 8 คน ผู้ประกอบการพื้นที่เรียนรู้ 4 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน 2 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แผนการจัดกิจกรรม แบบประเมินทักษะชีวิต แบบประเมินกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรมแบบบันทึกการสนทนากลุ่มของนักเรียน แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ทบทวน วรรณกรรม ศึกษาพื้นที่การเรียนรู้ ละการสัมภาษณ์ ระยะที่ 2 พัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ ระยะที่ 3 จัดเวทีชุมชนร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการทักษะชีวิตของนักเรียนมี 7 ด้าน คือ การจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม มองตนเองและผู้อื่นในแง่บวก รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ยอมรับความแตกต่างระหว่างตนเองและผู้อื่น รู้จักสังเกตและตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ ค้นพบความชอบ ความถนัดและความสามารถของตนเอง การมีจินตนาการในการคิด 2. การประเมินทักษะชีวิตโดยผู้ปกครอง การประเมินตนเองของนักเรียน และผลการจัดเวทีชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในนักเรียนทุกกลุ่ม ข้อเสนอแนะ ถ่ายทอดบทเรียนการจัดกิจกรรมไปยังแหล่งเรียนรู้อื่น ควรพัฒนาหลักสูตรเพิ่มสมรรถนะผู้ประกอบการแหล่งเรียนรู้ให้สามารถจัดกิจกรรมได้เอง ควรพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน สร้างแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ในชุมชนเพื่อเสนอนโยบายและสร้างแนวทางการทำงานร่วมกันกับภาครัฐให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดระบบการบริหารจัดการและเกิด ประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้ให้มีความยั่งยืน</p> ศิริก้อย ชุตาทวีสวัสดิ์, กัญจนีย์ พุทธิเมธี, สุรัตน์ เพชรนิล, สุเมธ ท่านเจริญ, วิไลวรรณ ประทุมวงศ์, พรทิพย์ ลิมปิขัยโสภณ, ลดาวัลย์ ศรีขาว, วันใหม่ นิยม, ชิดชญา เดชเฉลิมวงศ์, กิตติชัย จันทร์แดง, พิทักษ์พงศ์ พงศ์กระพันธุ์ , พิมพกานต์ มีไพฑูรย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/272024 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน กรณีศึกษา การพัฒนา เครื่องสับหญ้าจักรพรรดิ ร่วมกับคนในชุมชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273373 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการใช้เครื่องสับหญ้าจักรพรรดิ ของคนในชุมชน บ้านบึงวิชัย ตำบลบึงวิชัย อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) พัฒนาเครื่องสับหญ้าจักรพรรดิ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน 3) ทดสอบประสิทธิภาพเครื่องสับหญ้าจักรพรรดิ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครู อาจารย์ผู้สอนที่สถานศึกษาและกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพเสริม ที่ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การสัมภาษณ์ การสำรวจ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบสอบถามความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตีความแบบอุปมัยจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) มี 1 ครัวเรือนที่ตอบรับการมีส่วนร่วมสู่การพัฒนาเครื่องสับหญ้าเดิมที่มีอยู่แล้วให้หายจากการสั่นของเครื่อง 2) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามทฤษฎีแบบ SWOT พบว่า การพัฒนาใบมีดสับหญ้าโดยใช้กระบวนการชุบผิวแข็งเหล็ก AISI 1045 เหมาะสมที่สุด ซึ่งผลที่ได้จากการดำเนินการ พบว่า เหล็กเปลี่ยนโครงสร้างจากเพิร์ลไรท์เป็นมาร์เทนไซท์ โดยมีค่าความแข็งเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 44.8 HRC เป็น 62.0 HRC และ 3) ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นถึงประสิทธิภาพการใช้งานสอดคล้องกันที่ระดับความพึงพอใจ มากที่สุดมีค่าเฉลี่ย 4.58 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.52 สำหรับประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ มีความพึงพอใจของกลุ่มเกษตรกรได้จากการถ่ายทอด ภูมิปัญญาและปัจจัยสนับสนุน ส่วนผู้เชี่ยวชาญจากสถานศึกษา มีความพึงพอใจได้จากการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์ รวมถึงเครื่องมือ เครื่องจักร ที่ใช้ในการดำเนินงานวิจัยครั้งนี้ </p> สายชล ปัญจมาตย์, ปิยะธิดา มูลเสนา, ปริญญา ทองอาสน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/273373 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และส่งเสริมสัมผัสด้านสถานที่ เรื่องปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270702 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ 3) เพื่อศึกษาผลการส่งเสริมสัมผัสด้านสถานที่ เรื่องปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้เข้าร่วมวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 9 คน จากโรงเรียนประถมศึกษาหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่บ้านซำบ้อแบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และแบบวัดสัมผัสด้านสถานที่ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลแบบสามเส้าด้านแหล่งข้อมูลและวิธีการทำการเก็บข้อมูลตามวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 วงจร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และส่งเสริมสัมผัสด้านสถานที่ ประกอบด้วย การกระตุ้นความสนใจให้กับผู้เรียน โดยใช้วิดีโอที่มีสถานการณ์ปัญหาเกี่ยวกับบ้านซำบ้อ การลงสำรวจพื้นที่ที่เป็นสถานที่ที่สะท้อนปัญหา ได้แก่ สวนกล้วย เตาเผาขยะ ทุ่งนา และดอยตาล การสืบค้นข้อมูลเพื่อระบุสาเหตุ การเสนอการแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดหลากหลายและแปลกใหม่ การเขียนวิธีการแก้ปัญหาให้ครอบคลุมกับสถานการณ์ การวางแผนร่วมกับชุมชนในการหาวิธีการแก้ปัญหา ร่วมกันสรุปความคิดเห็นแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข และการเผยแพร่ให้กับคนในชุมชน 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนเพิ่มจากระดับปานกลางเป็นระดับสูง และ 3) ระดับสัมผัสด้านสถานที่หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> สุดารัตน์ จอยศรีทอง, สุรีย์พร สว่างเมฆ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270702 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270624 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ทัศนคติต่อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคม ทัศนคติต่อธุรกิจเพื่อสังคม และความน่าเชื่อถือของตรา ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคม และ 2) ศึกษาการรับรู้ด้านจริยธรรม การรับรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การรับรู้คุณค่าด้านการใช้งาน การรับรู้คุณค่าด้านอารมณ์ และการรับรู้คุณค่าด้านสังคม ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคม โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริโภคที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคมจำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเจาะจงไปที่เพจเฟสบุ๊คของชุมชนออนไลน์ที่มีความสนใจผลิตภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทัศนคติต่อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคม ทัศนคติต่อธุรกิจเพื่อสังคมและความน่าเชื่อถือของตรา ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) การรับรู้คุณค่าด้านอารมณ์ ด้านจริยธรรม และด้านสังคม ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> สุพาดา สิริกุตตา, ไพบูลย์ อาชารุ่งโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270624 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/275599 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับทราบข้อมูลการรับสมัครเข้าศึกษา 2) ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี และ 3) เปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จําแนกตามสาขาวิชา ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2567 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม 5 ระดับ ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.96 จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 300 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบชั้นภูมิ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย นำมาวิเคราะห์ด้วย การวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (ANOVA)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษารับทราบข้อมูลการรับสมัครเข้าศึกษา จากเพื่อนหรือคนรู้จัก เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย และโซเชียลมีเดีย ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อมากที่สุด คือปัจจัยปัจจัยส่วนบุคคล มีระดับความสำคัญมากที่สุด (เช่น ทัศนคติต่ออาชีพครู ความสนใจในวิชาชีพครู) รองลงมาเป็นปัจจัยทางสังคม (เช่น การยอมรับในสังคม อิทธิพลจากครอบครัว) ปัจจัยทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ปัจจัยทางสถาบัน และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ตามลำดับ และ 3) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จำแนกตามสาขาวิชา พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมการเปรียบเทียบทีละคู่ไม่พบคู่กลุ่มใดที่แตกต่างกัน ผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อคณะครุศาสตร์ในการวางแผนการ ประชาสัมพันธ์ และเป็นข้อมูลสำหรับนักเรียนในการเลือกศึกษาต่อ</p> สุวิทย์ ฝ่ายสงค์, สิริมาศ แก้วกันทา, วรานิษฐ์ ธนชัยวรพันธ์, ภัทรพรรณ พรหมคช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/275599 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270356 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา และ 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมายที่ทำการศึกษา ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนภาษาอังกฤษ จำนวน 540 คน และ 2) ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม และ 2) แบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ค่าเฉลี่ย และ 2) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก และความต้องการในการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) รูปแบบการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบ คือ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) วิธีดำเนินการ (4) การประเมินผลการดำเนินการ และ (5) เงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> อัศวิน แสวงผล, ชวนคิด มะเสนะ, พงษ์ธร สิงห์พันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/270356 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารอัตลักษณ์ของตำบลเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จากบุคลิกเฉพาะพื้นที่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/267614 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามุมมองการรับรู้ และการสื่อสารอัตลักษณ์ของชุมชนเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ผ่านบุคลิกเฉพาะพื้นที่จากกลุ่มนักท่องเที่ยว หน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม และผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมทั้งสิ้น 660 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสำรวจ 2) แบบสนทนากลุ่มย่อย และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจโดยทำการบันทึก วิเคราะห์ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และบรรยายเนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารอัตลักษณ์ประกอบไปด้วย ผลิตภัณฑ์ไช้โป้ว ผลิตภัณฑ์กล้วยตานี วัด ประวัติชุมชน และเค้กมะพร้าวอ่อน ชุมชนมีการสื่อสารบุคลิกเฉพาะพื้นที่ผ่านลายอัตลักษณ์ จำนวน 3 ลาย คือ 1) ลายสัมพันธ์เจ็ดเสมียนไทยจีน แสดงถึง ภาวะพึ่งพาอาศัยกัน 2) ลายเจ็ดเสมียนบูชาหมายถึงวัดที่ทำหน้าที่เผยแผ่ และศูนย์รวมจิตใจ 3) ลายมงคลเจ็ดเสมียนเป็นการรวบรวมสิ่งมงคลเพื่อเป็นสัญลักษณ์ความมั่นคง และอุดมสมบูรณ์ ส่วนการสื่อสารอัตลักษณ์ของชุมชน พบว่าสามารถทำการสื่อสารได้ใน 4 มิติ ได้แก่การสะท้อนความเป็นท้องถิ่นชุมชน การสื่อถึงที่มาของแหล่งผลิตการใช้สัญลักษณ์จากผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องถิ่น และการประยุกต์ใช้ลวดลายผ่านการออกแบบที่เหมาะสม ส่วนการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่พบว่าสามารถสื่อสารถึงด้านกระบวนการมีส่วนร่วมมากที่สุด รองลงมา ด้านการจัดจำหน่าย ด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านอัตลักษณ์ และด้านความสวยงาม ตามลำดับ</p> อัจฉรียา โชติกลาง, ศุภฤกษ์ สายแก้ว, วิภาวี จันทศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/267614 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปกใน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281110 ธิดา โยธากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281110 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กวัยอนุบาล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/271176 <p>ความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เป็นองค์ประกอบหลักของการรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของเด็กและเยาวชนที่ประเทศคาดหวังในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนาความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กวัยอนุบาล นำไปสู่การเกิดเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ ช่วยปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีในการแสวงหาความรู้แบบนักวิทยาศาสตร์ และเป็นการสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็กในการมีส่วนร่วมทางวิทยาศาสตร์ บทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอความหมายธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ความสำคัญของความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเด็กวัยอนุบาล องค์ประกอบความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และแนวทางการเสริมสร้างความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล เพื่อสร้างความตระหนักและเป็นแนวทางให้ครูอนุบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้นำไปประยุกต์ในการจัดประสบการณ์หรือการศึกษาวิจัยต่อไป</p> ภัสรำไพ จ้อยเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/271176 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของพ่อแม่ในการสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของลูกในยุคปกติใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/274164 <p>การระบาดของ COVID-19 ในปี พ.ศ. 2563 ส่งผลให้โรงเรียนต้องปิดเรียน กระตุ้นให้ผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษทบทวนบทบาท เป้าหมาย และแนวทางการเรียนรู้ ตลอดจนปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ <br />วิกฤตนี้ยังทำให้ผู้ปกครองมีบทบาทเชิงรุกในการเรียนรู้ของลูกมากขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงผู้สนับสนุนด้านการเงิน สู่การมีส่วนร่วมโดยตรง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงทรรศนะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านมุมมองของอาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา อภิปรายความสำคัญ เสนอแนวทางในการสื่อสารอย่างร่วมรู้สึก ตลอดจนแนวทางร่วมมือระหว่างครูและผู้ปกครองที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน บทความกล่าวถึงสภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในปัจจุบันซึ่งมีปัจจัยแทรกซ้อนเข้ามากระทบต่อมุมมองและบทบาทการจัดการเรียนการสอน บทบาทของพ่อแม่โดยเฉพาะมุมมองโดยทั่วไปที่มีต่อพ่อแม่ไทย ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการเรียนภาษาอังกฤษ และต้องการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้นอกเหนือจากบทบาทการสนับสนุนทางการเงิน แม้ว่าจะมีความสามารถทางภาษาอังกฤษที่หลากหลาย บทความเสนอแนะแนวทางการในการสื่อสารอย่างร่วมรู้สึกเพื่อพัฒนาแรงจูงใจในการเรียนรู้อย่างยั่งยืน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีและเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว ช่วยให้ผู้ปกครองซึ่งมีคววามสามารถทางภาษาอังกฤษหลากหลายสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคปกติใหม่</p> อรวิภา ดุรงค์ธรรม, กนกพจน์ ค้าขาย, รุ่งนภา ธาตุไพบูลย์, ยศศิริ ยศธร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/274164 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 บทบรรณาธิการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281111 ธิดา โยธากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281111 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700 สารบัญ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281112 ธิดา โยธากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/281112 Sun, 24 Aug 2025 00:00:00 +0700