วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc <p> วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง (Journal of Architecture, Design and Construction : JADC) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยที่มีความสนใจ ด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง และเพื่อการพัฒนาวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index (TCI) </p> <p> ISSN (Print Edition): 2673-0332 </p> <p> ISSN (Online Edition): 2673-0340 </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี<br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย<br /> 3. เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นฐานความรู้นำไปสู่การพัฒนาทางด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมผังเมือง สาขาสถาปัตยกรรมภายใน ภูมิสถาปัตยกรรม การจัดการงานก่อสร้าง นฤมิตศิลป์ การออกแบบสร้างสรรค์ การออกแบบอุตสาหกรรม และในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> มหาวิทยาลัยมหาสารคาม th-TH วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง 2673-0332 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม</p> การศึกษาข้อมูลสารสนเทศรูปแบบแพลตฟอร์มข้อมูลเมือง (CDP) เพื่อใช้ประเมินผลการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน กรณีศึกษา ผังเมืองรวมเมืองกาฬสินธุ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/272714 <p>การวิจัยนี้ มุ่งศึกษาการประยุกต์ใช้แพลตฟอร์มข้อมูลเมือง (CDP) เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมืองรวมเมืองกาฬสินธุ์ โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:4,000 (BLDG) ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และโปรแกรม SuperMap GIS ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหารระดับจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน โดยนำเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ Map Dashboard ซึ่งช่วยให้เข้าใจข้อมูลได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผลการศึกษาพบว่า แพลตฟอร์มข้อมูลเมือง (CDP) เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการข้อมูลการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินรวมมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อการรองรับการขยายตัวของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสามารถแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นที่เกินข้อกำหนดได้อย่างชัดเจน โดยพบว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมืองรวมเมืองกาฬสินธุ์ พ.ศ. 2562 สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผังเมืองรวม ผลวิจัยนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่รอบศูนย์ราชการแห่งใหม่ซึ่งอยู่ในบริเวณการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) เพื่อลดความแออัดและการจราจรในเขตชุมชนเมืองเก่า โดยเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เชื่อมโยงและผสมผสานระหว่างพื้นที่ในเมืองอย่างเหมาะสม</p> วิจิตร งามชื่น ธราวุฒิ บุญเหลือ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 13 26 อิทธิพลของร่มเงาต่อพื้นที่ทางสังคม กรณีศึกษาย่านแพร่งภูธร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/275247 <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของร่มเงาและกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อระบุถึงรูปแบบเฉพาะของพื้นที่ทางสังคมในย่านแพร่งภูธรด้วยมุมมองเชิงสัณฐานพื้นที่ร่วมกับสภาวะสบาย โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จำลองการเกิดเงาและนำมาซ้อนทับกันใน 3 ช่วงเวลา คือ 8.00 น. 12.00 น. และ 17.00 น. ใน 2 ช่วงเดือน คือ พระอาทิตย์อ้อมเหนือ และอ้อมใต้ พร้อมกับสังเกตการณ์พฤติกรรมการใช้พื้นที่ของผู้คนด้วยการนับจำนวนคนเข้าใช้พื้นที่ สะกดลอย และการจับภาพชั่วขณะ ผลการศึกษาพบว่ามีการกระจุกตัวของกลุ่มกิจกรรมทางเลือกและกลุ่มกิจกรรมทางสังคมในพื้นที่ที่มีร่มเงาเฉลี่ยสูง คือ บริเวณถนนแพร่งภูธร และถนนแพร่งนรา รวมถึงทิศทางการใช้งานของกลุ่มกิจกรรมจำเป็นที่นิยมเคลื่อนผ่านพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเชื่อมการสัญจรระหว่างถนนอัษฎางค์ ถนนบำรุงเมือง และถนนตะนาว ทำให้ร้านค้า ร้านอาหาร สามารถเปิดทำการเพื่อตอบสนองวิถีชีวิตของผู้คนได้ในบริเวณที่มีร่มเงาของช่วงเวลาที่มีแดดรุนแรง ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ บ่งชี้ถึงอิทธิพลของร่มเงาต่อพื้นที่ทางสังคมในย่านแพร่งภูธรที่ช่วยส่งเสริมการใช้พื้นที่ให้มีกิจกรรมหลากหลาย และสนับสนุนการคงอยู่ของร้านเก่าแก่ให้ยังคงเปิดทำการคู่ย่านมาอย่างช้านาน</p> พู่กัน สายด้วง สุคตยุติ จารุนุช Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 28 40 การใช้วัสดุแผ่นเรียบในการออกแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 150 ตร.ม.) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/273102 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาและประเมินคุณสมบัติของวัสดุแผ่นเรียบในการออกแบบที่อยู่อาศัย และ (2) เพื่อพัฒนาแนวทางการออกแบบโดยใช้วัสดุแผ่นเรียบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 150 ตร.ม.) โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนในการก่อสร้าง การศึกษาใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) จาก 47 ชุมชนในจังหวัดนนทบุรี เพื่อสำรวจการใช้วัสดุแผ่นเรียบในที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ข้อมูลที่รวบรวมถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) และการทดสอบสมบัติของวัสดุ เช่น ความทนทานต่อความชื้นและอุณหภูมิ ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนผู้มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ใช้ไม้ในการก่อสร้าง ขณะที่ชุมชนผู้มีรายได้ต่ำจะใช้สังกะสีเป็นหลัก การศึกษาคุณสมบัติของวัสดุแผ่นเรียบระบุว่า Fiber Board สามารถลดต้นทุนการก่อสร้างได้ถึง 20% และมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 15 ปีในสภาพแวดล้อมเขตร้อนชื้น นอกจากนี้การศึกษาวัสดุแผ่นเรียบประเภท Particle Board ช่วยลดการใช้ไม้ธรรมชาติและของเสียจากการผลิตได้ 30% ผลการศึกษาเสนอแนวทางการออกแบบโดยใช้วัสดุแผ่นเรียบเพื่อเพิ่มความทนทานของที่อยู่อาศัยและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 11 (Sustainable Cities and Communities) และเป้าหมายที่ 12 (Responsible Consumption and Production)</p> คมกริช หมายสุข Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 42 55 กรณีศึกษากรุงเทพมหานครการสร้างสรรค์พื้นที่ขนาดเล็กในบ้าน เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมลบสู่ความสัมพันธ์บวกในผู้เชื่อใหม่ จากแรงบันดาลใจกิจกรรมคริสเตียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/268027 <p>บ้านไม่ได้เป็นเพียงสถานที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นพื้นที่ขนาดเล็กที่ส่งเสริมกิจกรรมเชิงบวกและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกในกลุ่มคริสเตียนผู้เชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มย่อยของคริสตจักรในเขตกรุงเทพมหานคร การออกแบบกิจกรรมภายในบ้านจึงมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ในชุมชนความเชื่อ และช่วยลดสภาวะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของมนุษย์ในช่วงเวลาวิกฤต ในการศึกษาเกี่ยวกับการใช้บ้านเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางศาสนา กลุ่มตัวอย่างจากคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ โดยการศึกษากลุ่มผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัศจรรย์พระเจ้า เพื่อค้นหาวิธีสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมกำลังใจผ่านดนตรี การฟังเทศนา และการพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหา บ้านจึงกลายเป็นสถานที่สำคัญที่เอื้อต่อการอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์ และรับคำแนะนำจากผู้นำทางจิตวิญญาณซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจที่ผิดพลาดไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากลบเป็นบวก “พื้นที่บวก” ภายในบ้านนี้ สามารถสะท้อนรูปแบบกิจกรรมในโบสถ์ได้ โดยเป็นสถานที่ที่ผู้ประสบปัญหาสามารถพบทางออกทางจิตใจ และได้รับการหนุนใจจากคำสอนทางศาสนา พื้นที่และสิ่งแวดล้อมในบ้านจึงมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย เช่นเดียวกับพื้นที่ในโบสถ์ ที่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการพบปะ พูดคุย และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แนวคิดตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า การนำ “บ้าน” มาผสานเข้ากับกิจกรรมทางศาสนา ไม่เพียงส่งผลต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อจิตใจและจิตวิญญาณ ทำให้บ้านเป็นพื้นที่ที่ช่วยหล่อหลอมความเชื่อ สร้างความสัมพันธ์เชิงบวก และสนับสนุนให้สมาชิกของชุมชนดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธาและปัญญา</p> เอกพงษ์ ตรีตรง Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 57 67 คอลลาจ: จากศิลปะนามธรรมสู่การสร้างสรรค์ทางสถาปัตยกรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/274793 <p>บทความนี้ศึกษาพัฒนาการของ “คอลลาจ” (Collage) จากรากฐานทางศิลปะนามธรรม โดยเฉพาะขบวนการ Cubismและ Dada ซึ่งเปลี่ยนคอลลาจจากเทคนิคการตัดปะในศิลปะทัศนศิลป์ สู่เครื่องมือแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และวิพากษ์สังคมแนวคิดเหล่านี้นำไปสู่การประยุกต์ใช้คอลลาจเป็น กลไกเชิงแนวคิด (Conceptual Mechanism) ในงานออกแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ที่ผสานการจัดวางองค์ประกอบเชิงพื้นที่ ความหมายเชิงวัฒนธรรม และประสบการณ์ของผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน การศึกษานี้วิเคราะห์กรณีศึกษาสามโครงการ ได้แก่ Casa Curutchet โดย Le Corbusier (Modernism), Exodus โดย Rem Koolhaas (Postmodernism) และ Uneven House โดย Fala Atelier (ร่วมสมัย) ผ่านระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้กรอบทฤษฎี ได้แก่ ภาพแทน (Representation), ความโปร่งใสเชิงการรับรู้ (Phenomenal Transparency), ความย้อนแย้งและซับซ้อน (Complexity and Contradiction), สุนทรียศาสตร์เชิงประสบการณ์ (Aesthetic Judgment) และความไม่ต่อเนื่องเชิงแนวคิด (Disjunction) ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า คอลลาจมิได้เป็นเพียงเทคนิคทางศิลปะ แต่เป็นภาษาทางการออกแบบ (Design Language) ที่สามารถสื่อสารแนวคิดนามธรรม สร้างความซ้อนทับเชิงพื้นที่ และเปิดพื้นที่สำหรับการตีความเชิงประสบการณ์อย่างอิสระ โดยสะท้อนพลวัตของสังคมร่วมสมัยผ่านองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ การศึกษานี้ ยืนยันบทบาทของคอลลาจในฐานะกลไกเชิงความคิดที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงมิติกายภาพ วัฒนธรรม และอารมณ์ของผู้ใช้งาน พร้อมตั้งคำถามใหม่ต่อบทบาทของคอลลาจในสถาปัตยกรรมอนาคต</p> ณัฐชัย นิ่มอนงค์ ต้นข้าว ปาณินท์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 69 79 การประเมินศักยภาพอาหารพื้นถิ่นกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสนอแนวทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชุมชนบ้านนาต้นจั่น ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/275593 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพการเชื่อมโยงประสบการณ์อาหารพื้นถิ่นกับการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมในชุมชนบ้านนาต้นจั่น ตำบลบ้านตึก จังหวัดสุโขทัย พร้อมเสนอแนวทางการออกแบบพื้นที่ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนและสนับสนุนความยั่งยืน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสำรวจภาคสนามและการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งสิ้น 35 คน แบ่งเป็นผู้นำชุมชน 5 คน ที่คัดเลือกโดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง และประชาชนในชุมชน 30 คน ที่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์เกี่ยวกับอาหารพื้นถิ่น เกษตรกรรม และวิถีชีวิตตามท้องถิ่น คัดเลือกโดยวิธีโควตา เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างซึ่งออกแบบเพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่นและครอบคลุมประเด็นสำคัญ พร้อมด้วยแบบสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่ ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ใน 3 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกายภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการตรวจสอบและแปลผลข้อมูล ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์อาหารพื้นถิ่นมีความเชื่อมโยงกับพื้นที่ใช้สอยในชีวิตประจำวันของชุมชนอย่างลึกซึ้ง ทั้งในกระบวนการผลิต การปรุง และการบริโภค โดยมีพื้นที่ใช้งานจริงในวิถีชีวิตประจำวันของชุมชนและสามารถรองรับกิจกรรมอาหารพื้นถิ่น ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ยังสามารถสังเคราะห์แนวทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การบูรณาการพื้นที่เกษตรการสร้างพื้นที่เรียนรู้ การสะท้อนอัตลักษณ์ผ่านงานออกแบบ การใช้วัสดุท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในบริบทอื่นได้อย่างเหมาะสม</p> อัมพิกา อำลอย Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 81 90 การศึกษาเรือนพื้นถิ่นและสถาปัตยกรรมตลาดริมน้ำ จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดราชบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/268951 <p>งานวิจัยชิ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบของสถาปัตยกรรมของชุมชนตลาดริมน้ำ ในเขตลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง จังหวัดสมุทรสงคราม และราชบุรี เพื่อทราบถึงประเภทของสถาปัตยกรรม ตลอดจนพัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานและปัจจัยที่ส่งผลต่อรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของชุมชนตลาดริมน้ำในแต่ละยุคสมัย รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของชุมชนตลาดริมน้ำแต่ละแห่ง ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่พบจากกรณีศึกษาทั้ง 5 แห่ง สามารถจำแนกได้ 3 ประเภท ได้แก่ (1) อาคารแถวไม้(2) อาคารไม้พื้นถิ่น และ (3) อาคารประยุกต์ ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของชุมชนตลาดริมน้ำ ในจังหวัดสมุทรสาคร และราชบุรีมีทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่ (1) ปัจจัยด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม (2) ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม และ (3) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว</p> จักรสิน น้อยไร่ภูมิ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 92 102 การสืบทอดเทคนิคเชิงนิเวศในสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น บริเวณดินแดนสามเหลี่ยม ลุ่มแม่น้ำจูเจียง เพื่อออกแบบเรือนพักอาศัยในชนบทร่วมสมัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/275666 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาหลักการทางเทคนิคเชิงนิเวศในงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นบริเวณดินแดนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง (2) วิเคราะห์ความต้องการในการออกแบบและกลยุทธ์การสร้างเรือนพักอาศัยในชนบทร่วมสมัย (3) ออกแบบผังเรือนพักอาศัยในชนบทร่วมสมัย เพื่อเป็นต้นแบบของการออกแบบสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ในท้องถิ่น พื้นที่ในการดำเนินโครงการวิจัย คือ หมู่บ้านลู่โจว เมืองฝัวซาน ผ่านการสำรวจภาคสนามและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์รูปแบบเรือนพักอาศัยด้วยกรอบแนวคิดจากทฤษฎีประเภทของสถาปัตยกรรม เพื่อสรุปหลักการปรับสภาพภูมิอากาศขนาดย่อมในสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นใน 4 ด้าน ได้แก่ การบังแดดการระบายอากาศ การป้องกันความร้อน และการป้องกันความชื้น จากนั้น นำองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์สู่การออกแบบเรือนพักอาศัยร่วมสมัยโดยใช้แนวคิด “การแปล” เพื่อสืบทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน ร่วมกับการใช้วัสดุและเทคนิคท้องถิ่นเพื่อเพิ่มคุณลักษณะทางรูปลักษณ์ของเรือน ผลงานการออกแบบได้รับการประเมินจากเจ้าของบ้าน ผู้อยู่อาศัยในชุมชน และผู้เชี่ยวชาญใน 3 มิติ ได้แก่ ความเหมาะสมในการใช้งาน การสืบทอดภูมิปัญญา และนวัตกรรม ผลการประเมินความพึงพอใจรวมอยู่ที่ร้อยละ 93.13 แสดงให้เห็นถึง ความสำเร็จของการออกแบบต้นแบบเรือนพักอาศัยในชนบทที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตร่วมสมัย คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่น ประหยัดพลังงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน</p> Yingmei Shang พงศ์เดช ไชยคุตร เสกสรรค์ ตันยาภิรมย์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 104 123 การพัฒนาแผ่นลามิเนตที่มีผิวสัมผัสคล้ายหนังจากเส้นใยเห็ดสกุลกาโนเดอร์มาสำหรับงานปิดผิวผนัง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/276382 <p>การวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเส้นใยเห็ดสกุลกาโนเดอร์มาเพื่อการพัฒนาเป็นแผ่นลามิเนต สำหรับงานปิดผิวผนังที่มีผิวสัมผัสคล้ายหนัง และการประยุกต์ใช้แผ่นวัสดุในการสร้างรูปร่างและลักษณะของผนังที่เป็นกรอบอาคาร โดยศึกษากระบวนการผลิตแผ่นวัสดุจากการปลูกเส้นใยเห็ดสกุลกาโนเดอร์มา ขนาด 15X 15 ซม. หนา 1.2 มม. กดทับด้วยเครื่องรีดร้อน อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส10 นาที นำไปแช่สารเสริมสภาพพลาติกกลีเซอรอล 30% เคลือบผิวด้วยฟิล์มชีวภาพจากแป้งถั่วเขียว และทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพและเชิงกล ตลอดจนการออกแบบการติดตั้งแผ่นวัสดุเพื่อสร้างรูปร่างและลักษณะของผนังที่เป็นกรอบอาคาร รวมทั้ง ประเมินการตอบสนองของวัสดุต่อสภาพแวดล้อมจริง ผลการวิจัยพบว่า แผ่นวัสดุให้ค่าความความสามารถในการต้านทานแรงดึง4.14 MPa ค่าความยืดหยุ่นผิว 11.33 องศา และมีร้อยละการยืดตัว 183.01 เป็นค่าสมบัติของวัสดุที่นำมาสร้างรูปร่างและลักษณะของเปลือกอาคารด้วยเทคนิคการซ้อนเกล็ดบนโครงคร่าวไม้ โดยนำไม้ฝาจากการรื้อถอนอาคารไม้เดิมกลับมาประกอบเป็นผนังอีกครั้ง หลังจากการใช้งานเสร็จสิ้น ผนังประกอบสามารถนำมาแยกแผ่นลามิเนตออกและทำการย่อยสลายด้วยวิธีการฝังกลบที่ยังคงรักษาค่าความเป็นกรด-ด่างของดินหลังจากกระบวนการย่อยสลาย</p> สุภาวรรณ ปันดิ นฤมล สีพลไกร จิดาภา ทรงสิริอาชา Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 125 134 การยอมรับเทคโนโลยีความเป็นจริงผสมผสานสำหรับการตรวจสอบ โครงการก่อสร้าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/273111 <p>การตรวจสอบโครงการก่อสร้างสามารถใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม และเทคโนโลยีความจริงเสมือนได้ แต่ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ยังไม่สามารถสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งโครงการได้ ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงผสมผสานที่สามารถสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวของทั้งโครงการได้ รวมถึงการผสานกันระหว่างแบบจำลองกับสภาพแวดล้อมจริงทั้งหมดไปพร้อมกันได้ งานวิจัยนี้จึงทำการศึกษาการยอมรับเทคโนโลยีความเป็นจริงผสมผสานสำหรับการตรวจสอบโครงการก่อสร้าง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพการทำงานในกระบวนการก่อสร้าง โดยใช้การเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวน 60 คน ที่มีความเชี่ยวชาญและเคยมีประสบการณ์ในการนำเครื่องมือเทคโนโลยีความเป็นจริงผสมผสานมาใช้ในการตรวจสอบโครงการก่อสร้าง จากนั้นข้อมูลได้ถูกนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระและตัวแปรตามด้วยสมการการถดถอยอย่างง่าย และสมการการถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันตามหลักทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี ทั้งนี้การรับรู้ถึงการใช้งานง่ายถือว่าเป็นปัจจัยที่มีระดับความคิดเห็นมากที่สุดเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาคือ การรับรู้ความมีประโยชน์ โดยปัจจัยทั้งสองตัวแปรมีผลต่อทัศนคติในการใช้งานรวมถึงส่งผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจในการนำเทคโนโลยีไปใช้งาน สุดท้ายนี้ ผลที่ได้รับจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีความเป็นจริงแบบผสมผสานมาใช้ในการพัฒนาโครงการก่อสร้างต่อไป</p> สหพัฒน์ กิจประเสริฐ มงคล อัศวดิลกฤทธิ์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-16 2025-06-16 7 2 136 148