วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc <p> วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง (Journal of Architecture, Design and Construction : JADC) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยที่มีความสนใจ ด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง และเพื่อการพัฒนาวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index (TCI) </p> <p> ISSN (Print Edition): 2673-0332 </p> <p> ISSN (Online Edition): 2673-0340 </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี<br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย<br /> 3. เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นฐานความรู้นำไปสู่การพัฒนาทางด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมผังเมือง สาขาสถาปัตยกรรมภายใน ภูมิสถาปัตยกรรม การจัดการงานก่อสร้าง นฤมิตศิลป์ การออกแบบสร้างสรรค์ การออกแบบอุตสาหกรรม และในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> มหาวิทยาลัยมหาสารคาม th-TH วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง 2673-0332 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม</p> การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลสารสนเทศเมือง เพื่อบังคับใช้ตามผังเมืองรวมท่าโขลง คลองหลวง รังสิต จังหวัดปทุมธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/270194 <p>การวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดทำผังเมืองและรวบรวมข้อมูลสารสนเทศเมือง เพื่อเสนอแนะเทคนิคการใช้เครื่องมือสารสนเทศเมืองที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำผังเมือง เทศบาลเมืองท่าโขลง เทศบาลเมืองคลองหลวง และเทศบาลนครรังสิต จังหวัดปทุมธานี ในการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้เครื่องมือสารสนเทศที่ใช้ในการวิเคราะห์ด้านกายภาพด้วยวิธีการเปรียบเทียบผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อหาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง ร่วมกับแบบสัมภาษณ์เจาะจงในการลงพื้นที่กับหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำผังเมือง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ที่ดินที่ผิดไปบางประเภทไม่เป็นไปตามข้อกำหนดและมีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 จึงได้ทำการเสนอแนะเทคนิคและเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำผังเมือง ผลการศึกษา พบว่า จากการสัมภาษณ์สามารถจัดลำดับความสำคัญของแผนผังตามกระบวนการจัดทำผังเมือง แผนผังที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน แผนผังโทรคมนาคม และแผนผังน้ำ ตามลำดับ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการวางแผนและรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ แก้ไข โดยจะประยุกต์ใช้ทางด้านการวิเคราะห์ด้านกายภาพให้สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีในการวิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้ประโยชน์ที่ดินระหว่าง พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2562 พบว่า การเปลี่ยนแปลงที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 75 ของพื้นที่และที่ดินประเภทอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงรองลงมาตามลำดับ เนื่องจากการขยายตัวของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและการขยายตัวของประชากร ทำให้เกิดการขยายตัวของแหล่งที่อยู่อาศัยหรือมีการขยายตัวของเมือง จึงเกิดความหนาแน่นของพื้นที่ ผู้วิจัยได้คำนวณและกำหนดค่า FAR, BCR และ OSR ทั้ง 3 เขตเทศบาลในแต่ละบล็อกของการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อใช้เครื่องมือในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาและวิเคราะห์ผลกระทบทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและจินตภาพของเมือง เพื่อเสนอแนะเครื่องมือสารสนเทศเมือง SuperMap 10i ที่ช่วยในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ในแต่ละหน่วยงาน สะดวก รวดเร็ว สามารถรวบรวมข้อมูล Data Center บน Cloud Server ที่มีระบบป้องกันขั้นสูงและแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบของ Dashboard บน Web Browser หรือ Mobile ซึ่งให้ง่ายต่อการแสดงผลที่ใช้จัดทำเป็นแนวทางในการจัดทำผังเมืองให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น</p> ณัฐพงศ์ เพื่อนสงคราม ธราวุฒิ บุญเหลือ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 12 24 การออกแบบพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนเกาะเกร็ด หมู่ 1 จังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/269832 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ การสร้างแนวคิดในการออกแบบเพื่อพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชน และการบูรณาการการเรียนการสอนด้านสถาปัตยกรรม เพื่อให้เกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ โดยมีขอบเขตพื้นที่ในการศึกษาคือ บริเวณหมู่ 1 ของเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีวิธีการดำเนินการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษารวบรวมข้อมูลของพื้นที่และชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น และสังเคราะห์ภูมิสังคมเพื่อการออกแบบแนวความคิด 2) สรุปแนวคิดและนำเสนอรูปแบบในการออกแบบพื้นที่ทางวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชน การศึกษานี้ได้นำแนวคิดเรื่อง “พื้นที่ทางวัฒนธรรม (Cultural Space)” มาใช้ในการออกแบบปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของชุมชนให้รองรับความต้องการด้านการท่องเที่ยว ผลลัพธ์ของงานวิจัยนี้ เพื่อเป็นแนวทางการออกแบบพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างที่ตั้งทางกายภาพ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ การพัฒนาควรเน้นการอนุรักษ์เอกลักษณ์ของชุมชนผ่านการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบพื้นที่วัฒนธรรมและกิจกรรมของชุมชน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน </p> ณัชชา โลหะพิริยกุล พรชัย โลหะพิริยกุล รุจ รัตนพาหุ วีรวรรณ สระทองห้อย พัลยมล หางนาค สมชาย ธีรภาพสกุลวงศ์ วราภรณ์ บุตรจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 26 38 อาร์คคาเฟแอนด์สตูดิโอกับความเป็นสถานที่ที่สาม ในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/266850 <p>อาร์คคาเฟแอนด์สตูดิโอ เป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมและสถานที่ประจำนอกห้องเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมที่นอกจากบ้านและห้องเรียน ในการศึกษานี้เป็นการสำรวจความสัมพันธ์ของคนกับสถานที่ในมิติสถานที่ที่สาม ซึ่งเป็นกระบวนการด้านจิตวิทยาสภาพแวดล้อมผ่านทฤษฎีสถานที่ที่สาม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อสำรวจความเป็นสถานที่ที่สาม กิจกรรม และคุณลักษณะที่นำไปสู่สถานที่ที่สามของอาร์คคาเฟแอนด์สตูดิโอ ผลการศึกษาพบว่า อาร์คคาเฟแอนด์สตูดิโอเป็นสถานที่ที่สาม มีกิจกรรมทั้งการพักผ่อน ทำงาน และพบปะสังสรรค์ โดยมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นสถานที่ที่สามของ เรย์ โอเดนเบิร์ก ทั้ง 8 ข้อ นอกจากนั้น ยังพบคุณลักษณะด้านความยืดหยุ่น ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านความมีอิสระ ที่นำไปสู่ลักษณะเฉพาะในความเป็นสถานที่สุดโปรดของนักศึกษาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม การศึกษานี้ ได้แสดงความเป็นสถานที่ที่สามสามารถจำกัดความขึ้นใหม่ โดยอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นแนวทางในการปรับตัวทางพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับวิถีชีวิตของสังคมยุคใหม่ที่มีส่วนพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต</p> ดนัย นิลสกุล Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 40 51 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/269558 <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอและวิเคราะห์ปัจจัยความคาดหวังของนักลงทุนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน ผ่านการเก็บข้อมูลจากผู้ที่ได้ลงทุนถือครองและผู้ที่ตั้งใจลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือนในรูปแบบที่ดินดิจิทัล (Virtual Land) จำนวน 300 คน จากแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์เสมือนจริงที่มีในปัจจุบัน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความคาดหวังด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยความคาดหวังที่ส่งผลที่ต่อการตัดสินใจของนักลงทุนมากที่สุด คือ การมีกิจกรรมด้านโซเชียลมีเดียที่คึกคักมีจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถแสดงออกถึงตัวตนได้อย่างมีอิสระ (Participation) รองลงมา คือ การเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ (Income) ลำดับถัดมา คือ การสร้างโอกาสในการพบเจอผู้คนที่เพิ่มมากขึ้น (Connection) การนำไปขยายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย (Opportunity) การสร้างความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงให้กับตนเองได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น (Reputation) การได้ครอบครองสิ่งใหม่ก่อนใครและตอบสนองความชื่นชอบภายในจิตใจตนเอง (Infatuation) การเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินและความต้องการของตลาด (Value) การมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวที่สร้างประสบการณ์ความดื่มด่ำต่อการใช้งาน ที่สามารถใช้เป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ (Experience) การได้รับโอกาสและสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าผู้อื่น (Exclusivity) และการได้ครอบครองในสิ่งที่มีจำนวนจำกัดและผู้อื่นมีความต้องการ (Ownership) ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนในการถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> คมกฤช ปลิดโรค สิงห์ อินทรชูโต Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 53 61 การส่งเสริมเมืองแห่งการเรียนรู้สุขภาวะผ่านการออกแบบพื้นที่ สวนสมุนไพรโรงเรียนอนุบาลเทศบาลบึงยี่โถ (หมู่บ้านฟ้ารังสิต) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/271222 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบพื้นที่สวนสมุนไพรของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลบึงยี่โถ (หมู่บ้านฟ้ารังสิต) ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเมืองแห่งการเรียนรู้สุขภาวะ (สมุนไพร) เทศบาลบึงยี่โถ วิธีการดำเนินวิจัยใช้วิธีทางคุณภาพประกอบไปด้วยการสำรวจสมุนไพรในเทศบาลเมืองบึงยี่โถในการนำไปเป็นฐานข้อมูลประกอบการออกแบบสวนสมุนไพรร่วมกับทางโรงเรียนและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสัมภาษณ์และสังเกตผลที่ได้รับ ผลการศึกษาการออกแบบสวนสมุนไพรพบว่าสวนสมุนไพรนั้นต้องส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการของเด็กปฐมวัย เป็นฐานการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยมีการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้สวนสมุนไพรบนฐานวิทยาศาสตร์ผ่าน 3 ทักษะการเรียนรู้ ได้แก่ 1.ฐาน ”สัมผัสฉันสมุนไพรอะไรกัน” 2.ฐาน “ดม ให้รู้ ฉันคืออะไร” และ 3.ฐาน “สีสัน ชวนชิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปลูกฝังการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเด็กปฐมวัยตั้งแต่เยาว์วัยในการสร้างภูมิความรู้ด้านสุขภาวะที่ดีจากฐานการเรียนรู้สมุนไพรภายในโรงเรียนและสู่การเป็นเครือข่ายเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรในท้องถิ่นให้เป็นไปตามแผนงานและสู่เป้าหมายในการส่งเสริมเมืองแห่งการเรียนรู้สุขภาวะ (สมุนไพร) เทศบาลเมืองบึงยี่โถในระยะต่อไป</p> ธนภูมิ วงษ์บำหรุ วรากร สงวนทรัพย์ สุฑาลักษณ์ ตันติวงศ์ ปริญญา มรรคสิริสุข Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 63 75 Learning Space for Libraries in the 21st Century: Perspectives from the Center for Library Resources and Educational Media, Walailak University https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/270499 <p>This study aimed to explore the need for collaborative spaces in libraries and provide practical guidelines for their design and usage. Data were collected from 17 interviewees and 168 survey respondents who shared perspectives on enhancing 21st-century skills. Based on the findings, the study proposed recommendations for designing shared spaces in libraries, including meeting rooms, group work areas, computer desktop zones, and service points for snacks and beverages. Three key design principles emerged: zoning, flexibility, and creating a creative environment. These principles offer a comprehensive framework for designing collaborative spaces that meet diverse needs and foster active, engaged learning. Libraries are evolving into vibrant learning environments, and these guidelines provide valuable insights for designing collaborative spaces that cater to evolving demands. The recommended design elements include meeting rooms, group work areas, computer desktop zones, and service points for snacks and beverages. The design principles emphasize clear spatial separation, flexibility, and fostering a creative environment. Implementing these suggestions transforms libraries into hubs of collaboration and active learning. This research provides valuable insights and recommendations for designing collaborative spaces in libraries, enabling them to play a crucial role in supporting learning and skill development for users. Libraries should adapt to meet evolving needs, with an emphasis on creating spaces that foster collaboration and creativity, including diverse areas, and designated zones for quiet and privacy. Continuously enhancing these spaces will help libraries stay current and responsive to evolving user needs.</p> <p> </p> Nattagan Sangkaew Pasit Leeniva Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 77 87 ศิลปะกลองชัยมงคล สู่การออกแบบสถาปัตยกรรมภายใน ศูนย์วัฒนธรรมชุมชนต้นแบบ บ้านแม่กลางหลวง จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/266677 <p>บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศิลปะกลองชัยมงคล ศึกษากลุ่มผู้ใช้งานภายในโครงการและความต้องการภายในพื้นที่บริบทโดยรอบทั้งหมดของศูนย์วัฒนธรรมต้นแบบบ้านแม่กลางหลวง จังหวัดเชียงใหม่ วิเคราะห์และนำผลจากการศึกษามาออกแบบสถาปัตยกรรมภายในศูนย์วัฒนธรรมต้นแบบบ้านแม่กลางหลวง จังหวัดเชียงใหม่ งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Approach) ใช้วิธีการสัมภาษณ์เจาะลึกเน้นประเด็นเรื่อง ศิลปะกลองชัยมงคล จากผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดศูนย์วัฒนธรรมชุมชน ด้านต่าง ๆ และแนวทางเชิงปริมาณ (Quantitative Approach) ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จากกลุ่มคนภายในชุมชน กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมชุมชนบ้านแม่กลางหลวง เพื่อหาความเหมาะสมของการนำแนวคิดการใช้กลองชัยมงคลเพื่อมาประยุกต์ใช้ สอบถามความต้องการของทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการด้านความต้องการพื้นที่ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลศิลปะกลองชัยมงคลด้านคุณค่าความสำคัญ ด้านพลังศรัทธา ด้านพิธีกรรมการสร้าง และระเบียบในการตีกลองชัยมงคล สามารถนำมาสรุปสาระโดยได้คำสำคัญคือ “ชัยมังคละ – กลองศักดิ์สิทธิ์นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล” เพื่อนำมาสร้างแนวคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในศูนย์วัฒนธรรมต้นแบบบ้านแม่กลางหลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยผลการประเมินความเหมาะสมมีค่า และผลประเมินความต้องการของทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการด้านความต้องการพื้นที่ พบว่า ชุมชนต้องการให้การออกแบบเฟอร์นิเจอร์สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามกิจกรรม รวมทั้งการเลือกใช้วัสดุในท้องถิ่น จากนั้นนำผลมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในศูนย์วัฒนธรรมชุมชนต้นแบบ บ้านแม่กลางหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ในส่วนการจัดผังแปลน ทัศนียภาพ และเฟอร์นิเจอร์ภายในพื้นที่จัดแสดง ประเมินผลความพึงพอใจรวมจากกลุ่มตัวอย่าง 100 คน พบว่า มีความพึงพอใจระดับ “ดี” คะแนนค่าเฉลี่ย (𝑥̅) 3.92 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) = 0.72</p> วันชัยยุทธ วงษ์เทพ ภัทราวดี ธงงาม Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 89 101 ความต้องการพื้นที่การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ สำหรับหลักสูตรสถาปัตยกรรมภายใน กรณีศึกษา สาขาวิชาสถาปัตยกรรมภายใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/269229 <p>การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเพื่อนำไปสู่การทำรายละเอียดโครงการการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์สำหรับหลักสูตรสถาปัตยกรรมภายใน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวความคิดการกำหนดความสัมพันธ์พื้นที่ใช้สอยเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ศึกษาโครงสร้างหลักสูตร รูปแบบการจัดการเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมอาคารเรียนปัจจุบัน สาขาวิชาสถาปัตยกรรมภายใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ศึกษาองค์ประกอบพื้นที่ ความสัมพันธ์พื้นที่ใช้สอย เปรียบเทียบสัดส่วนพื้นที่ และนำเสนอแนวทางการออกแบบความสัมพันธ์พื้นที่เพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ผลการศึกษาพบว่า การออกแบบสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ควรมีความเป็นสังคมเพื่อการเชื่อมต่อความรู้ ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน บรรยากาศแบบไม่เป็นทางการ จัดพื้นที่ให้เกิดความสะดวกสบายดึงดูดใจ พื้นที่ไม่คับแคบ เสียงไม่ดัง อุณหภูมิที่เหมาะสม แสงสว่างทั้งจากแสงธรรมชาติและแสงประดิษฐ์ พื้นที่ใช้งานร่วมกันที่ยังคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมในการออกแบบ มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพียงพอพร้อมใช้งาน รูปแบบเครื่องเรือนที่หลากหลาย มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายได้ตามรูปแบบกิจกรรม เก้าอี้ โต๊ะที่นั่งสบาย โต๊ะเขียนแบบที่เหมาะสมมีช่องวางของและแผงกั้นเพื่อให้เกิดสมาธิ ผลการศึกษากระบวนการเรียนการสอนพบความสอดคล้องกับการะบวนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ 5 ขั้น ได้แก่ 1) ทำความเข้าใจและค้นพบ 2) วิเคราะห์และสร้างตัวเลือก 3) พัฒนาและออกแบบ 4) การผลิตและการนำไปปฏิบัติ 5) นำเสนอและทดสอบ ผลการศึกษาสภาพอาคารเรียนปัจจุบันพบว่า พื้นที่คับแคบไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ขาดองค์ประกอบพื้นที่ใช้สอย การใช้งานทับซ้อนกัน และสภาพอาคารที่ทรุดโทรม ผลการศึกษาองค์ประกอบและสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยพบสัดส่วนระหว่างพื้นที่การเรียนรู้และพื้นที่เพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์คือ 6:4 การคำนวณความต้องการพื้นที่ใช้สอย พื้นที่การเรียนรู้ 1,306.5 ตารางเมตร พื้นที่เพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ 871 ตารางเมตร ความสอดคล้องระหว่างกระบวนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ 5 ขั้น กับองค์ประกอบใช้สอย พื้นที่ระดับสาธารณะในกระบวนขั้นตอนที่ 1, 2 และ 5 ได้แก่ พื้นที่อเนกประสงค์กลางแจ้งและในร่ม พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ พื้นที่นำเสนอและพิจารณาผลงาน หอประชุม ห้องบรรยายขนาดใหญ่ พื้นที่ระดับกึ่งสาธารณะในกระบวนการขั้นตอนที่ 1, 2 และ 3 ได้แก่ พื้นที่ห้องเรียนบรรยาย ห้องสมุด ศูนย์ข้อมูล พื้นที่สืบค้น และพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พื้นที่ระดับส่วนตัวในกระบวนการขั้นตอนที่ 3 และ 4 ได้แก่ พื้นที่ปฏิบัติการ พื้นที่ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และงานสื่อ พื้นที่ปฏิบัติการลายเส้นและสีน้ำ</p> พสุ สุวภาพ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 103 126 สำรวจการรับรู้ของเยาวชนผ่านการวิเคราะห์ กราฟิกรูปด้านทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/271556 <p>บทความวิจัยนี้ มุ่งเน้นศึกษาการรับรู้ลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ของเยาวชนชาวเชียงใหม่ เพื่อนำไปสู่การออกแบบอินโฟกราฟิกสำหรับการให้ข้อมูลสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาของเยาวชน โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ ใช้กลุ่มตัวอย่างของเยาวชนในเมืองเชียงใหม่ช่วงอายุ 16 – 18 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุของเยาวชนที่สามารถตอบปัญหาเชิงซับซ้อนได้ โดยเป็นตัวแปรตามที่สำคัญในการแสดงความคิดเห็นผ่านมุมมองการรับรู้ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ จากการวิเคราะห์ภาพกราฟิกรูปด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ โดยเป็นการเลือกใช้วิธีการแปลงองค์ประกอบของภาพถ่ายรูปด้านหน้าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยใช้หลักการของเกสตัลต์ ทำให้อาคารอยู่ในรูปแบบภาพกราฟิก ซึ่งภาพกราฟิกรูปด้านอาคารเป็นตัวแปรต้นที่มีคุณสมบัติในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นในการมองเห็น ให้เหลือเพียงองค์ประกอบสำคัญที่มีผลกับการรับรู้องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ และจะใช้วิธีการสำรวจกับเยาวชนโดยใช้แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามการรับรู้ลักษณะองค์ประกอบรูปด้านหน้าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ <br />2) แบบสอบถามประสบการณ์ของเยาวชนต่อรูปด้านหน้าอาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ 3) การสัมภาษณ์ประสบการณ์เชิงลึกและการให้คุณค่าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสนทนาเพื่อเจาะประเด็น โดยนำไปสู่การสรุปผลการศึกษาการรับรู้ลักษณะองค์ประกอบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองที่สำคัญ พบว่า เยาวชนรับรู้ลักษณะความซ้ำขององค์ประกอบอาคารมากที่สุด การรับรู้ความสมมาตร และการรับรู้ลักษณะความโดดเด่นขององค์ประกอบอาคารน้อยที่สุด โดยที่เยาวชนสังเกตองค์ประกอบจากภาพรวมของมวลอาคาร โดยลักษณะความซ้ำเป็นสิ่งที่เยาวชนสามารถมองเห็นได้จากคุณสมบัติของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ที่แสดงความซ้ำมากที่สุดผ่านรูปด้านอาคาร การรับรู้ของเยาวชนจะเป็นปัจจัยในการกำหนดทิศทางของการให้ความหมายสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อที่จะทำให้เข้าใจความคิดเห็นของเยาวชนรุ่นใหม่ต่อสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเชียงใหม่ได้ดียิ่งขึ้น โดยลักษณะของอาคารเหล่านี้ จะถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับการศึกษาร่วมกับประสบการณ์ของเยาวชนที่มีต่อสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้การมีอยู่ของอาคารเหล่านี้ในช่วงเวลาปัจจุบัน และการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ของเยาวชนชาวเชียงใหม่จากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถเข้าใจการรับรู้ของเยาวชนจากองค์ประกอบลักษณะของอาคารที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเยาวชน ทั้งมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมกับอาคารเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน โดยเป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อการตระหนักรู้ถึงคุณค่า ทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของอาคารจากมุมมองการรับรู้ของเยาวชนในยุคปัจจุบัน และความคิดเห็นเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์อาคารโดยจะนำไปสู่การทำข้อเสนอแนะสำหรับเยาวชน เพื่อทำให้ข้อมูลสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่เป็นที่เข้าถึงง่ายต่อการเรียนรู้</p> อนามิกา จันตามณี สันต์ สุวัจฉราภินันท์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 128 141 การออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน : กรณีศึกษาพื้นที่ ต. นกออก อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/272899 <p>การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาและออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มตัวอย่างจากการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่นักท่องเที่ยว <br />มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสื่อประชาสัมพันธ์ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1) การสำรวจข้อมูลชุมชน 2) การศึกษาความต้องการของชุมชน 3) การออกแบบแผนที่ท่องเที่ยวและสื่อดิจิทัล 4) การประเมินความพึงพอใจนักท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมจากชุมชนโดยรอบพื้นที่ ต.นกออก ทำให้ได้สื่อประชาสัมพันธ์คือแผนที่ท่องเที่ยวและสื่อดิจิทัล นำเสนอข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยว ทั้งนี้ผู้นำชุมชนและตัวแทนจากชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมโดย 1) บุคคล 2) เนื้อหา 3) กระบวนการ มีวิธีการดำเนินงานเก็บข้อมูลใช้การสัมภาษณ์ การมีส่วนร่วมจากการสนทนากลุ่ม ลงพื้นที่ภาคสนามในชุมชนพื้นที่ ต. นกออก อ. ปักธงชัยจ. นครราชสีมา เป็นการนำเสนอผลงานการออกแบบแผนที่ท่องเที่ยว และสื่อดิจิทัลให้ชุมชนพิจารณาความถูกต้องของเนื้อหา รูปภาพ และให้ข้อเสนอแนะ ปรับปรุงสื่อประชาสัมพันธ์ให้สมบูรณ์ และประเมินความพึงพอใจกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 370 คน การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ โดยใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.63 <br />มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 แสดงว่าการออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์แผนที่ท่องเที่ยวและสื่อดิจิทัลส่งเสริมการท่องเที่ยวของแหล่งชุมชนตำบลนกออก เป็นการใช้งานระหว่างงานพิมพ์ที่เลือกใช้วัสดุกระดาษและสื่อดิจิทัลควบคู่กันไป สื่อดิจิทัลมีการเผยแพร่<br />ในรูปแบบออนไลน์ ใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนส่วนตัว สอดคล้องกับเทคโนโลยีและรองรับพฤติกรรมของผู้อ่านที่เปลี่ยนแปลงไป สื่อดิจิทัลตอบสนองพฤติกรรมของผู้อ่านซึ่งชื่นชอบความสะดวก และไม่คุ้นเคยกับการต้องรอนาน เข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงใช้งานได้เป็นอย่างดี</p> วรดา นาคเกษม ศศิรดา พันธ์วิเศษศักดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-20 2025-03-20 7 1 143 153