วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc <p> วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง (Journal of Architecture, Design and Construction : JADC) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยที่มีความสนใจ ด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง และเพื่อการพัฒนาวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index (TCI) </p> <p> ISSN (Print Edition): 2673-0332 </p> <p> ISSN (Online Edition): 2673-0340 </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี<br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ องค์ความรู้ของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย<br /> 3. เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นฐานความรู้นำไปสู่การพัฒนาทางด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมผังเมือง สาขาสถาปัตยกรรมภายใน ภูมิสถาปัตยกรรม การจัดการงานก่อสร้าง นฤมิตศิลป์ การออกแบบสร้างสรรค์ การออกแบบอุตสาหกรรม และในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> มหาวิทยาลัยมหาสารคาม th-TH วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง 2673-0332 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม</p> วิวัฒนาการของช่องลมระบายอากาศในบ้านไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/261399 <p>บทความนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิวัฒนาการของช่องลมระบายอากาศในบ้านไทยโดยแบ่งประเด็นการวิเคราะห์ออกเป็น 4 หัวข้อ ได้แก่ การใช้งาน ขนาด วัสดุ และลวดลาย โดยใช้วิธีการศึกษาจากการทบทวนวรรณกรรมเพื่อคัดเลือกอาคารกรณีศึกษาจำนวน 20 อาคาร ที่มีลักษณะที่สำคัญของช่องลมระบายอากาศและทำการลงพื้นที่สำรวจเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า วิวัฒนาการของช่องลมในบ้านไทยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ยุคสำคัญตามการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย ได้แก่ (1) ยุคช่องลมในเรือนไทยประเพณี (ก่อน พ.ศ. 2411) (2) ยุคช่องลมลวดลายในเรือนขนมปังขิง (พ.ศ. 2411 - 2509) (3) ยุคบล็อกคอนกรีตในสถาปัตยกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2510 – 2552) และ (4) ยุคอิฐช่องลมงานฝีมือในสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน) โดยวิวัฒนาการด้านการใช้งานเน้นการใช้ประโยชน์ในการระบายอากาศ รับแสง และประดับตกแต่งอาคาร ขนาดขึ้นอยู่กับพื้นที่ติดตั้ง เช่น บนช่องหน้าต่างและประตู ในขณะที่วัสดุมีพัฒนาการจากไม้ฉลุไปสู่คอนกรีต และลวดลายมีพัฒนาการจากลวดลายอ่อนช้อยที่มีที่มาจากพฤกษชาติและธรรมชาติสู่ลายอุตสาหกรรม และรูปทรงเรขาคณิต</p> มนต์ธัช มะกล่ำทอง มนิษฐา ไรแสง เมธัส มะกล่ำทอง Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 12 23 การเปลี่ยนแปลงกายภาพพื้นที่เมืองพิมายจากการให้คุณค่าต่อปราสาทพิมายในพุทธศตวรรษที่ 24-25 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/262933 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงกายภาพเมืองพิมาย ที่มีความสัมพันธ์กับ ปราสาทพิมาย ช่วงพุทธศตวรรษที่ 24-25 ด้วยการวิเคราะห์ผ่านแนวคิดการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงกายภาพพื้นที่ พบการเปลี่ยนแปลง สามช่วงเวลาคือ1.กรุงศรีอยุธยาตอนปลายคติความเชื่อพุทธศาสนา ทำให้กายภาพรอบปรางค์ประธานปราสาทพิมายเปลี่ยนแปลง โดยการย้ายวัดอยู่นอกกำแพงชั้นในเข้ามารอบปรางค์ประธาน เปลี่ยนแปลงพื้นที่จากเทวสถานในคติฮินดูเป็นวัดในคติเถรวาท ด้วยพิธีกรรมที่รองรับศาสนาพุทธแทนพื้นที่พิธีกรรมของฮินดู ช่วงที่ 2. สมัยรัชกาลที่ 5 การเข้ามาของชาติตะวันตก ทำให้สยามปฎิรูปการปกครองและจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ.2435 เมืองพิมายถูกยกฐานะเป็นอำเภอ มีการสร้างพื้นที่ปกครองภายในบริเวณมณฑลศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการยืมความหมายความเป็นศูนย์กลางปราสาทพิมาย และใช้ศาลาการเปรียญวัดรอบปรางค์ประธานเป็นที่ว่าการอำเภอชั่วคราว และช่วงที่ 3 สมัยรัชกาลที่ 6 ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถาน ได้ส่งผ่าน พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศ์ศานุวงศ์และชนชั้นนำ ทำให้เปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยรอบปรางค์ประธานคือ ย้ายวัดออกจากบริเวณมณฑลศักดิ์สิทธิ์และปรับปรุงพื้นที่กายภาพให้สะดวกต่อการเยี่ยมชม ตลอดจนการสร้างพื้นที่ปกครองด้านหน้าปราสาทพิมายเพื่อรักษาปรางค์ประธาน เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการอนุรักษ์โบราณสถานที่มีต่อปราสาทพิมายอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งส่งผลต่อกายภาพเมืองพิมายในปัจจุบันอย่างยิ่ง</p> ศรีเวียง กาพย์พิมาย ทรงยศ วีระทวีมาศ Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 25 37 ความคาดหวังในการลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/263699 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทำการวิเคราะห์และอธิบายความคาดหวังที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน โดยอ้างอิงกับทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (hierarchy of needs theory) ผ่านการสัมภาษณ์ผู้ที่ได้ลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือนในรูปแบบที่ดินดิจิทัล (virtual land) จำนวน 16 คน ในแพลตฟอร์มของ The Sandbox ซึ่งเป็นหนึ่งใน Virtual real estate platform ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคาดหวังที่นำไปสู่การตัดสินใจของผู้ลงทุนในที่ดินดิจิทัล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความคาดหวังที่นักลงทุนที่ดินดิจิทัลใช้ในการตัดสินใจสามารถจำแนกออกเป็น 3 ลำดับขั้น คือ 1) ความคาดหวังของนักลงทุนในการเสริมสร้างโอกาสและความชอบส่วนตัว ประกอบด้วยการมีอิสระในการสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ การมีรูปแบบความสวยงามและบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์ ตลอดจนการได้มาซึ่งสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าผู้อื่นทั้งในด้านการใช้งานและผลประโยชน์ที่ได้รับ 2) ความคาดหวังที่การลงทุนในที่ดินดิจิทัลจะนำไปสู่การรวมกลุ่มผู้มีสิทธิพิเศษทางสังคมการมีรูปแบบการสร้างรายได้ที่หลากหลายและการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สิน ตลอดจนการได้ครอบครองในสิ่งที่มีจำนวนจำกัดและเป็นที่ต้องการของผู้อื่น 3) ความคาดหวังที่ แพลตฟอร์ม (platform) จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนอันนำไปสู่การเพิ่มปริมาณการลงทุนและการเพิ่มระยะเวลาการถือครองที่นานขึ้น ประกอบด้วยการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรผู้ใช้งาน การพัฒนาที่ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ และการเชื่องโยงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานในชีวิตประจำวัน จากความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบความคาดหวังที่เป็นลำดับขั้น ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนถือครองอสังหาริมทรัพย์บนโลกเสมือน</p> คมกฤช ปลิดโรค สิงห์ อินทรชูโต Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 39 50 สัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารมหาวิทยาลัย กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/262506 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ 4 ประเภทได้แก่ ห้องสำนักงาน ห้องประชุม โถงทางเดิน และห้องบรรยาย ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โดยใช้วิธีการสำรวจห้อง 171 ห้องโดยการดำเนินการศึกษาสำรวจข้อมูล และวิเคราะห์การใช้พลังงานไฟฟ้าออกเป็น 4 ประเด็นคือ ปริมาณสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้า ค่ากำลังส่องสว่างสูงสุด ค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อจำนวนผู้ใช้งาน และค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่ใช้งาน จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยของปริมาณสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดคือระบบปรับอากาศ ระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ และระบบแสงสว่างคิดเป็นค่าเฉลี่ย 76.52%, 18.06% และ 5.42% เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกันพบว่า ห้องสำนักงาน มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนคนในพื้นที่ มีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อจำนวนผู้ใช้งาน คือ 17.30 kWh/คน และโถงทางเดินน้อยที่สุดคือ 0.11 kWh/คน ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ของผู้ใช้งานและปริมาณการใช้พลังงานว่าเมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้นแนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นตามไปด้วย และห้องบรรยายเป็นห้องที่มีค่าเฉลี่ยพลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่ใช้งานสูงที่สุดเท่ากับ 1.20 kWh/"m" ^"2" และโถงทางเดินน้อยที่สุดคือ 0.02 kWh/"m" ^"2" จึงได้แนวทางการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า มาตรการประหยัดพลังงานระยะสั้น พลังงานระยะยาว และมาตรการการใช้พลังงานทดแทนโดยติดตั้งโซล่าเซลล์</p> สกลสุภา เติมสวัสดิ์ ยิ่งสวัสดิ์ ไชยะกุล Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 52 65 ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพและเครือข่ายการมีส่วนร่วมในเมืองเก่าแพร่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/262934 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) ศึกษาศักยภาพพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพในเมืองเก่าแพร่, 2.) สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองเก่าแพร่ และ 3.) ประมวลความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพและเครือข่ายการมีส่วนร่วมในเมืองเก่าเแพร่ การศึกษานี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพและเครือข่ายการมีส่วนร่วมโดยภาคประชาชนในเมืองเก่าแพร่ ผลการศึกษาพบว่าเครือข่ายการมีส่วนร่วมในเมืองเก่าแพร่แบ่งได้ 3 กลุ่ม สามารถระบุพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพที่มีศักยภาพ จำนวน 12 พื้นที่ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) พื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพของเมืองที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องและมีโครงการหรือแหล่งทุนเข้ามาสนับสนุนการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน 2) พื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพของเมืองที่สามารถสื่อสารสัมผัสและถ่ายทอดภาพจำของเมืองเก่าแพร่ และ 3) พื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพที่มีศักยภาพของเมืองที่อยู่ระหว่างการหากระบวนการจัดการพื้นที่ที่เหมาะสม และสามารถระบุพื้นที่สาธารณะเชิงกายภาพที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการขับเคลื่อนกิจกรรมเครือข่ายการมีส่วนร่วมโดยภาคประชาชนในเมืองเก่าแพร่ </p> ณัฐพล เรืองวิทยานุสรณ์ ณัชวิชญ์ ติกุล โชคอนันต์ วาณิชย์เลิศธนาสาร พันธ์ศักดิ์ ภักดี Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 67 80 การปรับปรุงและออกแบบสภาพแวดล้อมทางกายภายในห้องพักอาศัยของหอพักนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/259230 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้งานหอพักนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และเพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงและออกแบบหอพัก เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถามประเภทมาตราส่วนประมาณค่าตามวิธีการของลิเคิร์ท สถิติที่ใช้ คือ ค่ารอยละ, คาเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น (PNI) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่พักอาศัยอยู่ในหอพักภายในมหาวิทยาลัย กล่าวคือ กลุ่มคนเจนเนอเรชั่นซี จำนวน 300 คน วิธีการดำเนินการวิจัย คือ ศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มตัวอย่าง และเสนอแนวทางในการออกแบบ ผลการวิจัยด้านพฤติกรรมและความต้องการ พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการเว้นระยะห่างส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก มีค่า PNI เท่ากับ 0.78 และ 0.62 ตามลำดับ และต้องการพื้นที่พักผ่อน พื้นที่รับประทานอาหาร และพื้นที่เก็บของใช้ส่วนตัว มีค่า PNI เท่ากับ 0.77, 0.68, และ 0.46 ตามลำดับ ใช้สีประจำมหาวิทยาลัย และไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง รวมถึงใช้รูปแบบโมเดิร์นในการออกแบบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.15, 3.11, และ 3.84 ตามลำดับ ผลการวิจัยด้านการออกแบบ คือ การใช้เตียงสูงอรรคประโยชน์เป็นเฟอร์นิเจอร์หลักในห้องพักช่วยส่งเสริมให้เกิดภาวะเป็นส่วนตัวและการเว้นว่างส่วนบุคคล เพื่อสร้างพื้นที่เซฟโซนให้นักศึกษารู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์และสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่อย่างมีความสุขแม้ว่าจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็ตาม เป็นการสอดแทรกพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่ส่วนรวมเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มคนเจนเนอเรชั่นซี</p> ณฤดี สีแก้วมี Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 82 98 แนวทางการออกแบบห้องเตรียมพยาน กรณีศึกษา สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/260633 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานและจิตวิทยาสภาพแวดล้อมภายในห้องเตรียมพยาน (2) เพื่อสรุปองค์ประกอบของการออกแบบภายในพื้นที่ห้องเตรียมพยาน และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการออกแบบห้องเตรียมพยานที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและจิตวิทยาสภาพแวดล้อม การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 32 คน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ บุคลากรจากสำนักงานคดีปกครอง, สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ), มูลนิธิ For Freedom International กลุ่มอัยการจังหวัดภูเก็ต และ บุคคลทั่วไปที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม การเก็บข้อมูลวิจัยใช้แบบสอบถามร่วมกับการจัดประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) แบบสอบถามแบ่งคำถามออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลบุคคลทั่วไป ส่วนที่ 2 องค์ประกอบ<br />ในการออกแบบ และส่วนที่ 3 การประเมินการรับรู้ (ความน่าเชื่อถือ, ความปลอดภัย, ความผ่อนคลาย และความรู้สึกเป็นมิตร) ผลการวิจัยสรุปองค์ประกอบการออกแบบออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่ พื้น ผนัง เพดาน ขนาดของช่องเปิด รูปแบบแสง เฟอร์นิเจอร์ และภาพรวมบรรยากาศ ข้อมูลจากองค์ประกอบการออกแบบนำมาสรุปเป็นแนวทางในการออกแบบทั้งหมด 3 แนวทาง ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันโดยเห็นว่าแนวทาง Comfort (Comfortable &amp; Natural Look) เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับห้องเตรียมพยาน คะแนนในด้านการรับรู้แจกแจงได้ดังนี้ ให้ความรู้สึกปลอดภัย ( =4.41; S.D. 0.87) รู้สึกผ่อนคลาย ( =4.31; S.D. 0.90)รู้สึกเป็นมิตร ( =4.16; S.D. 0.92) และ ความน่าเชื่อถือ ( =4.13; S.D. 0.87)</p> ภาสิต ลีนิวา กฤติยา ปิยะอรุณ Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 100 114 แนวทางการออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประยุกต์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/261252 <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาแนวทางการออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประยุกต์จากการทบทวนวรรณกรรม โดยการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์และงานวิจัยของประเทศไทย ได้แก่ Thai Digital Collection (TDC) Thai Journals Online (ThaiJO) สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อคัดเลือกผลงานวิชาการที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้องสมบูรณ์ มีแนวคิดและการนําเสนอที่ชัดเจนเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ รวมทั้งมีการอ้างอิงที่ทันสมัยและมีความน่าเชื่อถือ จากนั้นนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านการบรรยาย ผลการศึกษาพบว่าแนวทางการออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประยุกต์เป็นการศึกษาความเป็นพื้นถิ่นและอัตลักษณ์ของถิ่นที่มาประยุกต์ใช้ร่วมกับหลักการทางภูมิสถาปัตยกรรมในการออกแบบและแก้ปัญหา ซึ่งมีความหมายมากกว่าการหยิบยืมคุณลักษณะมาใช้โดยตรงเพียงเท่านั้น แต่มุ่งเน้นการตีความใหม่และการค้นหากระบวนทัศน์ใหม่เพื่อการสร้างสรรค์งานภูมิสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประยุกต์ที่เหมาะสมกับบริบทสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยแสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์บริบท การเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน การปรับตัวตามสภาพอากาศและความยืดหยุ่น การบูรณาการองค์ประกอบทางวัฒนธรรม ความเปราะบางต่อระบบนิเวศ ความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการใช้งานที่หลากหลาย ความครอบคลุมและการเข้าถึงของผู้ใช้สอย ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ การศึกษา และความเปราะบางต่อสุนทรียภาพ</p> อัมพิกา อำลอย Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 116 127 วัฒนธรรมด้านอาหารในประเพณีวันสารทเดือนสิบสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/259721 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบ แนวคิด นัยยะ และภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมด้านอาหารในประเพณีวันสารทเดือนสิบภาคใต้ ในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 2) สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจากแนวคิด นัยยะ และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านอาหารในประเพณีวันสารทเดือนสิบภาคใต้ 3) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสร้างสรรค์ วิธีดำเนินการวิจัย คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาอาหารในประเพณีวันสารทเดือนสิบ และการลงพื้นที่ พบว่า วัฒนธรรมอาหารในประเพณีวันสารทเดือนสิบในพื้นที่ภาคใต้มีความคล้ายคลึงกัน จากการศึกษาความต้องการและศักยภาพด้านการตลาด เพื่อประเมินทิศทางการออกแบบ และความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยว ด้วยแบบสอบถาม 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีความรู้ด้านวัฒนธรรมอาหาร ผู้ผลิตงานหัตถกรรม และนักท่องเที่ยว โดยผลจากการสอบถามพบว่า 1) การประเมินศักยภาพด้านการตลาด และความต้องการผลิตภัณฑ์ ผลประเมิณที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การตัดสินใจเลือกซื้อตามประเภทของผลิตภัณฑ์ 2) ประเมินความต้องการและทิศทางการออกแบบในประเด็นสำคัญ คือ รูปแบบ รูปลักษณ์ ประโยชน์ใช้สอย การสื่อความหมาย วัสดุ การผลิต และบรรจุภัณฑ์ นำมาสู่กระบวนการออกแบบและพัฒนาต้นแบบ โดยคำนึงถึงศักยภาพกลุ่มผู้ผลิต และผลประเมินความพึงพอใจผลิตภัณฑ์ พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 4.50 (S.D = 0.57) นำไปสู่การออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ และการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว โดยการขับเคลื่อนของชุมชน สู่การยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา</p> งามเพชร อัมพรวัฒนพงศ์ พิษณุ อนุชาญ Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 129 145 ชุมชนอัจฉริยะด้านสิ่งทอพื้นเมืองแพรวากาฬสินธุ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Jadc/article/view/262102 <p>บทความวิจัยเรื่อง ชุมชนอัจฉริยะด้านสิ่งทอพื้นเมืองแพรวากาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านผ้าไหมแพรวาโดยกระบวนการมีส่วนร่วมในตำบลหนองช้าง และเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรที่มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทานของการผลิตผ้าไหมแพรวาในตำบลหนองช้าง อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ ในฐานะตำบลอัจฉริยะ โดยมีกลุ่มเป้าหมายประเภทผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน ผู้ปฏิบัติที่เป็นตัวแทนกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกลุ่มทอผ้าและกลุ่มจัดจำหน่ายรวมจำนวน 27 คน นักวิจัยจำนวน 2 คน และผู้เกี่ยวข้องจำนวน 17 คน โดยใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพประเภทแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง แบบประเมินมาตรประมาณค่า แล้วนำมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ในด้านการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านผ้าไหมแพรวามีการพัฒนาศูนย์เรียนรู้จำนวน 1 ศูนย์ซึ่งเน้นในการเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านผ้าไหมแพรวาสีธรรมชาติ ในส่วนการพัฒนาศักยภาพปราชญ์ชาวบ้านในศูนย์เรียนรู้ด้านผ้าไหมแพรวาซึ่งสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ มีผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญในระดับ 4.3 ซึ่งอยู่ในระดับดี และในด้านยกระดับรายได้ของเกษตรที่มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเปรียบเทียบจากรายได้ปี 2564 และปี 2565 พบว่า กลุ่มผู้จัดจำหน่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิม 46,000 บาท เป็น 99,000 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 115 กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 103 ซึ่งเดิมมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 6,091.20 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 12,412.80 บาท เพิ่มขึ้น 6,321.60 บาท คิดเป็นร้อย 103 และกลุ่มผู้ทอผ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.71 ซึ่งเดิมรายได้เฉลี่ยต่อปี 6,648.16 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 9,222.22 บาท เพิ่มขึ้น 2,574.06 บาท ซึ่งการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านผ้าไหม แพรวาโดยกระบวนการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพทำให้กลุ่มเป้าหมายตลอดห่วงโซ่อุปทานมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 85.57</p> กิตติ์ธนัตถ์ ญาณพิสิษฐ์ มนชยา สภานุชาต Copyright (c) 2024 วารสารสถาปัตยกรรม การออกแบบและการก่อสร้าง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-25 2024-04-25 6 1 147 160