Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA <p> <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> เป็นวารสารวิชาการ ราย 1 เดือน (ปีละ 12 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม, ฉบับที่ กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 3 มีนาคม, ฉบับที่ 4 เมษายน, ฉบับที่ 5 พฤษภาคม, ฉบับที่ 6 มิถุนายน, ฉบับที่ 7 กรกฎาคม, ฉบับที่ 8 สิงหาคม, ฉบับที่ 9 กันยายน, ฉบับที่ 10 ตุลาคม, ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน, และฉบับที่ 12ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้านศาสนา ปรัชญา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภาษาศาสตร์ การศึกษาเชิงประยุกต์ รวมถึงสหวิชาการอื่นๆ</p> <p> บทความที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) 3 ท่าน พิจารณาตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะของกองบรรณาธิการ <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> th-TH Journal of Roi Kaensarn Academi 2697-5033 แนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274655 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทในการปรับปรุงประสิทธิภาพการบิน รวมถึงการบริการผู้โดยสาร ความปลอดภัย และการบำรุงรักษาอากาศยาน โดยการศึกษาครั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์ใน 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ การวางแผนเส้นทางการบินและการจัดการการจราจรทางอากาศ, นวัตกรรมด้านความปลอดภัย, การบำรุงรักษาเครื่องบิน, การปรับปรุงประสบการณ์ผู้โดยสาร, ผลกระทบที่มีต่อการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรและแนวโน้มของการบินไร้คนขับ (UAVs) ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า AI มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการบินอย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดเวลาบินและการใช้เชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุงความปลอดภัยในอุตสาหกรรมการบินผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและการตรวจจับความผิดปกติ ระบบ Condition Monitoring Sensors (CATS) ที่ใช้ AI ช่วยบริหารจัดการการจราจรทางอากาศในประเทศไทยได้รับการพิสูจน์ว่าลดระยะเวลาการรอคอยของเครื่องบิน นอกจากนี้ การใช้งาน AI ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์สามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการซ่อมบำรุงได้ โดยเฉพาะในสายการบินในประเทศไทย และยังช่วยพัฒนาประสบการณ์ผู้โดยสารผ่านการบริการที่ดียิ่งขึ้น โดยการลงทุนในเทคโนโลยี AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในไทยและในระดับโลก</p> จักรวรรดิ์ หล้าเพชร วราพร กลิ่นศรีสุข ภานิดา รักกลิ่น ดุลทเดช แสนวิเศษ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1831 1840 การใช้ GenAI ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ: ความจำเป็นสำหรับแนวทางปฏิบัติ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273122 <p> การเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการสร้างเนื้อหา (Generative Artificial Intelligence, GenAI) ส่งผลกระทบต่อการศึกษาด้านภาษาเป็นอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่อประสบการณ์การเรียนการสอนอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน รูปแบบโปรแกรมภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT-3.5/4 Google Gemini และ Copilot ของค่าย Microsoft ดึงดูดความสนใจจากวงการวิชาการ เนื่องจากความสามารถในการเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์และผลิตผลลัพธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อการสอนเสริมและเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างดี งานวิจัยล่าสุดเน้นประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำ GenAI มาช่วยผู้สอนตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นของการวางแผนและการออกแบบหลักสูตร ไปจนถึงการประเมินผลการเรียนรู้และการให้ข้อเสนอแนะแบบเฉพาะบุคคล ในทำนองเดียวกัน ทักษะทางภาษาของผู้เรียนสามารถพัฒนาได้ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมือ GenAI อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์เหล่านี้ การใช้ GenAI ยังทำให้เกิดความกังวลหลายประการเกี่ยวกับความเหมาะสมในด้านจริยธรรมและวิธีการสอน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำกรอบแนวทางหรือแนวปฏิบัติเพื่อให้บุคลากรทางวิชาการและผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี AI นี้ได้อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ บทความนี้ศึกษาการประยุกต์ใช้ GenAI อย่างกว้างขวางในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นในการจัดทำแนวทางปฏิบัติในการใช้งานในห้องเรียนภาษาอย่างทันท่วงทีและรอบด้าน บทความนี้ยังเสนอกรอบปฏิบัติเพื่อแนะแนวทางให้แก่ผู้เรียนในการใช้เครื่องมือ GenAI ให้เต็มศักยภาพอย่างเหมาะสมและมีความรับผิดชอบ</p> สุดารัตน์ ศรีรักษ์ นุวรรณ ทับเที่ยง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1841 1853 การพัฒนาเกษตรเขตเมืองเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนเมือง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274134 <p> การขยายตัวของเมือง เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้มีการบริโภคพลังงานและทรัพยากรจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณภาพดิน น้ำ และอากาศเสื่อมโทรม รวมไปถึงปัญหาสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนเมืองทำได้หลายวิธี หลายประเทศนำกลยุทธ์การทำเกษตรเขตเมืองมาช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบริเวณรกร้างเสื่อมโทรม และพื้นที่ว่างเปล่า ให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น เป้าหมายของการทำเกษตรเขตเมืองมีหลายด้าน ได้แก่ การเพิ่มความหลากหลายทางภูมิทัศน์ ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพและโภชนาการ และการพัฒนาชุมชน เกษตรเขตเมืองมีหลายรูปแบบ ได้แก่ สวนชุมชน สวนบุคคล สวนผลไม้ในเมือง สวนผ่อนคลาย สวนบนชั้นดาดฟ้า โดยมีการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน ชุมชน และการค้าขาย ข้อจำกัดของการขยายตัวในการทำเกษตรเขตเมืองคือ การถือครองที่ดิน และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม การปนเปื้อนสารเคมีทางการเกษตรสู่สิ่งแวดล้อม และการปนเปื้อนของมลพิษสิ่งแวดล้อมสู่ผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาเกษตรเขตเมืองที่เหมาะสมได้แก่ การใช้ประโยชน์จากที่ดินเปล่าหรืออาคารร้างมาทำเกษตร การบูรณาการทำเกษตรเขตเมืองเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวในแผนพัฒนาเมืองและการพัฒนาระบบอาหารของชุมชนเมือง ควรมีการบูรณาการความรู้ด้านการเกษตร นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร สิ่งแวดล้อม ผังเมือง และกฎหมายเข้าด้วยกัน เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตเมืองอย่างปลอดภัยและยั่งยืน</p> สมาพร เรืองสังข์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1854 1869 ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ : สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับประถมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270286 <p> บทความนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดของสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูประถมศึกษา และกระบวนการบริหารชุมชมแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ผลการศึกษา พบว่า <strong>สมรรถนะ</strong> หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในงาน หรือในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งแสดงออกทางพฤติกรรม การปฏิบัติที่สามารถวัดและประเมินผลได้ที่ทำให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ประสบความสำเร็จในการทำงาน <strong>การจัดการเรียนรู้เชิงรุก</strong> หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัว เพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงอย่างรอบด้าน ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ <strong>สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูประถมศึกษา</strong> หมายถึง ความสามารถของครูผู้สอนในระดับประถมศึกษา ที่แสดงออกทางพฤติกรรมโดยมีการประยุกต์หรือบูรณาการจาก ความรู้ ทักษะ และ เจตคติที่ดีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก <strong>ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ</strong> หมายถึง การรวมกลุ่มกันของผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาในลักษณะของชุมชนเชิงวิชาการที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ การถอดบทเรียน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง <strong>กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ</strong> คือ กระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยเรียนรู้จากการปฏิบัติงานของกลุ่มบุคคลที่มารวมกันเพื่อทำงานร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยมีองค์ประกอบ 3 ระดับ และ 5 ขั้นตอนในการเสริมสร้างชุมชุนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ จากผลการศึกษานี้ทำให้เกิดกรอบแนวคิดการวิจัย ที่จะนำไปสู่การวิจัยและพัฒนากระบวนการบริหารชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพต่อไป</p> ปิ่นมุก เสนาดิสัย บุญมี เณรยอด สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1870 1879 สุขภาวะของครูมีผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274042 <p> บทความนี้ได้อธิบายถึงกรอบแนวคิดสุขภาวะของครู เนื้อหาประกอบด้วย 1) ความหมายและมิติของสุขภาวะ เป็นสภาวะหรือสภาพที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต มาจากความสามารถของบุคคลนั้นหรือรัฐบาลสนับสนุน โดยมีมิติทางด้านวัตถุและด้านคุณภาพชีวิต ทั้งหมด 13 ด้าน 2) ความหมายและมิติของสุขภาวะของครู เป็นสภาพหรือสภาวะที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตจากการทำงานหรือประกอบอาชีพ ที่มีมิติ 4 มิติ ได้แก่ สุขภาพและสุขภาพจิต องค์กรหรือโรงเรียนที่มีสังคมการทำงานและความสัมพันธ์ที่ดี ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และความพึงพอใจในการทำงานที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลซึ่งเป็นอัตตวิสัย 3) ความหมายของมิติของสุขภาวะของครูแต่ละด้าน ได้แก่ (1) การมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ (2) การทำงานที่มีความสัมพันธ์ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ดี ระหว่างผู้บริหาร เพื่อนครู และนักเรียน (3) ความสามารถในการจดจ่อต่อการทำงาน การรับรู้ความสามารถของตนเอง (4) ความพึงพอใจในการทำงาน ความพึงพอใจในการประกอบวิชาชีพครู ความพึงพอใจต่อองค์กร ความพึงพอใจในชีวิต ความรู้สึกถึงความพอใจในการทำงาน 4) ผลของสุขภาวะของครูมีผลมีผลต่อสุขภาวะ ผลสัมฤทธิ์ และพฤติกรรมของนักเรียน</p> ภูริทัต ชัยวัฒนกุล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1880 1889 Ideological and Political Teaching Innovation of Piano Course in China’s Colleges and Universities https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275320 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; The piano course in the School of Art has always implemented the problem-oriented teaching, based on classroom teaching, reflecting the concept of "student development as the center", actively exploring and solving practical problems in teaching and forming solutions. Reflecting the innovative characteristics of music education, the "four new" construction requirements run through the teaching process, highlighting its own teaching innovation points. Digging the ideological and political elements of the course, organically integrating the ideological and political elements of the course into the teaching of piano works, and truly achieving the innovative educational effect of "political ideas told through music" and "educating people through aesthetics". Actively explore the network mixed teaching mode, make full use of modern information technology to carry out curriculum teaching activities and learning evaluation, and form a teaching method and mode with radiating and spreading value.</p> Fang Bing Liang Xiaomei Copyright (c) 2024 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1890 1896 Full Issue https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275399 <p>.</p> บรรณาธิการ Copyright (c) 2024 2024-11-30 2024-11-30 9 11 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนเสริมความรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ของวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270285 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดการเรียนเสริมความรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อชุดการเรียนเสริมความรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ของวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ จำนวน 30 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดการเรียนเสริมความรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อชุดการเรียนเสริมความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบค่าที (t-test Dependent)<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาชุดการเรียนเสริมความรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 88.75/84.67 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) นักศึกษาที่ได้รับการสอนด้วยชุดการเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดการเรียนเสริมความรู้ เรื่อง ความเค้นและความเครียดดึง พบว่า โดยรวมนักศึกษามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.54, S.D. = 0.52)</p> ประพรรณ เกษหอม ธีราพรรณ แซ่แห่ว Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1 12 การนิเทศเชิงรุกตามแนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อพัฒนาสมรรถนะการสร้างหลักสูตรของครูที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและรายได้ให้แก่เยาวชน ในวัยเรียน กรณีศึกษา : โรงเรียนในตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273932 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการนิเทศเชิงรุกตามแนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสร้างหลักสูตรของครูที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและรายได้ให้แก่เยาวชนในวัยเรียน 2) ประเมินสรรถนะการสร้างหลักสูตรของครู 3) เสนอแนวทางการนิเทศเชิงรุกฯ ไปใช้ประโยชน์ด้านนโยบายและถ่ายทอดสู่สาธารณะ กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูที่สมัครใจ (Volunteer Sampling) เข้าร่วมโครงการวิจัย สังกัดโรงเรียนในตำบลดอนฉิมพลี 9 โรงเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 2) คู่มือการนิเทศเชิงรุกฯ 3) แบบประเมินสมรรถนะการสร้างหลักสูตรฯ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. แนวทางการนิเทศเชิงรุกฯ มีองค์ประกอบของคู่มือ ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ของการนิเทศเชิงรุก 2) หลักการ 3) ผู้ที่เกี่ยวข้อง 4) บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 5) คำแนะนำ 6) ขั้นตอนการนิเทศเชิงรุก 7) ตารางกิจกรรมการนิเทศเชิงรุก และ 8) เครื่องมือที่ใช้<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. สรรถนะการสร้างหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและรายได้ให้แก่เยาวชนในวัยเรียน โดยภาพรวมทุกหลักสูตรมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก คือ มีคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะตามรายการประเมิน เท่ากับ 3.52 (SD.= .10) มีคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะภาพรวมหลักสูตร เท่ากับ 59.78 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 87.90<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. แนวทางการนิเทศเชิงรุกฯ ไปใช้ประโยชน์ด้านนโยบายและถ่ายทอดสู่สาธารณะ ได้แก่ 1) จัดทำและเผยแพร่คู่มือ ให้เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงาน 2) จัดเวที (แบบออนไลน์) เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการนำแนวทางการนิเทศเชิงรุก</span></p> ประภาพร ชนะจีนะศักดิ์ หนึ่งฤทัย เมฆวทัต พรทิพย์ อ้นเกษม จิราภรณ์ พจนาอารีย์วงศ์ สุทธิษา สมนา Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 13 32 การพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/271002 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจภาวะการมีงานทำจากการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ใช้การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยสูตร Taro Yamane ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การสำรวจภาวะการมีงานทำต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( 2.73; S.D.= 0.71) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ภาวะการมีงานทำอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการแรงงานผู้สูงอายุของชุมชน ( = 3.97; S.D.= 0 .69) และ ด้านการสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ ( </span><strong style="font-size: 0.875rem;"> =</strong><span style="font-size: 0.875rem;"> 87; S.D. = 0.93) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ด้านอัตราค่าจ้าง สวัสดิการผู้สูงอายุ ( 1.66; S.D. = 0 .55) 2.) ปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ด้านข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ (Beta =.761) ปัญหาด้านการสร้างมุมมองใหม่ในสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Beta =.397) ด้านการขาดการประสานงานความร่วมมือในพื้นที่ (Beta =.439) ตามลำดับ และ 3.) แนวทางการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า แรงงานผู้สูงอายุต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกับเอกชนให้ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ และต้องการให้จัดอบรมพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานปัจจุบัน รวมถึงร่วมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายกับหน่วยงานอื่น ๆ อย่างจริงจัง และติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</span></p> สุกัลยา ประจิตร โชติ บดีรัฐ ศรชัย ท้าวมิตร Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 33 50 ความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273868 <p> ความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลมีความสำคัญต่อการบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งส่งผลต่อความกินดีอยู่ดีของบุคคล งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลของนิสิตมหาวิทยาลัย 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลของนิสิตมหาวิทยาลัยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความรู้การเงินส่วนบุคคลของนิสิตมหาวิทยาลัย ความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลได้แก่ ความรู้ทั่วไป การออมและการกู้ยืม ประกันภัย การลงทุน และการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตศรีราชาจำนวน 428 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) นิสิตมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลโดยรวมในระดับต่ำ นิสิตมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลในระดับปานกลางในด้านความรู้ทั่วไปและด้านประกันภัย ในขณะที่นิสิตมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลในระดับต่ำในด้านการออมและการกู้ยืม ด้านการลงทุน และด้านการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ 2) นิสิตเพศหญิงมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลโดยรวมสูงกว่านิสิตเพศชาย นิสิตชั้นปีที่ 2 มีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลโดยรวมสูงกว่านิสิตชั้นปีอื่น นิสิตที่เรียนในสาขาที่เกี่ยวข้องกับบริหารธุรกิจมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลโดยรวมและความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลในทุกด้านสูงกว่านิสิตที่เรียนสาขาอื่น และ 3) นิสิตที่เรียนสาขาที่เกี่ยวข้องกับบริหารธุรกิจจะทำให้โอกาสการมีความรู้ทางการเงินส่วนบุคคลในระดับสูงเพิ่มมากขึ้น</p> ศิรินุช อินละคร สิทธิเดช บำรุงทรัพย์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 51 63 ผลกระทบของคุณภาพบริการโลจิสติกส์ต่อความตั้งใจกลับมาซื้อซ้ำและการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้บริโภคในแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน: บทบาทของตัวแปรกำกับ โลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274570 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยคุณภาพบริการโลจิสติกส์ที่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุต่อความพึงพอใจของลูกค้า ความตั้งใจกลับมาซื้อซ้ำ และการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ และ 2) ทดสอบบทบาทตัวแปรกำกับของโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความพึงพอใจของลูกค้ากับความตั้งใจกลับมาซื้อซ้ำและการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน จำนวน 387 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้เทคนิควิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วนเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย<br /> ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพบริการโลจิสติกส์ด้านความยุติธรรมของราคา เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความพึงพอใจของลูกค้ามากที่สุด รองลงมาคือ การติดต่อสื่อสารผ่านบุคคล และบริการข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้า ตามลำดับ โดยที่ความพึงพอใจของลูกค้ายังเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความตั้งใจกลับมาซื้อซ้ำ และการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามลำดับ ในขณะที่คุณภาพบริการโลจิสติกส์ด้านความตรงต่อเวลาของบริการจัดส่งสินค้า บริการขนส่งเพื่อขอคืนสินค้า และความคงสภาพของสินค้าที่ได้รับจากการจัดส่ง ไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความพึงพอใจของลูกค้า และโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำไม่มีบทบาทในฐานะตัวแปรกำกับความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของลูกค้าและความตั้งใจกลับมาซื้อซ้ำ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของลูกค้าและการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์</p> ธาดาธิเบศร์ ภูทอง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 64 82 การท่องเที่ยวเชิงอาหารกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำผ่านงานเทศกาลอาหาร: การวิจัยเชิงเอกสารเพื่อเสนอกรอบแนวคิด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270436 <p> งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทบทวนวรรณกรรม แนวคิด ทฤษฎี บทความวิจัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอาหารกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำผ่านงานเทศกาลอาหาร 2) การประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนกับงานเทศกาลอาหาร และ 3) เสนอกรอบแนวคิดการศึกษาการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลอาหาร โดยศึกษาผ่านการวิจัยเชิงเอกสารด้วยการค้นคว้าข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น บทความวารสาร รายงานประจำปี และวิทยานิพนธ์ที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่เผยแพร่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 จนถึงปัจจุบันจำนวน 529 ชิ้น มีเกณฑ์คัดออกคือข้อมูลต้องไม่ใช่บทคัดย่อของบทความ งานวิจัยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นสาระโดยใช้โปรแกรม ATLAS.ti ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า การศึกษาด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ส่วนใหญ่สนใจศึกษาเรื่องการจัดการอีเวนต์ (Event Management) การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เทศกาลอาหาร (Food Festival) ประสบการณ์ (Experience) และทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior) อย่างไรก็ตาม พบว่าการศึกษาเกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลอาหารยังมีไม่มากนัก นอกจากนี้พบว่า งานด้านการประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนกับการจัดงานเทศกาลอาหาร (Food Festival) มีค่อนข้างน้อย ดังนั้นผลการวิจัยในครั้งนี้เผยให้เห็นถึงช่องว่างความรู้ของงานวิจัย (Research Gap) ด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ งานเทศกาลอาหาร และทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน สำหรับผลการศึกษายังระบุตัวแปรตั้งต้นที่สำคัญรวมถึงเสนอกรอบแนวคิดในการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ งานเทศกาลอาหาร และทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนสำหรับการศึกษาต่อยอดในอนาคตต่อไป</p> <p> </p> ปฤณพร บุญรังษี ประสพชัย พสุนนท์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 83 105 ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในมุมมองของนักท่องเที่ยว ชาวไทยในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270275 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบมุมมองด้านภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ โดยการใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถาม จากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาท่องเที่ยวในพื้นที่พัทยา จำนวน 400 คน ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น (Probabilty sampling) โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่(Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division) และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ได้แก่ ทีเทส (T-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One Way ANOVA or f-test) ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวไทยที่มีลักษณะประชากรศาสตร์ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่างกัน มีมุมมองเกี่ยวกับภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินต่อเมืองท่องเที่ยว ในภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และ นักท่องเที่ยวไทยที่มีลักษณะประชากรศาสตร์ ได้แก่ สถานภาพ และระดับการศึกษา นักท่องเที่ยวไทยที่มี ในภาพรวมที่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ในส่วนของการศึกษาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่เมืองพัทยา ในภาพรวม พบว่า มีภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทย อยู่ในระดับน้อย โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ด้านภัยธรรมชาติ ด้านสาธารณสุข ด้านความปลอดภัย ด้านอาชญากรรม และด้านอุบัติเหตุ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด ตามลำดับ</p> ศุนิชญา ก๋องจัน กนกกานต์ แก้วนุช Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 106 117 รูปแบบการสร้างองค์กรนวัตกรรมสำหรับกรมบัญชีกลาง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270889 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพและปัญหาปัจจุบันเกี่ยวกับองค์กรนวัตกรรมสำหรับกรมบัญชีกลาง (2) สร้างรูปแบบการสร้างองค์กรนวัตกรรมสำหรับกรมบัญชีกลาง และ (3) ประเมินรูปแบบการสร้างองค์กรนวัตกรรมสำหรับกรมบัญชีกลาง โดยผู้วิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการดำเนินการเกี่ยวกับองค์กรนวัตกรรมสําหรับกรมบัญชีกลาง โดยการสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนวัตกรรม รวมทั้งสิ้น 9 คน เครื่องมือคือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหาและจัดกลุ่มและแจกแจงความถี่สภาพปัจจุบันและปัญหา <br />(2) สร้างรูปแบบองค์กรนวัตกรรมสําหรับกรมบัญชีกลางโดยนำข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาสภาพและปัญหา มาเป็นกรอบในการสร้างรูปแบบ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน โดยใช้เทคนิคเดลฟาย 3 รอบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และหาค่ามัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ (3) ประเมินรูปแบบองค์กรนวัตกรรมสําหรับกรมบัญชีกลางโดยการสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน ประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา แจกแจงความถี่ และร้อยละ<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัจจุบันการดำเนินการเกี่ยวกับองค์กรนวัตกรรมสําหรับกรมบัญชีกลาง พบว่า ผู้นำมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีต้นแบบเป็นแรงบันดาลใจเพื่อสร้างนวัตกรรม สำหรับปัญหา พบว่ายังไม่มีการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรม และไม่มีการกำหนดการสร้างนวัตกรรมเป็นตัวชี้วัด (2) รูปแบบการสร้างองค์กรนวัตกรรมสำหรับกรมบัญชีกลาง ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ผู้นำ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และ<br />กลยุทธ์ แรงจูงใจและการให้รางวัล ระบบและกระบวนการทํางาน การพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร การจัดสรรทรัพยากรและเทคโนโลยี ค่านิยมและวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการทํางาน และทีมงานนวัตกรรม (3) ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินรูปแบบองค์กรนวัตกรรมสําหรับกรมบัญชีกลาง เห็นว่ารูปแบบฯ มีความเหมาะสม เป็นไปได้และเป็นประโยชน์</p> อมรเทพ ทองเพชร ชมสุภัค ครุฑกะ สุมิตรา เรืองพีระกุล ดวงเดือน จันทร์เจริญ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 118 132 การพัฒนาผลิตภัณฑ์วาฟเฟิลโดยใช้แป้งมันเทศสีม่วงทดแทนแป้งสาลี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274337 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเตรียมและการวิเคราะห์คุณภาพของแป้งมันเทศสีม่วง และ 2) เพื่อศึกษาการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งมันเทศสีม่วงต่อคุณภาพของวาฟเฟิล เป็นการวิจัยแบบการทดลอง โดยศึกษาอัตราส่วนของแป้งสาลี : แป้งมันเทศสีม่วง ได้แก่ 100:0, 80:20, 60:40, 40:60, 20:80 และ 0:100 วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD) วิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยวิธี Duncan’s new multiple range Test (DMRT)<br /> จากผลการศึกษาการเตรียมและวิเคราะห์คุณภาพของแป้งมันเทศสีม่วง พบว่าแป้งมันเทศสีม่วงมีปริมาณน้ำอิสระ เท่ากับ 0.53±0.01 มีความชื้น โปรตีน ไขมัน เถ้า ใยอาหาร และคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 7.64±0.05, 2.50±0.01, 0.87±0.06, 1.29±0.02, 6.18±0.24 และ 81.52±0.81 ตามลำดับ และฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ ร้อยละ 49.95±0.91 จากผลการศึกษาการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งมันเทศสีม่วงต่อคุณภาพของวาฟเฟิล พบว่าอัตราส่วนที่เหมาะสมของแป้งสาลี:แป้งมันเทศสีม่วง คือ อัตราส่วน 40:60 วาฟเฟิลที่ได้มีปริมาณน้ำอิสระ เท่ากับ 16.05±0.63 และปริมาตรจำเพาะ เท่ากับ 1.54±0.05 ลบ.ซม.ต่อกรัม ลักษณะเนื้อสัมผัสของวาฟเฟิล พบว่ามีค่าความแข็ง เท่ากับ 375.81±9.12 กรัม ค่าความยืดหยุ่น เท่ากับ 0.59±0.01 กรัม.วินาที ค่าการเกาะรวมตัว เท่ากับ 0.82±0.01 ค่าความเหนียวคล้ายยาง เท่ากับ 330.10±13.39 และค่าความยากในการเคี้ยว เท่ากับ 197.63±4.24 กรัม ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของวาฟเฟิล ร้อยละ 36.61±0.46 จากการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสกับผู้บริโภคที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี จำนวน 50 คน พบว่าผู้บริโภคให้คะแนนความชอบในด้านลักษณะปรากฏ ความนุ่ม รสชาติโดยรวม ความยากในการเคี้ยว และความชอบโดยรวม อยู่ในระดับความชอบปานกลาง (7.02-7.30 คะแนน)</p> สุวรนี ปานเจริญ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 133 147 The Key Success Factors of Sino-Foreign Educational Cooperation in Art Colleges and Universities Under Liaoning Province https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270545 <p> Driven by economic globalization and increasing social demand, Sino-foreign cooperative education has expanded rapidly. Yet, the overall quality and impact of such initiatives across the country remain modest. The efficacy of Sino-Foreign educational cooperation is contingent not only on the stringent management of educational administrative bodies and comprehensive legal frameworks but also on the internal management and operations of the institutions themselves. While external improvements take time, individual institutions can rapidly enhance their educational quality by optimizing internal factors.<br /> The objectives of this research were:(1) to explore key success factors of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province; and (2) to verify key success factors of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province; and (3) to develop managerial guidelines for Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province.<br /> The research was a mixed methodology research. Population was the research consisted of 236 college administrators1876 teachers in 5 colleges and universities under Liaoning Province the People's Republic of China, totalling 2112. The sample size was determined by Krejcie and Morgan's Table (1970), obtained by stratified random sampling technique sampling method, totalling 325. The key informants were composed of 15key informants, including Chinese senior administrators of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities, Foreign senior administrators of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities, teachers from Sino-Foreign educational cooperation,and policy maker from the government education department, obtained by purposive sampling method. The instruments used for data collection were a semi-structured interview form, a five-point rating scale questionnaire, and a Focus Group Discussion form. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, mean, Standard Deviation and Exploratory Factor Analysis, as well as the content analysis was employed.<br /> The research findings revealed that: (1) there were seven components and 96 variables of key success factors of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province. (2) verified the 96 variables that are the key success factors of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province; and (3) there were total of 31 managerial guidelines of Sino-Foreign educational cooperation in art colleges and universities under Liaoning Province.<br /> Based on these findings, the study concludes that a robust understanding and implementation of the identified variables and managerial guidelines are crucial for maximizing the success of Sino-Foreign educational collaborations in art colleges and universities under Liaoning Province. This comprehensive framework not only facilitates better management practices but also enhances the overall quality and effectiveness of these cooperative educational programs.</p> Guo Sen Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 148 164 The Talent Management and Mentorship Support for Florist Design Capability in Vocational College at Jiangxi of Central China https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273488 <p> The objectives of this research aimed to study: 1 To analyze factors, impact on florist Design Capability in Vocational College at Jiangxi China; 2 investigate of on Talent Management and Mentorship Support in mediating affect between Innovative Awareness, Self-Development, strive perfect union and florist Design capability; and 3 develop the florist Design capability in Vocational College China. This research is a mixed method. The tools used in this research were questionnaire for quantitative collected data from 377 people by probability sampling and using stratified sampling and qualitative is in-depth interview by 10 key informants who working at Jiangxi of Central China. The statistic of this research is structural equation modeling using statistical program.<br /> The research reveal finding the integrating innovative thinking, continuous self-improvement, and strong mentorship within vocational education is essential for advancing the floral design industry in China. The study emphasizes the need for a holistic approach to talent management and education to meet market demands and preserve traditional floral art while fostering modern skills, having the Goodness of Fit Index of X<sup>2</sup>/df=1.599, GFI=.931, AGFI=916, RMSEA=.035 is statistically significant at the .001 level.</p> Liften Liang Tanaset Morasilpin Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 165 179 The Ethical Leadership Model for Administrators of Normal Colleges and Universities in Liaoning Province https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274371 <p> The objectives of this research were: (1) to determine the components and indicators of ethical leadership for administrators of normal colleges and universities in Liaoning Province; (2) to propose ethical leadership model for administrators of normal colleges and universities in Liaoning Province; and (3) to develop implementation guidelines for ethical leadership for administrators of normal colleges and universities in Liaoning Province.The research was mixed methodology research including qualitative research and quantitative research. Population was administrators and teachers from 10 normal colleges and universities in Liaoning Province, the People’s Republic of China, totaling 7903.The sample was obtained by proportional stratified random sampling method determined by statistical program, totally 367. The instruments used for collecting data were a semi-structured interview form, a five-point rating scale questionnaire, and Focus Group Discussion form. Descriptive statistics and Confirmatory Factor Analysis were used to perform data analysis by using statistical software as well as the content analysis was employed.<br /> Research results were revealed that: (1) the components and indicators screened from theoretical framework, consisted of six components and 41 indicators of ethical leadership for administrators of normal colleges and universities in Liaoning Province namely, people orientation, fairness and justice, power sharing, ethical guidance, role clarification and integrity and honesty; (2) developed model of the ethical leadership for administrators in normal colleges and universities in Liaoning Province was consistent with the empirical data (X²/df=1.742, GFI=0.855, AGFI=0.838, NFI=0.876, IFI=0.943, TLI=0.940,CFI=0.943, RMSEA=0.045); and (3) there were 21 implementation guidelines for the ethical leadership for administrators of normal colleges and universities in Liaoning Province.</p> Jin Li Kamolmal Chaisirithanya Chuanchom Chinatangkul Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 180 194 The Changes of Clothing: Cultural Adaptation in Modern Society of the Yao Ethnic Group in Jinxiu https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273869 <p> In the background of modernization process, the clothing of the Jinxiu Yao ethnic group has undergone rapid changes from 1929 to the present, vividly reflecting the cultural adaptation of the Jinxiu Yao ethnic group in modern society. The aims included:(1) Studied the changes of clothing of the Yao ethnic group in Jinxiu;(2) Studied the cultural adaptation in modern society of the Yao ethnic group in Jinxiu. The methodology included:(1) Used the qualitative research methods; (2) Used the research tools included observation, interviews, and surveys were;Selected Four key informants, ten general informants, and five casual informants were; (3) Collected Data through fieldwork and literature survey, and used a research framework to classify the data; Used Structural-functional Theory, Cultural Change Theory, and Cultural Adaptation Theory to analyze the research data, and used the descriptive analysis methods to present the research results. The results of findings were as follows: (1) Since 1929, the clothing of the Jinxiu Yao ethnic group have undergone five changes, each with its own complex reasons. (2) The changes in clothing of the Jinxiu Yao ethnic group reflect their cultural adaptation in modern society. The conclusion of this study: In the past century, the clothing of the Jinxiu Yao ethnic group has been influenced by national policies, sinicization, modernization, globalization, and fashionability, and has undergone changes. The cloth and functions of the clothing have also changed accordingly, demonstrating the cultural adaptation of the Jinxiu Yao ethnic group in modern society. The results of this study have certain reference value for the Jinxiu government to formulate ethnic development policies, cultural heritage protection policies, and cultural tourism policies, for researchers to further study the clothing changes and cultural adaptation of the Jinxiu Yao ethnic group, and for producers and operators to adjust the styles and marketing methods of Jinxiu Yao clothing.</p> Yangzhen Wang Kla Sriphet Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 195 207 การสร้างสรรค์การแสดง เรื่อง พระนางกาไว เมืองเพนียด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270576 <p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและออกแบบกระบวนการสร้างสรรค์การแสดง เรื่อง พระนางกาไว เมืองเพนียด เป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสาร และการสัมภาษณ์โดยใช้เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง นำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ การแสดง และใช้การวิจัยเชิงปริมาณประเมินผลงานการแสดง<br /> ผลการวิจัย พบว่า ตำนานพระนางกาไว เป็นตำนานประจำท้องถิ่นของจังหวัดจันทบุรี มีโครงเรื่องสอดคล้องกับโบราณสถานเมืองเพนียดและชนชาวชอง ผู้วิจัยได้นำสำนวนของนายธรรม พันธุ์ศิริสด มาสร้างสรรค์การแสดง ซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างการแสดงแสงและเสียง ละครพันทาง ละครเพลง และเทคนิคสื่อผสม ใช้ทฤษฎีการแปรรูปวรรณกรรมและทฤษฎีสตรีนิยมในการนำเสนอบทบาทของพระนางกาไว ในภาวะความเป็นผู้นำ มีกระบวนในการออกแบบการแสดงดังนี้ 1) บทการแสดงผสมผสานภาษาชาติพันธุ์ชอง 2) บทบาทตัวละครและคุณสมบัติของนักแสดง มีภาวะความเป็นผู้นำ มีทักษะนาฏศิลป์ไทยและการแสดงละคร 3) ลีลาและกระบวนท่าทางเป็นท่าทางธรรมชาติและท่าทางนาฏศิลป์ไทย 4) ดนตรีและเพลงประกอบการแสดง ประกอบด้วย เพลงรำและระบำ เพลงดำเนินเรื่องและเพลงประกอบอารมณ์และบรรยากาศ 5) เครื่องแต่งกายออกแบบสร้างตามรูปแบบศิลปะขอมและชนชาวชอง 6) เวทีและฉาก จำลองโบราณสถานเมืองเพนียด อุปกรณ์ประกอบการแสดงประเภทอาวุธและเครื่องสูงออกแบบสร้างตามศิลปะขอม ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในวิถีชีวิตเป็นไปตามรูปแบบชาวชอง และ 7) การออกแบบเทคนิคสื่อผสม ใช้มัลติมิเดียกราฟฟิกในการสร้างจินตภาพประกอบ การแสดง นำเสนอผลงานสู่สาธารณชนได้รับผลการประเมินในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.90</p> เจษฎากรณ์ เอี่ยมอุไร จินตนา สายทองคำ สุรัตน์ จงดา Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 208 222 แนวทางการพัฒนาผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษา เพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273936 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) ของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกและคัดเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้บริหารและผู้ประเมินตามเกณฑ์ EdPEx ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 9 คน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปผลด้วยการพรรณนาความ <br /> ผลการวิจัย พบว่า แนวทางการพัฒนาผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนมีด้วยกัน 6 แนวทาง ได้แก่ <br />1) พัฒนาและบริหารจัดการหลักสูตรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน 2) พัฒนาอาจารย์ให้มีความเชี่ยวชาญ 3) พัฒนานักศึกษาให้มีทักษะทางวิชาชีพ 4) พัฒนานักศึกษาให้มีสมรรถนะสากล 5) พัฒนานักศึกษาให้มีทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล และ 6) พัฒนานักศึกษาให้มีคุณธรรมจริยธรรม ผลการวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อไป</p> บรรณกร แซ่ลิ่ม Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 223 241 ปัจจัยและผลสำเร็จของการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุกของครูมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/271049 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่หนึ่ง คือ เพื่อสังเคราะห์ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุก โดยใช้การวิจัยเอกสาร สังเคราะห์ข้อมูลหลักการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและหลักการจัดการเรียนรู้การอ่านเพื่อความเข้าใจ ได้ผลการวิจัยเป็นลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุก 3 ประการ คือ 1) การจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความร่วมกับการนำเสนอผลการอ่านผ่านการพูดและเขียนเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนและครู 2) การจัดการเรียนรู้การอ่านวิเคราะห์และประเมินค่าที่ส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์และวิจารณญาณ 3) การจัดการเรียนรู้การอ่านที่เชื่อมโยงชีวิตจริงผ่านการสำรวจและสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของการอ่านเพื่อการเรียนรู้และการนำผลการอ่านไปปรับใช้ในชีวิตจริง<br /> วัตถุประสงค์ที่สองของการวิจัย คือ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยและผลสำเร็จของการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุกของครูมัธยมศึกษา โดยใช้การวิจัยเชิงสำรวจ ประชากร คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ สุ่มผู้ตอบแบบสอบถามแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน จำนวน 175 คน ในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ จำนวน 50 คน โรงเรียนขนาดใหญ่ จำนวน 50 คน โรงเรียนขนาดกลาง จำนวน 45 คน โรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 30 คน โดยใช้แบบสอบถาม 40 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่และร้อยละ จากนั้นสุ่มผู้ให้สัมภาษณ์แบบหลายขั้นตอน จำนวน 18 คน ในโรงเรียนที่นักเรียนประสบความสำเร็จในการอ่านจากโรงเรียน 4 ขนาด จำนวน 8 คน และโรงเรียนที่นักเรียนได้ผลสัมฤทธิ์การอ่านต่ำกว่ามาตรฐานจากโรงเรียน 3 ขนาด จำนวน 10 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุก คือ ครูจบการศึกษาตรงสาขาการสอนภาษาไทย มีประสบการณ์มากกว่า 5 ปี สอนภาษาไทยเป็นหลัก การจัดการเรียนรู้การอ่านร่วมกับการนำเสนอผลการอ่านผ่านการพูดและเขียน พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์และวิจารณญาณ เชื่อมโยงชีวิตจริงผ่านการสำรวจและสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของการอ่าน โรงเรียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ โครงการพัฒนาทักษะภาษาไทย ฐานการอ่านในชุมชน เขตพื้นที่การศึกษาสนับสนุนสื่อการสอนอ่าน นวัตกรรมการอ่าน จัดสรรอัตรากำลัง จัดอบรมพัฒนาบุคลากร มหาวิทยาลัยจัดโครงการค่าย ส่งนิสิตสาขาการสอนภาษาไทยออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพ อนุญาตให้บุคลากรภายในเป็นวิทยากรโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบเชิงรุก ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การอ่านต่ำกว่ามาตรฐาน คือ ครูจบการศึกษาไม่ตรงสาขาการสอนภาษาไทย มีประสบการณ์น้อยกว่า 5 ปี สอนภาษาไทยควบคู่กับวิชาอื่น การจัดการเรียนรู้การอ่านด้วยการบรรยาย บอกวิธีการ พูดให้รู้เป็นนัยถึงประโยชน์เรื่องที่อ่านในชีวิตจริง</p> ลดา โรจนเกียรติสกุล สร้อยสน สกลรักษ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 242 259 The Implementation of Linguistics Theory in English Teaching Model of a Secondary School for Pre-Service English Teachers in Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274453 <p> In recent years, improving English language teaching in Thailand has become a priority due to the increasing need for effective communication skills in globalized contexts. For secondary school students, mastering English grammar and vocabulary is essential to building fluency and accuracy in the language. However, studies have shown that these students often struggle with morphological rules and complex grammatical structures, which impedes their ability to construct sentences accurately. One key area of focus in morphological instruction is the use of derivational suffixes, which modify base words to create new meanings or change their grammatical categories. Despite the importance of this aspect of English grammar, many teaching materials lack clear guidance on morphological transformations, leading to inconsistencies in student learning outcomes. Pre-service English teachers, who are responsible for conveying these concepts to students, require effective strategies and a strong understanding of linguistic principles to bridge these gaps.This study aims to enhance English teaching methods for pre-service English teachers by applying linguistic theory, with a specific focus on derivational suffixes, to English teaching materials. The research analyzes six English textbooks commonly used in Thai secondary schools to examine how derivational suffixes are presented and integrated within the curriculum. The population for this study comprises secondary-level English textbooks, with the sample consisting of six representative textbooks selected based on their curriculum usage. Research instruments include a content analysis framework focusing on morphological rules, particularly in suffix classification and presentation. Data were analyzed through qualitative methods, identifying patterns in suffix instruction and any pedagogical gaps across the textbooks.<br /> The findings reveal notable inconsistencies in how derivational suffixes are presented, with some textbooks providing clear explanations and examples while others lack structured guidance, hindering students’ understanding of morphological transformations. By employing Morphological Theory, the study highlights strategies for teaching derivational suffixes to pre-service teachers, focusing on categorizing suffixes (such as noun, verb, and adjective-forming suffixes) and demonstrating their effect on word structure and meaning. Chomsky’s Transformational Grammar Theory further helps illustrate the syntactic changes suffixes introduce. Structured practice exercises and error correction techniques support grammar improvement, aligning with Bloom’s Taxonomy to guide teachers from basic recognition to deeper analysis of suffix functions. The study suggests curriculum enhancements and professional development to better equip teachers with effective strategies for teaching morphology, ultimately improving students’ grammatical accuracy and writing skills in English.</p> Kittipa Himmapan Cholthicha Sudmuk Suwaree Yordchim Behrad Aghaei Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 260 272 ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณยอดขายสี Class B บริษัท J จำกัด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270442 <p> งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงประจักษ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อปริมาณยอดขายเพื่อใช้เป็นแนวทางการพยากรณ์สำหรับกำหนดระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม โดยใช้ข้อมูลอนุกรมเวลารายเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 ถึงเดือนธันวาคม 2566 รวมทั้งสิ้น 60 เดือน และนำมาวิเคราะห์เชิงปริมาณหาแบบจำลองอธิบายยอดขายโดยวิธีการทางเศรษฐมิติด้วยวิธีกำลังสองน้อยที่สุดสามชั้น (Three-Stage Least Squares, 3SLS) ซึ่งได้มีการกำหนดระบบสมการเกี่ยวเนื่องที่ประกอบไปด้วยแบบจำลองยอดขายสินค้า (สี) Class B และแบบจำลองปริมาณจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อยอดขายของธุรกิจที่ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลการศึกษา 1) ปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายของสี Class B ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.10 ได้แก่ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ปริมาณจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อแบบจำลองปริมาณจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.10 ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลล่าร์ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี และฤดูกาล (ไตรมาส 1) ทั้งนี้ แบบจำลองที่ประมาณได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการพยากรณ์ยอดขายสี Class B ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางเเผนการสั่งซื้อและจัดเก็บวัตถุดิบเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แบบจำลองทางเศรษฐมิติที่นำเสนอในการศึกษานี้สามารถเป็นทางเลือกในการพยากรณ์สินค้าและผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ ได้อีกด้วย</p> เอกชัย อาจเอื้อม พัฒน์ พัฒนรังสรรค์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 273 287 The Impact of Corporate Environmental Information Disclosure Quality on Financial Performance https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273489 <p> The Objectives of this research were to study: 1. analyze factors, impact on Corporate Environmental Information Disclosure Quality on Financial Performance; 2 investigate of on Investor attention is an intermediate between environmental disclosure information to financial performance; and 3 develop the corporate environmental disclosure information quality on Financial Performance. Using a sample of 848 companies from 2015 to 2020, by probability sampling and using by stratified sampling this research analyzes the impact of EDI on financial outcomes through a combination of quantitative and qualitative methods. The quantitative analysis employed multiple regression techniques and Structural Equation Modeling (SEM) to assess the role of investor attention as a mediating variable between EDI and financial performance.<br /> The findings reveal a positive correlation between high-quality environmental disclosures and improved financial results, with investor attention playing a crucial intermediary role. Qualitative data, collected through questionnaires, further highlights the public's growing awareness and demand for corporate transparency in environmental matters. Despite mandatory disclosure regulations, many companies still fail to fully disclose environmental information, especially those lacking growth prospects. This study underscores the importance of comprehensive EDI in shaping corporate reputation, attracting investment, and promoting long-term business success. The findings suggest that enhanced corporate environmental responsibility not only aligns with stakeholder expectations but also drives financial performance, making it a crucial factor in sustainable business practices.</p> Lei Chen Tanaset Morasilpin Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 288 299 A Study on the Factors Influencing Tpack Using Behavior of University English Instructors in Western China: Based on the Model of Tam-Tpb https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273857 <p> The integration of technology into higher education has become essential for enhancing teaching effectiveness, particularly in regions like Western China, where educational reform is actively promoted. The Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) framework offers a model for incorporating technology into teaching. However, the factors influencing university English instructors’ adoption of TPACK in this region remain under explored. This study aims to investigate the factors that affect TPACK usage behaviours among university English instructors in Western China, focusing on how perceived usefulness, subjective norms, and technological knowledge impact their intentions and behaviours in adopting TPACK. A mixed-methods approach was employed, combining the Technology Acceptance Model (TAM) and the Theory of Planned Behavior (TPB). Quantitative data were collected from 422 instructors across 30 universities in 12 provinces through questionnaires, and qualitative insights were derived from interviews with 10 instructors. Structural equation modelling was used to analyse the quantitative data, while thematic analysis was applied to the qualitative data. The findings revealed that university instructors generally possess moderate TPACK abilities, with older and more experienced instructors demonstrating higher technological knowledge (TECH-K). Perceived usefulness and subjective norms significantly influenced TPACK usage intentions, whereas perceived ease of use did not have a direct effect. Behavioural intention mediated the relationship between perceived usefulness, subjective norms, and actual TPACK usage. Additionally, qualitative findings emphasised the importance of institutional support, peer attitudes, and instructors’ self-efficacy in promoting TPACK adoption. The study underscores the need for systematic training, policy support, and improved infrastructure to enhance TPACK adoption among English instructors. Future research should broaden the sample, refine the questionnaire, and explore the long-term professional development of instructors. This study provides insights into the development of TPACK in China and offers strategies for improving technology integration in English language teaching.</p> Hong Yun Pimurai Limpapath Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 300 319 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ใน มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270892 <p> การวิจัยเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานด้านการแนะแนวในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง และเพื่อเสนอรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบการบริหารงานด้านการแนะแนวตามแนวทางการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ สังเคราะห์องค์ประกอบจากศึกษาเอกสาร ตํารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและยืนยันองค์ประกอบ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยการนำองค์ประกอบที่ได้จาก ระยะที่ 1 มาพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ และตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจงจากมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 12 คน ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างมี 6 องค์ประกอบ คือ 1. นโยบายงานด้านการแนะแนว 2. การจัดบริการแนะแนว 3. การวางแผนงานด้านการแนะแนว 4. โครงสร้างบุคลากรงานด้านการแนะแนว 5. ระบบบริหารงานด้านการแนะแนว 6. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งสัมฤทธิ์ ผลตรวจสอบความเหมาะสมขององค์ประกอบพบว่ามีความเหมาะสมทุกองค์ประกอบ ส่วนผลการประเมินรูปแบบพบว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์</p> สิริลักษณ์ วงศ์ประสิทธิ์ ภาสกร ดอกจันทร์ กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 320 339 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270656 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงพุทธ 2) ศึกษารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธ และ 3) การประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสังฆาธิการในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค 5 จำนวน 349 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป/คน ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งคณะสงฆ์ไทย จำนวน 2 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา สถิติที่ใช้คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า<br /> 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงพุทธ โดยภาพรวม พบว่า มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( = 3.73, S.D. = 0.713) เมื่อพิจารณาจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการบริหารงานบุคลากร มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( = 4.29, S.D. = 0.707)<br /> 2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธ จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยสามารถสังเคราะห์รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 5 โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการบริหารงานบุคลากร ด้านการอำนวยการ และด้านการกำกับดูแล<br /> 3) การประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านความถูกต้องของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยรวมสูงสุด ( = 4.46)</p> พระครูสันติพนาทร (ศรศิริ โปร่งจิต) ศรชัย ท้าวมิตร โชติ บดีรัฐ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 340 352 การประกอบสร้างคุณค่าเชิงสัญญะทางวัฒนธรรมอาหารในรายการสารคดี โทรทัศน์ หอมกลิ่นสยาม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273960 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประกอบสร้างคุณค่าเชิงสัญญะทางวัฒนธรรมอาหาร<br />ในรายการสารคดีโทรทัศน์หอมกลิ่นสยาม งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการศึกษาจากรายการสารคดีโทรทัศน์หอมกลิ่นสยาม จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และนำเสนอในรูปแบบการพรรณนาวิเคราะห์ โดยใช้แนวคิดของโรล็องด์ บาร์ตส์ วิเคราะห์การประกอบสร้างคุณค่าเชิงสัญญะทางวัฒนธรรมอาหาร เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าเชิงสัญญะทางวัฒนธรรมอาหาร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย กรอบแนวคิด หนังสือตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า รายการสารคดีโทรทัศน์ หอมกลิ่นสยาม มีการประกอบสร้างคุณค่าเชิงสัญญะทางวัฒนธรรมอาหาร จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการบริโภคเชิงสัญญะ พบคำและภาพที่สื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย ความสุนทรียะของอาหารแบบชนชั้นสูงหรือชาววัง ในเรื่องรูปลักษณ์ รสชาติ กลิ่น และเสียง รวมไปถึงคำที่สื่อถึงความทันสมัย พบการใช้คำภาษาต่างประเทศ และการใช้ความเปรียบเทียบช่วยให้เกิดจินตภาพ อันนำมาซึ่งสำนึกหรือการตระหนักในคุณค่าของความเป็นรากเหง้า 2) ด้านความเชื่อเชิงสัญญะ พบการใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายมงคล เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลที่สำคัญเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีความสุข 3) ด้านภูมิปัญญาเชิงสัญญะ พบอาหารที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมทาง ภาษา วรรณกรรม และศิลปะที่มีความสำคัญต่อสังคมไทย </p> จุฑารัตน์ พรโชคกุลพัฒน์ สุภาวดี ยาดี เจือง ถิ หั่ง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 353 367 The Harnessing Research-Based Learning to Empower Cognitive, Metacognitive, and Professional Competencies in Higher Education: A Case Study of Undergraduate Students Development in Early Childhood Education Program https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273874 <p> This study investigates the impact of Research-Based Learning (RBL) on the cognitive, metacognitive, and professional competencies of undergraduate students in the Early Childhood Education Program at Prince of Songkla University. The study aimed to assess improvements in critical thinking, problem-solving, independent research skills, and self-regulation. A mixed-methods approach was employed, involving 32 students. Quantitative data were collected through surveys, and qualitative insights were gathered from focus group discussions. The research results revealed significant improvements in students’ cognitive abilities, including critical thinking (Mean = 4.23, SD = 0.65) and problem-solving skills (Mean = 4.10, SD = 0.72). Students demonstrated enhanced metacognitive awareness (Mean = 4.25, SD = 0.60), indicating greater self-regulation in their learning processes. Self-regulation also showed a strong increase (Mean = 4.18, SD = 0.68). Paired samples t-tests confirmed statistically significant gains in all areas, with the highest improvement in metacognitive awareness (t = 5.23, p &lt; 0.001). Correlation analysis revealed strong positive relationships between critical thinking, problem-solving, and metacognitive awareness (r &gt; 0.6, p &lt; 0.01). Qualitative data emphasized the role of student autonomy and faculty mentorship in fostering these skills. The findings conclude that RBL is an effective pedagogical approach for developing essential competencies, preparing students for academic and professional success. The study recommends improving faculty mentorship and research resources to optimize the implementation of RBL in higher education.</p> Suppalak Plysang Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 368 382 The Development of an Instructional Model for Self-Discovery Learning for Online Teaching: Foundation of Education Course https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274503 <p> As online education has become increasingly prevalent, there is a growing need to develop innovative teaching models that can effectively engage students and enhance learning outcomes. This study aimed to: 1) develop a Self-Discovery Learning (SDL) teaching model for online instruction, 2) compare students' academic performance between pre-test and post-test results using this model, and 3 ) assess student satisfaction with the implemented teaching model. A sample of 30 students was selected using stratified random sampling. The statistical methods employed in the study involved paired t-tests to compare academic achievement results and descriptive statistics to analyze student satisfaction levels. <br /> Results indicated the following: 1) the development of the model for online teaching in the basic education curriculum: The development of the teaching model followed the principles of constructivism, emphasizing learning through creation, collaboration, and knowledge construction linked to real-world contexts. The SDL model was applied across four lessons, integrating digital tools and interactive learning activities. The model effectively supported: Learning through creation; Emphasizing the importance of working with tangible elements; Encouraging creative learning and collaboration; Facilitating knowledge construction linked to context; and Incorporating online teaching techniques. 2) The comparison results demonstrated a significant improvement in academic achievement. On average, students showed a marked increase in their post-test scores across multiple lessons, indicating that the SDL model effectively enhanced student knowledge and understanding. The paired t-test results revealed statistically significant differences, confirming the model's positive impact on academic performance; and 3) Results of the evaluation of student satisfaction with the model for online teaching in the basic education curriculum: The evaluation of student satisfaction revealed that learners were highly satisfied with the teaching model. Key factors contributing to their satisfaction included the variety of learning processes, the use of digital tools, and the clarity of learning objectives. The overall satisfaction rating was very high, suggesting that the model not only improved academic outcomes but also created an engaging and enjoyable learning experience. In conclusion, the developed SDL model effectively improved student academic achievement and satisfaction by incorporating constructivist principles, digital tools, and interactive learning activities, fostering creative learning, collaboration, and real-world knowledge construction.</p> Xingran Zhao Supinda Lertlit Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 383 397 การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274177 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริงปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของ การบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบ และตรวจสอบรูปแบบที่เหมาะสมกับการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นการวิจัยเชิงพัฒนากลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 63 โรงเรียน โรงเรียนละ 9 คน รวม 567 คน โดยการสุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan (1970: 607-610) เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และโดยวิธี Priority Needs Index : PNI Modified<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบันการบริหารสถานศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากล คือรูปแบบการบริหารแบบวัฒนธรรม มีลักษณะการบริหาร 5 องค์ประกอบ คือ การเป็นเลิศวิชาการ สามารถสื่อสารสองภาษา ความล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก และ 8 องค์ประกอบย่อย สภาพที่พึงประสงค์ พบว่า ความต้องการจำเป็นในการปรับปรุงรูปแบบการบริหารในด้านการกำหนดเป้าประสงค์ที่มีค่ามากที่สุด ได้แก่ รูปแบบการบริหารแบบทางการ เมื่อพิจารณาค่า PNI ในภาพรวม พบว่า ความต้องการจำเป็นตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากลตามรูปแบบโมเดล collegial model 1) รูปแบบการบริหารแบบผู้ร่วมงาน 2) รูปแบบการบริหารแบบการเมืองและทางการ 3) รูปแบบอัตวิสัย และรูปแบบแบบการบริหารแบบวัฒนธรรม<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา ตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากล ได้รูปแบบบูรณาการ 3 รูปแบบ คือ รูปแบบผู้ร่วมงานเป็นรูปแบบหลักผสาน รูปแบบทางการ และรูปแบบการเมือง<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากลมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากทุกข้อ และบางข้ออยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสามารถคงประเด็นหลักที่สำคัญของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ตามแนวคิดโรงเรียนมาตรฐานสากล</span></p> เบจนุช ชนะทอง วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 398 424 การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัด การเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/271062 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมการใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย และศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริม การใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย โดยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มที่ศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวบข้อมูลประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียว ที่ส่งเสริมการใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า มีนักเรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับดีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 90 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด โดยมีร้อยละของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.75 และแนวทาง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ได้แก่ การส่งเสริมให้นักเรียนได้อภิปรายร่วมกันในชั้นเรียนเกี่ยวกับการเลือกยุทธวิธีที่ใช้ในการการทำความเข้าใจและวางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนการดำเนินการแก้ปัญหา และการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบ</p> ภัคลิษา ทวนทอง วันดี เกษมสุขพิพัฒน์ สกล ตั้งเก้าสกุล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 425 441 การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านขายยา ประเภทร้านยาเดี่ยวในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270919 <p> ปี พ.ศ. 2566 เป็นช่วงที่ตลาดยาในประเทศเติบโต ทำให้มีสภาวการณ์การแข่งขันที่สูง โดยพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ มาลงทุนเพิ่มร้านยาแบบหลายสาขาเป็นจำนวนที่มากกว่าร้านยาเดี่ยว (ร้านผู้ประกอบการรายย่อย) ผู้วิจัยจึงศึกษาหาแนวทางการดำเนินการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและดำเนินกิจการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพของร้านยาเดี่ยว การวิจัยเชิงปริมาณนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านยาเดี่ยว 2) เพื่อเสนอแนวทางการปรับตัวของร้านยาเดี่ยว จากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคในประเทศไทยที่เคยใช้บริการร้านยา จำนวน 410 คน ด้วยวิธีการสุ่มตามความสะดวกผ่านแบบสอบถามออนไลน์ โดยนำปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านพฤติกรรม และปัจจัยส่วนประสมการตลาดมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานด้วยแบบจำลองโลจิต ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้ร้านยาเดี่ยว ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.10 ได้แก่ ผู้บริโภคที่อายุ 36–45 ปี รายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน อยู่นอกกรุงเทพฯ หรือใกล้ตลาด ไม่มีธุรกิจส่วนตัว และไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาลเอกชน สำหรับส่วนประสมการตลาดพบว่า ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านสิ่งแวดล้อมภายนอกมีโอกาสเลือกใช้ร้านยาเดี่ยวมากกว่า ในทางกลับกันผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมการตลาดมีโอกาสเลือกใช้ร้านยาหลายสาขามากกว่า ด้วยผลการศึกษานี้ผู้ประกอบการร้านยาเดี่ยวควรขยายเป้าหมายไปนอกช่วงอายุ 36-45 ปี ขยายร้านในเขตชุมชนใกล้ตลาด คงจุดแข็งด้านราคาถูก รักษาความลับลูกค้าอย่างมืออาชีพ และจัดเรียงสินค้าให้เป็นระเบียบ และจัดการระบบสมาชิกให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์เหนือกว่าร้านยาหลายสาขา</p> ชัชชัย ปรีชาวุฒิ พัฒน์ พัฒนรังสรรค์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 442 457 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดทำบัญชีของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี กรณีศึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274355 <p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี 2) ศึกษาประสิทธิภาพในการจัดทำบัญชี และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดทำบัญชีของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 181 ราย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ มีความเห็นคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดทำบัญชีของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านเจตคติในวิชาชีพ ด้านคุณค่าแห่งวิชาชีพ ด้านทักษะทางวิชาชีพและด้านความรู้และความสามารถในวิชาชีพ 2) ผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ มีความเห็นคิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการจัดทำบัญชีของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านคุณภาพของงาน ด้านเวลา ด้านความเข้าใจและด้านปริมาณงานและ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดทำบัญชีของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตภาคใต้ โดยรวม ได้แก่ ด้านทักษะวิชาชีพและด้านเจตคติในวิชาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> ปุณยทรรศน์ คงแก้ว สุวิสา ไชยสุวรรณ วไลภรณ์ นวลสอาด Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 458 471 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียนประถมศึกษาของนักศึกษาครูโดยใช้การคิดเชิงออกแบบร่วมกับกรอบความคิดแบบเติบโต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273977 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียนประถมศึกษาของนักศึกษาครูโดยใช้การคิดเชิงออกแบบร่วมกับกรอบความคิดแบบเติบโต และ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียนประถมศึกษาของนักศึกษาครูโดยใช้การคิดเชิงออกแบบร่วมกับกรอบความคิดแบบเติบโต กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักศึกษาครูสาขาวิชาการประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 ของวิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร รวม 63 คน ได้มาโดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินความรู้ความเข้าใจและแบบประเมินทักษะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1.1หลักการของรูปแบบการเรียนการสอน 1.2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอน 1.3 ขั้นตอนของการจัดการเรียนการสอน มีจำนวน 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1. ทำความเข้าใจ ขั้นที่ 2.ขยายปัญหา ขั้นที่ 3. ท้าทายความคิด ขั้นที่ 4. ผลิตนวัตกรรม ขั้นที่ 5. นำสู่การใช้งาน และ 1.4 การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน 2) ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นพบว่า1) หลังการทดลอง นักศึกษาครูมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการสร้างนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และคะแนนเฉลี่ยทักษะการสร้างนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียนประถมศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับดี</p> ดาวใจ ดวงมณี เกรียงศักดิ์ ชยัมภร สุรยศ ทรัพย์ประกอบ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 472 487 การศึกษาท้องถิ่นและสร้างกลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรม นครศรีธรรมราช https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272696 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษามรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นนครศรีธรรมราช 2) สร้างกลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน 65 คน คือ ผู้นำชุมชน ๆ ละ 5 คน รวม 55 คน นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราชและทีมบริหาร จำนวน 5 คน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชและทีมบริหาร จำนวน 5 คน การวิจัยใช้รูปแบบการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านรูปแบบการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) โดยมีขั้นตอนในการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน การสำรวจ การศึกษาชุมชน และการสร้างกลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่าย รวมทั้งรวบรวมข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น พื้นที่ในการศึกษาคือ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองเก่า 4 ย่าน ข้อมูลที่ได้ประมวลวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่าท้องถิ่นนครศรีธรรมราชมีโบราณสถานโบราณวัตถุและศาสนสถานที่เหมาะแก่การเรียนรู้ คือ ย่านเมืองพระเวียง ได้แก่ วัดสวนหลวง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช วัดท้าวโคตร ย่านเมืองเก่า ได้แก่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ศาลพระเสื้อเมือง ฐานพระสยม ตลาดท่าชี กำแพงเมืองเก่า สระล้างดาบศรีปราชญ์ ย่านท่าวัง ได้แก่ กุฏิทรงไทยวัดวังตะวันตก ย่านท่าตีน ได้แก่ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดประดู่พัฒนาราม วัดแจ้งวรวิหาร พิพิธภัณฑ์เมือง ชุมชนเกิดการเรียนรู้เข้าใจที่มาของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภูมิปัญญา มีประโยชน์แก่คนรุ่นใหม่เพราะได้สะท้อนรากเหง้าของชุมชน กลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ ใช้กลไกบอวร คือบ้านหรือชุมชน เอกชน วัด และส่วนราชการ โดยวัดเป็นพื้นที่หลักในการเรียนรู้เนื่องจากมีบทบาทสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม</p> จุติพร อัศวโสวรรณ ประกอบ ใจมั่น ประวิทย์ เนื่องมัจฉา จุฑามาศ ศุภพันธ์ ชนัยชนม์ ดำศรี Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 488 508 การเสริมสร้างสมรรถนะครูโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270692 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ มีวิธีดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาสมรรถนะและแนวทาง 2) การสร้างและตรวจสอบรูปแบบ 3) การประเมินรูปแบบ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จำนวน 213 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย <br /> ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสารงานวิจัย สอบถามความคิดเห็นผู้บริหารและครู ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะครูโดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและครู ขั้นตอนที่ 2 นำข้อมูลสมรรถนะแนวทางที่ได้จากการวิเคราะห์ในขั้นตอนที่ 1 มายกร่างรูปแบบและตรวจสอบโดยการสนทนากลุ่ม ผู้บริหารระดับสูง อาจารย์ระดับอุดมศึกษา ผู้บริหารมาปรับปรุงแก้ไขเป็นรูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูฉบับสมบูรณ์ ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเป็นประโยชน์ความเป็นไปได้ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของสมรรถนะครูมี 3 ด้านคือ ด้านความรู้ 1) การจัดการศึกษาสงเคราะห์ <br />2) การจัดการเรียนรู้นักเรียนประจำ/หอพัก 3) จิตวิทยาเด็ก 4) การดูแลนักเรียนประจำ/หอพัก 5) วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ 6) ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 7) ส่งเสริมอาชีพ 8) สถานการณ์ปัจจุบัน ด้านทักษะ 1) ออกแบบการจัดการเรียนรู้ 2) การสื่อสาร 3) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 4) ประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ 5) การจัดสภาพแวดล้อม 6)ปฐมพยาบาลเบื้องต้น 7) การให้คำปรึกษา 8) การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง ด้านคุณลักษณะภายใน 1) การเป็นแบบอย่างที่ดี 2) มีความเสียสละ 3) จัดการอารมณ์ 4) มีความอดทน 5) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี 6) ศรัทธาในวิชาชีพ 7) มีความรับผิดชอบ 8) มีความรัก เมตตา แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะ คือ 1) ฝึกอบรมให้ความรู้ 2) ทำคู่มือปฏิบัติงาน 3) การโค้ช 4) การสร้างชุมชน 5) ศึกษาดูงาน 2. รูปแบบการเสริมสร้าง ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ กรอบแนวคิด แนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะ 4 ขั้น คือ วางแผน (Plan) ดำเนินการ (Do) ตรวจสอบ (Check) ปรับปรุง (Act) กรอบแนวคิดเนื้อหาสมรรถนะครู 3. รูปแบบเสริมสร้างสมรรถนะครู ภาพรวมมีความเป็นประโยชน์และเป็นไปได้ในการนำไปใช้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> วิษณุ โพธิ์ใจ อนุชา กอนพ่วง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 509 524 The Development Model of Primary School on Aerobics Teaching in Lishui City of Zhejiang Province in China https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274214 <p> The present study delves into the intricate dynamics of aerobic instruction systems within primary schools located in Lishui City, Zhejiang Province, China. Centered on the interplay between various educational facets and student contentment, this investigation specifically examines Teaching Goals, Content Exploration, Action Explanation, Technology Integration, and Learning Evaluation. In order to achieve these goals, a survey was conducted on students and teachers in four primary schools in Lishui City. These institutions were selected for their well- developed aerobic curricula, which made them suitable for exploring the research questions at hand. The empirical phase involved distributing questionnaires to students across the four schools, with each contributing two classes (approximately 30 students each), leading to a total of 253 questionnaires analyzed. The research methodology encompassed a literature review, interviews, expert surveys, questionnaires, logical analysis, and statistical assessments to gain a comprehensive perspective on student satisfaction in critical areas such as course content, instructors, classroom management, facilities, and assessment techniques.<br /> The results ifound that:<br /> 1) The analysis further disclosed that a majority of students expressed moderate to high levels of satisfaction, signifying the efficacy of current teaching methodologies in stimulating student interest and participation. Factor analysis delineated five principal factors that accounted for a substantial proportion of variance in student feedback, underscoring the pivotal role of satisfaction in educational achievement.<br /> 2) Hierarchical relationships within technology integration and learning evaluation illuminated the interdependent nature of educational components, suggesting a complex interplay between pedagogical strategies and technological advancements.</p> Lan Jiali Wiradee Eakronnarongchai Jakrin Duangkam Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 525 539 A Theoretical Study on the Network Structure of Transformational Leadership and Teacher Job Satisfaction Based on the Four Paths Framework https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273892 <p> This study investigates the impact of transformational leadership on teacher job satisfaction using the Four Paths Framework, which consists of the Rational, Emotional, Organizational, and Family Paths. Teacher job satisfaction is recognized as a key factor influencing school performance, teacher retention, and student outcomes, making it a critical area of study in educational leadership. The research aims to provide a comprehensive theoretical model that captures the multidimensional effects of transformational leadership on job satisfaction.<br /><strong> Aims</strong><strong>:</strong>The primary objective of this study is to explore how transformational leadership behaviors impact teacher job satisfaction through different pathways. Specifically, it examines the distinct influences of transformational leadership on teaching quality, emotional support, organizational commitment, and family and community engagement. The study targets educational institutions as its population, with a sample drawn from journal articles indexed in the Social Science Citation Index (SSCI) in the Web of Science database.<br /><strong> Methodology</strong><strong>:</strong>A systematic literature review was conducted using journal articles published between 2014 and 2024, retrieved with the keywords "transformational leadership," "job satisfaction," and "teacher." A total of 111 relevant studies were identified. Social network analysis (SNA) was employed to analyze the relationships between high-frequency keywords related to transformational leadership and teacher job satisfaction. VOSviewer and Python software were used to identify key nodes and connections in the network, offering a visual representation of the findings.<br /><strong> Results</strong><strong>:</strong>The network analysis of high-frequency keywords revealed that transformational leadership significantly enhances teacher job satisfaction through various pathways. The Rational Path improves teaching quality and professional accomplishment. The Emotional Path strengthens teachers' self-efficacy and emotional well-being. The Organizational Path increases teachers' organizational commitment and sense of belonging, while the Family Path facilitates support from family and community resources. These findings emphasize the multidimensional nature of leadership and its direct and indirect effects on job satisfaction.<br /><strong> Conclusion</strong><strong>:</strong>The study provides a new theoretical perspective on educational leadership, offering empirical evidence that transformational leadership can effectively enhance teacher job satisfaction by addressing both professional and personal needs. The research highlights the importance of leadership in shaping positive organizational cultures and recommends that educational management practices focus on strengthening leadership behaviors across all four pathways. Further research should explore the mediating effects of key factors within these pathways to provide a deeper understanding of the mechanisms at play.</p> Haidong Sun Lynne Lee Hui-Wen Vivian Tang Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 540 552 รูปแบบการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในจังหวัดอุดรธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270993 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในจังหวัดอุดรธานี 3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในจังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาข้อมูลด้านเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้ววิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 37 รูป/คน นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน พบว่า มี 6 องค์ประกอบ คือ (1) เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (2) มีกิจกรรมที่นำไปสู่กระบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาในชุมชน (3) มีการให้บริการที่ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้สารสนเทศให้แก่ประชาชน (4) เป็นแหล่งการเรียนรู้ศิลปะจารีตประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชน (5) เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่มีความรื่นรมย์ (6) สร้างเครือข่ายแห่งการเรียนรู้และศูนย์การเรียนรู้เสมือนจริง 2) การพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในจังหวัดอุดรธานี พบว่า เจ้าอาวาสถือว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัด 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการปกครอง (2) ด้านการศาสนศึกษา (3) ด้านการเผยแผ่ (4) การสาธารณูปการ (5) ด้านการศึกษาสงเคราะห์ (6) ด้านการสาธารณสงเคราะห์ 3) รูปแบบการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในจังหวัดอุดรธานี รูปแบบที่ 1 ศูนย์ศึกษาตลอดชีวิต ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรมี การศึกษาที่สูง ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรมีความประพฤติที่ดีงาม ส่งเสริมให้ปราชญ์ชาวบ้านได้แสดง ศักยภาพ ส่งเสริมให้ปราชญ์ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน รูปแบบที่ 2 ศูนย์กิจกรรมสร้าง เสริมปัญญา ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรและประชาชนพัฒนาตนเอง ตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา รูปแบบที่ 3 ศูนย์บริการสารสนเทศ พัฒนาสื่อด้านพระพุทธศาสนา และชุมชนออกเผยแผ่ อบรมพระภิกษุสามเณรและประชาชนในการใช้สื่อที่ถูกต้องด้านพระพุทธศาสนา รูปแบบที่ 4 ศูนย์เรียนรู้ ศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรและประชาชนเข้าใจและร่วมสืบสานศิลปวัฒนธรรม ท้องถิ่น จัดกิจกรรมสืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดกิจกรรมวันสำคัญทางด้านพระพุทธศาสนาเป็นประจำสม่ำเสมอ รูปแบบที่ 5 ศูนย์พัฒนาชีวิตจิตใจ จัดห้องสมุดชุมชนภายในวัด รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและชุมชน จัดมุมอ่านหนังสือ จัดพิพิธภัณฑ์ที่สะท้อนวิถีชีวิตของชุมชน รูปแบบที่ 6 พัฒนาเครือข่ายศูนย์กลางการเรียนรู้ในชุมชน ได้แก่ วัด ชุมชน ชาวบ้าน และหน่วยงานราชการประสานงานกันจัดแหล่งการเรียนรู้ภายในวัด ชุมชน วัด ชาวบ้าน และ หน่วยงานราชการประสานงานกันจัดแหล่งการเรียนรู้ในชุมชน</p> พระมหาทองเจริญ สมจิตฺโต (สุดสี) สมเดช นามเกตุ พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน อริย์ธัช เลิศรวมโชค พระครูสุตสารบัณฑิต (จำนงค์ ผมไผ) Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 553 565 The Main-melody Animation in Contemporary China: National Heroes and Evolution in Media Culture https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270738 <p> With the advancement of the Reform and Opening-up policy in 1978, China experienced rapid social, economic, and cultural development. The diversification of cultural trends and values profoundly impacted traditional culture. Against this backdrop, the methods of transmitting and receiving ideology faced unprecedented challenges. Main-melody animation, as a crucial tool for disseminating national ideology, shoulders the mission of inheriting and promoting the core socialist values. This study, as part of a doctoral dissertation, employs qualitative analysis methods, using 76 Main-melody animations produced between 1949 and 2023 as the research sample group. Research objectives: 1)To explore the origins, definitions, and development of Main-melody animation in the context of social and political changes; 2) To analyze the portrayal of various hero archetypes in Main-melody animation and explore their socio-cultural value. The study employs historical document analysis and film content analysis as research tools. Data analysis is conducted through thematic analysis to identify hero archetypes and themes, and to examine their relationship with core socialist values.<br /> Research results :1)The origins and development of Main-melody animation are closely linked to China's socio-political history, reflecting the evolution of national ideology and the dissemination of core socialist values. 2) The diverse portrayals of leaders, soldiers, and youth heroes in Main-melody animation highlight the socio-cultural value of different hero types and national ideology. The conclusion suggests that Main-melody animation holds a central position in modern Chinese media culture. Through the diverse representation of hero archetypes, it conveys core socialist values, educates and inspires the younger generation, and fosters national identity and cohesion.</p> Yannan Xie Metta Sirisuk Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 566 581 รูปแบบการจัดการวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร เขตภาคเหนือตอนบน สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270529 <p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาความสำคัญทุนทางสังคม ความสามารถทางการตลาด นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ภาวะผู้นำ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร ในเขตภาคเหนือตอนบน (2) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ของทุนทางสังคม ความสามารถทางการตลาด นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ภาวะผู้นำ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารในเขตภาคเหนือตอนบน (3) เพื่อเสนอรูปแบบการจัดการวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารในเขตภาคเหนือตอนบน สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร เขตภาคเหนือตอนบน จำนวน 400 คน การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามทำการวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยโปรแกรม AMOS และการสัมภาษณ์เชิงลึกในการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 24 คน วิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับความคิดเห็น ด้านภาวะผู้นำ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านทุนทางสังคม ด้านความสามารถทางการตลาด ด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับมาก ด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อยู่ในระดับมาก (2) ผลการวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ พบว่า ทุนทางสังคมมีผลทางตรงต่อความสามารถทางการตลาดมากที่สุด (3) รูปแบบการจัดการวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร ทำให้ทฤษฎีที่ได้จากการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลสารสนเทศของทฤษฎีฐานราก คือ รูปแบบที่เหมาะสมมีกระบวนการจัดการตามแบบวิสาหกิจชุมชน Community Enterprise “ BCG SMILES” เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของวิสาหกิจชุมชน</p> ณัฐนิช รักขติวงศ์ นิตยา วงศ์ยศ สถาพร แสงสุโพธิ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 582 599 คุณภาพการบริการที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของผู้สูงอายุ ที่มีต่อการให้บริการที่มีคุณภาพ: ศึกษากรณี ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270511 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการบริการที่เป็นอยู่ในสถานที่ให้บริการกับคุณภาพการบริการที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของผู้สูงอายุที่มีต่อการให้บริการที่มีคุณภาพของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ประชากรผู้สูงอายุที่มารับบริการที่ ศพอส. ทั้งหมด 26 แห่ง จำนวน 390 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถามคุณภาพการบริการของ ศพอส. ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น<br /> ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการบริการที่เป็นอยู่ของ ศพอส. ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.34, S.D. = 0.74) โดยด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการเป็นด้านที่มีคุณภาพการบริการสูงสุด ( = 3.65, S.D. = 0.82) และด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการเป็นด้านที่มีคุณภาพการบริการต่ำสุด ( = 2.94, S.D. = 0.95) ส่วนคุณภาพการบริการที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.87, S.D. = 0.22) โดยด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการเป็นด้านที่มีคุณภาพการบริการที่พึงประสงค์สูงสุด ( = 4.89, S.D. = 0.24) และด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ในบริการเป็นด้านที่มีคุณภาพการบริการที่พึงประสงค์ต่ำสุด ( = 4.78, S.D. = 0.38) สำหรับความต้องการจำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพของ ศพอส. ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในภาพรวมมีค่าความต้องการจำเป็น PNI <sub>Modified</sub><sub> </sub> = 0.46 โดยด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการเป็นด้านที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการบริการมากที่สุด (PNI <sub>Modified </sub> = 0.66) และด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการเป็นด้านที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการบริการน้อยที่สุด (PNI <sub>Modified </sub> = 0.34)</p> สมัชชา นิจอาคม ชนิดา จิตตรุทธะ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 600 619 ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อวัฒนธรรมองค์กรและความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในแผนกสินเชื่อ: กรณีศึกษาสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274289 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลกระทบของการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อวัฒนธรรมองค์กรในแผนกสินเชื่อของสถาบันการเงิน และ 2) วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน เนื่องจากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการทำงานของสถาบันการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านวิธีการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 20 คน ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าทีม และเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบตัวต่อตัวและการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและการจำแนกประเภทข้อมูล โดยใช้การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี ผลการวิจัยพบว่า การนำ AI มาใช้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยเน้นการตัดสินใจที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์มากขึ้น (2) การปรับเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานสู่การทำงานแบบ Human-AI Collaboration ที่เน้นการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และ (3) การพัฒนาทักษะใหม่ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การสื่อสาร และการปรับตัว ผลการวิจัยนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาบุคลากรในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยี AI และการรักษาคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร รวมถึงการพัฒนาแนวทางการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานในการทำงานร่วมกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วิชชุดา หมาดหยัน เจษฎา นกน้อย Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 620 631 รูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานแบบโครงงานร่วมกับกระบวนการคิดแก้ปัญหา เชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273981 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานแบบโครงงานร่วมกับกระบวนการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 2) เพื่อประเมินรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานแบบโครงงาน ร่วมกับกระบวนการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ในการรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ได้กลุ่มเป้าหมาย จํานวน 11 คน และกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิประเมินรูปแบบการเรียนรู้ ใช้ในการประเมินตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้ ได้กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง และแบบประเมินตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานแบบโครงงานร่วมกับกระบวนการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประกอบด้วย โมดูลครูผู้สอน โมดูลเนื้อหา โมดูลผู้เรียน โมดูลกระบวนการเรียนการสอน 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ระบุปัญหา ขั้นที่ 2 ค้นหาแนวทางการคิดแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 เลือกแนวทางการคิดแก้ปัญหา ขั้นที่ 4 ปฏิบัติการคิดแก้ปัญหา ขั้นที่ 5 สรุปและนำเสนอผลงาน และโมดูลการวัดและประเมินผล และ 2) ความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้ ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ ด้านความถูกต้องด้านการใช้ประโยชน์ ผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> เอกศักดิ์ แหชัยภูมิ ทรงศักดิ์ สองสนิท ประวิทย์ สิมมาทัน Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 632 650 The Definition of the Concept of Yunnan “New Folk Songs” https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270803 <p> The objective was to study from related literature,define the concept of Yunnan “New Folk Songs”.This study adopts qualitative research.The tool for the data collection is the literature studies.The research results were obtained by reviewing and sorting out relevant journals, academic papers, books, magazines and online information about Yunnan “New Folk Songs”, and using on-site observation and literature data collection.Using the theory of musicology and performance theory, this paper analyzes the creation characteristics, performance characteristics and aesthetic characteristics of Yunnan “New Folk Songs”, and explores its concept.<br /> The research results found that:Since the late Qing Dynasty and the early Republic of China, the germination of Yunnan “New Folk Songs” has appeared, and it has experienced five stages of germination, start, trough, recovery and development.It is significantly different from Yunnan traditional folk songs, and presents unique creative characteristics, performance characteristics and aesthetic characteristics in terms of the mode of transmission, creative purpose, content of the times, language used, vocal voice mode, form of expression, arrangement and accompaniment. The creation of Yunnan “New Folk Songs”: based on Yunnan local music materials, the integration of fashion, diversified creative techniques;The performance: combine the fashionable, diverse stage and costumes.the singing language is mainly Mandarin, and the language and singing of the minority and pop singing are integrated according to the songs, so as to realize “crossover” or even “boundless”; fashionable and diversified stage and clothing.At the same time, it presents the aesthetic characteristics of nationality, region and times.</p> <p><strong> </strong></p> Duan Zhipeng Chutima Maneewattana Ren Xiulei Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 651 664 การพัฒนาความสามารถการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคต ตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270400 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ร่วมกับแผนผังความคิด เรื่อง ปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ ประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ใช้รูปแบบการวิจัยกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง โดยศึกษาจากกลุ่มประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 20 คน ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 3 ชุดและแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 8 แผน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจสำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความเชื่อมั่น ความยากง่าย อำนาจจำแนก ค่าประสิทธิภาพและค่าดัชนีประสิทธิผล<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 82.51/81.44 และค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.69 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 2) นักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาหลังเรียน ( =32.45) สูงกว่าก่อนเรียน ( =11.80) 3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ( =24.35) สูงกว่าก่อนเรียน ( =7.75) และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.50)</p> <p> </p> โสมพิสุทธิ์ ทองเจิม ธัญญา กาศรุณ อัญชลี แสงอาวุธ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 665 681 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับ แรงงานต่างด้าวในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274311 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐ ศึกษาปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายในกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐ และพัฒนารูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐ รวมถึงประเมินและรับรองรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีแบบหลายขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง วิธีการได้มา การคำนวณหากลุ่มตัวอย่างโดยการใช้สูตรทาโร่ ยามาเน่ (TaroYamane) คือ บุคลากรภาครัฐในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ 316 คน และกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้มา โดยการเลือกแบบเจาะจง ได่แก่ ผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า <br /> ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากร พบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยศักยภาพของบุคลากร ด้านความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน ด้านวิทยากรมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีค่าเฉลี่ยสูงสุด<br /> ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ สามารถสร้างรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก <br /> ระยะที่ 3 การประเมินความเป็นไปได้และรับรองรูปแบบการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ พบว่า ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์จำแนกตามปัจจัยศักยภาพของบุคลากร ด้านความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด จำแนกตามปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน ด้านระยะเวลามีค่าเฉลี่ยสูงสุด และจำแนกตามปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด</p> ปุณณดา ทรงอิทธิสุข Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 682 697 รูปแบบหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการสร้างดุลภาพชีวิต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270994 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาหลักธรรมในการสร้างดุลยภาพชีวิต 2) เพื่อศึกษาสภาพการนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการสร้างดุลยภาพชีวิต และ 3) เพื่อเสนอรูปแบบหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการสร้างดุลภาพชีวิต เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาข้อมูลด้านเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้ววิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 50 รูป/คน นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักธรรมในการสร้างดุลยภาพชีวิต คือหลักไตรสิกขา ที่ประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อการสร้างความมีดุลยภาพชีวิต โดยการศึกษา เรียนรู้ เข้าใจ แล้วนำหลักไตรสิกขา มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิต 2) สภาพการนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการสร้างดุลยภาพชีวิต ด้วยการนำหลักไตรสิกขามาสร้างดุลยภาพชีวิต โดยการอบรม เรียนรู้ ปฏิบัติธรรม โดยการบูรณาการกับหลักอริยมมรรคมีองค์ 8 เพื่อพัฒนา (1) ด้านร่างกาย (2) ด้านจิตใจและอารมณ์ (3) ด้านเศรษฐกิจ และ(4) ด้านสังคม 3) รูปแบบหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการสร้างดุลภาพชีวิต ด้วยการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต 4 ด้าน (1) ด้านร่างกาย ในทางโลกคือการเข้าใจสภาพของร่างกาย และการเปลี่ยนแปลง ในทางธรรมคือ หลักธรรมที่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกาย 4 ประการ คือ สัปปายะ 4 ได้แก่ อาวาสสัปปายะ โภชนะสัปปายะ ฤดูสัปปายะ อิริยาบถสัปปายะ (2) ด้านจิตใจและอารมณ์ การรับรู้ทางอายตนะทั่ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยอมส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึก การมีสติ ที่สามรถควบคุมอารมได้ การสร้างดุลยภาพชีวิตด้านจิตใจและอารมณ์ จะดูแลสุขภาพจิตใจให้อยู่ในภาวะ ปกติ บริสุทธิ์ ด้วยการสั่งสมบุญ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรม เจริญสมาธิภาวนา เป็นกิจวัตร พิจารณาหัวข้อธรรมในเรื่องโลกธรรม 8 (3) ด้านเศรษฐกิจ การสร้างดุลยภาพชีวิตด้านเศรษฐกิจ เจริญสติ ศีล สมาธิ และปัญญาอยู่เป็น ประจำ จึงทำให้มีสติกำกับกายและใจในการดำเนินชีวิต ด้วยสันโดษในปัจจัย 4 คือ พิจารณาปัจจัย 4 อยู่เป็นประจำ ใช้สอยสิ่ง ต่าง ๆ และ (4) ด้านสังคม เพื่อรักษาสถานะในสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สงบ ร่มเย็น ไม่เกิดความขัดแย้ง คือ สาราณียธรรม มาประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจทำความดีทั่งทางกาย วาจา ใจ เพื่อให้เกิดความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกื้อกูลกัน มีทัศนคติที่ดีต่อกัน</p> พระครูสันติบุญญาทร กตปุญฺโญ สมเดช นามเกตุ พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน อริย์ธัช เลิศรวมโชค พระครูสุตสารบัณฑิต (จำนงค์ ผมไผ) Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 698 711 อิทธิพลของความรู้ด้านเอไอที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริการของพนักงาน สถาบันการเงินแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274037 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อิทธิพลของความรู้ด้านเอไอ ที่มีต่อการสร้างรูปแบบในการทำงาน การแบ่งปันความรู้ ความไม่มั่นคงในงาน และ 2) อิทธิพลของการสร้างรูปแบบในการทำงาน การแบ่งปันความรู้ ความไม่มั่นคงในงาน ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริการของพนักงานสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และ กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานสถาบันการเงินแห่งหนึ่งสายงานเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาลูกค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 230 คน ซึ่งขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการคํานวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร ของทาโร่ยามาเน่ (Taro Yamane, 1973)<br /> ผลการวิจัยพบว่า การตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์มีค่าดัชนีความกลมกลืนดังนี้ CMIN/df = 1.728, GFI = 0.883, CFI =0.985, RMR = 0.021, RMSEA = 0.056 ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความรู้ด้านเอไอ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการสร้างรูปแบบในการทำงาน และ การแบ่งปันความรู้ นอกจากนี้การสร้างรูปแบบในการทำงาน กับ การแบ่งปันความรู้ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการบริการ ในขณะที่ความรู้ด้านเอไอ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความไม่มั่นคงในงาน และ ความไม่มั่นคงในงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการบริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรสามารถนําผลการวิจัยมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพการบริการและบรรลุเป้าหมายองค์กร </p> กนกพร เลี้ยงรักษา ชวนชื่น อัคคะวณิชชา Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 712 725 The Innovation Management Mechanism for Performance Improvement of Small Hi-Tech Enterprises in Greater Bay Area https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273487 <p> The objective of this research is to explore to study (1) the factors affecting the improvement of business performance of small technology-based enterprises (2) analyze the role and effect of mediating variables affecting the improvement of business performance of technology-based and (3) develop the effects of independent variables and intermediate variables on the performance improvement of technology-based. The research methodology integrates mixed methods. For the quantitative aspect, a questionnaire was designed based on existing scales to measure variables, including long-term goals and innovation capacity, and administered to a sample of 440 entrepreneurs. The qualitative component involved semi-structured interviews with 24 industry experts to gain deeper insights into innovation mechanisms. Data were analyzed using SPSS and AMOS.<br /> Results were analyzed using structural equation modeling, confirming that long-term strategic goals, resource utilization, and innovative ability significantly impact firm agility and innovation capacity. These, in turn, directly affect business performance improvement. The study highlights the importance of aligning internal capabilities with external collaboration for effective innovation in the competitive landscape of the Greater Bay Area.</p> Wu Deng Pavinee Na Srito Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 726 740 The Influence and Localization of Mazu: A Comparison between Penang and Phuket https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274548 <p> This paper mainly studies the influence and localization of Ma zu: a comparison between Penang and Phuket. The purpose of this paper is to study 1) the dissemination of traditional Chinese Mazu culture in Phuket and Penang. 2) Study the spread process of Mazu in Malaysia and Thailand, and explore the localization differences of Mazu in the spread. 3) To Analyze the impact of Mazu culture on Phuket and Penang. Mazu is now globalized. As a symbol of the sea, she has brought Chinese people to all parts of the world, and her influence is also everywhere, allowing more people to know Mazu culture. The focus of this study is the impact of Mazu's arrival in Penang and Phuket, and localization has occurred. This study uses qualitative research bases on data collection by Indept-Interview, observation and partipant observation and data analysis using content analysis, thematic analysis and historical analysis.<br /> According to the results, the researcher found that Phuket Mazu has a more far-reaching influence and a wider range of influence than Penang Mazu. From the historical perspective, cultural integration, commercial value and other aspects, it can be seen that Phuket Mazu is more extensive, while Penang Mazu is ethnic. There may be some differences between the two, but they both left a strong mark in the long river of history. No matter who develops better, it is not a personal choice. History, culture, and policies are all forcing them to make changes, so there are differences now. For suggestion this cultural treasures also represent Chinese Overseas organization in the circumstance of minority group who are diaspora, then the study in the future may consider in the approach minority group and power relationship.</p> Jiong Sui Pim Samara Yarapirom Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 741 753 การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุของการเผชิญกับการข่มเหงรังแกของวัยรุ่นตอนต้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270196 <p> บทความวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการเผชิญกับการข่มเหงรังแกของวัยรุ่นตอนต้น 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการเผชิญกับการข่มเหงรังแกของวัยรุ่นตอนต้น กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นตอนต้น ที่มีช่วงอายุ 13 – 15 ศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประกอบไปด้วย ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และ ภาคใต้ จำนวน 500 คน ด้วยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดแบบวัดปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีต่อการเผชิญกับการข่มเหงรังแก ประกอบไปด้วย แบบวัดต้นทุนทางจิตวิทยา มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 แบบวัดทักษะชีวิต มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.96 และแบบวัดความภาคภูมิใจในตนเอง มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งชุด เท่ากับ 0.98 และ แบบวัดการเผชิญกับการข่มเหงรังแกของวัยรุ่นตอนต้น มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 โดยใช้การวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเส้น ผลการวิจัย พบว่า โมเดลเชิงสมมุติฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีต่อการเผชิญกับการข่มเหงรังแกได้รับการส่งผลทางตรงจากต้นทุนทางจิตวิทยา โดยตัวแปรดังกล่าวมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลทางตรงเป็นบวกสูงสุด เท่ากับ 0.55 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทักษะชีวิตที่ส่งผลทางตรงเป็นบวกต่อการเผชิญกับการข่มเหงรังแก โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลเท่ากับ 0.10 และความภาคภูมิใจในตนเองส่งผลทางตรงต่อการเผชิญกับการข่มเหงรังแก โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลเท่ากับ 0.09</p> <p> </p> นววิช นวชีวินมัย สกล วรเจริญศรี Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 754 771 แนวทางการจัดทำธรรมนูญท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ตำบลเกาะยอ จังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274405 <p> การวิจัยครั้งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาในการจัดการการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อศึกษาหลักการและทฤษฎี เกี่ยวกับการจัดการท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์ รวมถึงการเคราะห์รูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวชุมชนพื้นที่ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา<br /> กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ข้าราชการและพนักงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา เครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสงขลา ผู้นำท้องถิ่นและผู้นำท้องที่ ผู้แทนภาคประชาชน องค์กรภาคประชาชน ผู้ประกอบการชุมชนและวิสาหกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการท่องเที่ยวชุมชนพื้นที่ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา รวมทั้งสิ้น 59 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ โดยผู้วิจัยจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากการทบทวนเอกสาร การสังเกตการณ์ การสนทนากลุ่มเจาะจง การสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดประชุมแบบมีส่วนร่วม และเปิดเวทีประชาชนในชุมชนเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนข้อมูล<br /> สำหรับผลการศึกษาในครั้งนี้พบว่าแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเกาะยอมีแหล่งทรัพยากรที่หลากหลาย สภาพปัญหาที่พบในปัจจุบันได้แก่ คนในชุมชนขาดการมีส่วนร่วมในการร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจำเป็นที่จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาในการจัดการการท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์ โดยใช้ทฤษฎี ได้แก่ หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลักการมีส่วนร่วมหลักธรรมาภิบาล และหลักกฎหมายได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2562 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และมีประเด็นในการวิเคราะห์เพื่อออกธรรมนูญชุมชน ได้แก่ การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน และความคาดหวังในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชนและสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน</p> ศิริชัย กุมารจันทร์ วิวัฒน์ ฤทธิมา ณัชชาร์พัชร์ คิส ศิวพร เสาวคนธ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 772 784 The Research on Utilization and Influencing Factors of Community Health Management Services for the Elderly in Nanning of China https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273900 <p> This research aim was 1) To study the current health situation and health literacy of older adults in the community of Nanning, China, 2) To analyses the current utilization of community health management services and explore the influencing factors, and to provide a reference basis for formulating strategies, 3) To improve the utilization efficiency of community health management services for older adults in Nanning.<br /> Methods: A random sampling method was employed to collect survey data from 1,166 individuals aged 60 years or older across six communities in Nanning. Questionnaire surveys were conducted, along with structured interviews with managers from four community health service organizations. Data analysis was performed using chi-square tests and multilevel logistic regression with SPSS 26.0 software.<br /> Results: Among the 1,049 elderly respondents, 60% had utilized community health management services. There was a high utilization rate for health check-ups, assessments, guidance, and record establishment (50-60%), while rehabilitation treatment, regular reviews, chronic disease management, and follow-up services were used less frequently (&lt;28%). Most elderly individuals preferred major county and city hospitals for their first medical consultation (38.99%), compared to 20.81% who chose community healthcare organizations. Key factors influencing service utilization included age (70-74 years: OR=0.613, P=0.002; 75-79 years: OR=0.542, P=0.002; 80 years and older: OR=0.538, P=0.011), living arrangements, chronic diseases, and financial considerations.<br /> Conclusion: Elderly residents in Nanning exhibit low health literacy and satisfaction levels, coupled with a reluctance to utilize community health management services. Recommendations include increased investment in community medical resources, enhanced training for primary health management personnel, and strengthened community health education and chronic disease management initiatives.</p> Xiaojun Xu Sarisak Soontornchai Supalak Fakkham Xiaoqiang Qiu Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 785 795 The Development of Chinese Tea Culture and Medical Intellectual https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274549 <p> Tea culture and medical knowledge has been widely concerned in modern society and has become a research hotspot. The main research purpose of this paper were to study the medical knowledge and value of tea in Chinese tea culture in modern life, and at the same time to understand the relationship between tea culture and Taoism and Buddhism. The article will be studied from the history, culture, medicine and many other aspects. This study adopts a combination of qualitative research and literature analysis for subjective analysis. The research subjects include tea culture experts and literature. Use thematic analysis method for data analysis.<br /> This paper shows that the tea and medicine culture is not only the habit of drinking tea, but also a profound social phenomenon. It has exerted a wide and far-reaching influence on health, economy, culture, social relations and other levels, and has become an important link between tradition and modernity, individual and society. This research enriches the research content of tea culture and provides practical significance for the enterprise to apply tea culture. Quoting the research findings of this article in community health activities, organizing tea culture experience activities, and improving residents' understanding and practice of healthy tea drinking habits</p> <p> </p> Haichen Wang Pim Samara Yarapirom Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 796 809 มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของประเทศไทย ศึกษาแนวทางกฎหมายของประเทศนิวซีแลนด์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274323 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์ความจำเป็นของการมีกฎหมายเฉพาะในการควบคุมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของประเทศไทยและศึกษาแนวทางและวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของประเทศนิวซีแลนด์<br /> ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เอกสาร ได้แก่ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Roadmap การจัดการขยะพลาสติก แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ และความร่วมมือและความตกลงระหว่างประเทศ หลักการ บทบัญญัติของกฎหมาย ตลอดจนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของประเทศไทยและประเทศนิวซีแลนด์ รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) กับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นักวิชาการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 30 คน<br /> ผลจากการวิจัยพบว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะพลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างรุนแรง การมีกฎหมายเฉพาะเป็นเครื่องมือที่จำเป็น ในการสร้างความรับผิดชอบและการตระหนักรู้ให้กับประชาชน เช่นเดียวกับประเทศนิวซีแลนด์ที่มีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดและบทลงโทษที่รุนแรงต่อผู้ฝ่าฝืน ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการควบคุมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ผู้วิจัยจึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยกำหนดมาตรการทางกฎหมายเฉพาะเพื่อควบคุมการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและกำหนดบทลงโทษที่เหมาะสม </p> <p> </p> กันยนา ศรีพฤกษ์ ญาตรี สมล่ำ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 810 826 วาทกรรมนโยบายความเป็นอิสระท้องถิ่นของไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274415 <p> การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวาทกรรมนโยบายความเป็นอิสระท้องถิ่นของไทย การศึกษาใช้การวิเคราะห์วาทกรรมนโยบาย โดยใช้เอกสารเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกออนไลน์และการสนทนากลุ่มจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากนั้นนำข้อมูลมาให้รหัสข้อมูล จัดกลุ่มข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและตีความข้อมูล <br /> การศึกษาพบว่านโยบายความเป็นอิสระท้องถิ่นของไทยสะท้อนข้อจำกัดในความหลากหลายของรูปแบบการปกครองท้องถิ่น ความสามารถในการปกครองท้องถิ่น ความสามารถในการจัดการท้องถิ่น ความสามารถทางการเมืองและการขาดหลักประกันความเป็นอิสระท้องถิ่น ข้อจำกัดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นวาทกรรมนโยบายความเป็นอิสระท้องถิ่นจากการกำหนดบทบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นอิสระท้องถิ่นโดยอ้อม และปราศจากการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดความเป็นอิสระท้องถิ่นอย่างแท้จริง ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของไทย ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ ความเข้มข้นของการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของความเป็นอิสระท้องถิ่น จึงทำให้นโยบายความเป็นอิสระท้องถิ่นของไทย ซึ่งกล่าวถึงการส่งเสริมความหลากหลายรูปแบบของการปกครองท้องถิ่นท้องถิ่น ความสามารถในการปกครองท้องถิ่น ความสามารถในการจัดการท้องถิ่น ท่ามกลางการขาดหลักประกันความเป็นอิสระท้องถิ่น กลายเป็นเพียงวาทกรรมนโยบาย โดยความเป็นอิสระท้องถิ่นขึ้นอยู่กับแรงกดดันของประชาชนเป็นหลัก โดยหากปราศจากแรงกดดันดังกล่าว ความเป็นอิสระท้องถิ่นย่อมมีความอ่อนแอและถูกแทนที่ด้วยการรวมศูนย์อำนาจของส่วนกลาง</p> <p> </p> ยศธร ทวีพล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 827 841 การพัฒนาระบบสนับสนุนมาตรฐานการผลิตสำหรับวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูป เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากในภาคตะวันออก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273551 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมการผลิตของวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูปให้เป็นไปตามมาตรฐาน และพัฒนาระบบสนับสนุนการผลิตสำหรับวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูปในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยกระบวนการวิจัยเริ่มจากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมาตรฐานการผลิตในจังหวัดจันทบุรี นำมาสร้างเป็นแบบสอบถาม แล้วทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างของยามาเน่ ที่ค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 90 ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 76 โดยเก็บแบบสอบถามจำนวนทั้งหมด 80 ชุด ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบได้เท่ากับ 0.902 ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณาเพื่อหาระดับความสำคัญของปัจจัย และใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจในการจัดกลุ่มองค์ประกอบ <br /> ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยการส่งเสริมการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านการผลิต และด้านสถานที่ผลิต และสามารถการพัฒนารูปแบบระบบสนับสนุนมาตรฐานการผลิตสำหรับวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูปในภาคตะวันออก ประกอบด้วย 1. ด้านบุคลากรมี 3 องค์ประกอบรอง ได้แก่ ผู้นำวิสาหกิจชุมชน ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ 2. ด้านการผลิตมี 3 องค์ประกอบรอง ได้แก่ การควบคุมการผลิต การขนถ่ายวัสดุ การจัดเก็บและบำรุงรักษา และ 3. ด้านสถานที่ผลิต มี 4 องค์ประกอบรอง ได้แก่ การวางผังสถานที่ผลิต การจัดการสิ่งแวดล้อมภายนอก สภาพแวดล้อมการทำงาน และสุขอนามัย </p> กฤติยา เกิดผล ดวงมณี ทองคำ ปรัชภรณ์ เศรษฐเสถียร Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 842 855 Research on the social memory and educational inheritance of Zhuang brocade art in Guangxi, China https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270469 <p> The purpose of this qualitative survey is to analyze the practice of the inheritance of zhuang brocade techniques in the national intangible cultural heritage of Guangxi Zhuang Autonomous Region of China, study the way of local communities to construct social memory in the education of zhuang brocade skills in Guangxi, and how the intangible cultural heritage can be inherited through education. The researchers collected data through literature review and field survey on the main production areas of Guangxi Zhuang brocade. The results showed that in the process of inheriting Zhuang brocade skills through education, various voices jointly constructed the social memory of Zhuang brocade. The change of social structure and cultural values will lead to the rupture of social memory and affect the inheritance and development of zhuang brocade skills. The non-genetic inheritance base and schools have the responsibility and obligation to undertake the education, inheritance and protection of intangible cultural heritage.</p> Yaocheng Tian Sakchai Sikka Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 856 878 การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274124 <p> บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงถึงสภาพปัญหาที่ดินทำกินและการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 388 คน ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการหรือปราชญ์ชาวบ้านจำนวน 22 คน เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 55 คน ผู้นำท้องถิ่นและผู้นำท้องที่จำนวน 119 คน เจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 34 คน ตลอดจนประชาชนและผู้แทนจากองค์กรชุมชนจำนวน 158 คน การสัมภาษณ์ไม่เป็นทางการบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน การจัดประชุมแบบมีส่วนร่วมจำนวน 42 ครั้งและการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยจำแนกและจัดระบบข้อมูล <br /> จากการศึกษาพบว่าปัญหาที่ดินทำกินเกิดจากมุมมองในการบริหารจัดการที่ดินที่แตกต่างกันระหว่างภาคประชาชนและองค์กรชุมชนกับภาครัฐ โดยภาครัฐเน้นการพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายและบริหารจัดการที่ดินตามนโยบาย ภาคประชาชนและองค์กรชุมชนต้องการความเป็นธรรมในสิทธิที่ดินทำกินและเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน และรูปแบบการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างจะต้องสร้างกลไกการแก้ไขปัญหาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อจัดทำแนวเขตของที่ดินทำกินและการรับรองเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน</p> วิวัฒน์ ฤทธิมา อิบรอฮิม สารีมาแซ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 879 892 The Factors Affecting the Verb Pattern Errors Writing of Students in EFL Chinese College: A Case Study of Non-English Major https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274354 <p> This research aimed to describe verb pattern errors and examine the factors affecting verb pattern errors in English writings committed by EFL Chinese college non-English major students. This article was a combination of quantitative and qualitative research. The error analysis method was used to guide the steps, which are collecting errors from students’ writing tests, identifying errors, describing errors, and explaining errors. The research sample was 44 students’ writings of non-English majors. The research instruments were a writing test and a set of questionnaires. <br /> The finding showed 11 categories of verb pattern errors existing and verb pattern errors (33.33%) were the most serious. Surface structure taxonomy was adopted to analyze the errors’ forms, and the percentage of each error was omission (36.78%), addition (32.18%), misformation (29.89%), and misordering (1.15%). Based on the questionnaires, the factors affecting verb pattern errors concluded that intralingual interference stemming from overlooking cooccurrence restrictions was the main reason. L1 interference because of collocational errors was the secondary reason. The result of the questionnaire also showed that the materials used in English class were a significant factor affecting verb pattern errors. This study provided teachers and researchers with some suggestions that cooccurrence restrictions, collocational rules, and teaching materials in future English teaching should be paid special attention.</p> Yuanhui Hu Suwaree Yordchim Suphat Sukamolson Sarada Jarupan Krisada Krudthong Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 893 908 การพัฒนากระบวนการทางการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ ในการจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274207 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความตระหนักรู้ในการจัดการขยะมูลฝอย 2) พัฒนากระบวนการทางการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการขยะมูลฝอย โดยการวิจัยในระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อสำรวจระดับความตระหนักรู้ของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 399 คน ใช้การสุ่มแบบหลายชั้น เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าและหาค่าความสอดคล้องของข้อคำถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา แสดงจำนวนและค่าร้อยละ การวิจัยในระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนากระบวนการทางการศึกษานอกระบบโดยการสรรหาอาสาสมัครที่มีความสนใจในเรื่องการจัดการขยะมูลฝอยจำนวน 10 คน ดำเนินการวิจัยตามวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ PAOR ที่กำหนดไว้ 8 แผนงาน เก็บข้อมูลด้วยการจดบันทึก บันทึกภาพและเสียงสนทนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยสรุปประเด็นสำคัญ<br /> ผลการวิจัยในระยะที่ 1 พบว่า ในภาพรวมของกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอยในระดับมาก มีการมองเห็นคุณค่าและความสำคัญของการจัดการขยะมูลฝอยในระดับปานกลางถึงมาก แต่มีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในระดับต่ำถึงปานกลาง ผลการวิจัยในระยะที่ 2 พบว่า กระบวนการทางการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการขยะมูลฝอยมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) แสวงหาแนวทางสร้างความตระหนักรู้ 3) ก้าวข้ามความยากลำบาก และ 4) สู่ความตระหนักรู้ </p> วาทิต ประสมทรัพย์ ชูศักดิ์ เอื้องโชคชัย ภัทรา วยาจุต Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 909 923 การสื่อสารแบรนด์ “กรกต” เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนตาม นโยบายด้านเศรษฐกิจชุมชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273879 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กระบวนการสร้างแบรนด์ 1) เครื่องมือการสื่อสารแบรนด์ และข้อเสนอการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารแบรนด์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนตามนโยบายด้านเศรษฐกิจชุมชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก เลือกผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง รวมจํานวน 23 คน เครื่องมือ คือ แนวทางสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสร้างข้อสรุป<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการสร้างแบรนด์ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ (1) การกำหนดเป้าหมายของแบรนด์ (2) วางตำแหน่งสินค้าของแบรนด์ ใช้วัสดุจากธรรมชาติท้องถิ่นประยุกต์เข้ากับงานศิลปะเพื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ (3) สร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่ม ลูกค้าสามารถกำหนดโครงสร้าง ดีไซน์ได้เฉพาะที่ไม่ซ้ำลายและแบบของงานชิ้นอื่น (4) สร้างตัวตนให้เกิดการจดจำให้กับแบรนด์ การใช้ชื่อ“กรกต”เป็นตัวแทนของแบรนด์แสดงถึงความรับผิดชอบงานทั้งหมด (5) สร้างความเชื่อมั่น การสื่อสารอย่างต่อเนื่องรวมถึงบริการหลังการขาย และ (6) การทำความดีของแบรนด์ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการสร้างอาชีพกระจายรายได้ให้กับคนในชุมชน 2) เครื่องมือการสื่อสารแบรนด์ ใช้เครื่องมือสื่อสาร ได้แก่ (1) การสื่อสารองค์กร แบ่งเป็น การสื่อสารภายใน ใช้การสื่อสารแบบเผชิญหน้าและสื่อสารผ่านไลน์กลุ่ม การสื่อสารภายนอก ใช้การสร้างการรับรู้ตัวตนของแบรนด์ผ่านสื่อมวลชน ผ่านเว็บไซต์ ยังใช้การสื่อสารผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐโดยรับเชิญเป็นวิทยากรให้กับโครงการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวัฒนธรรม (2) การสื่อสารการตลาด เน้นการส่งเสริมการขายผ่านการจัดกิจกรรมควบคู่กับการตลาดทางตรง ผ่านข้อความหลักสำคัญ คือ รีสอร์ท ทะเล และซัมเมอร์ที่สะท้อนแบรนด์ โดยวางแผนตารางการจัดกิจกรรมเป็นรายปี และ (3) การสื่อสารเชิงโต้ตอบ เน้นการสื่อสารแบบเผชิญหน้าในงานจัดแสดงสินค้าในไทยและต่างประเทศ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และสร้างการเติบโตของแบรนด์ในระยะยาวได้ 3) ข้อเสนอการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารแบรนด์ ประกอบด้วย กระบวนการสร้างแบรนด์ ความ สำคัญในการสร้างคน และเครื่องมือการสื่อสารแบรนด์</p> <p> </p> ชฎายุกานต์ ไกรฤกษ์ สุภาภรณ์ ศรีดี หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล จิตราภรณ์ สุทธิวรเศรษฐ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 924 941 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนิสิตปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270475 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนิสิตปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ 2) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร เก็บข้อมูลจากนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1,551 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นิสิตระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 170 คน โดยผู้วิจัยใช้วิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตาม Hair et al (2010) ควรมีขนาดกลุ่มตัวอย่าง 20 เท่าของตัวแปรสังเกตได้ หลังจากนั้นจึงใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Random Sampling) ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 36 ข้อ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยการศึกษาความเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยทัศนคติต่อการเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยบรรทัดฐานทางสังคม และปัจจัยการรับรู้ความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ที่ .936 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบนำตัวแปรเข้าทั้งหมด (Enter Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยทัศนคติต่อการเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยบรรทัดฐานทางสังคม และปัจจัยการรับรู้ความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ มีผลต่อความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการอยู่ในระดับมาก 2) จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบนำตัวแปรเข้าทั้งหมด เอกสารการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดย.ใช้สถิติเชิงพรรณนาและอุปนัยวิธี (Enter Multiple Regression Analysis) พบว่า ปัจจัยด้านต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 รวมทั้งสิ้น 3 ตัวแปรได้แก่ ปัจจัยทัศนคติต่อการเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยบรรทัดฐานทางสังคม และปัจจัยการรับรู้ความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ</p> วิชาดา พิมสอน นันทิมา นาคาพงค์ อัศวรักษ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 942 956 The Influence of Education Campaign on Control Spread of Hepatitis B Virus Disease: A Case Study in Phuket Province, Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273961 <p> This research aims to study and analyze the stability of mathematical models for controlling the spread of hepatitis B virus disease in the Education Campaign in Phuket Province, Thailand. We analyze the model using standard methods, focusing on the equilibrium point, the stability of these points, and analytical solutions. The rate of Education Campaigns for the spread of the hepatitis B virus in mathematical modelling and numerical solutions is studied. The results of the mathematical model analysis revealed that the rate of Education Campaigns for the spread of hepatitis B virus is a factor that affects the basic reproductive number on mathematical modelling, and the rate of Education Campaigns with higher values results in a lower basic reproductive number. Therefore, the rate of Education Campaigns is the factor affecting mathematical modelling, if the population has an Education Campaign and follows the hypothesis, then the spread of the hepatitis B virus decreases until there is no epidemic.</p> Anuwat Jirawattanapanit Anurak Weraprasertsakun Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 957 973 ประสิทธิผลการสอนบูรณาการคีตวรรณกรรมกับการแสดงในรายวิชาคีตวรรณกรรมสำหรับครูภาษาไทย: กรณีศึกษา การแสดงละครคีตวรรณกรรม ครั้งที่ 8 ตำนานรักราชมรรคาปาจิต-อรพิม ตอน จากนครธมถึงพนมรุ้ง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274657 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการสอนบูรณาการคีตวรรณกรรมกับการแสดงในรายวิชาคีตวรรณกรรมสำหรับครูภาษาไทย : กรณีศึกษา การแสดงละครคีตวรรณกรรม ครั้งที่ 8 ตำนานรักราชมรรคาปาจิต-อรพิม ตอน จากนครธมถึงพนมรุ้ง เป็นงานวิจัยปฏิบัติการเน้นการประเมินตนเองตามสภาพจริง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบเขียนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดเชิงวรรณกรรมในหัวข้อ “กว่าจะเป็นละครคีตวรรณกรรม ครั้งที่ 8” ของนักศึกษาจำนวน 56 คน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผ่านการตรวจสอบความเหมาะสมของหัวข้อจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าชมการแสดงจำนวน 172 คน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ผ่านการตรวจสอบเนื้อหาและค่าความสอดคล้อง (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.78 ใช้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 เป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบการสะท้อนมุมมองในด้านทักษะทางปัญญา มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ด้านทักษะการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ พบน้อยที่สุด ในด้านประเมินความพึงพอใจ พบว่า ผู้ชมมีความพึงพอใจในภาพรวม ระดับมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.85</p> บุณยเสนอ ตรีวิเศษ ประยุทธ จิตราช สันติภาพ ชารัมย์ พิพัฒน์ ประเสริฐสังข์ ยุพาวดี อาจหาญ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 974 992 Chinese Restaurant: The Adaptation of Food Style in Phuket https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274553 <p> The catering business of Chinese restaurants in Phuket has always been a field of attention. With the booming tourism industry, Chinese restaurants play an important role in this popular holiday resort. With the influx of more and more Chinese tourists and international tourists, the development of Chinese restaurants in Phuket has become increasingly important. This paper will adopt a qualitative research method to interview Chinese restaurants from 5 representatives in Phuket, as well as people who have lived in Thailand for more than 10 years and have a deep understanding of Thai history and Chinese food-related fields. After conducting the study through relevant in-depth interview methods, it was found that the research objectives include studying the adaptability of Chinese restaurants in Thai society and exploring the catering of Chinese restaurants in different local cultural communities. By studying these aspects, we can better understand the cultural adaptation process of Chinese restaurants in Phuket and how they attract and serve customers from different cultural backgrounds. This study helps to expand our understanding of the development of the international catering industry in tourist attractions and provide useful inspiration for related industries.<br /> The existence of Chinese restaurants promotes the integration of different cultures. Not only Chinese tourists, but also tourists from other countries can experience unique Chinese food in Phuket. This cross-cultural food experience helps to enhance Phuket's attractiveness in the global tourism market and further promote the diversification and internationalization of its catering market. The adaptation of eating styles is not only a response to market demand, but also a promotion of cultural exchange and mutual understanding, laying the foundation for the long-term development of Chinese restaurants.</p> Zhenye Wang Pim Samara Yarapirom Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 993 1006 มาตรการทางกฎหมายในการลดค่าใช้จ่ายภายในเรือนจำ จากการจัดเลี้ยงอาหาร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273490 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา 2. เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายภายในเรือนจำในประเทศไทย และ 3. เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะที่เป็นแนวทางในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายในการลดค่าใช้จ่ายภายในเรือนจำจากการจัดเลี้ยงอาหารของประเทศไทย<br /> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากเอกสารเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ กฎหมาย หนังสือ บทความ วิทยานิพนธ์ งานวิจัย ตลอดจนสืบค้นข้อมูลจาก ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในประเทศไทย พร้อมนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามารวบรวม และทำการวิเคราะห์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญที่เกิดขึ้น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มาตรการทางกฎหมายในการลดค่าใช้จ่ายภายในเรือนจำจากการจัดเลี้ยงอาหาร <br />มีผลมาจากการที่เรือนจำมีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากทำให้กรมราชทัณฑ์ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ต้องขัง แก่ การที่เรือนจำต้องจัดสวัสดิการให้แก่ผู้ต้องขังเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายภายในเรือนจำ เช่น การจัดเลี้ยงอาหาร การได้รับการศึกษา การได้รับเงินรางวัลตอบแทนจากการทำงาน, การใช้กฎหมายอาญาเกินความจำเป็น และการกระทำความผิดซ้ำ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นควรลดค่าใช้จ่ายของเรือนจำจากการจัดเลี้ยงอาหาร โดยอาจมีการลดค่าใช้จ่ายรายหัวลง แต่ต้องมีการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอกับการใช้พลังงาน และหากผู้ต้องขังคนใดที่มีความต้องการจะทานอาหารที่นอกเหนือจากการที่เรือนจำจัดให้ก็ยังสามารถใช้เงินที่ญาติฝากให้ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ เพื่อซื้ออาหารจากร้านค้าของเรือนจำ และการให้ผู้ต้องขังทำงาน และได้รับเงินรางวัลตอบแทนจากการทำงาน</p> อัครพงศ์ บุญแท้ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1007 1020 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ ที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270661 <p> งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาถึงปัจจัยทางการเงินและปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ที่เสนอขายแก่สาธารณชนครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2563 – 2566 จำนวน 141 หลักทรัพย์ โดยใช้วิธีกำลังสองน้อยที่สุด ผลการศึกษา พบว่า 1) Financial Factors ได้แก่ อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์และอัตรากำไรสุทธิ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางเดียวกันในปี 2563 และปี 2564 อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2563 และขนาดของบริษัท ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2563 - 2565 2) Non-Financial Factors ได้แก่ ราคาเสนอขายหลักทรัพย์ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2564 สัดส่วนของจำนวนหลักทรัพย์ที่ถือโดยผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเสนอขาย IPO ต่อหลักทรัพย์ทั้งหมด ณ เวลาเสนอขาย ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2566 ส่วนบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ เห็นได้ว่า Financial Factors ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ในปี 2563 ปี 2564 และปี 2565 ส่วน Non-Financial Factors ส่งผลต่อการเกิด Underpricing เฉพาะปี 2566 ผลการวิจัยนี้ นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนระยะสั้นได้ และบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการวางแผนเพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย<br /> งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาถึงปัจจัยทางการเงินและปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ที่เสนอขายแก่สาธารณชนครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2563 – 2566 จำนวน 141 หลักทรัพย์ โดยใช้วิธีกำลังสองน้อยที่สุด ผลการศึกษา พบว่า 1) Financial Factors ได้แก่ อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์และอัตรากำไรสุทธิ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางเดียวกันในปี 2563 และปี 2564 อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2563 และขนาดของบริษัท ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2563 - 2565 2) Non-Financial Factors ได้แก่ ราคาเสนอขายหลักทรัพย์ ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2564 สัดส่วนของจำนวนหลักทรัพย์ที่ถือโดยผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเสนอขาย IPO ต่อหลักทรัพย์ทั้งหมด ณ เวลาเสนอขาย ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ในทิศทางตรงกันข้ามในปี 2566 ส่วนบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ของหลักทรัพย์ เห็นได้ว่า Financial Factors ส่งผลต่อการเกิด Underpricing ในปี 2563 ปี 2564 และปี 2565 ส่วน Non-Financial Factors ส่งผลต่อการเกิด Underpricing เฉพาะปี 2566 ผลการวิจัยนี้ นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนระยะสั้นได้ และบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการวางแผนเพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย</p> <p><br /><br /><br /></p> อรพรรณ นาคสุริยวงษ์ ศิริขวัญ เจริญวิริยะกุล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1021 1036 ปัจจัยความสำเร็จการจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่กาแฟ หมู่ 7 ตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274417 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่กาแฟหมู่ 7 2) ปัญหาและแนวทางแก้ไขในการจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่หมู่ 7 3) ปัจจัยความสำเร็จการจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่กาแฟหมู่ 7 โดยเป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ สมาชิกแปลงใหญ่กาแฟหมู่ 7 ตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเกษตรอำเภอกระบุรี พ.ศ. 2566 จำนวน 30 ราย เก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมด โดยใช้แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ผู้นำชุมชน และนักวิชาการเกษตรที่เกี่ยวข้องจำนวน 32 ราย โดยการประชุมกลุ่มเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกการประชุมกลุ่ม ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณา และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่กาแฟมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดของหลักการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีครบทั้ง 8 ขั้นตอน 2) ปัญหาและแนวทางแก้ไขในการจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่ ปัญหาที่พบ ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยว เกษตรกรแก้ปัญหาโดยการรวมแรงงานในการเก็บเกี่ยว และปัญหาด้านการตลาด แก้ปัญหาโดยการอบรมพัฒนาตราสินค้า การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้ากาแฟ และ 3) ปัจจัยความสำเร็จในการจัดการการผลิตกาแฟโรบัสต้าของสมาชิกแปลงใหญ่ ประกอบด้วย (1) ปัจจัยภายใน ได้แก่ บทบาทของผู้นำกลุ่มที่มีการวางแผนจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต การรวมกลุ่มที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนความรู้ และ (2) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนและการฝึกอบรมจากภาครัฐและเอกชน อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการสร้างเครือข่ายการค้า</p> <p>โดยผลลัพธ์ที่ได้ต่อสมาชิกกลุ่มทั้งหมด 30 ราย ได้รับมาตรฐาน GAP สำหรับกาแฟ ผลผลิตกาแฟของกลุ่ม นอกจากจะส่งโรงงาน/แหล่งรับซื้อ ทางกลุ่มยังมีผลิตภัณฑ์กาแฟที่มีตราสินค้าของกลุ่ม จำหน่ายในช่องทางต่างๆ ทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดระนอง และโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG กาแฟระนอง) โดยมุ่งพัฒนาการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มจากเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร เครือข่าย มีการยกระดับสินค้า/ผลิตภัณฑ์ และคำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ</p> สันติพงษ์ บริบูรณ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1037 1053 การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมนามธรรมจาการวิเคราะห์รูปแบบของจิตรกรรมไทยประเพณี กรณีศึกษาจิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273604 <p> บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมนามธรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการศึกษารูปแบบและเทคนิคทางจิตรกรรมไทยประเพณี กระบวนการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การศึกษากลุ่มตัวอย่าง ในกรณีศึกษาคือจิตรกรรมในพระอุโบสถวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เป็นวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) มีหลักการในการเลือกโดย ก. ความสมบูรณ์ของผลงาน ข. เป็นตัวแทนของศิลปะยุคต้นรัตนโกสินทร์ ค.ความหลากหลายทางศิลปะ 2.การสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้กรอบแนวคิดของกระบวนการทางศิลปะของจิตรกรรมนามธรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แนวคิดคุณค่าทางศิลปะจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยและผู้ชม<br /> สรุปผลการวิจัยพบว่า 1.จากการวิเคราะห์จิตรกรรมต้นฉบับมีประเด็นน่าสนใจคือ สี การจัดวางองค์ประกอบ และร่องรอยวัตถุในงานจิตรกรรมไทยประเพณี 2.ผลงานสร้างสรรค์แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกับจิตรกรรมไทยประเพณี มีลักษณะเด่นด้านการใช้สี การจัดวางองค์ประกอบของภาพ วิธีการระบาย และความแปลกใหม่ของผลงาน 3. มีความพึงพอใจต่อผลงานอยู่ในระดับมาก 4. คุณค่าของผลงานชุดนี้คือสร้างมุมมองที่แปลกใหม่ในงานจิตรกรรม มีลักษณะเฉพาะตัว และสามารถผสมผสานงานจิตรกรรมประเพณีไทยไปสู่ความเป็นนามธรรมได้ </p> อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ ภานุ สรวยสุวรรณ ศุภฤกษ์ คณิตวรานันท์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1054 1067 การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิดของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274516 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการใช้แผนผังความคิดในพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับปริญญาตรีก่อนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนการสอนเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้แผนผังความคิด โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ในรายวิชา 1500134 ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 30 คน ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกโดยใช้วิธีการเลือกเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้การเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้แผนผังความคิดจำนวน 4 แผนการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนวัดความสามารถด้านการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้แผนผังความคิดมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ในระดับ 1.00 หมายถึงมีความสอดคล้องและเป็นที่น่าเชื่อถือ และแบบสอบถามเพื่อวัดทัศนคติของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานที่มีต่อการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ในระดับ 0.93 หมายถึงมีความสอดคล้องและเป็นที่น่าเชื่อถือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการใช้แผนผังความคิดในพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับปริญญาตรีก่อนและหลังเรียนมีความสัมพันธ์กันระดับมากในเชิงบวก โดยผู้เรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนผังความคิดในการเขียนภาษาอังกฤษมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและ 2) ผู้เรียนมีระดับทัศนคติต่อการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด ในภาพรวมโดยเฉลี่ย 4.54 อยู่ในระดับดีมาก</p> อุบลรัตน์ ตรีพงษ์พันธุ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1068 1076 ความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ตำบลหานโพธิ์ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274722 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตรผู้ปลูกยางพาราและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตรผู้ปลูกยางพารา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ในเขตตำบลหานโพธิ์ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรKrejcie &amp; Morgan ได้จำนวน 314 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามทำการสุ่มแบบบังเอิญ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบคัดเลือกเข้า</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตรกรทั้ง 8 ด้าน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย4.56) ความต้องการที่มีระดับมากที่สุดคือด้านความรู้ในประเด็นการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตร พบว่า มี 4 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ 1) ประสบการณ์ในการปลูกยาง มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตรกร 2) การรับข้อมูลข่าวสารการเกษตรจากเพื่อนเกษตรกร 3) การรับข้อมูลข่าวสารการเกษตรจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร และ 4) การรับข้อมูลข่าวสารการเกษตรจากสื่อสังคม(social media) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความต้องการรับการส่งเสริมการเกษตรของเกษตร ผลการศึกษานี้นำไปเป็นแนวทางในการพัฒนางานส่งเสริมการเกษตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรโดยมุ่งเน้นการให้ความรู้ด้านการแปรรูปยางพารา การใช้สื่อสังคม เจ้าหน้าที่ส่งเสริมและเครือข่ายเพื่อนเกษตรกรในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการปรับแนวทางการส่งเสริมให้เหมาะสมกับเกษตรกรที่มีประสบการณ์สูงเพื่อช่วยให้การส่งเสริมมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> นริศรา อินทะสิริ บัณฑิตา ทองชู Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1077 1092 การส่งเสริมสมรรถนะการอ่านภาษาอังกฤษของนิสิตปริญญาตรีโดยใช้รูปแบบการสอนการอ่านแบบกว้างและใช้กลวิธีการอ่านเป็นฐานการเรียนรู้ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274369 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยการทดลอง (Experimental research) โดยใช้แบบกลุ่มเดียวมีการสอบก่อนและสอบหลัง (the one-group pretest-posttest design) โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ศึกษาความต้องการและปัญหาของนิสิตที่มีต่อการพัฒนาสมรรถนะการอ่านภาษาอังกฤษ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนิสิตปริญญาตรีก่อนและหลังการใช้รูปแบบการสอนการอ่านแบบกว้างและใช้กลวิธีการอ่านเป็นฐานการเรียนรู้ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนิสิตปริญญาตรีที่มีต่อรูปแบบการสอน ฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) ที่ลงทะเบียนรายวิชาหลักการอ่าน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือการวิจัยได้แก่ 1) รูปแบบการสอนการอ่านแบบกว้างขวางและการสอนโดยใช้กลวิธีการอ่านเป็นฐานการเรียนรู้ 2) แผนการสอนตามรูปแบบการสอน ฯ 3) แบบทดสอบสมรรถนะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและ 4) แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t – test for dependent sample เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนและหลังการใช้รูปแบบการสอนการอ่านแบบกว้างและใช้กลวิธีการอ่านเป็นฐานการเรียนรู้<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการและปัญหาของนิสิตระดับปริญญาตรี ที่มีต่อการพัฒนาสมรรถนะการอ่านภาษาอังกฤษ คือ ไม่มีแรงจูงใจในการอ่าน มีปัญหาในการใช้กลวิธีการอ่าน นิสิตต้องการทำกิจกรรมการอ่าน โดยมีอิสระในการเลือกเรื่องที่จะอ่าน <br /> 2. <span style="font-size: 0.875rem;">คะแนนทดสอบสมรรถนะการอ่านภาษาอังกฤษของนิสิตหลังใช้การสอนการอ่านแบบกว้างและการใช้กลวิธีการอ่านเป็นฐานการเรียนรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 <br /> 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ความคิดเห็นของนิสิตปริญญาตรี นิสิตมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการสอน ฯ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ในระดับมากที่สุด (4.89)</span></p> จุรีภรณ์ มะเลโลหิต Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1093 1107 The Performance Interpretation of Guangxi Ethnic Modern Piano Works https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274580 <p> What are the musical characteristics and performance techniques of Guangxi ethnic modern piano works? The objective of this study is to explore the performance techniques of ethnic modern piano works in Guangxi.This paper adopts the research method that combines literature analysis and score analysis and interviews. Through combing and analyzing the relevant literature, it explores the musical characteristics of the modern piano works of Guangxi nationality, as well as the technical characteristics of the performance of the works, and analyses the selected works of modern piano works of Guangxi nationality, exploring the performance techniques in the musical works.<br /> The research result are as follows: 1) Through the interpretation of the seven works in "A Collection of Piano Compositions Based on Guangxi Folk Music", it analyzes the characteristics of musical composition, musical image and musical emotion of the works, 2) Piano works simulate some of the sounds of Guangxi folk instruments, the performer will use the special keystroke playing techniques, 3) The performance of piano works requires an accurate grasp of the changes in intensity and harmonic levels in order to better express the atmosphere of the music, so that the music is richer and fuller, and these are a crucial part of the performance, 4) Musical imagery is the soul of a musical work. The expression of musical imagery in Guangxi ethnic modern piano works is an important means to reflect the ethnicity of the works. The performer utilizes a variety of keystrokes and a judicious use of pedal technique to accurately capture the musical imagery of the piece.<br /> The music composition and performance characteristics of Guangxi ethnic modern piano works are more and more modernized and nationalized, which is conducive to the dissemination of Guangxi ethnic music and culture. Let more people can feel and understand the charm of Guangxi ethnic music.</p> Jiajia Lin Nataporn Rattanachaiwong Jing Li Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1108 1124 GUIDELINES FOR THE MANAGEMENT OF SOLAR CELLS AND INDUSTRIAL WASTE FOR TAPIOCA FACTORIES AND RELAVANT FACTORIES IN THAILAND https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272913 <p>Continuously increasing energy price volatility, Thailand uses a lot of fossil energy. The government promotes the procurement of new forms of renewable energy to create energy security for the country, reduce pollution and greenhouse gases that cause global warming. Solar cell electricity generation technology is an appropriate alternative for Thailand's geography. In 2017, Thailand generated 250.80 MWp of electricity from solar cells (Department of Alternative Energy Development and Efficiency, 2018) and its use has increased. It is estimated that in 2016, Thailand will have 43,500-250,000 metric tons In 2016, it was estimated to be 0.1% - 0.6% and will increase by another 4% in 2030. It is estimated that in 2025, 5,000 tons of waste PV will be generated, and in 2030, Thailand will generate at least 8,000 tons of waste PV per year. Research reviews policies, guidelines for the disposal of hazardous waste from deteriorated or expired solar cells, life cycle assessment (LCA), deteriorated or expired solar panels, disposal plans, and technologies for the disposal of hazardous waste from deteriorated or expired solar cells in Thailand, which will increase in the future. The feasibility of disposing of hazardous waste from deteriorated or expired solar cells in Thailand and abroad Develop guidelines policies, regulations, guidelines and promotion for the proper disposal of hazardous waste from deteriorated or expired solar cells in Thailand. from deteriorated or expired solar cells in Thailand.</p> ปัญญา สุทธา กิตติศักดิ์ คู่วรัญญู วิภาวี เดชติศักดิ์ ดวงกมล เรือนงาม Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1125 1139 Cross-Generational Attitudes of Foreign Tourist Toward Healthy Thai Cuisine: A Health Belief Model Approach https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274663 <p> Background: Thai cuisine is renowned for its flavors and nutritional value, but there's limited understanding of how foreign tourists from different generations perceive its health benefits. This gap is significant given the global trend towards health consciousness and its impact on dietary habits.<br /> Aims: The study aims to: 1) assess food and nutrition knowledge among foreign tourists in Bangkok, 2) analyze perceived threats and behaviors regarding Thai cuisine, and 3) evaluate the influence of nutrition knowledge on these perceptions and behaviors.<br /> Methodology: A quantitative study with 400 foreign tourists in Bangkok used descriptive analysis, One-way ANOVA, and multiple regression to explore differences in perceptions and the impact of nutrition knowledge across generations.<br /> Results: The study found diverse demographics: Generation Y (34.5%), Generation Z (25.3%), Baby Boomers (23%), and Generation X (17.3%). High label literacy and meal planning were observed, with significant generational differences in perceived threats and behaviors. Baby Boomers showed higher perceived susceptibility and benefits. A positive relationship was found between nutrition knowledge and behavior, explaining 28% of the variance.<br /> Conclusion: Generational differences significantly influence perceptions of Thai cuisine's health benefits among tourists. Baby Boomers are more aware of health threats and benefits, emphasizing the need for generationally tailored health communication. The findings highlight the importance of enhancing label literacy and nutrition education to promote informed dietary choices.</p> Hathaichanok Chimbanrai Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1140 1152 ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขในการทำงานกับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานพิเศษเงินรายได้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273935 <p> บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสุขในการทำงาน 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กร และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสุขในการทำงานกับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานพิเศษเงินรายได้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานพิเศษเงินรายได้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 213 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<br /> ผลการวิจัย พบว่า พนักงานพิเศษเงินรายได้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีมีความสุขในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรอยู่ในระดับมาก สำหรับการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความสุขในการทำงานกับความผูกพันต่อองค์กรมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r = 0.743)</p> เพ็ญนภา ทองคำ วิสุทธิ์ สีนวล ณัฐณกรณ์ คำแฝง ทศพล เชิดชัยภูมิ นงลักษณ์ ไหว้พรหม Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1153 1170 มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274714 <p> บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่อง “มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการทุจริตคอร์รัปชั่นในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (2) ศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชน (3) ศึกษามาตรการทางกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร รวมทั้งมาตรการสากลที่เกี่ยวข้อง (4) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (5) เสนอแนะแนวทางแก้ไขเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน<br /> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิจัยเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และประชุมกลุ่มย่อยเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่รับผิดชอบในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม<br /> ผลการศึกษาพบว่า สาเหตุของการทุจริต คือ โอกาส แรงจูงใจ และการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองตาม ทฤษฎีสามเหลี่ยมทุจริต และทฤษฎีทางเลือกเชิงเหตุผลในการก่ออาชญากรรม โดยปัญหาการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระ และศาลของประชาชนเกิดจากโครงสร้างทางสังคมและการบริหารราชการ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และการรับรองสิทธิตามกฎหมายตามหลักกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ จึงต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ โดยรับรองสิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิทางศาล และเพิ่มความคุ้มครอง<br />ผู้แจ้งเบาะแส ตามแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน และแนวทางในต่างประเทศ รวมทั้งอนุวัติการกฎหมายตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) แนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม และแนวคิดธรรมาภิบาล เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนและแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน</p> วัชราภรณ์ มณีนุช ศาสดา วิริยานุพงศ์ วลัยวรรณ มธุรสปรีชากุล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1171 1186 การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบ NHT ร่วมกับเทคนิค KWDL เรื่อง ความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274424 <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ NHT ร่วมกับเทคนิค KWDL เรื่อง ความน่าจะเป็น ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 60 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 60 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนหนองปรือพิทยาคม จ.กาญจนบุรี ภาคเรียนที่ 2/2566 จำนวน <br />18 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ NHT ร่วมกับเทคนิค KWDL 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน 3) แบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t - test แบบ Dependent sample และแบบ one sample</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก</p> รัตนาภรณ์ ผิวงาม วรกฤษณ์ ศุภพร สุชาติ เสมประวัติ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1187 1202 Investigating English Vocabulary Learning Challenges among Chinese EFL Students https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274622 <p> In the EFL context, most Chinese learners are frustrated with vocabulary learning, but few studies focus on first-year English majors from different ethnic groups. This study investigated their vocabulary learning challenges, including vocabulary learning beliefs (VLB) and vocabulary learning strategies (VLS), vocabulary size, vocabulary depth, vocabulary learning difficulties and needs. A mixed research method was used. The quantitative data measured students’ VLB, VLS, and vocabulary knowledge from size and depth and qualitative method explored students’ ideas of their vocabulary learning difficulties and needs. Data were collected from 45 students by systematic random sampling. The research instruments included an adapted VLS Questionnaire, Vocabulary Levels Test (version 2), Word Part Levels Test (Easy Level) and a semi-structured interview. The qualitative data was analysed by using Hyper Research 4.5.4 and the quantitative data was analysed by using SPSS 26. The results revealed that: 1) in VLB, students strongly believed in memorizing vocabulary rather than learning through interaction, mother-tongue, or vocabulary apps. 2) in VLS, social strategies were rarely used, while dictionary strategies and contextual guessing were frequently used; visual and semantic encoding were mostly neglected. 3) in vocabulary size, students knew 80.73% of the 2,000-word level, 60.53% of the 3,000-word level, and 22.6% of the 5,000-word level, falling short of curriculum standards. 4) in vocabulary depth, there was a need for further improvement in their comprehension of affix forms and meaning compared with their understanding of affix categories. 5) Top key difficulties included forgetfulness, trouble with long spellings, and poor pronunciation. Students most need instruction on prefixes, suffixes, memorization methods, word formation, and usage. The results indicated important implications for enhancing vocabulary teaching and learning.</p> Cao Panpan Suwaree Yordchim Suphat Sukamolson Sarada Jarupan Kirk Person Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1203 1219 การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274147 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุ โดยดำเนินการวิจัยตามกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 วงจรปฏิบัติการ ผู้เข้าร่วมวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แบบบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ และชิ้นงาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและการตรวจสอบแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่สามารถส่งเสริมการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ต้อง 1) กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาปัญหาและตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่การออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง 2) ให้ผู้เรียนได้ใช้ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น 3) ใช้คณิตศาสตร์และการคำนวณมาสนับสนุนวิธีการและการออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหา 4) กำชับให้ผู้เรียนวางแผนกระบวนการทำงานและทดสอบสมบัติวัสดุก่อนการทำงานทุกครั้งเพื่อลดกระบวนการลองผิดลองถูก 5) กระตุ้นให้นักเรียนเป็นผู้ออกแบบวิธีการทดสอบ ประเมิน และปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานด้วยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย และ 6) กระตุ้นให้นักเรียนอธิบายและนำเสนอชิ้นงานด้วยเหตุผลหรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีการพัฒนาการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ด้านการวางแผนและค้นหาคำตอบได้ดีที่สุด รองลงมาคือ การตั้งคำถามและการนิยามปัญหา การพัฒนาและใช้แบบจำลอง การสร้างคำอธิบายและการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา การยืนยันแนวคิดหรือการโต้แย้งโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ การใช้แนวคิดทางคณิตศาสตร์และการคำนวณ การสืบค้น ประเมิน และสื่อสารข้อมูล และการวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล ตามลำดับ</p> อมรพัชรีรัตน์ ปฐมพรหมมา สิรินภา กิจเกื้อกูล Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1220 1237 The Constructing Shandong Folk Song Guidebook for Teaching Elderly Students at Jinan University for the Elderly in Shandong Province https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274346 <p> The purposes of this research were 1) To study Shandong folk songs, 2) To construct Shandong folk song guidebook, 3) To teach elderly students by guidebook, and 4) To assess elderly students learning the guidebook. This study uses a mixed-methods approach, combining qualitative and quantitative methods. It focuses on first-year vocal music ten students at Jinan University for the Elderly in Shandong Province. The research uses key informant interviews, literature review, and IOC evaluation forms. Data collection includes literature analysis, interviews, and assessments. The study uses descriptive analysis and statistical methods to analyze the data. The research is conducted between June 2023 and July 2024.<br /> The research results revealed as follows: 1) Shandong folk songs are a rich and varied collection of traditional Chinese songs, categorized into ceremonial, love, children's, life, work, and contemporary politics. These songs serve various purposes, including guiding labor, coordinating movements, and promoting emotions. They also serve as ritual music for sacrificial ceremonies and festivals. 2) The Shandong Folk Song guidebook offers elderly individuals guidance on Chinese folk songs, traditional song characteristics, vocal abilities, vocal exercises, and an examination of folk music samples. 3) The 15-week lesson plan teaches elderly students folk songs, focusing on rhythm, melody, and emotion. The study experiment demonstrated its efficacy in improving adult singing abilities than before at.05 level of significance, and 4) The experiment yielded high average scores in both formative and summative tests, with the most significant improvement observed in students 4 and 10, resulting in an average summative testing score of 4.3, which increased by 1.44, indicating a high level of performance.</p> Cao Min Pranote Meeson Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1238 1251 ผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274824 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) รายงานความยั่งยืน และงบการเงินย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึง 2566 โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุเพื่อทดสอบสมมติฐานที่กำหนดไว้<br /> ผลการวิจัยพบว่า การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราส่วน Tobin’s Q กล่าวคือ ระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทที่สูงจะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียในการลงทุนในระยะยาวส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยครั้งนี้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับผลการดำเนินงานของบริษัทที่วัดด้วยอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เนื่องจาก ROA และ ROE เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของกิจการในระยะสั้น ในขณะที่การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมอาจมีความสัมพันธ์ต่อภาพลักษณ์บริษัท ความน่าเชื่อถือ และการลงทุนในระยะยาว ผลวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารในการวางแผนการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทและการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานกำกับดูแลในการกำหนดรูปแบบการเปิดเผยข้อมูลด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท</p> ณัฐวุฒิ ทรัพย์สมบัติ กชกาญจน์ ใส่ท้ายดู ฑิตยากร เกียรติศักดิ์โสภณ ปณภรณ์ มานะบุตร สรวิชญ์ จันทสุรวงศ์ สุรภา ปุนหาวงค์ อารีวัลย์ สุบิน Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1252 1267 โมเดลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตร ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของยุวเกษตรกร ในสถานศึกษาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274751 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของยุวเกษตรกร 2) ผลสัมฤทธิ์ ปัญหาและข้อเสนอแนะการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3) พัฒนาโมเดลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เหมาะสมกับยุวเกษตรกร 4) ประเมินโมเดลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง<br /> การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ประชากรที่ศึกษาคือผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มยุวเกษตรกรในสถานศึกษา ในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ จำนวน 8,129 คน กลุ่มตัวอย่าง 200 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ครูเกษตร 519 คน กลุ่มตัวอย่าง 50 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง และผู้บริหารโรงเรียนจำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดอันดับและวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ยุวเกษตรได้รับความรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับมาก 2) ความคิดเห็นต่อการส่งเสริมการเรียนรูปแบบบูรณาการภาพรวมอยู่ในระดับมาก ยุวเกษตรกรเห็นควรส่งเสริมให้แสดงความสามารถด้านทักษะชีวิตระดับมากที่สุด 3) โมเดลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของยุวเกษตรกรประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) แหล่งความรู้ (2) เนื้อหาความรู้เน้นการผลิตทางเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (3) ใช้ช่องทางการเรียนรู้หลากหลาย (4) ผู้เรียนนำความรู้ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 4) ผลการประเมินโมเดลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงพบว่า มีความเหมาะสม เป็นประโยชน์ เป็นไปได้ในระดับมากที่สุด</p> ชีวรัตน์ ช่ำชอง เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ บำเพ็ญ เขียวหวาน ทิพวรรณ ลิมังกูร Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1268 1282 ผลการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง เทคนิคการอินทิเกรต สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274409 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง เทคนิคการอินทิเกรต ของนักศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2)เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เทคนิคการอินทิเกรต ของนักศึกษา หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์กับเกณฑ์ร้อยละ 60 3)ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย นักศึกษาครู สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1)แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ 2)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3)แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งเครื่องมือในการวิจัยทั้งสามชนิดมีค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) เท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบและแบบสอบถามเท่ากับ 0.864 และ 0.927 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้(/) และการทดสอบค่าที <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง เทคนิคการอินทิเกรต ของนักศึกษา จำนวน 7 แผน ใช้เวลาสอนทั้งหมด 28 ชั่วโมง มีประสิทธิภาพ 83.31/73.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เทคนิคการอินทิเกรต ของนักศึกษา หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์กับเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ อยู่ในระดับพอใจมาก</p> ปรีชา จั่นกล้า นฤนาท จั่นกล้า ปกรชัย เมืองโคตร Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1283 1296 การพัฒนาคู่มือฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้นสำหรับบุคลากร วิทยาลัยสารพัดช่างแพร่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270388 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้น 2) พัฒนาคู่มือฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้นสำหรับบุคลากรวิทยาลัยสารพัดช่างแพร่ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของบุคลากรที่มีต่อการใช้คู่มือฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้น กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูพิเศษที่สอนในวิทยาลัยสารพัดช่างแพร่ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม คู่มือฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้น แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือ แบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าคู่มือฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการขนมไทยเบื้องต้นสำหรับบุคลากรวิทยาลัยสารพัดช่างแพร่ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คำชี้แจงการใช้คู่มือและวัตถุประสงค์ของคู่มือ ส่วนที่ 2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับขนมไทย ส่วนที่ 3 ฝึกปฏิบัติการทำขนมไทยในแต่ละประเภทตามกรรมวิธีการหุงต้ม ส่วนที่ 4 การประเมินผล และผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือ พบว่า มีความเหมาะสมด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบ ด้านการใช้ภาษา และด้านการนำไปใช้ประโยชน์อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านรูปเล่มอยู่ในระดับปานกลาง และผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้คู่มือ พบว่า มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> ภารตา จันทร์สว่าง จิราพัทธ์ แก้วศรีทอง วิรัชยา อินทะกันฑ์ กุลชญา สิ่วหงวน กีรติญา สอนเนย Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1297 1310 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารวิชาการที่เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนสำหรับโรงเรียนอนุบาล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274779 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารวิชาการที่เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนสำหรับโรงเรียนอนุบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนภายในกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีการจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัย จำนวน 394 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารวิชาการ หัวหน้าแผนกอนุบาล และครูอนุบาล รวมจำนวน 863 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาการบริหารวิชาการที่เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนสำหรับโรงเรียนอนุบาล โดยทุกข้อคำถามมีค่า IOC มากกว่า 0.50 และมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.993 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (〖PNI〗_modified)<br /> ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมของการบริหารวิชาการที่เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนสำหรับโรงเรียนอนุบาลมีสภาพปัจจุบันในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ในระดับมากที่สุด และมีความต้องการจำเป็น (〖PNI〗_modified) เท่ากับ 0.199 เมื่อพิจารณาการบริหารวิชาการเป็นรายด้าน พบว่าด้านการบริหารหลักสูตรมีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด (〖PNI〗_modified=0.207) ลำดับถัดมาคือด้านการจัดสภาพแวดล้อม สื่อ และแหล่งเรียนรู้ (〖PNI〗_modified=0.198) การประเมินพัฒนาการ (〖PNI〗_modified=0.197) และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (〖PNI〗_modified=0.193) ตามลำดับ สำหรับในภาพรวมของทักษะการคิดเชิงคำนวณ <br /> องค์ประกอบย่อยที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด คือ การแก้ไข จุดบกพร่อง (〖PNI〗_modified= 0.207) ลำดับถัดมา คือ การแบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อย (〖PNI〗_modified= 0.204) การพิจารณาสาระสำคัญของปัญหา (〖PNI〗_modified= 0.203) การเข้าใจการทำงานร่วมกันของระบบ (〖PNI〗_modified= 0.197) การพิจารณารูปแบบของปัญหา (〖PNI〗_modified= 0.195) การออกแบบอัลกอริทึม (〖PNI〗_modified= 0.193) และ การเข้าใจและใช้สัญลักษณ์แทนการสื่อสาร (〖PNI〗_modified= 0.191) ตามลำดับ </p> สุวพิชญ์ ภู่สว่าง อภิรดี จริยารังษีโรจน์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1311 1329 แนวทางการจัดเก็บองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุนไพรพื้นบ้านของชุมชนตำบลบางเตย อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274451 <p> การศึกษาแนวทางการจัดเก็บองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุนไพรพื้นบ้านของชุมชนตำบลบางเตย อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับสมุนไพรพื้นถิ่น และแนวทางการจัดเก็บองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุนไพรพื้นบ้านของชุมชนตำบลบางเตย วิธีการศึกษาเป็นระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative research) โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) และการสนทนากลุ่มย่อย (Focus group) คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง (Purposive sampling) กลุ่มผู้สูงอายุระหว่าง 60 – 80 ปี ของชุมชนตำบลบางเตย จำนวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) สมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้ในชีวิตประจำวันในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ จำนวน 21 ชนิด ส่วนพืชสมุนไพรที่นำมาใช้ประโยชน์เป็น ใบ ลำต้น ราก ผล เหง้า และน้ำยาง สรรพคุณรักษาอาการเป็นยารักษาภายนอกและภายใน ชุมชนมีผู้ทรงภูมิปัญญาด้านสมุนไพร จำนวน 3-5 คน การถ่ายทอดองค์ความรู้จากหมอพื้นบ้านที่มีประสบการณ์และการถ่ายทอดตามแบบบรรพบุรุษ โดยการลงมือปฏิบัติตามโรคที่ใช้สมุนไพรรักษาส่วนใหญ่ เป็นการป้องกันโรค ดูแลสุขภาพ อาการแก้ไข้ อาการอักเสบ แผลพุพอง อาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โดยการใช้เป็นยาสมุนไพร และนำมาปรุงเป็นอาหาร ผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญในการปลุกจิตสำนึกให้คนชุมชนตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาโรคและส่งเสริมสุขภาพ ส่งเสริมสนับสนุนการปลูกพืชสมุนไพร พัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรพื้นบ้าน 2) แนวทางการจัดเก็บองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุนไพรพื้นบ้านของชุมชนตำบลบางเตย มีความต้องการสาธารณสุขอำเภอมาแนะนำความรู้ด้านสมุนไพรพื้นบ้าน มีการจัดทำแผ่นพับความรู้สมุนไพร เชิญวิทยากรอบรมความรู้การใช้สมุนไพร สรรพคุณ รวมทั้งการพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรเหมาะสมกับผู้สูงอายุในชุมชน</p> วัชรี ปั้นนิยม ลักคณา น้อยสว่าง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1330 1355 การพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์อิงสมรรถนะระดับชั้นมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274317 <p> การพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์อิงสมรรถนะเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาของหลักสูตรและผลสัมฤทธิ์ในการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่ไม่สามารถนำความรู้ ทักษะและเจตคติที่ได้จากการเรียนประวัติศาสตร์ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน ผู้วิจัยจึงพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์อิงสมรรถนะขึ้นเพื่อเป็นหลักสูตรนำร่องของการจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะสำหรับสถานศึกษาและครูเพื่อใช้พัฒนาสมรรถนะให้กับผู้เรียน โดยหลักสูตรประวัติศาสตร์อิงสมรรถนะที่จัดทำขึ้นผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ หลักสูตรและการสอนในระดับอุดมศึกษาและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br /> จากการดำเนินการวิจัยได้หลักสูตรประวัติศาสตร์อิงสมรรถนะสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และฉบับปรับปรุงพุทธศักราชฉบับ 2560 ผลการวิจัยในภาพรวมผู้ทรงคุณวุฒิเห็นด้วยว่ามีคุณภาพระดับมาก</p> นวลมรกต ทวีทอง นาตยา ปิลันธนานนท์ ศิริรัตน์ ศรีสอาด Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1356 1366 A Comparative Study of Discourse Markers Usage between Chinese and English Native Speaker College Students in English Expository Writing Utilizing Corpus-Based Techniques https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274709 <p> This study compares the use of discourse markers (DMs) in expository writing between Chinese EFL learners and native English speakers, aiming to identify overused and underused DMs and inform teaching strategies. Using corpus-based techniques and Fraser's (1999) taxonomy, the research analyzed DMs in Chinese college students' writing from the Chinese Learners English Corpus (CLEC) and matched samples from the British Academic Written English (BAWE) corpus. Results indicated that Chinese learners overused DMs like 'so,' 'but,' 'and,' and 'because,' while underusing 'thus,' 'in conclusion,' 'therefore,' and 'hence.' These findings suggest that explicit instruction on DMs is crucial for improving Chinese EFL learners' academic writing proficiency.</p> Jiahuang Chen Cholthicha Sudmuk Suwaree Yordchim Montarat Rungruangthum Behrad Aghaei Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1367 1382 The Application of ultrasonic bone knife combined with turbodrill cross incision in extraction of mandibular impacted third molar https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274149 <p> The extraction of mandibular impacted third molars is a common yet complex surgical procedure in oral and maxillofacial surgery due to the close association with mandibular nerves and deep impaction. Traditional bone-chisel extraction methods, though effective, are associated with high trauma and extended recovery periods, leading to increased patient discomfort. This study aims to: (1) Explore individualized approaches for impacted tooth extraction to provide safer and faster options for the removal of mandibular impacted third molars; (2) Provide an alternative sectional extraction approach for impacted teeth in clinical oral surgery; (3) Offer new ideas and a theoretical basis for the extraction of mandibular impacted third molars in clinical practice. This study adopts a case-control research design, including 120 patients with mesioangular impacted mandibular third molars, divided into three groups: traditional bone-chisel extraction (control group) and two experimental groups using an ultrasonic bone scalpel combined with a turbine drill, with either linear or cross-shaped incision. The outcomes were analyzed for surgery time, postoperative pain, swelling, mouth-opening limitation, and complication rates.<br /> The results showed significant differences in surgical time, postoperative pain, and swelling among the groups. The ultrasonic bone scalpel with a cross-shaped incision provided the best outcomes, with shorter surgical times, reduced pain, and minimized swelling compared to the traditional method. The combined use of an ultrasonic bone scalpel and a turbine drill significantly reduced surgical trauma, enhanced recovery, and minimized postoperative complications. The cross-shaped incision method demonstrated particular efficacy, suggesting its potential as the preferred choice for similar extractions.</p> Ling Chen Thanawat Imsomboon Siriluck Jittrabiab Jianpeng You Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1383 1397 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274054 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา (2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา (3) เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา ผู้วิจัยดำเนินการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ดังนี้ ศึกษาองค์ประกอบสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา โดยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา และวิเคราะห์องค์ประกอบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา โดยการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบและการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า<br /> (1) สมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา ประกอบด้วย 3 สมรรถนะ คือ สมรรถนะด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และสมรรถนะด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้<br /> (2) รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ สมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา ประกอบด้วย 3 สมรรถนะ คือ สมรรถนะด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และสมรรถนะด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ กระบวนการพัฒนามี 3 ระดับ คือ ระดับองค์กร ระดับกลุ่ม และระดับบุคคล วิธีการพัฒนามี 7 วิธี ได้แก่ การวางแผนการทำงาน พี่เลี้ยง <br />การเรียนรู้ด้วยตนเอง ศึกษาดูงาน เครือข่ายการเรียนรู้ทางวิชาชีพ อบรม/ประชุมเชิงปฏิบัติการ และการนิเทศ<br /> (3) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนพลศึกษา พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสม และมีความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> เสาวลักษณ์ ประมาน ศิริชัย ศรีพรหม ธีรนันท์ ตันพานิชย์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1398 1413 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราชวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274505 <p> การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 2.เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย และ 3.เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของ ครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงสำรวจ ได้แก่ ครูผู้สอนในกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จากจำนวน 12 โรงเรียน จำนวน 262 คน จากการคำนวณสูตรของ Krejcie &amp; Morgan และ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรราชวิทยาลัย ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยมุกดาหาร ที่สมัครใจและเต็มใจเข้าร่วมการพัฒนา จำนวน 30 คน ใช้วิธีดำเนินการวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R &amp; D) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัย พบว่า ผลการประเมินประสิทธิผลรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ตามรูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โดยยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด และค่าดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเท่ากับ 0.7653 หรือคิดเป็นร้อยละ 76.53</p> อุไรรัก พันโกฏิ ไชยา ภาวะบุตร สายันต์ บุญใบ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1414 1428 A study on psychological resilience and mental health of vocational college students in Henan Province, China: using self-efficacy as a mediating variable and social support as a moderating variable https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274150 <p> This study aims to explore the psychological resilience, self-efficacy, social support, and mental health status of vocational college students in Henan Province, China. Utilizing a quantitative research approach, the study employed convenience sampling to select 1032 students from five vocational colleges as the sample. Standardized questionnaires, including the Psychological Resilience Scale, Self-Efficacy Scale, Social Support Scale, and Mental Health Scale, were utilized for data collection. Statistical analysis was conducted using SPSS and AMOS to ensure the validity and reliability of the research findings.</p> <p>The results indicate significant differences in psychological resilience, self-efficacy, social support, and mental health among students with different background variables such as gender, grade level, and family economic status. Furthermore, the study found that self-efficacy mediates the impact of psychological resilience on mental health, while social support moderates this relationship. These findings suggest that vocational college students' mental health can be improved by enhancing their psychological resilience, self-efficacy, and social support networks. The research provides practical implications for education managers and mental health workers to develop targeted mental health education and intervention programs tailored to the unique needs of vocational college students in Henan Province.</p> Liang Meng Liao Chang chun Veerawat Sirivesmas Sone Simatran Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1429 1439 A Study on the Current Situation of Foreign Language Achievement Goal Orientation among Chinese College Students——Taking College Students from Province A as an Example https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273086 <p> This study uses 702 undergraduate students in colleges and universities in Province A as the research subjects, and uses SPSS27.0 software to analyze relevant data to explore the current status of achievement goal orientation in foreign language learning among Chinese college students. The study found that there was no significant difference in achievement goal orientation and its three dimensions, namely, achievement approach goal orientation, achievement avoidance goal orientation, and mastery goal orientation, among college students of different genders; there was no significant difference in achievement goal orientation and its two dimensions, namely, achievement approach goal orientation and mastery goal orientation, among college students of different grades, but in terms of achievement avoidance goal orientation, freshmen, sophomores, and seniors were higher than juniors; there was no significant difference in achievement goal orientation and achievement approach goal orientation among college students of different majors in foreign language learning. In terms of achievement avoidance goal orientation, students majoring in education were higher than students majoring in literature and history and economics and management, and students majoring in science and engineering were also higher than students majoring in literature and history and economics and management. In terms of mastery goal orientation, students majoring in economics and management were higher than students majoring in education and science and engineering, and students majoring in arts were higher than students majoring in literature and history, education, and science and engineering.</p> Hong Ying Chang- Chun Liao Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1440 1453 The Effect of Aerobic Dance Program on Sustained Attention and Physical fitness of University Students https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274058 <p> This study examines whether an 8-week aerobic dance program improves sustained attention and physical fitness in university students and whether significant differences exist between the experimental and control groups. Sixty female students from Huanghuai University in China were randomly assigned to either an experimental group (aerobic dance intervention) or a control group (maintaining regular activities). The experimental group participated in an 8-week, moderate-intensity aerobic dance program, with sessions held three times per week, each lasting 60 minutes. The experimental data will be collected for both the experimental and control groups through ANT and physical fitness tests at three time points: pre-intervention (Week 0), mid-intervention (Week 4), and post-intervention (Week 8). Sustained attention will be measured using the Attention Network Test (ANT), while physical fitness will be assessed according to the standards of the American College of Sports Medicine (ACSM,2021), encompassing cardiovascular endurance, muscular strength, muscular endurance, flexibility, and body composition. Collected data will be analyzed using SPSS Statistics 26, employing paired t-tests, independent t-tests, and one-way repeated measures MANOVA to evaluate differences between the groups.<br /> The research results found significant improvements in both attention and fitness levels in the experimental group, particularly in reaction time and alertness (p &lt; 0.01). Additionally, the experimental group showed notable improvements in the 800-meter run, 1-minute push-up count, and sit-and-reach flexibility (p &lt; 0.01). This study demonstrates that an aerobic dance program positively impacts sustained attention and physical fitness, highlighting its potential as a valuable intervention for enhancing sustained attention and physical fitness in university students.</p> Ke Kuang Tanida Julvanichpong Chatkamon Singhnoy Chairat Choosakul Kanok Panthong Somporn Songtrakul Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1454 1471 บทบาทของสหกรณ์ชุมชนกับการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนชุมชนประมงพื้นบ้าน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274445 <p> วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยนี้เพื่อค้นหาแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สินและเพื่อค้นหาตัวแบบนวัตกรรมการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของชาวประมงพื้นบ้านจำนวน 226 คน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่มีการรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพผ่านการลงพื้นที่และสำรวจบริบทเชิงพื้นที่ การสัมภาษณ์เชิงลึกและจัดกิจกรรมกลุ่มย่อยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าโมเดลตัวแบบนวัตกรรมการบริหารความเสี่ยงด้านการจัดการหนี้สินและการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการรายได้ของชาวประมงพื้นบ้านที่มีหนี้สินผูกพันกับระบบเถ้าแก่หรือระบบอุปถัมภ์ผ่านกลไกการเข้ามาช่วยเหลือของสหกรณ์ชุมชน มีศักยภาพและมีโอกาสที่จะทำให้ชาวประมงพื้นบ้านสามารถหลุดพ้นจากภาวะหนี้สินนอกระบบที่ผูกพันกับเถ้าแก่หรือผู้อุปถัมภ์มาเป็นระยะเวลาช้านานได้ แต่ด้วยขีดความสามารถที่จำกัดของสหกรณ์ชุมชนจึงจำเป็นที่จะต้องดึงศักยภาพหรือจุดแข็งของสหกรณ์อิสลามในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการหนุนเสริมแก้ปัญหานี้ด้วย นอกจากนี้เมื่อมีการพิจารณาตัวแบบดังกล่าวที่ทีมวิจัยได้นำเสนอก็พบว่า แนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินของชาวประมงพื้นบ้านที่ปรากฏตามกระบวนการที่ได้นำเสนอในตัวแบบดังกล่าวก็ยังมีความยั่งยืนอีกด้วย เนื่องจากกลไกในการแก้ปัญหาไม่ได้ใช้กลไกการเข้ามาช่วยเหลือจากสหกรณ์อิสลามที่มีความเข้มแข็งเพียงอย่างเดียว แต่นักวิจัยได้ออกแบบกลไกสำคัญผ่านการใช้ต้นทุนเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่เป้าหมายร่วมด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหาหนี้สินชาวประมงพื้นบ้านที่ผูกพันกับระบบเถ้าแก่หรือระบบผู้อุปถัมพ์ที่ฝังอยู่ในชุมชนนี้จึงมีโอกาสสำเร็จสูง และสามารถนำโมเดลนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาลักษณะเดียวกันกับชุมชนประมงพื้นบ้านอื่นๆ ที่มีบริบทชุมชน ต้นทุนเดิมในชุมชนและสภาพปัญหาที่ใกล้เคียงกับชุมชนเป้าหมายที่นักวิจัยได้ศึกษาในงานวิจัยได้</p> อนุวัตร วอลี ซากี นิเซ็ง รอปีอะ กือจิ อานีสาห์ บือฮะ ฮัสนะ บุญทวี ฮุสนา ตีมุง อัดนัน อัลฟารีตีย์ รอวียะห์ อาเซ็งบาราแม Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1472 1489 กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274135 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกที่มีผลต่อสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) สร้างและตรวจสอบกลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 3) ประเมินกลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 2,363 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบประเมินกลยุทธ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพแวดล้อมสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลในภาพรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า สภาพแวดล้อมภายในสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่เป็นจุดแข็งได้แก่ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และ ด้านการสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพชุมชน ด้านที่เป็นจุดอ่อนได้แก่ ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการนำสื่อและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา และ ด้านการพัฒนาสู่การปฏิบัติที่เป็นเลิศอย่างมืออาชีพ สภาพแวดล้อมภายนอกสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่เป็นโอกาสได้แก่ ด้านการสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพชุมชน การด้านการนำสื่อและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา ด้านการพัฒนาสู่การปฏิบัติที่เป็นเลิศอย่างมืออาชีพ และ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านที่เป็นอุปสรรคได้แก่ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และ ด้านภาวะผู้นำเปลี่ยนแปลง 2) กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า มี 5 กลยุทธ์หลัก 13 กลยุทธ์รอง 62 แนวทางการพัฒนา 3) การประเมินกลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยคดิจิทัลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า มีความเป็นไปได้และมีความเป็นประโยชน์ระดับ 0.99 ในการนำไปใช้ในการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลในภาพรวมมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และมีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐกานต์ สุทธิจิตร์ ธีระวัฒน์ มอนไธสง วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1490 1512 การพัฒนาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270280 <p> การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีปัญหาหลายอย่างรวมถึงอุปสรรคของสหกรณ์ออมทรัพย์ในด้านความเสี่ยงที่เกิดจากการบริหารงานสหกรณ์ตามมาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทย และ2. เพื่อพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 840 ตัวอย่าง โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบประเมิน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทยประกอบไปด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านการบูรณาการในการจัดการความเสี่ยง 2) ปัจจัยด้านกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง 3) ปัจจัยด้านความสามารถในการจัดการความเสี่ยงและการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และ 4) ปัจจัยด้านการจัดการความเสี่ยงและความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมร่วมกันในองค์กร ส่วนใหญ่ส่งผลต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทยทั้งสิ้น และผลการพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทยมีดัชนีวัดความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01</p> รภัสศา รวงอ่อนนาม ฉัตรชัย พรประสิทธิ์ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1513 1529 The Impact of Digital Technology Application on Logistics Enterprise ESG Performance in VUCA Environment:Base on the Moderated Mediation Model https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274673 <p> Against the backdrop of "dual-carbon" goals, the Environmental, Social, and Governance (ESG) performance of logistics enterprises has emerged as a critical factor influencing their competitive advantage and sustainable development. This study investigates the relationship between digital technology application and ESG performance in logistics enterprises, with a particular focus on the mediating role of green innovation and the moderating effect of the VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, and Ambiguity) environment. Using empirical data from A-share listed logistics companies in China, we employ quantitative analysis methods to test our theoretical framework. The findings reveal that digital technology application significantly enhances both the ESG performance and green innovation capabilities of logistics enterprises. Moreover, green innovation demonstrates a significant positive effect on ESG performance and serves as a crucial mediating mechanism between digital technology application and ESG performance. Additionally, our results indicate that the VUCA environment positively moderates the relationship between digital technology application and ESG performance, with stronger VUCA conditions amplifying the positive impact of digital initiatives. This research contributes to understanding the digital transformation pathway for improving corporate sustainability in the logistics sector and provides practical implications for enterprises seeking to enhance their ESG performance through digital innovation.</p> Peng Bo Xuehe Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1530 1548 ผลการเสริมกากมันสำปะหลังแห้งต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต ของปลานิลที่เลี้ยงในบ่อดิน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270981 <p> การเสริมกากมันสำปะหลังแห้งต่อสมรรถนะการเจริญเติบโตของปลานิล เพื่อศึกษาระดับการเสริมกากมันสำปะหลังที่เหมาะสมต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปลานิล และเพื่อศึกษาต้นทุนการผลิตปลานิลที่ได้รับการเสริมกากมันสำปะหลังในอาหาร ซึ่งวางแผนงานทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ กำหนดปัจจัยทดลองเป็นอาหารปลานิลทีมีสูตรอาหารที่แตกต่างกัน 4 แบบ ปัจจัยทดลองที่ 1 อาหารเม็ดสำเร็จรูป 32 % โปรตีน (ควบคุม) ปัจจัยทดลองที่ 2 อาหารเสริมกากมันสำปะหลังระดับ 0 % ปัจจัยทดลองที่ 3 อาหารเสริมกากมันสำปะหลังระดับ 16 % ปัจจัยทดลองที่ 4 อาหารเสริมกากมันสำปะหลังระดับ 32% สุมเก็บตัวอย่าง 20 % ของปลานิลทั้งหมด ทุก 2 สัปดาห์ จนครบ 10 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดการทดลองผลปรากฏว่า น้ำหนักเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน และอัตราการแลกเนื้อไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ p &gt; 0.05 ปริมาณการกินได้ของปลานิล อาหารสูตรที่ 1 มีค่าสูงที่สุด ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ p &lt; 0.05 ยกเว้นปริมาณการกินได้ของเยื่อใยที่รวม ปริมาณการกินได้ของคาร์โบไฮเดรทที่ไม่เป็นโครงสร้าง และประสิทธิภาพในการใช้โปรตีน อาหารเสริมกากมันสำปะหลังมีค่าสูงที่สุด ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ p &lt; 0.05 ต้นทุนค่าอาหารต่อการผลิตเนื้อ 1 กิโลกรัม อาหารเสริมกากมันสำปะหลังดีกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ p &lt; 0.05 สรุปได้ว่ากากมันสำปะหลังแห้งสามารถเสริมในอาหารเลี้ยงปลานิลได้สูงสุดที่ระดับ 32% ในสูตรอาหาร และช่วยลดต้นทุนการผลิตแต่สมรรถนะการเจริญเติบโตของปลานิลไม่แตกต่างจากชุดควบคุม</p> ราชิต เพ็งสีแสง สายัณห์ สืบผาง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1549 1562 การพัฒนาและสร้างองค์ความรู้จากสารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืช เพื่อเพิ่มมูลค่าในพืชเศรษฐกิจจังหวัดศรีสะเกษ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274600 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและสร้างองค์ความรู้จากสารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืชในจังหวัดศรีสะเกษ และ 2) ศึกษาประสิทธิผลการใช้ประโยชน์สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืชในการเพิ่มมูลค่าพืชเศรษฐกิจจังหวัดศรีสะเกษ ลักษณะของการวิจัยเป็นการวิจัยประยุกต์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 267 คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความรู้ความเข้าใจ และแบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืชในจังหวัดศรีสะเกษ หลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรม และมีความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับมากที่สุด<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืชสามารถเพิ่มมูลค่าพืชเศรษฐกิจจังหวัดศรีสะเกษได้ โดยพืชทั้ง 11 ชนิด ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หอม พริก ฝรั่ง ทุเรียน แตงกวา เห็ดนางฟ้าและผักไฮโดโปนิกส์ (กรีนโอ๊ค) มีผลผลิตสูงกว่าก่อนการใช้สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืช โดยพืชที่ได้รับการใช้สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพมีการเจริญเติมโตได้ดี ต้นสมบูรณ์ แข็งแรง ใบเขียวเข้ม ออกดอกเยอะ ผลดก ได้ผลผลิตมากขึ้น และช่วยลดต้นทุน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. ความพึงพอใจต่อการใช้สารสกัดอาหารเสริมประสิทธิภาพพืชของเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> พิเชษฐ์ พรมโสภา อุรารัตน์ แก้วดวงงาม ธนภรณ์ แซ่ลิ่ม สิรภพ มาเห็ม ไพรฑูรย์ ฝางคำ อรธันยา สาธรณ์ ภัศราภคนัน จิตภักดี เปลี่ยน จำปาหอม พิชญ์สิชา พงษ์พันแพงพงา ดิษยา เลาวัณย์ศิริ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1563 1583 อิทธิพลของทัศนคติต่อพฤติกรรมผู้ซื้อเครื่องสำอางที่ปราศจากการทารุณกรรมสัตว์ ผ่านการสื่อสารแบบปากต่อปากและผ่านความไว้วางใจในตราสินค้า https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274876 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของทัศนคติ การสื่อสารแบบปากต่อปาก ความไว้วางใจในตราสินค้า ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ซื้อเครื่องสำอาง cruelty free 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติ และพฤติกรรมผู้ซื้อเครื่องสำอาง cruelty free ผ่านการสื่อสารแบบปากต่อปากและความไว้วางใจในตราสินค้า และ 3) เพื่อตรวจสอบความตรงของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยด้านการสื่อสารแบบปากต่อปาก ปัจจัยด้านความไว้วางใจในตราสินค้าที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ซื้อเครื่องสำอาง cruelty free โดยมีความไว้วางใจในตราสินค้าและปัจจัยด้านการสื่อสารแบบปากต่อปากเป็นตัวแปรคั่นกลาง และได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาและสมบูรณ์ครบถ้วน จำนวน 791 ตัวอย่าง พบว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีประสบการณ์เคยใช้เครื่องสำอาง cruelty free จำนวน 476 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 60.18 และไม่เคยใช้เครื่องสำอาง cruelty free จำนวน 315 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 39.82 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับอิทธิพลของทัศนคติต่อพฤติกรรมผู้ซื้อเครื่องสำอางที่ปราศจากการทารุณกรรมสัตว์ผ่านการสื่อสารแบบปากต่อปากและผ่านควาวมไว้วางใจในตราสินค้า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสังเกตได้ 20 ตัวแปร และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจจะซื้อเครื่องสำอาง cruelty free นำไปวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modelling: SEM)<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ตัวแปรปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจจะซื้อเครื่องสำอาง cruelty free ได้แก่ ด้านทัศนคติ ด้านการสื่อสารแบบปากต่อปาก ด้านความไว้วางใจในตราสินค้า และตัวแปรตามความตั้งใจจะซื้อเครื่่องสำอาง cruelty free ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง 0.330 - 0.791 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในเชิงบวกและน้อยกว่า 0.80<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ทัศนคติ การสื่อสารแบบปากต่อปากและความไว้วางใจในตราสินค้า มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความตั้งใจจะซื้อเครื่องสำอาง cruelty free ได้ร้อยละ 32.2 32.9 และ 27.5 ทัศนคติมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกต่อความตั้งใจจะซื้อเครื่องสำอาง cruelty free ได้ร้อยละ 32.2 และร้อยละ 57.3 โดยมีตัวแปรการสื่อสารแบบปากต่อปากเป็นตัวแปรส่งผ่านโดยที่ตัวแปรทัศนคติและการสื่อสารแบบปากต่อปากสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความตั้งใจจะซื้อเครื่่องสำอาง cruelty free ได้ร้อยละ 89.5 หรือ ประมาณร้อยละ 90</span></p> ชยานิษฐ์ รุ่งสินภิรมย์กุล ธงชัย ศรีวรรธนะ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1584 1601 บทบาทของคณะสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ด้วยศีล 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274595 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ 1) ระดับการปฏิบัติตามหลักศีล 5 2) บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 3) ระดับคุณภาพชีวิต และ 4) เสนอแนวทางในการปฏิบัติกิจวัตรของคณะสงฆ์ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนเขตบางซื่อ ด้วยศีล 5 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน ทำบุญที่วัดในเขตบางซื่อ ได้ตามวิธีของ Yamane จำนวน 399 คน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เจ้าอาวาส ผู้นำชุมชน กรรมการวัด และประชาชน จาก 5 วัด รวม 20 รูป/คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีค่า IOC = 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว ค่าที ค่าเอฟ และ LSD<br /> ผลการวิจัย พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การปฏิบัติตามหลักศีล 5 โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และศีลข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือศีลข้อ 3 ละเว้นการผิดลูกเมียผู้อื่น มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยภาพรวมและรายด้าน พระสงฆ์มีบทบาทการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการศาสนศึกษา<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. คุณภาพชีวิตของประชาชน โดยภาพรวมประชาชนมีระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสังคม<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 4. แนวทางในการปฏิบัติกิจวัตรของคณะสงฆ์ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนเขตบางซื่อ ด้วยศีล 5 คือ การปฏิบัติกิจวัตรของพระสงฆ์ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแบบอย่างที่ดี</span></p> ปราณีต ม่วงนวล พระมหาสมัคร มหาวีโร พระปริยัติวชิรกวี สุวรรณ ม่วงนวล จริยาภรณ์ เจริญชีพ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1602 1620 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274332 <p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 196 คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง และครูผู้สอนจำนวน 191 คน จากนั้นดำเนินการสุ่มโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.907 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br /> ผลการวิจัยพบว่าแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความรับผิดชอบในงาน รองลงมาคือ ด้านความสำเร็จในการทำงาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน</p> กรชนก ทัพโยธา นงลักษณ์ ใจฉลาด Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1621 1633 Nezha in Four Chinese Animation:Representations of a Mythological Character in the Context of Popular Media Culture https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270471 <p> This qualitative study examines the changing representation of the Chinese mythological character "Nezha" in various animated works. The data come from surveys and interviews with animation viewers, creators, and researchers, as well as literature reviews. The findings show that Nezha is represented through the audiovisual language of animation. As social and cultural contexts evolve, both producers and audiences reshape this character, breaking away from its original portrayal and continuously gaining new meanings and connotations. Nezha reflects the power dynamics and public demands of different times, maintaining its cultural appeal. However, the evolution of popular media has made Nezha's character more diverse and ambiguous, challenging the formation of a cultural consensus. This paper discusses the representation issues of mythological characters, focusing on Nezha in four animated productions.This paper is part of the doctoral thesis.</p> Shi Xuefeng Arkom Sa-Ngiamviboon Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1634 1650 The Research on Relationship Between Psychological Capital, Work Adaptation, and Professional Growth of Primary School Teachers in Yunnan Province https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273337 <p> This study aims to explore the relationships among psychological capital, work adaptation, and professional growth of primary school teachers in Yunnan Province. A sample of 500 primary school teachers from various districts in Yunnan Province was selected using stratified random sampling. Data were collected using three standardized questionnaires: the Psychological Capital Questionnaire (PCQ), Work Adaptation Scale (WAS), and Teacher Professional Growth Inventory (TPGI). Statistical analyses, including descriptive statistics, t-tests, one-way ANOVA, Pearson correlation analysis, and structural equation modeling, were conducted using SPSS 25.0 and AMOS 24.0.</p> <p>The results revealed that: (1) The current status of psychological capital, work adaptation, and professional growth of primary school teachers in Yunnan Province is generally good; (2) Significant differences in these three variables were found among teachers with different demographic backgrounds; (3) Teachers' psychological capital demonstrated a significant positive correlation with both work adaptation and professional growth; (4) Work adaptation was found to play a partial mediating role in the relationship between psychological capital and professional growth<br /> These findings provide a theoretical basis and practical implications for enhancing teachers' professional development in primary schools in Yunnan Province.</p> Qingyuan Tan Hsin Chun Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-10-30 2024-10-30 9 11 1651 1663 รูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272593 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน และสถานศึกษาที่มีการปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 แห่ง 2) สร้างรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยสอบถามจากผู้อำนวยการและครูผู้รับผิดชอบระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 728 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบฯ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบและแนวการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ มี 2 ประการ ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) กระบวนการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนมี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเรียน ด้านการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ด้านอารมณ์ส่วนบุคคล และด้านสุขภาพร่างกาย 2. รูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) กระบวนการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3) ความสามารถในการปรับตัวของนักเรียน 3. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ พบว่า รูปแบบมีความเป็นไปได้อยู่ระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> พชรกมล คำไวย์ สถิรพร เชาวน์ชัย ฉลอง ชาตรูประชีวิน จิตติมา วรรณศรี สำราญ มีแจ้ง Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-10-30 2024-10-30 9 11 1664 1680 รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274328 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดคุณลักษณะครู 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นการพัฒนาคุณลักษณะครู 3) การสร้างรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครู และ 4) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดคุณลักษณะครู โดยการสนทนากลุ่ม และสรุปองค์ประกอบจากความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นการพัฒนาคุณลักษณะครู โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ครูผู้สอน 322 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 3 สร้างรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครู โดยศึกษาตัวอย่างการปฏิบัติที่เป็นเลิศ จำนวน 3 แห่ง แล้วยกร่างรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครู ประเมินรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน ด้วยการสัมมนากลุ่มอิงผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความเหมาะสมความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และระยะที่ 4 ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครู ครูผู้สอน 50 คน คณะกรรมการประเมินการใช้รูปแบบ จำนวน 5 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบประเมินความพึงพอใจหลังใช้รูปแบบวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบและตัวชี้วัดการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 13 ตัวชี้วัด และความเหมาะสมขององค์ประกอบอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.68, S.D = 0.51) 2) สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.03, S.D = 0.71) สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.62, S.D = 0.54) และความต้องการจำเป็นของคุณลักษณะด้านเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า มีค่า (PNI<sub>modified</sub> = 0.53) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามลำดับ พบว่า ค่าความต้องการจำเป็น ด้านเศรษฐกิจ (PNI<sub>modified</sub> = 0.59) ด้านสังคม (PNI<sub>modified</sub> = 0.38) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (PNI<sub>modified</sub> = 0.30) และ ด้านวัฒนธรรม (PNI<sub>modified</sub> = 0.26) ตามลำดับ 3) รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการพัฒนา และการวัดและประเมินผล โดยมีระดับความพึงพอใจต่อการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D = 0.47) ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.93, S.D. = 0.23) ความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ( = 4.84, S.D. = 0.53) และความมีประโยชน์อยู่ในระดับมาก ( = 4.78, S.D. = 0.44) และ 4) ผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า ครูผู้สอนมีผลการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลังพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา โดยรวมรายด้านก่อนการพัฒนาตามรูปแบบอยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.59, S.D = 0.57) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D = 0.47) จึงสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะครูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านเศรษฐกิจมีการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านวัฒนธรรม และด้านสังคม ตามลำดับ</p> ปรัชญา ตะภา ชยากานต์ เรืองสุวรรณ กฤษกนก ดวงชาทม Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1681 1698 การพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมืองของราชอาณาจักรไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274071 <p> วัตถุประสงค์ในการวิจัย เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎี ปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาข้อกฎหมาย คำพิพากษาศาล งานวิจัย และมาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศกับของประเทศไทยเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายพรรคการเมือง เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br /> วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยเอกสาร ตัวบทกฎหมาย ตำราทางวิชาการ งานวิจัย สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของไทยและของต่างประเทศ มีการจัดทำสนทนากลุ่ม ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ กลุ่มพรรคการเมือง กลุ่มคณะกรรมการการเลือกตั้ง กลุ่มนักวิชาการกด้านฎหมาย และกลุ่มตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ<br /> จากการศึกษาพบว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองมาตรา 9 กำหนดให้มีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองจำนวน 500 คน ซึ่งมากเกินไปทำให้การจัดตั้งพรรคการเมืองกระทำได้ยาก จึงควรแก้ไขให้ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองเหลือเพียง 15 คน เรื่องการตรวจสอบนโยบายพรรคการเมือง ตามมาตรา 57 กำหนดให้พรรคการเมืองส่งนโยบายของพรรคให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งเพียงหน่วยงานเดียว แต่นโยบายพรรคการเมืองในบางเรื่องมีการใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงควรแก้ไขกฎหมายกำหนดให้ส่งนโยบายเช่นว่านั้นให้กระทรวงการคลังตรวจสอบถึงความเป็นไปได้อีกชั้นหนึ่ง การสิ้นสภาพพรรคการเมืองที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 (1) เรื่องการหาสมาชิกพรรคให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คน และต้องเพิ่มจำนวนสมาชิกให้มีไม่น้อยกว่า 10,000 คน ภายในสี่ปีนั้นมากเกินไป และ (4) กรณีการไม่เรียกประชุมใหญ่หรือไม่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองกำหนด 1 ปีนั้น อาจทำได้ยากในพรรคการเมืองที่มีขนาดเล็ก ดังนั้น จึงควรยกเลิกจำนวนการหาสมาชิกพรรคตาม (1) และขยายระยะเวลาการประชุมและการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองออกไป 2 ปี การยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92 กำหนดเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองที่มากเกินไป ซึ่งจากการศึกษากฎหมายของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและกลุ่มกฎหมายซิวิลลอว์ส่วนมากกำหนดเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองไว้เพียง 2 เหตุ ดังนั้นจึงควรแก้ไขเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองของไทยให้เหลือสองเหตุ คือ กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น</p> อรรถ แสงจิตต์ ปริญญา ศรีเกตุ Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1699 1716 Approaches for Developing Rajabhat University for Local Development: A Case Study of the Rattanakosin Group and Central Regions https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275316 <p> The research titled “Approaches for the Developing Rajabhat Universities for Local Development: A Case Study of the Rattanakosin and Central Regions” aimed to survey data related to the potential of Rajabhat Universities in the Rattanakosin and Central regions for local development. The study sought to analyze key issues related to education management for local development according to the Rajabhat University Development Strategy for Local Development and to propose guidelines for the future development of Rajabhat Universities for local development.<br /> The research methodology employed a mixed-methods approach in three phases, utilizing various research techniques, including document research, surveys, focus group discussions, and evaluations. The research instruments consisted of a survey questionnaire regarding the potential of universities for local development, conducted among the population of Rajabhat Universities in the Rattanakosin and Central regions, which included 14 universities. The focus group discussions and self-assessment evaluations involved analyzing data through content analysis, frequency distribution, and percentage.</p> <p>The potential of Rajabhat Universities for local development was classified based on the percentage of achievement of the 38 indicators, divided into four groups: 1) High potential, achieving criteria of 75% and above; 2) Moderate potential, achieving criteria of 50% to 74.9%; 3) Potential that should be further developed, achieving criteria of 25% to 49.9%; and 4) Need for significant development, achieving criteria below 25%.</p> Ponglikit Petpon Soamshine Boonyananta Copyright (c) 2024 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1717 1731 Exploring Consumer Purchase Intentions in Social Commerce: A Qualitative Study Using the Technology Acceptance Model (TAM) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275317 <p> This qualitative study explores consumer purchase intentions in social commerce using the Technology Acceptance Model (TAM) as a theoretical framework. As social media platforms evolve into dynamic spaces for product discovery and purchasing, understanding the factors that influence consumer behavior in this context becomes crucial. The research objective was to explore how perceived ease of use, perceived usefulness, and attitudes toward social commerce platforms shape consumer engagement and purchase behaviors. Through in-depth interviews with eight key informants who were active social media users and online shoppers, and by employing content analysis to examine the data, the study identified several influential factors impacting consumer behavior. Perceived ease of use, characterized by user-friendly interfaces and straightforward navigation, emerged as a significant driver of engagement and positive attitudes. Perceived usefulness, manifested through efficient access to product information and integrated shopping functions, played a crucial role in fostering loyalty and encouraging repeat visits. The study also highlighted the importance of social features in cultivating trust and credibility, with peer recommendations and influencer endorsements significantly impacting purchase intentions. Beyond the core TAM constructs, additional factors such as social influence and trust were found to play vital roles in shaping consumer behavior. The findings underscore the need for social commerce platforms to prioritize usability, security, and trust-building features while fostering social interactions to create engaging, community-driven shopping experiences. The study concludes with recommendations for platform design and future research directions, emphasizing the potential of emerging technologies like AI-powered recommendations and augmented reality in enhancing the social commerce experience.</p> Pakkawan Intra Phutthinat Phutthinatwan Yarnaphat Shaengchart Kanin Khaniyao Neerada Khaniyao Copyright (c) 2024 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1732 1741 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรค เครือข่ายสุขภาพจังหวัดอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275318 <p> การวิจัยและพัฒนา (Research and Development; R&amp;D) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ พัฒนารูปแบบและประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคเครือข่ายสุขภาพจังหวัดอุบลราชธานี เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้รับบริการ ผู้ปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรค ผู้รับผิดชอบหลัก ผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ผู้สัมผัสร่วมบ้าน ผู้ร่วมวิจัย และผู้ร่วมกิจกรรม จำนวน 1,680 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.5 มีค่าความเที่ยงตรงมากกว่า 0.7 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Percentage differences และ PNI<sub>modified</sub> และวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ความต้องการในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรค โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และการสนทนากลุ่มส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการค้นหาผู้ติดเชื้อวัณโรคและผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ให้ครอบคลุม การควบคุมการแพร่กระจายซื้อวัณโรคในสถานพยาบาล การสนับสนุนหน่วยงานภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและส่งต่อผู้ป่วยวัณโรคและเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรคดื้อยาหลายขนาน 2) รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังฯ ประกอบด้วย 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและการศึกษาความต้องการ 2) การจัดทำหลักสูตร การอบรมเชิงปฏิบัติการ 3) การอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้เกี่ยวข้อง 4) การจัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อเร่งรัดการคัดกรอง ค้นหาและการส่งต่อผู้สัมผัส กลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยเพื่อให้เข้าถึงการรักษา 5) การสื่อสารประชาสัมพันธ์ทุกช่องทาง 6) การประสานงานส่งต่อข้อมูลทั้งในสถานบริการและชุมชน และ7) การนิเทศ กำกับและประเมินผลในประเด็นสำคัญที่มีความสมเหตุสมผลเชิงทฤษฎีและความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ผลการประเมินรูปแบบฯ พบว่า ผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่มีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง โดยรวมเพิ่มขึ้นคิดเป็น 33.8% และคะแนนการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลตนเอง โดยรวมอยู่ในระดับดี คิดเป็น 31.8% และผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง โดยรวมเพิ่มเป็น 32.3% และคะแนนการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลตนเองโดยรวมอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้น คิดเป็น 72.1%</p> วิโรจน์ เซมรัมย์ กฤศวิสุทธิ์ ธีวสุเกิดมงคล Copyright (c) 2024 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1742 1756 The Analysis Causal Model of Social Media Management Strategies on Organizational Performance of Small listed Enterprises in China with Customer Engagement as a Mediator https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273782 <p> In the context of the rapid development of social media in today's era,This paper primarily examines the impact of social media management strategies on organizational performance in small listed enterprises in China through the mediating role of customer engagement. The research employs a mixed-methods approach, combining quantitative and qualitative methods. First, in the quantitative research, data from 400 survey questionnaires were collected from 34 small listed enterprises across five regions in China (East China, South China, West China, and North China). The researchers used SPSS 26.0 and Amos 24.0 software to conduct reliability and validity analyses, which included data preprocessing, descriptive statistical analysis, reliability analysis, structural validity analysis, convergent validity analysis and correlation analysis, then constructed a Structural Equation Model (SEM). The hypothesis testing through the model revealed the following findings: 1) Social media management strategies have a positive indirect effect on organizational performance through customer engagement (0.946); 2) Customer engagement has a moderate direct effect on organizational performance (0.366); 3) Social media management strategies have a positive direct effect on organizational performance (0.649). Secondly, in the qualitative research, in-depth interviews were conducted with executives from 10 listed enterprises in five regions of China, and the interview results further validated the conclusions of the qualitative analysis. The findings provide new insights for small listed enterprises in China to enhance organizational performance and customer engagement, and offer new ideas for other enterprises to formulate social media management strategies in the future.</p> Zhang Chenglei Maneekanya Nagamatsu Chaiyanant Panyasiri Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1757 1777 Research on the Protection and Inheritance of Music Intangible Cultural Heritage in Liaoning Province, China https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272967 <p> The unique geographical location of Liaoning, China, which is both by the sea and by the border, has nurtured the distinctive regional character and cultural forms of Liaoning, characterized by fiery and passionate, witty and humorous, and tolerant and grandiose. However, the musical intangible cultural heritage projects in Liaoning, as a rare cultural heritage, are facing an endangered situation under the impact of globalization and modernization. Therefore, this study will first focus on the 30 music-related intangible cultural heritage projects that have been listed in China's national and Liaoning provincial lists, and select 8 representative cases with representative features, such as Liaoning drum music, Qianshan temple music, and Fuxin East Mongolian short-tone folk songs, through a comprehensive evaluation of representativeness, timeliness, and effectiveness of protection and management, to conduct in-depth analysis on the project features, inheritors, audiences, and related policies and regulations. Through the methods of literature research, field investigation, and case analysis, combined with the theories of social identity, symbolic interaction, and the "5W" and "4R" strategy models, this study aims to explore a practical path for protection and inheritance.<br /> The article outlines the types, characteristics, and the important value of musical intangible cultural heritage projects in Liaoning Province. It also provides a detailed analysis of the current protection and inheritance status of musical intangible cultural heritage projects in Liaoning Province, including the protection mechanisms, inheritance situation, and audience acceptance rate. It reveals that there are some difficulties in the development of these projects, such as uneven development, fierce competition, unclear target audience, insufficient innovation, lack of long-term mechanisms, overemphasis on project application and underemphasis on protection, and a lack of cultural concepts.</p> <p> </p> Zhang Yining Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1778 1785 Realism, Formalism, and Classicalism: A Comparative Study of Chinese Women’s Cinema Styles https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/275146 <p style="font-weight: 400;"> This research compares Chinese women’s cinema across three styles and analyzes the differing psychological responses of audiences. Narrative persuasion and media appreciation as the two measurement variables use to examine audiences’ psychological tendencies while viewing different styles of Chinese women’s cinema.<br /> The literature of realism, formalism, classicalism, media appreciation and narrative persuasion is conducted. Quantitative method, a quasi-experimental design research method, is adopted. The study concludes that, compared to the other styles, the influence of classical-style women’s cinema on narrative persuasion is more significant, while the influence of realistic-style women’s cinema on media appreciation is more pronounced.</p> <p style="font-weight: 400;"><strong> </strong></p> Lu Zhang Yu-Chih Lin Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-30 2024-11-30 9 11 1786 1794 A Critical Review of Chinese Language Textbooks for Tourism in Thailand https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274309 <p> As international Chinese education continues to expand under the “Chinese + X” initiative, developing “Chinese + Tourism” textbooks has received increasing focus. As a leading global tourist destination, Thailand increasingly requires professionals proficient in Chinese. Therefore, systematically tracking and analyzing the current state of “Chinese + Tourism” textbook research in Thailand is crucial to enhancing their practical value and aligning them with the specific needs of the tourism sector. This study critically reviews the development and application of “Chinese + Tourism” textbooks in Thailand, aiming to systematically evaluate their strengths and weaknesses, analyze emerging trends, and propose actionable recommendations. The research utilizes data from the China National Knowledge Infrastructure (CNKI) and applies systematic literature review and comparative analysis methods. The findings identify three primary deficiencies in existing textbooks: insufficient intermediate and advanced-level content, inadequate localization tailored to Thailand’s unique tourism context, and limited integration of digital teaching tools. Moreover, this study recommends developing multi-level localized content, integrating cultural understanding with vocational skills, and incorporating innovative digital technologies to enhance learning outcomes.</p> Jiang Guanghui Liu Xu Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-12-01 2024-12-01 9 11 1795 1806 The Quality management Model of School-Based Curriculum in Primary Schools of Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273785 <p> The objectives of this research were:1) to study the quality management level of school-based curriculum in primary schools in Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture. 2) to study the Confirmatory Factor Analysis of the quality management of school-based curriculum in primary schools in Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture.3) to propose the Quality management Model of school-based curriculum in primary schools in Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture. In this study, a combination of quantitative research and qualitative research was used to conduct a questionnaire survey on 527 primary school teachers and administrators in Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture, and 9 experts were interviewed.<br /> Through the survey data analysis, this study found:1) The overall mean score for school-based curriculum quality management is 3.321, which is at a moderate level. Specifically, the scores are ranked as follows: Man (M = 3.321), Machine (M = 3.315), Material (M = 3.307), Method (M = 3.337), Measurement (M = 3.303), and Environment (M = 3.340), all of which are at a moderate level. 2) For the second objective to study the Confirmatory Factor Analysis of the quality management of school-based curriculum in primary schools in Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture. Through the verification, the model fit was satisfactory, the model reduced fit was good, and other fitting indexes reached the standard. 3) Through the interview of nine experts, the analysis results are consistent with the quantitative data results, and the constructed model has a good fit, effectiveness, rationality and usability.</p> Kai Wu Nuntiya Noichun Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-12-01 2024-12-01 9 11 1807 1820 Parent-School Collaboration as a Foundation for Holistic Child Development https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274806 <p> This paper examines the crucial role of parent-school collaboration in fostering holistic child development within early childhood education. Holistic development, encompassing the physical, cognitive, emotional, and social growth of a child, is essential for overall well-being and future success. The research highlights effective models of parent-school collaboration, including consistent communication, joint decision-making, and active parental involvement, while exploring the benefits of digital communication tools in enhancing interaction between parents and educators. By analyzing the positive impact of collaboration on children’s academic performance, emotional resilience, and social skills, the study also addresses challenges such as socioeconomic disparities and cultural differences that may hinder effective partnerships. Recommendations include improved communication frameworks, targeted training, and leveraging community support to enhance collaborative practices, thus reinforcing the importance of parent-school collaboration for comprehensive child development.</p> YuanLei Fu ChaoJung Wu LiZheng Zhuo Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-12-01 2024-12-01 9 11 1821 1830 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโรงอาหารปลอดภัย ในโรงพยาบาลจังหวัดปทุมธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273761 <p> การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อศึกษา ระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของผู้ประกอบการร้านอาหาร ในโรงพยาบาล จังหวัดปทุมธานี และเพื่อพัฒนารูปแบบโรงอาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ (Healthy Canteen) แบบมีส่วนร่วม แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาความรู้ ทัศนคติ และ การปฏิบัติ ของผู้ประกอบการร้านอาหาร และปัญหาในการจัดการโรงอาหาร 2) ประชุมเชิงปฏิบัติการโดยการประยุกต์ใช้เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม 3) ศึกษาวิธีการพัฒนาโรงอาหารให้ได้มาตรฐาน และ 4) นำเสนอรูปแบบการพัฒนาโรงอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ (Healthy Canteen) เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า หลังการดำเนินงาน ระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ของผู้ปรุง/เสิร์ฟในโรงอาหาร อยู่ในระดับดี วิธีการพัฒนาโรงอาหารให้ได้มาตรฐาน ประกอบด้วย 1. มีนโยบายการดำเนินงานโรงอาหารปลอดภัย Food Safety Hospital 2. มีคณะกรรมการสุขาภิบาลอาหารดำเนินการในโรงพยาบาล 3. มีการตรวจสุขภาพผู้ปรุง ผู้เสิร์ฟที่มาค้าขาย 4. มีการคัดเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยเพื่อนำมาปรุงอาหาร 5. มีระบบสุขาภิบาลที่ปลอดภัย 6. มีความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในงานสุขาภิบาลอาหาร 7. มีเครือข่ายเทศบาล/อบจ. 8. มีเครือข่ายศูนย์วิชาการเช่นศูนย์อนามัยที่4 สสจ.ปทุมธานี โมบายสสจ.สระบุรี มาร่วมในการทำงานสุขาภิบาลอาหารฯ ดังนั้น จึงควรมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้กับผู้บริหารทุกระดับของโรงพยาบาลในการดำเนินงาน และนำกระบวนการแบบมีส่วนร่วมมาดำเนินการร่วมเพื่อส่งเสริมให้โรงอาหารผ่านเกณฑ์มาตรฐานโรงอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ</p> ภูไทย กมลวารินทร์ วิชาญ ดำรงค์กิจ ประจวบ แสงดาว จุฑามาศ บดนอก Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-12-12 2024-12-12 9 11 1831 1843