https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/issue/feed Journal of Roi Kaensarn Academi 2024-11-02T03:40:37+07:00 Editor Dr.Teedanai Kapko journal1990jmsd@gmail.com Open Journal Systems <p> <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> เป็นวารสารวิชาการ ราย 1 เดือน (ปีละ 12 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม, ฉบับที่ กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 3 มีนาคม, ฉบับที่ 4 เมษายน, ฉบับที่ 5 พฤษภาคม, ฉบับที่ 6 มิถุนายน, ฉบับที่ 7 กรกฎาคม, ฉบับที่ 8 สิงหาคม, ฉบับที่ 9 กันยายน, ฉบับที่ 10 ตุลาคม, ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน, และฉบับที่ 12ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้านศาสนา ปรัชญา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภาษาศาสตร์ การศึกษาเชิงประยุกต์ รวมถึงสหวิชาการอื่นๆ</p> <p> บทความที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) 3 ท่าน พิจารณาตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะของกองบรรณาธิการ <strong>Journal of Roi Kaensarn Academi</strong> ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272705 สิทธิของคนพิการและข้อจำกัดในการได้รับสิทธิประโยชน์ของบัตรประจำตัวคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 2024-09-12T14:17:37+07:00 นันทิกา บุญอาจ puy_kp@hotmail.com เมตตา เลิศสิน puy_kp@hotmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสิทธิของคนพิการ มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของคนพิการตามกฎหมายต่างๆ ในประเทศไทยภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ค.ศ.2006 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจากการศึกษาพบว่าบทบัญญัติของกฎหมายของประเทศไทย กำหนดให้เฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าถึงสิทธิของคนพิการตามกฎหมาย จึงทำให้มีคนพิการจำนวนไม่น้อยที่สามารถเข้าถึงสิทธิตามกฎหมายที่ตนเองควรจะได้รับ เนื่องจากติดปัญหา ทางด้านต่างๆ จึงไม่สามารถไปดำเนินการทำบัตรคนพิการหรือต่ออายุบัตรคนพิการ ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดได้ มีผลทำให้คนพิการที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เข้าถึงสิทธิของคนพิการเพื่อรับการบริการต่างๆ และได้รับการบริการต่างๆจากทางรัฐอย่างไม่ทั่วถึง หรือถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับบริการจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 4 บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน ซึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ควรมีนโยบายในการดำเนินการเชิงรุกโดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการลงพื้นที่เข้าหาชุมชน ประสานงานกับผู้แทนชุมชน เพื่อค้นหาบุคคลที่มีภาวะความพิการทางที่กฎหมายกำหนด และให้ความช่วยเหลือทางด้านต่างๆแก่คนพิการอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ยังเป็นประโยชน์ทางด้านการพิจารณาความช่วยเหลือทางด้านต่างๆ ให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชิวิตของคนพิการอย่างเสมอภาคในสังคมต่อไป</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273569 The Application of Meishan Cultural Symbols in Painting 2024-09-19T19:41:09+07:00 Deng Yi praewpanprajakko@gmail.com Kosoom Saichai dy.art@qq.com <p> Meishan culture, a distinctive regional culture in southern China, has a long and rich history, encompassing diverse folk beliefs, artistic expressions, customs, and social structures. This paper explores the history and origins of Meishan culture, delving into its core elements and its transmission and development in modern society. By analyzing the extraction and transformation of Meishan cultural symbols and their application in art forms like painting, the unique value of Meishan culture in the modern context is revealed. Visual symbols of Meishan culture, such as paper-cutting, Nuo opera masks, and textile patterns, have been integrated with modern artistic forms, preserving their traditional characteristics while gaining new vitality in the context of globalization. This paper argues that the modern expression of Meishan culture not only enhances its dissemination and promotion across a broader spectrum but also offers valuable insights for the preservation and innovation of other local cultures. The transmission and innovation of Meishan culture demonstrate the importance of cultural diversity and the limitless possibilities of cultural integration. Meishan culture will continue to serve as a significant example of Chinese culture, providing abundant cultural resources and inspiration, contributing to the protection and development of cultural diversity.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273169 The Artificial Intelligence (Ai) Innovation in Academic Education Management: A Perspective From Educational Leadership 2024-09-12T13:43:32+07:00 Siriwan Khamyon khamyon.siriwan@yahoo.com <p> This article explores the transformative potential of Artificial Intelligence (AI) in academic education management, emphasizing its role from the perspective of educational leadership. As institutions face increasing demands for efficiency and personalized learning, AI emerges as a pivotal solution, aiding in decision-making, streamlining administrative processes, and personalizing educational experiences. The integration of AI, however, necessitates strong leadership, strategic planning, and a keen awareness of challenges such as data privacy, technological infrastructure, and ethical implications. The paper discusses the categorization of AI technologies, their applications in enhancing decision-making and operational efficiency, and the necessity for educational leaders to foster a culture of innovation and develop AI literacy among staff and students. The future of AI in education management hinges on effectively balancing technology advancements with ethical considerations, ultimately aiming to create a more inclusive and effective educational environment.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272787 ปัญหาทางกฎหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 2024-09-12T14:20:55+07:00 บรรจง วงค์สุนะ banjong52297569@gmail.com <p> บทความนี้มีวัตุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 ซึ่งพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นพระราชบัญญัติที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พระราชบัญญัติกำหนด กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีเพื่อกำหนดความผิดในการกระทำที่มี“ระบบคอมพิวเตอร์” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์นี้ เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์วางตัก คอมพิวเตอร์พกพา แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน รวมถึงระบบต่าง ๆ ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบควบคุมไฟฟ้า น้ำประปา ธนาคาร ฯลฯ<br /> เราต่างใช้อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แน่นอนว่าย่อมมีกลุ่มหรือบุคคลที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการกระทำความผิด หรือกระทำความผิดผ่านระบบเหล่านี้ เช่น ขโมยข้อมูล ป่วนข้อมูลและระบบให้เสียหาย การกระทำเหล่านี้ถือเป็นเรื่องใหม่ทุกวันนี้คนจำนวนมากใช้อินเทอร์เน็ตเป็นดังห้องสมุดขนาดใหญ่<br /> ความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ อาทิ การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทําความผิดอื่น การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ การทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272826 การวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและความหมายแฝงทางสุนทรียะของเพลงพื้นบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี 2024-09-26T19:22:48+07:00 เป้ย อัน an_bei@su.ac.th จื้อวาง หวัง an_bei@su.ac.th <p><span class="s6"><span class="bumpedFont15"> บทความนี้ใช้วิธีการที่ผสมผสานสุนทรียภาพทางดนตรีคติชนและสังคมวิทยาและตรวจสอบวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">วิวัฒนาการของประเภทและรูปแบบ</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">ตลอดจนหน้าที่และความหมายทางสังคมโดยผ่านการวิจัยวรรณกรรม</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">การวิเคราะห์กรณีศึกษาและภาคสนามแบบสำรวจ</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจลักษณะทางสุนทรีย์ของ</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">และการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้เชิงสุนทรีย์ที่เกิดขึ้น</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">และเพื่อเปิดเผยบทบาทของเพลงพื้นบ้านในการสืบทอดวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">บทความนี้วิเคราะห์คุณลักษณะเชิงสุนทรียศาสตร์อย่างลึกซึ้งจากมุมมองที่แตกต่างกัน</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">รวม</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">สามมุมมอง</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">ได้แก่</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">สุนทรียภาพทางดนตรี</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">คติชนวิทยา</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">และสังคมวิทยา</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15"> </span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ข้อสรุปหลักของการศึกษาคือ</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ไม่เพียงแต่</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">รักษาลักษณะความงามที่เป็นเอกลักษณ์</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">เท่านั้น</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของการรับรู้ด้านสุนทรียภาพในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ต่างๆ</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15"> </span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ในสังคมสมัยใหม่</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ต้องเผชิญกับความท้าทายสองประการคือการสืบทอดและนวัตกรรม</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">และจำเป็นต้อง</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ใช้</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">วิธีการสื่อสารสมัยใหม่และกลยุทธ์เชิงนวัตกรรมเพื่อ</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ให้</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">เพลงพื้นบ้าน</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">ได้</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">รักษาความมีชีวิตชีวา</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">และ</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">เสริมสร้างอัตลักษณ์ของชาติและความมั่นใจทางวัฒนธรรม</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">บทความนี้</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาเพลงพื้นบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี</span></span> <span class="s6"><span class="bumpedFont15">และให้มุมมองใหม่และการอ้างอิงสำหรับ</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">การศึกษา</span></span><span class="s6"><span class="bumpedFont15">เพลงพื้นบ้านในวงกว้าง</span></span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270399 Development a Teaching Model for Enhancing Normal University Students’ Creative Teaching Skills 2024-05-12T15:32:46+07:00 Liang Feng 1634057107@qq.com Marut Patphol 1634057107@qq.com <p> Creative teaching skills are very important in the cultivation of college students, and are closely related to issues related to creativity in fields such as psychology, sociology, education, and management (Sternberg, RJ 2000). For over a decade, the Vocational and Technical Teachers College of Guilin Guangxi Normal University in China has collaborated with various vocational schools both inside and outside the region to cultivate vocational teacher qualifications. This study has developed a new teaching model to enhance the creative teaching skills of university normal students in teacher education training courses. This study explores creative teaching skills and explores them from three parts: Observation Skills, Creative Thinking, and Creative Operational Skills. With the development of creative teaching models, specific examples are used to illustrate the practical exploration of teacher education courses for normal students based on the development of creative teaching models. The implementation of creative teaching skills in teacher education courses is studied and the development model is used to achieve three optimizations. This study conducted in-depth observations on 10 teachers and analyzed a sample of 68 students majoring in e-commerce at Guangxi Normal University. The collected data included interviews, observations, ratings for eight teaching units, and photos of the classroom environment. Through data analysis, the survey results show that teachers cultivate creative teaching skills in the classroom through teaching, curriculum, and environment. After learning and implementing the development model, students have significantly improved their creative teaching skills compared to before implementation. These findings have a significant impact on how teachers can cultivate creative teaching skills among Chinese university students. Based on the research of creative teaching skills, suggestions are proposed for resource sharing, cooperation and mutual assistance, collaborative promotion, and scientific integration, closely linking theoretical teaching with practice.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273568 The Application of Semiotics in the Artistic Innovation of Yellow River Painting 2024-09-19T19:45:30+07:00 Han Feiyan praewpanprajakko@gmail.com Kosoom Saichai wang6228768@163.com <p> This paper explores the application of semiotics in contemporary Yellow River painting art. The Yellow River culture is an important part of Chinese civilization, which is reflected in paintings and has profound historical and cultural value and deep artistic charm. This paper uses semiotics to reinterpret and reconstruct the symbols of Yellow River culture, and explores its expression and functional transformation in contemporary art. In addition, through advanced technology and media, it explores the integration of traditional art and modern forms, enriching the perspective and context of Yellow River culture. This integration promotes cultural innovation, expands the scope of dissemination, and highlights the important role of semiotics in the integration of tradition and modernity. Finally, this paper emphasizes the importance of semiotics in cultural protection and innovation, and emphasizes its far-reaching impact on global art development and cultural exchanges</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273819 The Dialectic of Art and Technology: Taking Percussion Elements in New Music Works as an Example 2024-09-29T14:09:02+07:00 Zhongwei Sun 510716549@qq.com Shang-Wen Wang 253841595@qq.com <p> The definition and development of art and technology have long been as difficult to distinguish and separate as the "twin brothers" of theory and practice, both from the understanding of ordinary audiences and at the philosophical level. This article, using specific works as examples, examines the definition and evolution of art and technology from the perspectives of audiences, performers, composers, and theorists. It aims to clarify the relationship between art and technology, progressing from concrete practice to ideological guidance. The methodology employs a multi-perspective approach, advancing from the basic sensory experiences of ordinary audiences through the technical displays of professional operations, and ultimately to the expansion, derivation, and leading iteration of theory. The results reveal a continuum of understanding, from fundamental perceptions to professional practices and theoretical frameworks. This research contributes to a more comprehensive understanding of the art-technology relationship, emphasizing the importance of considering multiple perspectives in its study and application.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273820 The Important Element of Combining Music and Painting in Tan Dun's "Eight Memories in Watercolor" - "Synesthesia" 2024-09-29T14:05:50+07:00 Zhang Yangxiaoxi 510716549@qq.com Shang-Wen Wang 317422016@qq.com <p> This study examines Tan Dun's "Eight Memories in Watercolor," a seminal work that exemplifies the composer's innovative approach to blending Eastern and Western musical traditions. Tan Dun, born in Hunan, China, draws deeply from his rich cultural heritage, particularly the Xiang-Chu music tradition, to create a unique compositional style. The research aims to analyze how this piece integrates Chinese traditional folk music with Western piano techniques and explores the representation of visual elements through musical expression. Employing a comprehensive analysis of the composition's cultural context, melodic structures, and the concept of synesthesia in music, the study reveals how Tan Dun transforms visual imagery into auditory experiences. Results demonstrate that "Eight Memories in Watercolor" successfully translates the visual beauty of Hunan's landscapes into musical form, creating a distinctive fusion of auditory and visual perceptions. Each of the eight pieces functions as a vivid watercolor painting, evoking strong nostalgic sentiments and showcasing the integration of heaven, earth, and human elements central to Chinese philosophical thought. The study concludes that Tan Dun's work represents a significant contribution to contemporary classical music, effectively bridging cultural divides and expanding the expressive possibilities of piano composition through its innovative use of musical symbolism to convey visual imagery.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274241 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่เชิงพาณิชย์ที่ยั่งยืนโดยใช้เทคนิคการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2024-10-17T17:47:21+07:00 ปิยดา ปัญญาศรี praewpanprajakko@gmail.com ธีรวุฒิ เอกะกุล praewpanprajakko@gmail.com <p> บทความวิชาการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ในการประยุกต์ใช้เป็นแนวทางหรือเครื่องมือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่เชิงพาณิชย์ที่ยั่งยืน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมาย กระบวนการ วิธีการและเครื่องมือของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม รวมถึงแสดงตัวอย่างความสำเร็จการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในชุมชนท้องถิ่น โดยเน้นที่การเพิ่มมูลค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การวิจัยและพัฒนา การอบรมและส่งเสริมทักษะให้กับชุมชน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ และการทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาด ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในชุมชนที่มีวัฒนธรรมและทรัพยากรที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนักวิจัยที่สามารถตอบคำถาม ทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อระบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยการเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างความรู้และการปฏิบัติผ่านการสอดแทรกทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย และเชื่อมั่นผลการวิจัยจากความร่วมมือและการสนับสนุนความสามารถของประชาชนและผู้มีส่วนร่วมนำไปสู่การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงระบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่เชิงพาณิชย์ที่ยั่งยืน สรุปบทความนี้เป็นการส่งเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่เชิงพาณิชย์ที่ยั่งยืน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทำให้ชุมชนมีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านขั้นตอนกระบวนการวิจัยสู่ความรู้</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274672 Full Issue 2024-11-02T03:40:37+07:00 บรรณาธิการ teedanai.kap@mcu.ac.th <p>.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270117 การพัฒนาทักษะการนำความรู้ไปใช้ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ โดยใช้หลักสูตรฝึกอบรม เสริมทักษะการนำความรู้ไปใช้ 2024-04-29T23:17:02+07:00 ประกอบกูล นาคพิทักษ์ prakobkul.04@gmail.com พรรณรายณ์ ทรัพย์แสนดี prakobkul.04@gmail.com พิบูลย์ ตัญญบุตร tagadanew2@gmail.com <p> ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ด้านที่ 3 กำหนดให้บัณฑิตต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์และใช้ความรู้ความเข้าใจในแนวคิด หลักการ ทฤษฎีและกระบวนการต่างๆในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ซึ่งเป็นทักษะการคิดที่ซับซ้อน ดังนั้น การพัฒนาทักษะการนำความรู้ไปใช้ซึ่งเป็นทักษะตัวสุดท้ายของทักษะการคิดที่เป็นแกน จึงเป็นความจำเป็นเพื่อใช้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทักษะการคิดที่ซับซ้อนต่อไปและทักษะการนำความรู้ไปใช้ควรได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบด้วยการรับการอบรมจากหลักสูตรฝึกอบรมที่มีประสิทธิผล<br /> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมทักษะการนำความรู้ไปใช้สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2) ศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เอกสารหลักสูตรฝึกอบรมเสริมทักษะการนำความรู้ไปใช้สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการนำความรู้ไปใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (<em>t-test</em>) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (<em>t-test</em> for Dependent Means)<br /> ผลการวิจัย พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. หลักสูตรฝึกอบรมเสริมทักษะการนำความรู้ไปใช้สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มีองค์ประกอบของหลักสูตร ประกอบด้วย ความเป็นมาของหลักสูตร หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ระยะเวลาการฝึกอบรม เนื้อหาสาระของหลักสูตร กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อการเรียนรู้ประกอบการฝึกอบรม การวัดและประเมินผลการฝึกอบรม และเอกสารประกอบหลักสูตร ได้แก่ คู่มือการดำเนินการฝึกอบรมสำหรับวิทยากร และคู่มือการดำเนินการฝึกอบรมสำหรับผู้เข้าอบรม และผลการประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ประสิทธิผลของหลักสูตร มีดังนี้ กลุ่มทดลองมีทักษะการนำความรู้ไปใช้หลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีทักษะการนำความรู้ไปใช้หลังการฝึกอบรมสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /></span> สรุปผล<br /> หลักสูตรฝึกอบรมเสริมทักษะการนำความรู้ไปใช้สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มีองค์ประกอบของหลักสูตร มีองค์ประกอบของหลักสูตร ดังนี้ ความเป็นมาของหลักสูตร หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ระยะเวลาการฝึกอบรม เนื้อหาสาระของหลักสูตร กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อการเรียนรู้ประกอบการฝึกอบรม การวัดและประเมินผลการฝึกอบรม และประสิทธิผลของหลักสูตร คือ ผู้เข้าอบรมมีทักษะการนำความรู้ไปใช้หลังการฝึกอบรมสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 80</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273417 รูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียนสำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2024-09-12T15:16:57+07:00 สนธญา ทรงทอง 6577701003@nstru.ac.th วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ 6577701003@nstru.ac.th นพรัตน์ ชัยเรือง 6577701003@nstru.ac.th <p> การวิจัยแบบผสานวิธี วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา และ 3) เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา ดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนสำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมายเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูล จำนวน 5 คน ผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 353 คน ขั้นตอนที่ 2 ยกร่างรูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงระสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา และขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และสัมมนากลุ่มผู้ปฏิบัติ จำนวน 9 คน<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /> ผลศึกษาสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนสำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนโดยรวมพบว่า ความเหมาะสมในการนำไปปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด<br /> ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา การน้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ 10 สู่การปฏิบัติ” โดยใช้ SIMCIPO MODEL วัตถุประสงค์หลัก คือ พัฒนาการบริหารงานกิจการนักเรียนเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามพระบรมราโชบายของสถานศึกษา ของในหลวงรัชกาลที่ 10 <br /> ตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานกิจการนักเรียน สำหรับการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสถานศึกษา พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน ว่าอยู่ในระดับมากในทุกข้อ และผลประเมินประสิทธิภาพ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273285 สืบสานตำนานเสื่อกกจันทบูร ภูมิปัญญาท้องถิ่นบนฐานอัตลักษณ์วิถีชุมชน กรณีศึกษาบ้านท่าแฉลบ ตำบลบางกะจะ จังหวัดจันทบุรี โดยผ่านกระบวนการจัดการความรู้ 2024-09-07T10:18:33+07:00 ฬิฏา สมบูรณ์ researchlita@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสนองพระราชดำริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ 2) เพื่อสร้างกระบวนการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นบนฐานอัตลักษณ์วิถีชุมชน กรณีศึกษาบ้านท่าแฉลบ ตำบลบางกะจะ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 3) เพื่อถ่ายทอดการสืบสานตำนานเสื่อกกจันทบูร ภูมิปัญญาท้องถิ่น บนฐานอัตลักษณ์ วิถีชุมชน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอเสื่อกก บ้านท่าแฉลบ ตำบลบางกะจะ จังหวัดจันทบุรี จำนวน 20 คน โดยใช้หลักเกณฑ์การคัดเลือก คือ 1) มีจิตอาสา 2)มีการทอเสื่อกกอย่างต่อเนื่อง 3) มีประสบการณ์ในการทอเสื่อ 4) มีผลงานการทอเสื่อกกเป็นที่ยอมรับของชุมชน เครื่องมือที่ใช้ครั้งนี้คือ สัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้วิถีชุมชนดั้งเดิมมีความยั่งยืน<br /></span> 2. การสร้างกระบวนการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นบนฐานอัตลักษณ์วิถีชุมชนบ้านท่าแฉลบ ใช้กระบวนการจัดการความรู้ 5 ขั้นตอน คือ รวมใจ ร่วมร่างเป้าหมาย รวมประสบการณ์ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมแบ่งปัน รังสรรค์และใช้ประโยชน์<br /> 3.ผลถ่ายทอดการสืบสานตำนานเสื่อกกจันทบูร ภูมิปัญญาท้องถิ่น บนฐานอัตลักษณ์ วิถีชุมชน ได้หนังสือที่รวบรวมองค์ความรู้ แบ่งออกเป็น 4 บท ดังนี้ บทที่ 1 ตำนานเสื่อจันทบูรและวิถีดั้งเดิม บทที่ 2 การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นบนฐานอัตลักษณ์ชุมชน การทอเสื่อจันทบูร บทที่ 3 กว่าจะมาเป็นลายเสื่อจันทบูร บทที่ 4 โจทย์ยากสร้างความท้าทาย</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273534 การพัฒนาคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง 2024-09-20T23:35:59+07:00 สุธาสินี ถีระพันธ์ suthasinee.t@msu.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง และ 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยแบ่งการดำเนินการวิจัยเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสังเคราะห์และตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหาคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง และขั้นตอนที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพของคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง กลุ่มตัวอย่างในการทดลองใช้คู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้องใช้วิธีการการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) คือ นิสิตเอกขับร้อง วิทยาลัยดุริยางคคิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการหาความเชื่อมั่นของผู้ประเมิน (RAI) การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยสูตร Pearson Product Moment และหาคุณภาพด้านความเชื่อมั่นของแบบวัดเจตคติด้วยสูตร α - Coefficient ของ Cronbach<br /> ผลการศึกษา พบว่า คู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้องประกอบไปด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 บทนำ ส่วนที่ 2 องค์ประกอบของการประเมินทักษะการขับร้อง ส่วนที่ 3 แนวทางการประเมินทักษะการขับร้อง ส่วนที่ 4 ตัวอย่างแบบประเมินทักษะการขับร้องและแบบประเมินเจตคติต่อการขับร้อง ซึ่งเกณฑ์การประเมินทักษะการขับร้องกำหนดไว้ทั้งหมด 7 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความถูกต้องของจังหวะและระดับเสียง 2) ด้านเทคนิคการขับร้อง 3) ด้านความชัดเจนของภาษา 4) ด้านสำเนียงเสียงในการขับร้อง 5) ด้านการถ่ายทอดอารมณ์เพลง 6) ด้านความจำ และ 7) ด้านบุคลิกภาพ รายการประเมินประกอบด้วย 11 ข้อ คือ ข้อที่ 1 ความถูกต้องของจังหวะ ข้อที่ 2 ความถูกต้องของทำนองเพลง ข้อที่ 3 ความแม่นยำและความแข็งแรงในการปฏิบัติขับร้องเสียงสูง ข้อที่ 4 ความแม่นยำและความแข็งแรงในการปฏิบัติขับร้องเสียงต่ำ ข้อที่ 5 ความชัดเจนในการปฏิบัติเทคนิคเฉพาะของบทเพลง ข้อที่ 6 ออกเสียงภาษาได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ข้อที่ 7 ความถูกต้องและความเหมาะสมของสำเนียงเสียงที่ขับร้องกับประเภทบทเพลงที่ขับร้อง ข้อที่ 8 การถ่ายทอดอารมณ์เพลงผ่านสีหน้า แววตา และท่าทาง ข้อที่ 9 ความแม่นยำในเนื้อหาของบทเพลงที่ใช้ในการขับร้อง ข้อที่ 10 ความเหมาะสมของท่าทางการยืนและการจับไมค์โครโฟน และข้อที่ 11 แต่งกายได้เหมาะสมกับบทเพลงที่ขับร้อง ผลการหาคุณภาพของคู่มือวิธีการประเมินทักษะการขับร้อง พบว่า ค่าความเชื่อมั่นของผู้ประเมิน (RAI) เท่ากับ 0.992 จึงถือได้ว่าแบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคุณภาพด้านความเชื่อมั่นของผู้ประเมิน 2 คน แสดงให้เห็นว่าแบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคุณภาพด้านความเชื่อมั่นในระดับที่เชื่อถือได้ ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมิน เท่ากับ 0.952 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แบบประเมินมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับที่สูงและเหมาะสม อีกทั้งค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดเจตคติมีค่าเท่ากับ 0.851 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแบบวัดเจตคติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคุณภาพด้านความเชื่อมั่นของแบบวัดค่อนข้างสูง</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273094 การถอดบทเรียนการประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard ในการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ กรณีศึกษา: วาสนาปาร์ค รีสอร์ท คำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี 2024-09-06T22:59:08+07:00 อระยา เทวารุทธ oraya.t@kkumail.com ศักดิ์ชัย เจริญศิริพรกุล sakchaij@kku.ac.th <p> การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนจากการประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (การประเมินแบบสมดุล) ในการนํากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดและหลักการของ Kemmis and McTaggart ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผนปฏิบัติ 2) การลงมือปฏิบัติ 3) การสังเกต และ 4) การสะท้อนผลการปฏิบัติการ โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 วงจร ใช้เวลาในการดำเนินการศึกษา 2 เดือน โดยสรุปผลการถอดบทเรียนจากการศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของพนักงานวาสนาปาร์ค รีสอร์ท คำชะโนด จำนวน 22 คน โดยเป็นการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้สะท้อนผลได้แก่ 1) แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วมขณะประชุม 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อสัมภาษณ์ความคิดเห็นพนักงานหลังจากมีการประชุม 3) แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมเพื่อติดตามการปฏิบัติงานในระยะเวลา 1 เดือน 4) แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อสัมภาษณ์ความคิดเห็นหลังจากมีการดำเนินการในระยะเวลา 1 เดือน โดยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบสามเส้า<br /> ผลการศึกษาพบว่า การสื่อสารวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรทำให้พนักงานมีความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางและบทบาทของตนเองรวมถึงผู้อื่นในองค์กรการมีส่วนร่วมของพนักงานในกระบวนการกำหนดแบบวัดผลส่วนบุคคลยังช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งผลที่ตามมาคือพนักงานสามารถปรับปรุงการทำงานและบริหารจัดการเวลาของตนเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การทำงานในองค์กรยังดำเนินไปอย่างราบรื่นอีกทั้งบรรยากาศการทำงานก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270368 การจัดการความรู้การปลูกพลูและส่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลู ตำบลสนามชัย อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 2024-05-12T14:50:49+07:00 เยาวลักษณ์ ตระกูลเมฆี yaowalak@hu.ac.th สายสุดา สุขแสง yaowalak@hu.ac.th วิมล งามยิ่งยวด yaowalak@hu.ac.th ณัฐกา นาเลื่อน yaowalak@hu.ac.th พรเพ็ญ อำนวยกิจ yaowalak@hu.ac.th <p> การจัดการความรู้การปลูกพลูและส่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลู ต.สนามชัย อ.สทิงพระ จ.สงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) จัดการองค์ความรู้การปลูกพลู 2) ส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลู เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลู จำนวน 26 คน คัดเลือกด้วยวิธีแบบเจาะจง เครื่องมือใช้แบบสัมภาษณ์เก็บข้อมูล ด้วยวิธีการประชุมกลุ่มย่อย การระดมสมอง และการจัดการความรู้ ในรูปแบบบรรยายเชิงพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ความรู้การปลูกพลูเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ซึ่งสืบทอดต่อกันมาโดยไม่ได้รับการพัฒนาและมีการแลกเปลี่ยนความรู้เฉพาะในกลุ่มเครือญาติ ในส่วนการจัดการวิสาหกิจชุมชน สมาชิกมีความรู้ไม่เพียงพอต่อการบริหารงานของกลุ่ม การบริหารของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลูจึงขาดความเป็นระบบ สมาชิกยังขาดแรงจูงใจในการเข้ากลุ่ม และจากการบูรณาการศาสตร์ด้านการจัดการและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การศึกษาได้พบแนวทางส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพลู ดังนี้ 1) ควรกระจายความรู้ด้วยการจัดการความรู้อย่าง เป็นระบบและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร 2) เผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ไปยังผู้ปลูกพลูและผู้สนใจ คนรุ่นใหม่ 3) สร้างศูนย์รวมความรู้และทักษะการปลูกพลูในชุมชน และ 4) ให้ความรู้กระบวนการจัดการกลุ่มแก่คณะกรรมการวิสาหกิจชุมชน ผลการศึกษานอกจากจะทำให้สมาชิกของวิสาหกิจชุมชนและผู้สนใจในชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการจัดการองค์ความรู้การปลูกพลูเพื่อสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษและอาชีพปลูกพลูให้คงอยู่ต่อไปแล้ว ยังทำให้วิสาหกิจชุมชนมีแนวทางพัฒนาตนเองได้อีกด้วย</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270029 การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร บนฐานของวิถีชีวิตเกษตรกรรูปแบบใหม่ จังหวัดนครนายก 2024-04-27T21:54:19+07:00 เพ็ญพักร์ศิณา วิเชียรวรรณ penpaksina_noo@hotmail.com มงคลชัย บุญแก้ว noo.penpaksina@gmail.com รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์ noo.penpaksina@gmail.com วริษฐา แก่นสานสันติ noo.penpaksina@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแนวทางการจัดการห่วงโซ่คุณค่ากิจกรรมของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร บนฐานของวิถีชีวิตเกษตรกรรูปแบบใหม่ จังหวัดนครนายก ดําเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เครื่องมือการวิจัยโดยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ในการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ไปยังผู้ให้ข้อมูลหลัก จํานวน 46 คน ได้แก่ ผู้ประกอบการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำจังหวัด เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร รวมทั้งนักท่องเที่ยว ซึ่งใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ตลอดจนมีการค้นคว้ารวบรวมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต บทความหนังสือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ แล้วนํามาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ<br /> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า แนวทางการจัดการห่วงโซ่คุณค่ากิจกรรมของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร บนฐานของวิถีชีวิตเกษตรกรรูปแบบใหม่ ได้แก่ 1. การออกแบบกิจกรรมของแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยการการบูรณาการด้านการจัดกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ การเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรมของแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร แก่ผู้มาเยือนที่อาจไม่ได้มาเที่ยวโดยตรง แต่มาซื้อของ มาดูการสาธิตการเกษตร การปลูกผักผลไม้ สำหรับประเภทการท่องเที่ยวแบบการเยี่ยมชมหรือแวะซื้อผลิตภัณฑ์ระหว่างเส้นทางท่องเที่ยว รวมทั้งสำหรับประเภทท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ 2. ความสามารถของผู้ปฏิบัติงานสามารถอธิบายกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรรูปแบบการสาธิต และการให้ความรู้แหล่งท่องเที่ยว มีการเตรียมขั้นตอนต่าง ๆ ของการผลิตทั้งวัตถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ เพื่อสาธิตต่อนักท่องเที่ยวที่เยี่ยมชมกิจกรรมท่องเที่ยว 3. กระบวนการให้บริการของแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ ความแน่นอนในการจัดการเวลา ความยืดหยุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ เกี่ยวกับโปรแกรมโดยละเอียดของกิจกรรมที่จะดำเนินการทำให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจโดยให้คุณค่าเพิ่มเติมแก่สถานที่ท่องเที่ยวที่เยี่ยมชม 4. บริการหลังการขายเป็นบริการที่ใช้ในการเพิ่มหรือรักษามูลค่าเพิ่มของบริการท่องเที่ยว ได้แก่ ความพึงพอใจและความไม่พอใจของนักท่องเที่ยวกับแหล่งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการติดตามความพึงพอใจหลังรับบริการ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวกับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273492 A Causal Model of Talent Management on Organizational Performance: An Empirical Study of SF Listed Logistics Enterprises in China 2024-09-17T11:37:46+07:00 Li Yulong dr.maneekanya@gmail.com Maneekanya Nagamatsu dr.maneekanya@gmail.com Chaiyanant Panyasiri dr.maneekanya@gmail.com <p><strong> Objectives:</strong> The objectives of this study are: 1) To determine the factors of talent management that significantly impact the organizational performance of SF listed logistics companies. 2) To determine how the organizational commitment variable as a mediator impacts the organizational performance of SF listed logistics companies. 3) To develop a model of talent management for the organizational performance of SF logistics enterprises in China<a name="_Toc364608186"></a><a name="_Toc364608272"></a>.<br /><strong> Research Method: </strong>The quantitative method and in-depth interview method of purposeful sampling technique were used in this study.<br /><strong> Samples:</strong> This study takes SF Express as an example, which is the largest company in China in terms of business scale, number of employees, and business scope.<br /><strong> Instrument:</strong> Questionnaires were distributed to 420 SF Express employees, 406 valid questionnaires were received, and in-depth interviews were conducted with 21 managers.<br /><strong> Analysis:</strong> The conclusion of this study comes from the data analysis and statistics of SPSS and AMOS software.<br /><strong> Results: </strong>This study studies the relationship between talent management and organizational performance of SF Express-listed logistics companies. The results show that there is a significant correlation between talent management, organizational commitment, and organizational performance, and organizational commitment plays an intermediary role in these relationships.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273673 รูปแบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 2024-09-24T18:32:50+07:00 อธิพงษ์ เพชรสุทธิ์ tanaporn_10320@nmc.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก 2) พัฒนารูปแบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก และ 3) ประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ ผู้บริหารโรงเรียนและข้าราชการครูโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 128 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มแบบแบ่งชั้นสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ชำนาญการ เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์นำข้อมูลภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมาวิเคราะห์เนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสภาพการดำเนินงานนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) รูปแบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) วิธีดำเนินงานของรูปแบบ 4) แนวการประเมินรูปแบบและ5) ผลที่ได้จากการใช้รูปแบบ 3) ผู้ประเมินมีความคิดเห็นต่อรูปแบบนวัตกรรมการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272842 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชาแคลคูลัส 2 เรื่องการประยุกต์ใช้แคลคูลัสในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพื่อส่งเสริมทักษะ การใช้สื่อการสอนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด 2024-08-29T13:47:32+07:00 นรินทรา มิ่งโอโล nusharin_m@kkumail.com <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชาแคลคูลัส 2 เรื่องการประยุกต์ใช้แคลคูลัสในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพื่อส่งเสริมทักษะการใช้สื่อการสอนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่องการประยุกต์ใช้แคลคูลัสในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดด้วยการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน และ 3) เพื่อศึกษาทักษะการใช้สื่อการสอนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน จำนวน 23 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน 3) แบบวัดทักษะการใช้สื่อการสอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ ทดสอบสถิติด้วยค่า t (t-test แบบ Dependent Sample)<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.87/81.09 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ความสามารถทางการเรียนรู้ของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ทักษะการใช้สื่อการสอนหลังเรียนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน อยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273318 ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของเจเนอเรชั่นซีในจังหวัดตรัง 2024-09-12T13:39:20+07:00 ณรงค์ฤทธิ์ ปริสุทธิ์กุล narongrit.p@psu.ac.th <p><span style="font-size: 0.875rem;"> การนำนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และรัฐบาลดิจิทัลไปปฏิบัติจะสำเร็จไม่ได้หากประชาชนในประเทศขาดความรู้เรื่องความเป็นพลเมืองดิจิทัล โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นซี ดังนั้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของเจเนอเรชั่นซีในจังหวัดตรัง 2.ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเป็นพลเมืองดิจิทัลของเจเนอเรชั่นซีในจังหวัดตรัง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 384 คน สุ่มข้อมูลแบบโควต้า ในแต่ละเขตอำเภอ และเลือกตัวอย่างแบบเป็นระบบ ใช้แบบสอบถามปลายปิด มีค่าความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis, MRA) </span>ผลวิจัยพบว่า 1.เจเนอเรชั่นซีมีความเป็นพลเมืองดิจิทัลในภาพรวมอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านกิจกรรมบนสื่อสังคมดิจิทัลสูงที่สุด รองลงมาคือด้านจริยธรรมทางดิจิทัล ด้านการใช้งานระบบดิจิทัล ตามลำดับและน้อยที่สุดคือด้านการรักษาอัตลักษณ์และข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในระดับสูง และ 2.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเป็นพลเมืองดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 คือด้านการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม (X3) ด้านการรับรู้ความสามารถดิจิทัลของตนเอง(X2) และด้านทัศนคติ (X1) ซึ่งพบว่าทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ความเป็นพลเมืองดิจิทัลได้ร้อยละ 68.3 จากผลการวิจัย การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม การรับรู้ความสามารถดิจิทัลของตนเอง และทัศนคติ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นพลเมืองดิจิทัลของเจเนอเรชั่นซีในประเทศไทย</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273019 การวิเคราะห์องค์ประกอบรูปแบบการบริหารจัดการสมาคมกีฬาฟุตวอลเลย์แห่งประเทศไทย สู่ความเป็นเลิศ 2024-09-17T20:05:25+07:00 กิตติพงษ์ โพธิมู thitipong.petnsu@gmail.com ภัททิยา โพธิมู thitipong.petnsu@gmail.com ศิริวรรณ สุขดี thitipong.petnsu@gmail.com ธิติพงษ์ สุขดี thitipong.petnsu@gmail.com <p> การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบรูปแบบการบริหารจัดการสมาคมกีฬาฟุตวอลเลย์แห่งประเทศไทยสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ผู้ฝึกสอนและนักกีฬา ปี 2567 จำนวน 285 คน ได้มาจากสุ่มตัวอย่างจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหารจัดการสมาคมกีฬาฟุตวอลเลย์แห่งประเทศไทยสู่ความเป็นเลิศ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 และค่า α = 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง โดยวิธี Maximum Likelihood (ML) ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ด้วย ค่า p-value ไค-สแควร์สัมพัทธ์ ดัชนี GFI, AGFI, NFI, Standardized RMR และ RMSEA ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบรูปแบบการบริหารจัดการสมาคมกีฬาฟุตวอลเลย์แห่งประเทศไทยสู่ความเป็นเลิศอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) โมเดลรูปแบบการบริหารจัดการสมาคมกีฬาฟุตวอลเลย์แห่งประเทศไทยสู่ความเป็นเลิศสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยด้านที่มีน้ำหนักความสำคัญมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ การจัดองค์กรการบริหารจัดการและนโยบายด้านกีฬาของรัฐ การสร้างพื้นฐานด้านกีฬาและขยายฐานนักกีฬาและผู้เกี่ยวข้องด้านกีฬา และการพัฒนาผู้ฝึกสอนและบุคลากรด้านกีฬา</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270437 The Sanjiang Dong Peasant Life Painting: Representation in the Context of Social Change in China 2024-05-12T15:17:46+07:00 Na Yang 1256536894@qq.com Metta Sirisuk sirisuk83@hotmail.com <p> The objectives of this study are 1) the representation of Sanjiang Dong peasant life paintings during the social construction period. 2) the representation of Sanjiang Dong peasant life paintings during the Reform and opening up period. 3) the representation of Sanjiang Dong peasant life paintings in the 21st century - 2023. The samples of the study are Liu Keqing, Yang Peishu, Yang Gongcun, Yang Gongguo, Chen Meimei, Wu Jianchun, and Rong Xuelian, who are the representative creators of peasant life paintings in social construction period, Reform and opening up up period, and the 21st century-2023 period. The research tools are Record book, drawing, Interview questionnaire, Tools for recording audio and video, namely cameras and camcorders.This paper adopts a qualitative research methodology, using literature collection and field survey as the focus . On the one hand, the Sanjiang Dong peasant life painting is excavated through literature to summarize the previous research. On the other hand, according to the research objectives of the thesis, field survey was conducted in Sanjiang Dong Autonomous County to collect relevant data.<br /> The results of the research are as follows: 1. Sanjiang Dong peasant life paintings represent "Political Propaganda" in the social construction period, which express the happy and optimistic life of peasants, the image of the main character and the ideal life in the countryside. 2. Sanjiang Dong peasant life paintings represent "Regional Folklore" in the Reform and opening up period. 3. During the period of reform and opening up, Sanjiang Dong peasant life paintings represent "regional folklore", expressing the native soil, the spirit of national culture and the aesthetics of folk art. 3. 21st century-2023 Sanjiang Dong peasant life paintings represent "cultural products", expressing for the sake of expression, expressing the native soil, the spirit of national culture and the aesthetics of folk art. 4. The aesthetics of folk art. Suggestions: 1. Provide a new model and a new research perspective for other folk art studies. 2. Provide reference for the government to formulate policies and measures for the development, promotion and support of Sanjiang Dong peasant life painting. 3. 3. Sanjiang Dong peasant life painting has high research value, attracting more experts and scholars to understand the Dong, Sanjiang County, peasants, etc., and bringing greater social influence to Sanjiang Dong peasant life painting. </p> <p><strong> </strong></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270350 การตลาดเชิงสัมพันธ์ การรับรู้คุณค่าและความพึงพอใจที่มีต่อความภักดี: บทบาทภาพลักษณ์ของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนในสาธารณรัฐประชาชนจีน 2024-05-09T20:55:35+07:00 หลิว จิง frances24lj@gmail.com นภาวรรณ เนตรประดิษฐ์ 977365898@qq.com ทัดพงศ์ อวิโรธนานนท์ 977365898@qq.com <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความสำคัญของการตลาดเชิงสัมพันธ์ การรับรู้คุณค่า ความพึงพอใจ ความภักดีและภาพลักษณ์ (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการตลาดเชิงสัมพันธ์ การรับรู้คุณค่าและความพึงพอใจที่มีต่อความภักดี: บทบาทภาพลักษณ์ของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน และ (3) เพื่อศึกษาบทบาทภาพลักษณ์ของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนที่ไปกำกับเส้นทางความพึงพอใจและคุณค่าการรับรู้ไปสู่ความภักดีในแบรนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคชาวจีนที่อาศัยหรือทำงานอยู่ใน 3 เมือง คือ นครเซี่ยงไฮ ปักกิ่งและเซินเจิ้นมีประสบการณ์หรือเคยใช้แบรนด์สมาร์ทโฟนแบรนด์จีนตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป จำนวน 5 แบรนด์ เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ สถิติพรรณนาหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมานวิเคราะห์ด้วยตัวแบบสมการโครงสร้าง<br /> ผลวิจัยพบว่าทุกปัจจัยสำคัญระดับมาก โดยเรียงจากมากไปหาน้อย คือ ความพึงพอใจ ความภักดีในแบรนด์ การตลาดเชิงสัมพันธ์ ภาพลักษณ์แบรนด์ และการรับรู้คุณค่า โดยการตลาดเชิงสัมพันธ์มีความสัมพันธ์ทางตรงต่อการรับรู้คุณค่ามากที่สุด รองลงมา คือ การรับรู้คุณค่ามีความสัมพันธ์ทางตรงต่อความภักดีในแบรนด์ การตลาดเชิงสัมพันธ์มีความสัมพันธ์ทางตรงต่อความพึงพอใจ และความพึงพอใจมีความสัมพันธ์ทางตรงต่อความภักดีในแบรนด์ ผลการวิเคราะห์บทบาทภาพลักษณ์ของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนที่ไปกำกับเส้นทางความพึงพอใจและคุณค่าการรับรู้ไปสู่ความภักดีในแบรนด์มีอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 (β5=0.009, t=1.062) ยกเว้นการกำกับเส้นทางด้วยภาพลักษณ์แบรนด์จากความพึงพอใจไปสู่ความภักดีในแบรนด์ ไม่มีนัยสำคัญ (β6=-0.004, t=-0.696) การสร้างภาพลักษณ์ การเชื่อมโยงคุณค่าและคุณลักษณะเชิงบวกของแบรนด์สามารถเสริมสร้างความพึงพอใจและความภักดีในแบรนด์ได้ หากผู้ประกอบการได้ให้ความสำคัญและวิเคราะห์ภาพลักษณ์แบรนด์อย่างถ่องแท้ ผ่านการทำความเข้าใจและการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่เหมาะสม</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273457 การสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกับชุมชนและการพัฒนาผู้ประกอบการ จากฐานทุนวัฒนธรรม อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-09-15T10:42:17+07:00 ธีระพงษ์ ทศวัฒน์ tteerapong10@gmail.com ลักษณพร โรจน์พิทักษ์กุล tteerapong10@gmail.com ลักคณา น้อยสว่าง tteerapong10@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบและกลไกความร่วมมือภาคีเครือข่ายในพื้นที่อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อำเภอบ้านโพธิ์จังหวัดฉะเชิงเทรา การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายในการทำงานการจากฐานทุนวัฒนธรรม และการพัฒนาผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการในการวิจัย ได้แก่ ผู้ประกอบการวัฒนธรรม ผู้ผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม ศิลปินพื้นบ้าน จำนวน 30 ราย โดยเป็นผู้ที่เข้าร่วมโครงการวิจัยและผ่านกระบวนการเรียนรู้และเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมตลอดโครงการวิจัย<br /> ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาภาคีเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนมีการดำเนินการจัดการพื้นให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือนำในการขับเคลื่อนและการหลอมรวมผู้คนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งนำทุนวัฒนธรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าของชุมชน โดยความร่วมมือในพื้นที่เป็นลักษณะการประสานงานของภาคประชาชนและหน่วยงานภาครัฐในการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ดังเช่น การจัดงานแห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำ การจัดพื้นที่ตลาดชายน้ำวัดสนามจันทร์ การให้ศิลปินท้องถิ่นได้มีเวทีแสดงในโรงเรียนและงานที่ชุมชนจัดขึ้น และความร่วมมือจากภายนอก ได้แก่ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) มีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการเล่าเรื่อง (Storytelling) การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro-tourism) การสืบทอดภูมิปัญญาด้านศิลปะการแสดง (Performing arts) และการพัฒนาตลาดชายน้ำวัดสนามจันทร์ ให้กลายเป็นพื้นที่จำหน่ายสินค้าของชุมชนและศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมของชุมชน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273838 การสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง จังหวัดสงขลา 2024-09-30T13:53:18+07:00 มณี ศรีสมุทร korphai2024@gmail.com วิทยาธร ท่อแก้ว Korphai2024@gmail.com สุรสิทธิ์ ศรีสมุทร Korphai2024@gmail.com <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวความคิดการสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง 2) ศึกษาหลักการสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง และ 3) ศึกษากลยุทธ์การสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้บริหารนโยบาย นายกเทศมนตรี ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และงบประมาณ หัวหน้าระดับปฏิบัติการ หัวหน้าฝ่ายบริการและเผยแพร่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างข้อสรุปเชิงพรรณนาความตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย<br /> ผลการศึกษา 1. แนวความคิดการสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง ประกอบด้วย 1) ภายใต้แนวความคิดเขารูปช้างเมืองน่าอยู่ 2) เปิดโอกาส ให้ประชาชนแสดงความรู้สึกคุณภาพชีวิตที่ดี 3) มีคุณค่าและผลประโยชน์ สื่อสารเพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าและผลประโยชน์ สะอาด ปลอดภัย การคมนาคมสะดวก 2. หลักการสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง ประกอบด้วย 1) กระชับตรงประเด็น โปร่งใส ไม่ซับซ้อน การสื่อสารที่ชัดเจน 2) การมีส่วนร่วม กำหนดและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และนโยบาย และมีเจ้าของร่วมในกระบวนการพัฒนา 3) มีการสื่อสารสองทาง สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเพิ่มความไว้วางใจ 4) ใช้สื่อที่หลากหลาย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน 5) สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารและประชาชน 6) มีการประเมินผลการสื่อสารสม่ำเสมอ 3. กลยุทธ์การสื่อสารวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง 1) ออกแบบเนื้อหาสาร กำหนดแนวคิดหลัก มีโครงสร้างเนื้อหา ใช้ภาษาที่ชัดเจนเข้าใจได้ง่าย 2) จัดเนื้อหาสารอย่างเป็นระบบ 3) ใช้สื่อที่หลากหลาย ใช้สื่อใหม่ โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ท้องถิ่น การใช้สื่อดั้งเดิม วิทยุ เสียงตามสาย สื่อสิ่งพิมพ์ 4) การสร้างเครือข่ายสื่อสารผ่านผู้ใหญ่บ้าน 5) การปรากฏตัวของนายกเทศมนตรีในกิจกรรมชุมชน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273281 The Influence of Social Responsibility of Internet Celebrities on Brand Loyalty of Chinese Consumers in Jiangsu Province 2024-09-09T17:58:44+07:00 Xuerui Wang 2007030005@students.stamford.edu Lu Suo suo.lu@stamford.edu <p> This study aims to explore the impact of Internet celebrities' social responsibility on consumer brand loyalty. The research questions include: (1) Identify the social responsibility issues faced by Internet celebrities; (2) Determine the social responsibilities they should fulfill; (3) Identify the mediating variables and moderating variables in the social responsibility relationship and their influencing mechanisms. To this end, a structured interview was conducted with 30 experts in Jiangsu Province who have conducted in-depth research on the social responsibility of Internet celebrities and consumer brand loyalty. Data saturation was reached after the 14th expert was interviewed. The test-retest method was used to evaluate the reliability of the interview questions, and the member checking method was used to verify the validity of the interview results. Qualitative content analysis was used to analyze the fulfillment of Internet celebrities' social responsibilities and their impact on brand loyalty.<br /> The research results show that: (1) Internet celebrities often face problems such as the inability to guarantee product quality and false product introduction, which highlights the necessity of fulfilling their responsibilities such as guaranteeing product quality and providing accurate product information. (2) Brand trust, brand reputation and perceived value are important mediating variables between the social responsibility of Internet celebrities and brand loyalty, among which brand trust is the most critical mediating variable; (3) Internet celebrity popularity, professionalism and interactivity are key moderating variables that affect the relationship between social responsibility and mediating variables, among which popularity is the most critical moderating variable. In short, this study identified and clarified the mediating and moderating variables between Internet celebrities' social responsibility and consumer brand loyalty, providing inspiration for academia and industry to improve brand loyalty through the social responsibility behavior of Internet celebrities.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273046 The Influential Factors Affecting the Exercise Habits of Ethnic University Students at Kunming University: An Analysis Based on AMOS Structural Equation Modeling 2024-08-29T13:41:00+07:00 Shaodong Yu ekasak.he@udru.ac.th Ekasak Hengsuko ekasak.he@udru.ac.th Kreeta Promthep ekasak.he@udru.ac.th <p> This study investigates the factors influencing exercise habits among ethnic university students at Kunming University, utilizing a sample of 1,017 students. The Delphi method identified 24 factors that influence the exercise habits of ethnic minority university students. Exploratory factor analysis was then conducted to further analyze the data, leading to the development of a model of these influencing factors, which was empirically tested using AMOS software. The findings suggest that exercise habits among ethnic university students are shaped by multiple factors, with individual influences being the most significant, followed by family, campus, and societal influences. This study provides theoretical insights for improving physical activity among ethnic university students, and based on these findings, several recommendations</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/269857 รูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2024-04-27T21:50:01+07:00 ปิลันธ์ ปาวิชัย pirunpa@gmail.com สถิรพร เชาวน์ชัย pilanp@nu.ac.th ทัศนะ ศรีปัตตา pilanp@nu.ac.th ฉลอง ชาตรูประชีวิน pilanp@nu.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน และศึกษาสถานศึกษาที่มีการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) จำนวน 3 แห่ง 2) การสร้างรูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยนำข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 มายกร่างการพัฒนารูปแบบและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบด้วยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ (Focus Group) จำนวน 9 คน 3) การประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา ในเขตภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 317 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น ผลการวิจัย พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. รูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ 2) ประเภทของแหล่งเรียนรู้ 3) กระบวนการบริหารแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน 4) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ และ 5) คุณภาพผู้เรียน ผลการตรวจสอบรูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่ามีความเหมาะสม<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า มีความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ผ่านเกณฑ์การประเมิน</span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273290 การวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ คุณภาพข้อมูล ทางการบัญชีและความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมในประเทศไทย 2024-09-07T09:05:13+07:00 พีรพัฒน์ หมั่นจิตร์ phiraphat23051990@gmail.com ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์ phiraphat23051990@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของคุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ คุณภาพข้อมูลทางการบัญชี และความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย (2) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ คุณภาพข้อมูลทางการบัญชี และความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย โดยจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ ตำแหน่ง และกลุ่มธุรกิจ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ทำบัญชีของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย คำนวณขนาดตัวอย่างตามสูตรของทาโร ยามาเน่ ได้จำนวน 400 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ทำบัญชีของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ คุณภาพข้อมูลทางการบัญชี ความเจริญเติบโต และคุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับมาก และพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ตำแหน่ง และกลุ่มธุรกิจ มีระดับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273042 The Applying of Jerry Bergonzi’s Improvisation Method for Writing a Guitar Practice Book for Teaching the First Year Students at Sichuan Conservatory of Music 2024-09-06T22:55:08+07:00 Zhao Ho meesonp@hotmail.com Pranote Meeson meesonp@hotmail.com <p> The objectives of this research were: 1) To study the improvisation method from Jerry Bergonzi's textbooks. 2) To create a guitar practice book based on Jerry Bergonzi’s improvisation method. 3) To use the guitar practice book based on Jerry Bergonzi’s method for teaching guitar students at Sichuan Conservatory of music, and 4) To evaluate the teaching effect of the guitar practice book based on Jerry Bergonzi’s method. Useding a mixed qualitative and quantitative research methodology. Qualitative research involved in-depth interviews with three key informants, while quantitative research involved teaching experiments using the developed guitar practice book. The research population consisted of 20 first-year guitar students from the Sichuan Conservatory of Music, with a purposive sample of 10 students selected for participation based on guitar student. Evaluation measures included both formative and summative assessments.</p> <p>This research finding: The research explores Jerry Bergonzi's improvisation method, aiming to enhance beginner musicians' skills and promote a deeper understanding of his techniques. The guitar practice book is divided into four chapters, covering basic guitar knowledge, chord tones and scales, Bergonzi's method, and analyzing and applying the techniques. The lesson plan spans 15 weeks and includes six parts, with each week focusing on different aspects. A rubric for evaluating collegiate jazz improvisation performance was developed, combining academic research with industry insights. The experimental student results showed an average score of 2.79 for formative tastes, and an average score of 4.6 for summative tests, with the most significant improvement being for students 1, 4, and 6.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273708 การพัฒนาเทคโนโลยีความจริงเสริมเพื่อส่งเสริมการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน : กรณีศึกษาชุมชนบ้านคลองบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-09-26T19:25:40+07:00 จัดการ หาญบาง chadkarn.han@rru.ac.th ปราริชาติ รื่นพงษ์พันธ์ chadkarn.han@rru.ac.th ภาวิณีย์ มาตแม้น chadkarn.han@rru.ac.th <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เพื่อส่งเสริมการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มผู้ผลิตภัณฑ์ชุมชนในเขตพื้นที่บ้านคลองบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นและการรับรู้ข้อมูลจากสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมก่อนและหลังการใช้งาน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจจากการใช้สื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมเพื่อส่งเสริมการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มผู้ผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถสร้างการรับรู้ของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนและนำไปใช้งานได้จริง 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นและการรับรู้ข้อมูลจากสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของ ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนในเขตพื้นที่บ้านคลองบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราหลังใช้งานมีคะแนนสูงกว่าคะแนนก่อนการใช้งานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 3) ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนในเขตพื้นที่บ้านคลองบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรามีความพึงพอใจต่อการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273613 The Integration and Inheritance: Innovative Application of Song Yun Plant Pattern in Modern Cultural and Creative Products 2024-09-21T00:07:36+07:00 Yiwen Song 857581102@qq.com Chanoknart Mayusoh pisit.pu@ssru.ac.th Akapong Inkuer pisit.pu@ssru.ac.th Pisit Puntien pisit.pu@ssru.ac.th <p> As the treasure of Chinese traditional culture, the plant patterns of Song Yun have rich artistic value and profound cultural connotation. Through the in-depth study of the plant patterns of Song Yun, this paper excavates its aesthetic characteristics and cultural implication, discusses the application of this traditional element in the innovative design, and provides new inspiration and ideas for the design of modern cultural and creative products.622 subjects aged 20 – 65 years were recruited for this study. It includes 32 designers, 242 college students, 12 university professors, 22 cultural and creative product design experts and 314 other social workers. In this study, research tools such as questionnaire, signature pen, notebook, camera, voice recorder, and combining qualitative analysis and quantitative analysis were used for data analysis.<br /> Through the careful study of Li Song's Flower basket in the Song Dynasty, this study extracts the flower elements and their unique color collocation, and then uses modern design techniques such as simplification, abstraction, deconstruction and reorganization to innovatively design a series of cultural and creative products that retain the traditional charm and conform to the modern aesthetic. It is suggested to cooperate with famous museums and art galleries to enhance the exposure rate and visibility of products. The research suggests that Song Yun plant patterns should be applied to emerging fields such as digital media and interactive devices, and expand the expression methods and application scenarios of cultural and creative products.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272414 The Role of King Pan on Yao Costumes: Traditions Identity and Guidelines for Promoting Cultural Tourism in Jinxiu 2024-07-30T18:04:32+07:00 Rongxiang Cai 1309234774@qq.com Sitthisak Champadaeng Champadaeng.s@gmail.com <p> In the background of modernization process, as a cultural resource, Jinxiu Yao costumes and their King Pan symbols have certain value for traditional identity and cultural tourism. This research aims include: (1) the role of King Pan on Yao costumes of Jinxiu. (2) The traditions identity of Jinxiu Yao ethnic group and guidelines for promoting cultural tourism. This study adopted a qualitative research method. The research tools used in this study included preliminary survey, observation, and interviews. This study collected data through field work and literature survey, analyzed the research data using Structural-functional Theory, Cultural Diffusion Theory,traditions identity concepts and cultural tourism concepts, and presented the research results using descriptive analysis methods. The results include: (1) As an important symbol of the Yao costume culture, King Pan played social organization function, aesthetic function, and folk belief function. (2) Jinxiu used the King Pan symbol on Yao costumes to develop cultural tourism, but there were some problems in the development of cultural tourism resources, including cultural connotation exploration, aesthetic design, and cultural brand diffusion. By analyzing the reasons for these problems, this study proposes the following guiding suggestions: strengthening the traditional identity of King Pan, strengthening the research and application of King Pan culture, strengthening training in Yao costume production craft in Jinxiu, building a brand of Yao costume culture in Jinxiu, and strengthening the diffusion of Yao costume culture in Jinxiu. The research results have certain reference value for the government to formulate cultural tourism development policies, enterprises to develop Jinxiu Yao costume products, and academic circle research on the phenomenon of cultural identity of King Pan.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270202 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 2024-05-08T14:59:27+07:00 นิลุบล กลั่นเขตรกิจ nilubonk66@nu.ac.th รัตติกาล บัวสิงคำ nilubonk66@nu.ac.th ปิยวรรณ หงษ์สุวรรณ nilubonk66@nu.ac.th สถิรพร เชาวน์ชัย nilubonk66@nu.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา <br />2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 71 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว รองลงมาได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์และด้านการมีจินตนาการและคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ สู่ความคิดสร้างสรรค์ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ด้านการมีจินตนาการและคิดสิ่งใหม่ ๆ สู่ความคิดสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ซึ่งเสนอแนวทางในการพัฒนา คือ ผู้บริหารนำความรู้ที่่ได้ไปสร้างผลงานนวัตกรรมใหม่และเผยแพร่ผลงานของสถานศึกษา โดยแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย และผู้บริหารใช้เทคโนโลยี เพื่อนำเอาความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์เป็นแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารสถานศึกษา</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270003 Construction of Information Literacy Model for Rural Primary School Teachers 2024-04-27T21:22:56+07:00 Yan Zhang 18160160709@163.com Pong Horadal 18160160709@163.com Kanakorn Sawangcharoen 18160160709@163.com Sombat Teekasap 18160160709@163.com <p> This study aimed to establish a model of information literacy for rural primary school teachers. By conducting two rounds of consultations with 21 experts using the Delphi method, a model was developed comprising six primary indicators including information awareness, information knowledge, information skills, information application, information ethics and safety, and professional development, along with 21 secondary indicators and 66 tertiary indicators. This preliminary model of information literacy for rural primary school teachers provides a valuable reference framework for assessing the information literacy levels of teachers in rural areas.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273541 องค์ความรู้อาหารท้องถิ่นในฐานะผู้ถูกเยือนบนฐานรากของชุมชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 2024-09-23T13:14:22+07:00 วิศิษฐ์ศิริ ชูสกุล wisitsiri.chu@lru.ac.th <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) คัดเลือกอาหารท้องถิ่นในฐานะผู้ถูกเยือนบนฐานรากของชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 59 คน ด้วยการคัดเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการประชุมกลุ่มย่อยด้วยประเด็นคำถามการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ และ 2) ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับอาหารท้องถิ่นในฐานะผู้ถูกเยือนบนฐานรากของชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 50 คน ด้วยการคัดเลือกแบบลูกโซ่ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสร้างข้อสรุปแบบอุปมัย<br /> ผลการวิจัยพบว่า อาหารท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ที่ได้รับการคัดเลือกสูงสุดใน 5 จังหวัด ประกอบด้วย เลย (เมี่ยงโค้น ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว เอาะหลาม มะพร้าวแก้ว และข้าวแดกงา) หนองบัวลำภู (แกงหวาย ปิ้งตอง ฮางจี่บอง กล้วยบวชชี และข้าวต้มผัด) อุดรธานี (ลาบเป็ด ข้าวผัดจันผา เนื้อหินดาด ข้าวปาดใบเตย และข้าวต้มมัดบัวแดง) หนองคาย (เมี่ยงปลานิล ปลาจุ่ม อั่วปลานิล กล้วยตาก และมะเขือเทศเชื่อม) และบึงกาฬ (ข้าวผัดแสนพัน ปลาแดกไข่ ซุปซาว มะแป๋มแช่อิ่ม และข้าวเม่า) ซึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับอาหารท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 มีขั้นตอนการประกอบอาหารที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต มีวิธีการนำเสนออาหารด้วยรสชาติอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ มีชื่อตามภาษาถิ่น รูปแบบการบริโภคที่เรียบง่ายและตามประเพณี มีคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรมที่สะท้อนตัวตนของชุมชน ภูมิปัญญาและความเชื่อ และถ่ายทอดเอกลักษณ์ทางอาหารโดยเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอาหาร</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273398 The Impact of Design Thinking on the Contemporary Development of Shadow Play in Xiangtan of Hunan Province 2024-09-20T11:17:55+07:00 Yao Hu huyao8069@gmail.com Palphol Rodloytuk palphol@mru.ac.th Jingxiang Zeng palphol@mru.ac.th <p> Shadow play in Xiangtan is a local intangible cultural heritage project originating from Hunan, currently facing both challenges and opportunities presented by the transition to the digital age. The objective of this paper is to explore how design thinking can enhance the production and display effects of shadow play in Xiangtan, thereby improving audience viewing experience and satisfaction. This study employs a quantitative research methodology to validate its findings. Based on an innovation and development theoretical framework, this research constructs a theoretical model that examines the impact of design thinking technology on shadow play in Xiangtan.<br /> This model is employed to investigate the relationship between design thinking and the development of shadow play in Xiangtan, identify key factors influencing the innovation and advancement of shadow play in Xiangtan play, and determine critical mediating variables related to design experience and design quality as informed by design thinking. The study sample comprised individuals of varying ages and backgrounds from Xiangtan City of Hunan Province, China, with a total of 450 questionnaires distributed. Data analysis was conducted using statistical software SPSS. The findings indicate that the application of design thinking exerts a mediating effect on enhancing user experience and satisfaction; furthermore, innovations in materials, patterns, technologies, and display forms significantly enhance both design experience and quality, subsequently exerting a positive influence on user satisfaction and behavioral intention.</p> <p>This study finds that :(1) the application of design thinking method to shadow play in Xiang tan can be summarized into the following six indicators: material innovation, pattern innovation, technical innovation and performance form. (2) The effective way to innovate shadow play in Xiang tan is to use the method of design thinking to achieve a better sense of experience and satisfaction.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270446 แนวทางการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน 2024-05-15T00:40:26+07:00 ปุณณภัสสร สุนทรธีรสุทธิ์ punnapassorn.s@gmail.com ชลธิศ ดาราวงษ์ chonlatis@hotmail.com รมิดา วงษ์เวทวณิชย์ ramidarx@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จและพัฒนาความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับตัวแทนจากองค์กรและนักท่องเที่ยว ผู้ให้ข้อมูลหลักมีจำนวน 24 คน ได้แก่ ตัวแทนจากหน่วยงานราชการ จำนวน 5 คน ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จำนวน 5 คน และนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จำนวน 14 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงในการเลือกผู้ให้ข้อมูลหลัก และนำข้อมูลจากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อค้นหาปัจจัยความสำเร็จและพัฒนาแนวทางความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย<br /> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีความหลากหลายและคุณภาพสูง และการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนท้องถิ่น</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270040 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-04-27T22:05:46+07:00 พจีพัชร ช้างน้อย farsai_pjp@hotmail.com ชำนาญ ปาณาวงษ์ pajeepatc65@nu.ac.th <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) เปรียบเทียบความฉลาดรู้คณิตศาสตร์หลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้คณิตศาสตร์เรื่อง สถิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 เป็นรูปแบบการวิจัยและการพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านนาอุ่นน่อง(ประชารัฐวิทยาคาร) จังหวัดแพร่ จำนวน 12 คน ได้มาโดยการการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน แบบทดสอบวัดความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบหลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว ผลวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่พัฒนาขึ้นมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) เลือกปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ</span>2) วิเคราะห์คุณค่าของบทเรียนที่มีอยู่ 3) ดำเนินการศึกษาค้นคว้า และ 4) นำเสนอและประเมินผลงาน ผลการประเมินกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.79) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 74.84/75.93 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. นักเรียนมีความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไม่สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75</span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/269901 การพัฒนาทักษะการอ่านตีความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2024-05-08T13:14:21+07:00 ชัยนันท์ สีแก้ว chainanfook@gmail.com อ้อมธจิต แป้นศรี Sendtoaom@gmail.com <p> การวิจัยเชิงทดลอง มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านตีความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชัน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านตีความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชัน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเชตวันวิทยา จำนวน 9 รูป เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชัน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานจำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การอ่าน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ มีผลการประเมินจาก<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านตีความ คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 23.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.67 หลังเรียนซึ่งสูงกว่าก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.75 ส่วนเบียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.24 และ 2) ค่าคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.81 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.04</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270199 การพัฒนาแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น 2024-05-08T14:50:52+07:00 ภูพิงค์ อุดแก้ว phuping.augkaew@gmail.com ธนนันท์ ธนารัชตะภูมิ phuping.a@ku.th สรียา โชติธรรม phuping.a@ku.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และ 2) สร้างเกณฑ์ปกติ (Norms) ในการแปลผลคะแนนของแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 เป็นวิจัยเชิงปริมาณ ตัวอย่างสำหรับการวิจัยคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 300 คน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัยคือ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดและทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอแรนซ์ (Torrance) ซึ่งประกอบด้วย ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความตรงตามเนื้อหา ความยาก อำนาจจำแนก ความเที่ยง ผลการวิจัยดังนี้<br /> 1) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้น ประกอบด้วยข้อคำถามจำนวน 6 ข้อ วัดครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่ม มีลักษณะเป็นแบบเขียนตอบ โดยกำหนดภาพ และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ แล้วให้นักเรียนเขียนตอบจากคำถามที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่กำหนด ผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์พบว่าข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.67-1.00 มีค่าความยาก (p) ตั้งแต่ 0.48 - 0.66 ค่าอำนาจจำแนก (r) มีตั้งแต่ 0.20 - 0.50 และค่าความเที่ยงด้านความคิดคล่องแคล่วมีค่าเท่ากับ 0.81 ค่าความเที่ยงด้านความคิดยืดหยุ่นมีค่าเท่ากับ 0.80 และค่าความเที่ยงด้านความคิดริเริ่มมีความเที่ยงเท่ากับ 0.84 2) เกณฑ์ปกติ (Norms) ในการแปลผลคะแนนของแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ด้านความคิดคล่องแคล่ว ด้านความคิดยืดหยุ่น ด้านความคิดริเริ่ม และรวมทั้งฉบับ มีค่าตั้งแต่ T29 ถึง T77 , T36 ถึง T70 , T35 ถึง T74 , T35 ถึง T74 ตามลำดับ</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/271461 กลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2024-10-06T11:34:13+07:00 ชญานิศ อินทะวงศ์ hbgroup2567@gmail.com นวัตกร หอมสิน Hbgroup2567@gmail.com พิมพ์พร จารุจิตร์ Hbgroup2567@gmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) สร้างกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรม 3) ประเมินกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรม การวิจัยเป็นแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามกับผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 397 คน ใช้เทคนิคเดลฟายเก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 21 คน 3 รอบ สัมมนาผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 35 คน เครื่องมือการวิจัย ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท เป็นแบบสอบถามแบบปลายเปิด แบบประเมินกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าPNI<sub>Modified</sub> ใช้สถิติหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของกลยุทธ์บริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรมของสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยสภาพปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าสภาพที่พึงประสงค์เป็นรายด้านทุกด้าน ผลการจัดลำดับความต้องการจำเป็นของกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรม ภาพรวมพบว่า ค่า PNI<sub>Modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.280 ถึง 0.335 ด้านความต้องการมีค่า PNI<sub>Modified</sub> สูงสุด เรียงตามลำดับความสำคัญ คือ วัฒนธรรมองค์การ , ทรัพยากรและเทคโนโลยีดิจิทัล , ภาคีเครือข่าย ผลการสร้างกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรมของสถานศึกษา ได้จำนวน 4 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 องค์การวัฒนธรรมต้นแบบการบริหารทรัพยากร กลยุทธ์ที่ 2 สร้างภาคีเครือข่ายและคิดเชิงระบบ กลยุทธ์ที่ 3 วิสัยทัศน์ กำหนดทิศทาง สู่การปฏิบัติของสถานศึกษา และกลยุทธ์ที่ 4 ปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารสู่องค์การแห่งนวัตกรรมโดยรวม มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273536 แนวทางการบริหารจัดการภาวะวิกฤตของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2024-09-21T00:11:01+07:00 ธีรพงษ์ ชูนาค samsungnoen14@gmail.com สิรินธร สินจินดาวงศ์ Theerapong1211@gmail.com อรอุมา เจริญสุข Theerapong1211@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) ศึกษาและวิเคราะห์กลยุทธ์การบริหารจัดการสถานศึกษาในภาวะวิกฤติในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 (2) ศึกษาผลกระทบของภาวะวิกฤติต่อการบริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 และ (3) เสนอแนวทางการบริหารจัดการภาวะวิกฤตของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เป็นการวิจัยผสมวิธีแบบพหุระยะ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 21 คน ตามแนวคิดของ Brand et al. (2014 : 5) การวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 170 โรงเรียน ตามแนวคิดของ Yamane (1973 : 38) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบบันทึกการอภิปรายสนทนากลุ่ม และแบบตรวจสอบรายการประเมินอภิมาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. กลยุทธ์การบริหารจัดการสถานศึกษาในภาวะวิกฤตในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรทางการศึกษา 2) กลยุทธ์ในการสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้อง 3) กลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ 4) กลยุทธ์ในการรักษาความปลอดภัยและสุขภาพ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลกระทบของภาวะวิกฤตต่อการบริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ได้แก่ กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรทางการศึกษา คือ ด้านการบริหารจัดการ</span><span style="font-size: 0.875rem;">กลยุทธ์ในการสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้อง คือ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร กลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา คือ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา และกลยุทธ์ในการรักษาความปลอดภัยและสุขภาพ คือ ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. แนวทางการบริหารจัดการภาวะวิกฤตของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า ประกอบด้วย แนวทางเชิงนโยบาย จำนวน 12 ข้อ และแนวทางเชิงปฏิบัติ จำนวน 36 ข้อ</span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273396 การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดกระบี่ 2024-09-12T13:55:13+07:00 ธเนศ ขจรสุวรรณ์ kajonsuwan@gmail.com วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ 6577701011@nstru.ac.th นพรัตน์ ชัยเรือง 6577701011@nstru.ac.th <p> รูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดกระบี่ เป็นการวิจัยวิจัยแบบผสม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และเพื่อตรวจสอบรูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยออกแบบการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างเลือกจากประชากรทั้งหมด จำนวน 85 คน โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ 2) สร้างรูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และ 3) ตรวจสอบรูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยจัดสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญและการสนทนากลุ่ม โดยใช้แบบสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และแบบสนทนากลุ่ม<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า องค์ประกอบที่ 2 การสร้างแรงบันดาลใจ มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญของสภาพที่พึงประสงค์สูงสุดเป็นอันดับแรก สภาพปัจจุบันของทักษะผู้นำในศตวรรษที่ 21 มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าดัชนีลำดับความสำคัญเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทักษะที่ 6 ทักษะการแก้ปัญหา มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญของสภาพที่พึงประสงค์สูงสุดเป็นอันดับแรก 2) สร้างรูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดกระบี่ 3) รูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดกระบี่มีความถูกต้อง มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ทุกรายการ สามารถนำไปใช้ได้จริง</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270043 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม(STSE) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด เพื่อส่งเสริมการสะท้อนคิดและความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เรื่อง แหล่งน้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2024-04-27T22:02:29+07:00 แววพันธุ์ ศิริพันธุ์ vaewphuns65@nu.ac.th สกนธ์ชัย ชะนูนันท์ skonchaic@nu.ac.th <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม(STSE) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด และ 2)ศึกษาการสะท้อนคิดและความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เรื่อง แหล่งน้ำ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 17 คน การจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1)ระบุปัญหาประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม 2)การกระตุ้นให้นักเรียนหาคำตอบ 3)ระดมความคิดและสืบค้น 4)สะท้อนความรู้จากการค้นคว้า 5)แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสะท้อนความคิด 6)วิเคราะห์และประเมินค่า และ7)สรุปและนำไปใช้ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย1)แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบบันทึกสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ 3)เครื่องมือวัดความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้านความรู้ (ใบกิจกรรมและแบบประเมินชิ้นงานนักเรียน) 4)แบบประเมินความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้านเจตคติและด้านพฤติกรรม และ5)แบบประเมินการสะท้อนคิดของนักเรียน โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า<br /> ผลของความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการสะท้อนคิด พบว่า นักเรียนมีพัฒนาการเกี่ยวกับความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งด้านความรู้ เจตคิต และพฤติกรรม และการสะท้อนคิดเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวงจรปฏิบัติ โดยพบความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้านความรู้พบอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 11.76 ความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้านเจตคติพบในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 47.05 ความฉลาดรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้านพฤติกรรมอยู่ระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 52.94 และระดับการสะท้อนคิดระดับที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 35.30</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273323 กลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานของนักจิตวิทยาในระบบสุขภาพปฐมภูมิ 2024-09-12T14:11:34+07:00 วีร์ เมฆวิลัย weepositive7@gmail.com ธนเนตร ฉันทลักษณ์วงศ์ weepositive7@gmail.com ณิชาภา รัตนจันทร์ weepositive7@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานของนักจิตวิทยาในระบบสุขภาพปฐมภูมิและปัจจัยความสำเร็จในการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ วิธีการวิจัยมี 2 ขั้นตอนคือ วิธีวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิและข้อมูลปฐมภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ (Primary care unit: PCU) หรือ เครือข่ายบริการปฐมภูมิ (Network primary care unit: NPCU)ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ 116 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.87 - 0.99ความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.96 เก็บข้อมูลด้วยช่องทางออนไลน์ผ่าน Google form วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย ได้แก่ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน และเครือข่ายนอกระบบสุขภาพในพื้นที่ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเก็บข้อมูลโดยตรงจาการทำ Focus group วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) กลไกการพัฒนานักจิตวิทยาในระบบสุขภาพปฐมภูมิ ได้แก่ กลไกเชิงโครงสร้าง กลไกเชิงกฎหมาย กลไกเชิงบริบทพื้นที่ และกลไกหนุนเสริม 2) ปัจจัยความสำเร็จในการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิในประเทศไทยประกอบด้วย 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การจัดการระบบและนโยบายที่มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนทางสังคมจากชุมชนและครอบครัว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการฝึกอบรมบุคลากรสุขภาพจิต การสร้างความรู้และความตระหนักในชุมชนเพื่อลดการตีตรา และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วย โดยผสมผสานปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้การขับเคลื่อน<br />งานสุขภาพจิตในระดับปฐมภูมิประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273473 The Jade Carving Wisdom and Identity of Zhang Jiawei's Huai School 2024-09-15T21:01:55+07:00 Mi Peng Somkhit.suk@gmail.com Somkhit Suk-erb Somkhit.suk@gmail.com <p> Huai Huai School jade carving, a significant part of Chinese traditional art, had a long history deeply rooted in the cultural heritage of the Xuzhou region. This art form was renowned for its exquisite craftsmanship and profound cultural connotations. However, with modernization and market changes, the inheritance and development of Huai School jade carving faced new challenges.<br /> This study aimed to: 1) explore the historical background of Huai School jade carving; 2) examine the current state of its identity and development; and 3) propose strategies for improving its inheritance and growth. The research employed qualitative methods, including interviews, observations, and literature analysis. The sample consisted of five key informants, eight practitioners, and 18 general participants. Research tools such as structured interviews, work analysis, and field observation logs were used to gather data on the creative process and market trends.<br /> Data collection was based on written documents and field observations, followed by thematic and comparative analysis. Key themes and patterns were identified to offer a detailed descriptive analysis.<br /> Findings indicated that: 1) Huai School jade carving was historically significant, reflecting the evolution of Chinese jade art across different periods; 2) the current state of the Huai School faced challenges such as a shortage of successors, limited innovation, and market decline, which hindered its growth; and 3) integrating traditional craftsmanship with modern aesthetics and technology was essential for revitalizing the industry. Zhang Jiawei’s efforts in education, skill transmission, and brand-building made significant contributions to promoting Huai School jade carving locally and internationally.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273572 The Construction of Evaluation Model for Analyzing Basketball Player Performance Based on Fuzzy Comprehensive Evaluation Method 2024-09-20T23:25:46+07:00 Shao Yanhao ekasak.he@udru.ac.th Ekasak Hengsuko ekasak.he@udru.ac.th Kreeta Promthep ekasak.he@udru.ac.th <p> This study aims to investigate the scientific nature and effectiveness of fitness testing evaluation standards for high-level university basketball players in China. The current practice often employs benchmarks based on professional athletes' standards, despite significant differences in the pressures, roles, and practical demands of university players.<br /> Methods: To address this gap, we conducted a mixed-methods approach combining literature review, expert interviews, and field observations. We analyzed the current fitness testing evaluation standards used by high-level university basketball teams in China and compared them with those of professional teams. Additionally, we interviewed coaches and sports scientists to understand their perspectives on the applicability and limitations of current evaluation standards.<br /> Results: Our findings reveal significant differences between the fitness testing evaluation standards for university and professional basketball players. While professional standards focus on peak performance and competitive readiness, university standards tend to prioritize overall fitness, injury prevention, and athlete development. Coaches and sports scientists expressed concerns about the one-size-fits-all approach of using professional standards for university players, highlighting the need for more tailored and context-specific evaluation criteria.<br /> Conclusions: This study highlights the need for a more comprehensive and tailored fitness testing evaluation framework for high-level university basketball players in China. Future research should focus on developing evaluation standards that better reflect the unique challenges and demands of university-level competition, player development, and injury prevention.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273075 The Design of Public Platform for Agricultural Products Packaging in Hunan-Jiangxi Border Area of New Era 2024-08-29T16:48:42+07:00 Xiong Wu wuxiong372@gmail.com Manoon Tho-ard wuxiong372@gmail.com <p> This paper addresses the following research questions: How can agricultural product sales in the Hunan-Jiangxi border area be increased through packaging design that is both aesthetically pleasing and practical? How can the market competitiveness of agricultural products in the Hunan-Jiangxi border area be enhanced through systematic brand design and promotion strategies? How can a public platform with comprehensive functions and an optimized interface be designed to meet the diverse and personalized needs of farmers and consumers?<br /> The objectives of this research are as follows:<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. To investigate and develop packaging design solutions that align with market demand and environmental protection requirements, introduce innovative design concepts, and enhance the aesthetics and practicality of agricultural product packaging, thereby increasing sales in the Hunan-Jiangxi border area.<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. To formulate systematic brand design and promotion strategies for agricultural products to improve their market competitiveness in the Hunan-Jiangxi border area.<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. To analyze user needs and usage habits, optimize the platform interface and functions, and create a comprehensive public platform that meets the diverse and personalized needs of farmers and consumers.</span></p> <p>The sample for this study includes farmers, consumers, packaging design companies, and agricultural product dealers. Data collection was carried out through the distribution of questionnaires, and the data analysis was conducted using SPSS, Excel, and other data analysis software. Statistical analyses, including frequency analysis, reliability analysis, validity analysis, confirmatory factor analysis, t-tests, and regression analysis, were employed to explore patterns and relationships in the data.<br /> Conclusion: The design of agricultural product packaging that meets market demand and environmental protection requirements has a significant impact on the sales volume of agricultural products in the Hunan-Jiangxi border area. Systematic brand design and promotion strategies significantly enhance the market competitiveness of these agricultural products. Additionally, a public platform for agricultural products, featuring an optimized interface and quick functions, effectively meets the strong demand from both farmers and consumers.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270395 Innovative Exploration of Ouroboros Symbol and Digital Craft in Contemporary Jewelry Design 2024-05-12T15:07:16+07:00 Ningrui Zhou s64584948009@ssru.ac.th Chanoknart Mayusoh chanoknart.ma@ssru.ac.th <p> The objectives of this research were 1) to explore innovative contemporary jewelry designs inspired by the Ouroboros symbol, 2) to examine the cultural and symbolic significance of the Ouroboros and its application in modern jewelry design, 3) to propose novel design concepts and showcase unique jewelry works, 4) to explore the role of Ouroboros in various cultures and its impact on jewelry design, and 5) to highlight how digital innovation, such as 3D printing, can revitalize traditional jewelry-making processes.<br /> The sample consisted of contemporary jewelry designers and cultural historians specializing in symbolic art. They were selected by purposive sampling to ensure expertise and relevance to the research objectives.The research instrument for data collection was a combination of qualitative interviews and a survey questionnaire designed to gather insights on design preferences and the significance of cultural symbols in jewelry.The statistics for data analysis included descriptive statistics to summarize the survey results and thematic analysis to interpret qualitative interview data.<br /> The research results were found as follows: 1) There is a diverse range of design preferences among participants, with an average liking for approximately 1.303 design styles per participant, indicating varied tastes and appreciation for multiple design approaches. The Minimalist style emerged as the most favored. 2) Consumer surveys indicate a notable preference for jewelry designs that symbolize cycles, infinity, and vitality, reflecting a strong affinity towards themes associated with the Ouroboros symbol. 3) The research emphasizes the significant commercial potential of Ouroboros-inspired jewelry, particularly among younger consumer demographics, due to the blend of cultural depth and modern aesthetics, as well as the growing demand for sustainable materials.Suggestions include leveraging the cultural symbolism and consumer preferences identified in this research to expand strategically in the jewelry market and create compelling jewelry offerings that resonate with target audiences. Additionally, further research could explore the integration of other cultural symbols with modern technology to continue fostering innovation in jewelry design.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272735 กลยุทธ์การปฏิบัติการเฝ้าระวังตามนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในเขตอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว 2024-09-12T15:11:20+07:00 สุรชัย มูลสาร surachai@uservices-thailand.com ภาสกร ดอกจันทร์ surachai@uservicesthailand.com กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ surachai@uservicesthailand.com <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติการเฝ้าระวังฯ การศึกษาปัจจัยที่มีต่อ กลยุทธ์การปฏิบัติการเฝ้าระวังตามนโยบายในการป้องกันฯ และ 3. เสนอกลยุทธ์ในการปฏิบัติการเฝ้าระวังฯ ในเขตอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยเปิดตารางกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan (1970) ได้จำนวนกลุ่มอย่างทั้งสิ้น 375 คน และเพิ่มอีก 25 คน รวมทั้งสิ้น 400 คน เครื่องมือที่ในการวิจัยในเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถาม และเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการปฏิบัติการเฝ้าระวังฯ ในสามอันดับแรก คือ ด้านมาตรการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ด้านมาตรการเฝ้าระวังในครัวเรือน และด้านมาตรการชุมชน ความคิดเห็นระดับปานกลาง 2) ปัจจัยการจัดการแบบมีส่วนร่วม ปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน มีความสัมพันธ์กันกับกลยุทธ์การปฏิบัติการเฝ้าระวังฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) กลยุทธ์ในการปฏิบัติการเฝ้าระวังฯ สรุปว่าชุมชนควรยกระดับความเข้มแข็งในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับครอบครัวไปสู่ระดับชุมชน และสังคม รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรมีการตรวจตราและคุมเข้มพื้นที่ในชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด ควรนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ และควรร่วมกันจัดทำแผนในการจัดอบรมเพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการจัดการปัญหายาเสพติดให้แก่ประชาชน และร่วมกันจัดกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273282 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูเพื่อพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นแบบผสมผสาน: กรณีศึกษาโรงเรียนบ่อแก้ววิทยา จังหวัดกำแพงเพชร 2024-09-12T13:36:14+07:00 จักรกฤษณ์ จันทะคุณ jkkrit04@gmail.com สุพรทิพย์ ธนภัทรโชติวัต jakkritj@nu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรมครูพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นแบบผสมผสาน: กรณีศึกษาโรงเรียนบ่อแก้ววิทยา จังหวัดกำแพงเพชร 2) ทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรมครูฯ และ 3) ประเมินหลักสูตรฝึกอบรมครูฯ ดำเนินการวิจัยด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนา 3 ขั้นตอน กลุ่มเป้าหมายเป็นครูโรงเรียนบ่อแก้ววิทยา จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) หลักสูตรฝึกอบรมครู 2) แผนการฝึกอบรม 3) แบบทดสอบวัดความรู้ 4) แบบประเมินความสามารถในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และ 5) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลงานวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมครู มีเนื้อหาสาระ 4 หน่วย ได้แก่ 1) มโนทัศน์เกี่ยวกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ 2) การพัฒนารายวิชาเพิ่มเติมตามแนวหลักสูตรฐานสมรรถนะ 3) การออกแบบการเรียนรู้พัฒนาสมรรถนะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ และ 4) การประเมินสมรรถนะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยกิจกรรมฝึกอบรมเป็นแบบผสมผสานทั้งแบบออนไลน์ และแบบเผชิญหน้าสัดส่วน 70 : 30 ผลการประเมินคุณภาพของหลักสูตร พบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ครูมีความรู้ในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะหลังฝึกอบรมจากสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความสามารถในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.33) 3) ผู้บริหารและครูมองเห็นประโยชน์ของการพัฒนาทั้งสมรรถนะผู้เรียน และการพัฒนารายวิชาเพิ่มเติมตามแนวหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ครูร่วมกันสร้างขึ้นจากการวิเคราะห์อัตลักษณ์ชุมชน ให้นักเรียนเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของดีในชุมชนด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ รวมถึงต้องการให้นักเรียนมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญา และสามารถต่อยอดสู่อาชีพสร้างรายได้</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273521 The Roles of Family in Youth Preparation Process for Living in Society: A Case Study of Youth in SOS Children's Villages Thailand Under the Royal Patronage 2024-09-17T20:07:57+07:00 Patcha Jeungklinchan patcha.jeung@gmail.com <p> The Roles of Family in Youth Preparation Process for Living in Society is extremely important for children in alternative care. This research aims to study the process of preparing youths for integration into society under the care of the SOS Children's Villages Thailand and to explore the roles of family and youth workers in this preparation. This research was conducted with the qualitative research method. The research participants were divided into 3 categories: (1) social integration preparation for youth, (2) children and youth caregivers, and (3) youth over 18 years old who were in former care of SOS.<br /> The study found that the roles of family in the preparation process include problem-solving, communication, preparation, emotional response, emotional bonding, and behavior control into the preparation process, which includes: 1. children and youth assessment with SOS families 2. comprehensive youth preparation 3. support in youth’s living experiment 4. post-social integration monitoring and support. <br />The study's recommendations are that families should play a role in promoting self-control, determination to succeed, and problem-solving skills. Families should also coordinate and refer youth with health issues to specialized professionals for assessment and treatment before they integrate into society. Additionally, families should be empowered, and family networks should be utilized to follow up and provide social support to youth. Moreover, post-integration support should be considered on a case-by-case basis and be flexible.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270016 The Study of Modern Apprenticeship Program Development through the School-Enterprise Collaboration for E-commerce Major in Vocational College of Shandong Province in China 2024-04-27T21:35:58+07:00 Chunyang Qi qichunyang1@qq.com Sombat Teekasap qichunyang1@qq.com Nainapas Injoungjirakit qichunyang1@qq.com Prapai Sridama qichunyang1@qq.com <p> The research aims to identify key factors influencing program development and proposes effective strategies. A mixed-methods approach, combining literature analysis, surveys, and interviews, was employed to collect and analyze data. The findings reveal critical elements in the collaboration process and shed light on successful strategies for program implementation. The study contributes valuable insights for enhancing vocational education in the rapidly evolving field of E-commerce, providing a foundation for future initiatives in similar contexts.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273283 ศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่การเป็นเมืองเป้าหมายทางการท่องเที่ยวแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน 2024-09-07T10:15:43+07:00 ศินีนาฎ พูลเกื้อ sineenart.po@gmail.com ประภาพรรณ แก้วสิยา Sineenart.p@rmutsv.ac.th ธารินทร์ มานีมาน Sineenart.p@rmutsv.ac.th พรเพ็ญ ประกอบกิจ Sineenart.p@rmutsv.ac.th <p> การศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่การเป็นเมืองเป้าหมายทางการท่องเที่ยวแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจทรัพยากรการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ศึกษาความคิดเห็นของผู้ประกอบการท่องเที่ยว หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชนต่อศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และวิเคราะห์ศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methodology) โดยลงพื้นที่เพื่อสำรวจแหล่งท่องเที่ยว (Field Survey) และศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีภูมิลำเนาหรืออาศัยในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยการกำหนดโควต้า (Quota Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และศึกษาการวิจัยเชิงคุณภาพ มีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-structure) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> จากผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย แต่ละอำเภอมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน และโบราณวัตถุ และทางศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และกิจกรรม ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามีศักยภาพทางการท่องเที่ยวภายใต้ความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและมีความพร้อมในการเป็นเมืองเป้าหมายทางการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ โดยระดับความคิดเห็นต่อศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ศักยภาพการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาทั้งด้านความสะดวกในการเข้าถึง ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ด้านสภาพแวดล้อม ด้านข้อจำกัดในการรองรับการท่องเที่ยว และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272978 A Study on the Functional Roles of Female Characters in Chinese Huangmei Opera Film and Television Dramas 2024-08-29T13:52:50+07:00 Qian Li 737736687@qq.com <p> This research explores the narrative innovation and character construction in Huangmei Opera film and television dramas, highlighting their significant role in the inheritance and development of this traditional art form in the new era. Faced with the continuous evolution of social values and aesthetic tastes, Huangmei Opera film and television dramas necessitate innovation and transformation. Utilizing qualitative research methods, including case studies, this study investigates the narrative functions of female characters and constructs a narrative structure model. Data collection and analysis aim to elucidate how narrative themes and the roles of functional characters contribute to the narrative structure within Huangmei Opera film and television drama cases, offering theoretical insights for their modern adaptation.</p> <p>The research results found that the narrative structure of Huangmei Opera film and television dramas can be enhanced by emphasizing the subjectivity of female characters, increasing the number of functional characters, and constructing multiple plot units. Additionally, the portrayal and evolution of female characters mirror the shifts in societal values and indicate the progressive awakening of female consciousness.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273783 แบบจำลองความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ ในอุตสาหกรรมของประเทศไทย 2024-09-29T14:01:42+07:00 จงรัก ปริวัตรนานนท์ chongrug.pariwatnanont@hotmail.com <p> ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมในประเทศไทยต้องประสบกับปัจจัยหลากหลายที่ส่งผลกระทบกับการดำเนินงานของธุรกิจจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การศึกษานี้เป็นการบูรณาการแนวคิดทฤษฎีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) องค์ประกอบการมุ่งเน้นตลาด การมุ่งเน้นการเรียนรู้ คุณภาพบริการ และผลการดำเนินงานของธุรกิจ (2) ยืนยันความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ และ (3) ตรวจสอบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของผลการดำเนินงานของธุรกิจในอุตสาหกรรมของประเทศไทย ที่มีการตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแบบจำลองและข้อมูลเชิงประจักษ์ ผู้วิจัยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงสำรวจ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเจ้าของธุรกิจหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจำนวน 320 ตัวอย่าง จากจำนวนประชากร 921 บริษัท สถิติเชิงพรรณนาที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์ความแปรปรวน ค่าความเบ้ และค่าความโด่ง สถิติเชิงอนุมานที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และตัวแบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) โดยใช้โปรแกรม AMOS (Analysis Moment of Structure)<br /> ผลการศึกษาพบว่า (1) ผู้บริหารส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นต่อทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ทุกองค์ประกอบมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ (3) ผลการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างพบว่า การมุ่งเน้นตลาดมีอิทธิพลต่อการมุ่งเน้นการเรียนรู้ (TE=0.81) การมุ่งเน้นตลาดมีอิทธิพลต่อคุณภาพบริการ (TE=0.86) การมุ่งเน้นตลาดมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ (TE=0.89) การมุ่งเน้นการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อคุณภาพบริการ (TE=0.34) การมุ่งเน้นการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ (TE=0.46) และคุณภาพบริการมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ (TE=0.33) สอดคล้องกับข้อสมมติฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.001</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273839 The Administrative Factors Model for Administrators of Kindergarten Schools in Guangzhou City Guangdong Province 2024-09-29T14:19:01+07:00 Fang Xianghui praewpanprajakko@gmail.com Pornthep Muangman 6443202015@bkkthon.ac.th Peerapong Tipanark 6443202015@bkkthon.ac.th Pongpatcharin Putwattana 6443202015@bkkthon.ac.th <p> The objectives of this research were: 1) to examine the components of administrative for administrators of kindergarten schools in Guangzhou city, Guangdong province 2) to develop administrative factors model for administrators of Kindergarten schools in Guangzhou city, Guangdong province.<br /> The research was a mixed methodology including quantitative research and qualitative research. Population were 303 teachers from 4 kindergarten schools in Guangzhou city, Guangdong Province. The sample size was determined using Krejcie and Morgan’s table, obtained by proportional stratified random sampling method, totally 169 teachers. Key informants were 8 administrators from 4 kindergarten schools in Guangzhou city, using purposive sampling method. The research instruments used for data collecting were data record sheets, semi-structure interview form and the 5-points rating scale questionnaire, which had been quality checked. The statistics used for data analysis were descriptive statistics ((frequency, percentage, mean, standard deviation), content analysis and confirmatory factor analysis (CFA).<br /> The research results showed: (1) The administrative factors for administrators of kindergarten schools in Guangzhofou city, Guangdong Province consisted of 3 components; Leadership and Vision, Curriculum and Instructional Management, and Human Resource Management (2) Administrative factors model for administrators of kindergarten schools in Guangzhofou city, Guangdong Province fitted well with empirical data.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273089 The Cost-Effective Evaluation on TCM Combined with Nucleoside (acid) Analogues in the Treatment of Chronic Hepatitis 2024-08-29T15:28:10+07:00 Aize Xie unchang_puk@hotmail.com Somchai Bovornkitti S64584949003@ssru.ac.th Sarisak Soontornchai S64584949003@ssru.ac.th Jianpeng You S64584949003@ssru.ac.th <p> This research objective was designed to evaluate the economic efficiency of traditional Chinese medicine-combined nucleoside, nucleotide analogue therapy for patients with chronic hepatitis B as compared with that of nucleoside, nucleotide analogue therapy. Method: The electronic patient record database of the First Affiliated Hospital of Guangxi University of Chinese Medicine was taken as data source, and the medical data from all patients diagnosed with chronic hepatitis B from January 2018 to December 2022 were collected retrospectively. Those patients were divided, upon difference in their therapeutic regimens, into the antiviral treatment group by Western medicine and the treatment group integrating both Chinese and Western medicine. A Markov model was constructed so as to emulate the progression in chronic hepatitis B. Costs of illness and quality-adjusted life years (QALY) were calculated among patients receiving different therapeutic regimens. Teeage pro was adopted for both cost-utility analysis and sensitivity analysis on both therapeutic regimens. Results: Compared with the antiviral treatment by Western medicine, patients with chronic hepatitis B receiving the regimen integrating Chinese and Western medicine obtained higher medical bills while gaining more QALYs, with an incremental cost-effectiveness ratio of CNY 79238.96 yuan/QALY; such figure was less than 3 times the per capita GDP of Nanning City. Conclusion: The addition of traditional Chinese medicine therapy to the antiviral therapy for patients with chronic hepatitis B generates certain pharmaco-economic advantages.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273655 The Performance Techniques of the "Major Aria" in Chinese Tragic Opera 2024-09-23T13:41:46+07:00 Mengping Ye 415522838@qq.com Chutima Maneewattana 415522838@qq.com Lingling Liu 415522838@qq.com <p> Chinese tragic opera refers to dramas with tragic endings where the protagonists meet their demise. The emphasis and prominence of the tragic theme rely on the arias of the main characters, especially the "Major Aria" sung by the protagonist before death, which plays a crucial role in expressing the tragedy and features unique performance techniques. The research selects seven "Major Arias" from six Chinese tragic operas created between 1980 to 2020 for performance research and analysis, applies theories of Chinese vocal performance and Chinese opera, and summarize the performance techniques of "Major Arias" Chinese tragic opera through methods such as observation, samples analysis, and interviews.<br /> The research results found that performers need to master the basics of stage movement for the "Major Aria", including the use of hands, eyes, body, method, and steps. Performers must have a sense of spatial awareness and rhythm in their performance, which is significant for grasping the role and shaping the character's performance image. When performing the "Major Arias", performers need to integrate techniques of Chinese vocal music and Chinese opera singing, while also paying close attention to </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273337 The Research on Relationship Between Psychological Capital, Work Adaptation, and Professional Growth of Primary School Teachers in Yunnan Province 2024-09-09T17:55:37+07:00 Qingyuan Tan 510716549@qq.com Hsin Chun 3014633866@qq.com <p> This study aims to explore the relationships among psychological capital, work adaptation, and professional growth of primary school teachers in Yunnan Province. A sample of 500 primary school teachers from various districts in Yunnan Province was selected using stratified random sampling. Data were collected using three standardized questionnaires: the Psychological Capital Questionnaire (PCQ), Work Adaptation Scale (WAS), and Teacher Professional Growth Inventory (TPGI). Statistical analyses, including descriptive statistics, t-tests, one-way ANOVA, Pearson correlation analysis, and structural equation modeling, were conducted using SPSS 25.0 and AMOS 24.0.</p> <p>The results revealed that: (1) The current status of psychological capital, work adaptation, and professional growth of primary school teachers in Yunnan Province is generally good; (2) Significant differences in these three variables were found among teachers with different demographic backgrounds; (3) Teachers' psychological capital demonstrated a significant positive correlation with both work adaptation and professional growth; (4) Work adaptation was found to play a partial mediating role in the relationship between psychological capital and professional growth<br /> These findings provide a theoretical basis and practical implications for enhancing teachers' professional development in primary schools in Yunnan Province.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270044 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-04-27T22:09:56+07:00 ศิริลักษณ์ ไข่แก้ว siriluckk65@nu.ac.th สกนธ์ชัย ชะนูนันท์ skonchaic@nu.ac.th <p> งานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ 2) ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และชิ้นงานของนักเรียน<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการเรียนรู้โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีประเด็นที่ควรเน้น ได้แก่ การเลือกใช้สถานการณ์ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหรือสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อนักเรียน ลักษณะของสถานการณ์จะต้องเอื้อต่อแนวคิดการแก้ปัญหาที่นำองค์ความรู้ด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ ประกอบกับควรมีแหล่งข้อมูลด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น, วัสดุที่ลดการเกิดของเสีย และข้อมูลต้นทุนของวัสดุในการสร้างโมเดลชิ้นงาน ทั้งนี้ระยะเวลาในการสร้างแนวคิดของนักเรียนควรมีอย่างเพียงพอ และครูควรมีการตรวจสอบแนวคิดที่แต่ละกลุ่มได้เลือก 1 แนวคิดก่อนนำไปสร้างโมเดลชิ้นงานจริง อีกทั้งให้อิสระกับนักเรียนในการเลือกใช้วัสดุสำหรับสร้างโมเดลชิ้นงาน และควรชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับนักเรียนในเรื่องของเกณฑ์การประเมินโมเดลชิ้นงานเพื่อให้นักเรียนสามารถสะท้อนข้อคิดเห็นได้ตรงตามประเด็นที่ครูกำหนด และ2) นักเรียนมีพัฒนาการของความคิดสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้นในทั้ง 6 องค์ประกอบและแต่ละองค์ประกอบอยู่ในระดับ 4</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273163 The Review of Applications for Improving Adolescent Physical Fitness by Digital Intelligence in the Context of Physical Education Integration 2024-09-06T23:07:23+07:00 Gao Rongman 251552486@qq.com Xing Jinming 772519002@qq.com <p> The objectives of this research were: 1) to explore how digital intelligence (DI) can enhance adolescent physical fitness in PE; 2) to evaluate the effectiveness of DI tools like smart wearables and fitness apps in PE; 3) to examine relevant theoretical frameworks supporting DI in PE; and 4) to identify challenges in implementing DI in schools. The sample included middle and high school students, selected by stratified random sampling. Data collection involved surveys, interviews, and fitness tracking from digital devices. Data analysis used descriptive and inferential statistics.<br /> The results showed: 1) DI integration improved student engagement and activity levels; 2) smart wearables and apps contributed to personalized learning; 3) virtual PE platforms were effective but posed equity challenges; and 4) theories like Self-Determination Theory supported DI in PE. Suggestions include increasing investments in digital infrastructure to enhance accessibility and further research on DI's long-term impacts.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270376 ผลการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาสาขาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 2024-05-11T19:06:16+07:00 นภาภรณ์ ยอดสิน jeabplaynet@hotmail.com <p> การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม มีความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมผู้เรียนสู่การทำงานที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานผ่านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองรูปแบบจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม คือ นักศึกษาสาขาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 28 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ที่เรียนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบวัดทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม พบค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที<br /> ผลการวิจัย พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาสาขาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน มีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมอยู่ในระดับมาก</span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273638 Research on the Design Method of Chinese Beverage Brands Based on Ethnic Culture 2024-09-29T14:47:26+07:00 Xia Ruifang 20223461@qq.com <p> This study explores the integration of China's diverse ethnic cultures into beverage brand design. It focuses on how such integration can elevate the market competitiveness and cultural depth of beverage brands.<br /> The primary aim of this study is to identify effective strategies for incorporating China's rich ethnic culture into beverage brand design. By doing so, it seeks to enhance the brands' market presence and cultural significance.<br /> The research sample comprises multiple Chinese ethnic beverage brands. Data collection involves case analysis, market research, and the use of various research tools such as cultural symbol analysis, brand design principles research, and consumer feedback survey forms. Methods employed for data collection include questionnaire surveys, in-depth interviews, and literature research, ensuring a comprehensive and reliable dataset. Both quantitative and qualitative methods are used to analyze the application effect of ethnic cultural elements in brand design.<br /> The results reveal that incorporating ethnic cultural elements, such as totems, colors, and patterns, into brand design significantly boosts brand recognition and cultural identity among consumers. Specifically, ethnic-themed packaging designs, storytelling that ties products to regional culture, and innovative taste strategies all contribute to enhancing the brand's competitiveness and market acceptance. Furthermore, the study finds that combining brand stories with cultural communication methods is crucial for enhancing brand value. Through case studies of successful ethnic beverage brands, the study summarizes how ethnic elements can be effectively communicated and differentiated in both domestic and international markets through product design and innovative applications.</p> <p>The study contributes a brand design framework based on ethnic culture, validated through empirical research. It offers a novel perspective for the cultural inheritance and market development of Chinese beverage brands. Theoretically, the study enriches research on cultural element application in brand design. Practically, it provides specific recommendations for enterprises on integrating ethnic culture into brand design, which is vital for the modern inheritance and innovation of Chinese ethnic culture.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273827 Enhancing Reading Comprehension in Chinese EFL Learners: The Interplay of Vocabulary Size, Discourse Analysis, and Digital Reading Medium 2024-09-30T08:45:53+07:00 Li Xiaoyan irous0108@gmail.com Suwaree Yordchim lixiaoyansylvieli@163.com Suphat Sukamolson lixiaoyansylvieli@163.com <p> Background: This research aims to examine the correlations among vocabulary size, discourse analysis, digital reading platforms, and reading comprehension in EFL learners within the context of Chinese higher education.<br /> Aims: (1) Investigate the relationships among vocabulary size, discourse analysis, the use of digital reading mediums, and reading comprehension among EFL learners. (2) Determine the predictive power of discourse analysis, reading medium, and vocabulary size on reading comprehension through multiple linear regression analysis.<br /> Methodology: The study involved a sample of 84 first-year English majors at Sichuan Minzu College, utilizing correlation and multiple regression analysis to evaluate the predictive impact of these parameters on students’ reading comprehension. Research instruments included standardized tests for vocabulary size, discourse analysis assessments, and questionnaires for evaluating digital reading platform engagement. Data collection was conducted through pretests and posttests over a 10-week period, followed by thorough statistical analysis.<br /> Results: The research results found that a substantial positive association exists between learners' vocabulary size and their reading comprehension abilities, highlighting the critical role of vocabulary knowledge. Additionally, discourse analysis emerged as a vital component that enhances comprehension by focusing on linguistic structures and coherence. The incorporation of digital reading platforms, particularly Superstar E-learning, demonstrated beneficial impacts on comprehension through increased flexibility and engagement. Furthermore, a significant correlation between effective vocabulary learning strategies and vocabulary size was observed, emphasizing the importance of strategic vocabulary acquisition for improving reading comprehension.<br /> Conclusion: These findings underscore the necessity for a comprehensive teaching strategy that integrates vocabulary enhancement, discourse analysis, and the use of digital resources to foster better reading comprehension in EFL contexts.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273998 The New Path for Cultivating Leadership among College Students in Local Normal Universities: Practical Exploration in H University Based on Transformational Leadership Theory 2024-10-06T16:35:32+07:00 Jin Li praewpanprajakko@gmail.com <p> The objectives of this research were: (1) To explore the leadership development practices at H University under the guidance of transformational leadership theory.(2) To analyze the improvement in students' leadership qualities after participating in transformational leadership courses.(3)To propose a new pathway for leadership development suitable for local normal universities in China to promote future leadership education reform.<br /> The research was mixed methodology design which were comprised of quantitative and qualitative research. The population composed of 4736 students from the teacher training program at H University, with 367 students selected as a sample using random sampling. The researcher determined sample size with Krejcie and Morgan table (1970).Firstly,the researcher will conduct a leadership competency survey aimed at evaluating the improvement in students' leadership qualities after participating in transformational leadership courses. The total population is 4,736 students, with a sample size of 367 students.Then,the researcher analyzed the questionnaire data by using various methods, including mean score analysis, standard deviation analysis, minimum and maximum scores analysis, overall trends analysis, SWOT analysis, and SPSS statistical analysis.<br /> The research findings were: (1) In China, there is insufficient emphasis on college students' leadership education. Local normal universities have issues such as an imperfect curriculum system for leadership cultivation. (2) Under the guidance of transformational leadership theory, H University has carried out a variety of practical explorations to effectively improve students' leadership qualities. (3) H University has achieved some results in integrating the transformational leadership theory into curriculum design and practical teaching but still faces challenges like theory-practice integration, mentor resources, evaluation systems, student engagement, and cultivation model innovation.There are three suggestions: (1) Strengthen university-enterprise cooperation. (2) Refine the evaluation system.(3)Explore "Internet + leadership education" models.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/269873 The Lei Feng in the Main-melody Animation: Ideology Reproduction in the Context of Contemporary China 2024-04-20T12:02:17+07:00 Yannan Xie praewpanprajakko@gmail.com Metta Sirisuk 317145986@qq.com <p> In contemporary China, with the rapid changes in the media environment and the in-depth development of globalisation, the transmission and acceptance of ideology are facing new challenges, and Main-melody animation, as an important carrier of ideological education, carries the important task of passing on and innovating socialist core values. This study is part of a doctoral dissertation, and adopts a qualitative research method to study four Lei Feng Main-melody animations as case studies, with the help of Althusser's theoretical framework of "ideological state apparatus". The objectives : 1) To analyse the role and influence of Lei Feng Main-melody animations in the ideological reproduction of modern Chinese society; 2) To analyse the modern transformation and social acceptance of Lei Feng's spirit, as well as the impact of this transformation on public attitudes and national identity.<br /> The results :1) Lei Feng animation demonstrates its effective cultural practice as an ideological state apparatus by transmitting socialist core values and reproducing specific social relations and behavioural patterns in contemporary Chinese society.2) Despite the importance of Lei Feng animation in transmitting traditional values, its acceptance has been challenged in the face of social pluralism and changes in values, which has prompted the production team to attempt to modernise and transform to meet the needs of modern audiences.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273826 The Analysis of factors affecting parental participation in early childhood education management in Jiangmen City 2024-09-30T08:51:19+07:00 Cai Mingming caimingming7@gmail.com Poramatdha Chutimant caimingming7@gmail.com <p> Background: Family education plays a crucial role in shaping children's development, especially within Chinese culture where traditional values profoundly impact parenting practices. In Jiangmen, Guangdong Province, understanding parental involvement in early childhood education is essential, as traditional authoritarian styles may hinder children's independence and holistic growth.<br /> Aims: (1) Evaluate parental involvement and satisfaction with kindergarten activities. (2) Perform exploratory factor analysis on parental involvement in early childhood education. (3) Develop a predictive model to analyze the influence of parental involvement on early childhood education outcomes.<br /> Methodology: A sample of 104 kindergartens in Jiangmen was selected using simple random sampling. Data were collected from parents, teachers, and administrators through questionnaires and face-to-face interviews. Quantitative data were analyzed using statistical methods and exploratory factor analysis, while qualitative data provided deeper insights into parental engagement practices.<br /> Results: The study found that parental involvement in kindergarten activities is notably high, with satisfaction scores averaging between 4.50 and 4.80. Key themes included effective participation in children's growth, collaboration with teachers, and the importance of a supportive home environment. Exploratory factor analysis revealed a significant component labeled "Parental Education Involvement," representing critical dimensions of engagement. A predictive model was developed based on the component score matrix, highlighting the positive influence of active parental involvement on early childhood education outcomes.<br /> Conclusion:The findings indicate a positive shift in parental attitudes toward education, moving from traditional authoritarian approaches to more collaborative and supportive practices. This emphasizes the significance of home-school cooperation in enhancing early childhood education outcomes. The study recommends strategies to further encourage parental involvement and suggests areas for future research to support children's comprehensive development in a rapidly changing educational landscape</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273688 The Development of Physical Education Teaching using Games-Based Learning to Enhance Skill of Football and Physical Fitness in Students Primary School 2024-09-24T14:28:49+07:00 Liu Guiyang jakrin.d@udru.ac.th Jakrin Duangkam jakrin.d@udru.ac.th Ekasak Hengsuko jakrin.d@udru.ac.th <p> The purposes of this research were: 1) Development of physical education teaching using games-based learning to enhance skill of football and physical fitness in students primary school. 2) Evaluate of physical education teaching using games-based learning to enhance skill of football and physical fitness in students primary school. The sample group consisted of grade 6 students in primary school in the second semester of the academic year2023. The researcher randomly selected the sample classrooms using a cluster random sampling method by drawing lots to determine the research sample classrooms. Two classrooms were selected and divided into an experimental group of 40 students physical education teaching using games based learning and a control group of 40 students normal physical education teaching. The research was conducted for 40 minutes three times a week for total 10 weeks. The tools used in the study were 1) physical education teaching using games-based learning 10 lesson plans with an IOC average congruence index of 0.84 and 2) Skill of football test with a reliability of 0.88. and the physical fitness test are speed, strength, flexibility and agility measurement form National students physical health standards test in China with a reliability of 0.91. The data was analyzed using means and standard deviations, and the difference in average scores was tested using a t-test. <br /> The results indicate that:<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> The average of skill of football and physical fitness students in the experimental group, who received physical education teaching using games-based learning, significantly increased at the .05 level and the control group, received conventional normal physical education teaching, did not significantly change at the .05 level.<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> After the experiment, the average of skill of football and physical fitness in the experimental group was significantly higher than that of students in the control group at the .05<br /></span> The results suggest that the implementation of game-based learning in physical education effectively enhances both skills of football and physical fitness in students primary school.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273394 The Soundscape Satisfaction Evaluation and Optimization Design of the Echo at Yingying Pagoda in Pujiu Temple 2024-09-12T14:48:05+07:00 Minting Zhao 457915182@qq.com Eakachat Joneurairatana zhao_m@silpakorn.edu Veerawat Sirivesmas zhao_m@silpakorn.edu Sone Simatran zhao_m@silpakorn.edu <p> The Yingying Pagoda in Pujiu Temple, Shanxi, is renowned for its unique "frog echo" soundscape, which is not only a cultural icon but also a significant element of the tourist experience. However, the integration of this soundscape with the environment and its satisfaction levels among tourists have not been optimally addressed.This research aims to evaluate the current soundscape of the Yingying Pagoda and optimize it to enhance tourist satisfaction. The study seeks to analyze the physical characteristics of the soundscape, assess tourist satisfaction, and propose improvements based on environmental interactions.A comprehensive approach was employed, involving field investigations, in-depth interviews with experts, and questionnaires completed by a sample of 70 tourists. Sound field simulations were also conducted to predict the acoustic effects of various materials and design alterations. The data collected was analyzed using both qualitative and quantitative methods to assess the soundscape's integration with the landscape and to identify key factors affecting tourist satisfaction.The analysis revealed that the cultural significance of the "frog echo" soundscape was acknowledged, but its environmental integration was found to be lacking and not meeting tourist expectations. The wall material and listening position were identified as key factors influencing satisfaction.<br /> Based on the findings, the study suggests several optimization strategies. These include using red bricks and wood to improve the wall's acoustic performance, adjusting the listening point for a more immersive experience, integrating vegetation and Buddhist cultural elements for a harmonious visual and auditory landscape, and establishing a long-term maintenance and feedback mechanism to ensure continuous improvement of the soundscape.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273412 The Artistic Integration and Cultural Inheritance: Modern Interpretations of Qinqiang Opera Masks 2024-09-12T14:50:46+07:00 Li Huidong 1589945962@qq.com Veerawat Sirivesmas lhuidong045@gmail.com Ruenglada Punyalikit lhuidong045@gmail.com <p> This research aims to explore the artistic and cultural significance of Qinqiang Opera masks by examining their role in modern cultural inheritance and integration. Through a combination of literature review, visual analysis, and field research, this study focuses on the design, color symbolism, and emotional expression of the masks as key elements of Qinqiang Opera performances. The research sample consists of traditional Qinqiang Opera masks from Shaanxi province, supplemented by modern interpretations found in multimedia and design projects. Research instruments include academic texts, interviews with artists and designers, as well as visual documentation of performances. Data collection involves qualitative analysis through case studies and interviews, while research analysis employs both historical and semiotic approaches to understand the evolving role of masks in contemporary settings.<br /> The research results found that Qinqiang Opera masks not only serve as aesthetic symbols but also play a crucial role in connecting historical traditions with modern cultural expressions. The innovative application of traditional mask elements in contemporary art has allowed for the preservation and adaptation of this cultural form, ensuring its relevance in the modern era.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273592 Development of program to promote health using individual exercise of Ningbo University of Finance and Economics students 2024-09-20T23:28:55+07:00 Kang ZhiHui wiradee.e@gmail.com Wiradee Eakronnarongchai wiradee.e@gmail.com Jakrin Duangkam wiradee.e@gmail.com <p> At present, Chinese universities pay more and more attention to the improvement of college students' physical health, but the unified teaching mode adopted in college physical education is not targeted, and the improvement of students' physical health level is slow. In view of this, the goal of this study is to understand the current situation of physical fitness of college students in Ningbo University of Finance and Economics, design and use individual physical exercise plans suitable for students, verify the feasibility and effect of individual exercise plans in the form of experiments, and hope to apply the individual exercise plans suitable for students to the exercise and teaching of college students, so as to promote the improvement of students' physical health level. This paper uses expert interview, literature research, questionnaire survey, experimental research, data statistics and other research methods. Using expert interview questionnaire, student questionnaire, personal exercise plan, physical health testing equipment and other research tools, 200 students in Ningbo University of Finance and Economics were selected as the research objects, and the experimental subjects were divided into two groups, one group was the experimental group (100 people, 50 men and women each), and the other group was the control group (100 people, 50 men and women each). According to the teaching syllabus and teaching content, both groups carried out normal physical education, and the experimental group also implemented a personal exercise plan suitable for students, one plan for each person, for 12 weeks. Before and after the experiment, the two groups arranged courses and tests according to the same frequency and time, and carried out indicator detection and data collection. In this paper, various indicators (physical exercise habits, motivation, physical health test scores) before and after the experiment were compared by means of T-test.<br /> The results ifound that:<br /> 1) The physical exercise habits and motivations of the students of the experimental group have undergone major changes, and they have taken a targeted physical exercise. The health motivation and social motivation of physical exercise have been greatly improved.<br /> 2) The physical health test results of the experimental group are obviously higher than the control group, especially the front body flexion (boys), 1000 meters run (boys), standing long jump (boys), seated body flexion (girls), and the leading body upward (pull up) (boys).<br /> Research results:<br /> The personal exercise plan suitable for students is conducive to improving students' love and motivation for physical exercise. It is more targeted and plays a more obvious role in improving students' physical health and physical fitness.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270153 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น โดยใช้การเรียนรู้เชิงรุก 2024-05-02T21:16:02+07:00 ปกรชัย เมืองโคตร tong2515.nicha@gmail.com ปรีชา จั่นกล้า sasaoscar@gmail.com นฤนาท จั่นกล้า tong2515.nicha@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ก่อนและหลังการเรียนรู้เชิงรุก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น หลังจากที่ได้รับการเรียนรู้เชิงรุกกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลัง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้เชิงรุก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ได้คะแนนเฉลี่ย 16.09 คะแนน สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ได้คะแนนเฉลี่ย 16.09 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.45 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ภาพรวมความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีคะแนนเฉลี่ย 3.94 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270221 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของพนักงานผู้ปฏิบัติงาน ในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในจังหวัดระยอง 2024-05-02T21:22:35+07:00 ธิติมา สกุลนุ่ม thitima.sak@hotmail.com พงศ์ภัค บานชื่น thitima.sak@hotmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านแรงจูงใจในการทำงาน และ 2) ปัจจัยด้านความพึงพอใจในการทำงาน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของพนักงานผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในจังหวัดระยอง การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในจังหวัดระยอง จำนวน 380 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามที่มีลักษณะเป็นคำถามแบบปลายปิด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) แรงจูงใจในการทำงานส่งผลกระทบทางบวก ต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในภาพรวมและรายด้าน เมื่อพิจารณาแรงจูงใจในการทำงานโดยรวม พบว่าแรงจูงใจในการทำงานส่งผลกระทบทางบวก ต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทั้งหมด 3 ตัวแปรได้แก่ แรงจูงใจในการทำงานจากความต้องการดำรงอยู่ จากความต้องการความสัมพันธ์ และจากความต้องการการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ความพึงพอใจในการทำงานส่งผลกระทบทางบวก ต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในการทำงานรายด้าน พบว่า ความพีงพอใจในการทำงานจากความสำเร็จของงาน จากการได้รับการยอมรับนับถือ จากลักษณะงาน และจากโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานส่งผลกระทบทางบวกต่อการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องของพนักงานยกเว้นความความพึงพอใจในการทำงานจากความรับผิดชอบส่งผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของพนักงาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานเท่ากับ -0.382</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272777 The Influence of China-Chic Attribute Perception on Purchase Intention among Generation Z: Exploring the Mediating Effect of Brand Well-Being 2024-09-12T14:08:24+07:00 Yanmei Zeng chun-shuo.che@dpu.ac.th ChunShuo Chen chun-shuo.che@dpu.ac.th Fanhao Meng chun-shuo.che@dpu.ac.th <p> As globalization deepens, the sense of crisis brought about by cultural homogenization has become increasingly pronounced. A growing number of enterprises advocate for the use of national and local cultural assets to create brand uniqueness and enhance competitiveness. In China, there is a rising trend among brands to integrate Chinese cultural symbols with modern fashion, engaging in marketing activities such as brand image construction, product design, and market communication. This prominent marketing approach is referred to as "China-chic marketing." The main purpose of this study is to construct a comprehensive model based on consumer culture theory to examine how perceptions of China-chic attributes—symbolic local culture, fashion culture orientation, and creativity—affect purchase intention through brand well-being.</p> <p>This study takes the questionnaire survey method in quantitative research to collect data of Chinese Generation Z and use snowball sampling method to collect 573 valid samples and use SPSS and AMOS statistical software to analyze the data and verify the hypotheses. The research results showed that perceptions of these China-chic attributes positively influence brand well-being, which in turn positively affects purchase intention and mediates the relationship between China-chic attribute perception and purchase intention. This study provides insights for businesses to effectively implement China-chic marketing, offering Generation Z consumers values of nobility and lasting happiness to enhance brand competitiveness. </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273543 ผลการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บไซต์เพื่อการสมัครงานของชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) และรับสมัครงานของภาคธุรกิจ บริการในเขตจังหวัดนนทบุรี 2024-09-23T13:50:08+07:00 เศรษฐภูมิ เถาชารี sedthapoom@pnru.ac.th <p> เนื่องจากจังหวัดนนทบุรีเป็นจังหวัดที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ภาคธุรกิจ บริการประสบกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ประกอบกับประชาชนในชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) ก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับหางาน เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลความต้องการแรงงาน ผู้วิจัยนี้จึงได้พัฒนาเว็บไซต์ https://jobwatku2.com/ และได้ประยุกต์ใช้กับชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) และผู้ประกอบการในเขตจังหวัดนนทบุรี ดังนั้นงานวิจัยนี้มีจึงวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บไซต์เพื่อการสมัครงานของชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) และรับสมัครงานของภาคธุรกิจ บริการในเขตจังหวัดนนทบุรี และ 2) เสนอแนวทางการบริหารจัดการระบบสารสนเทศบนเว็บไซต์เพื่อการสมัครงานของชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) และรับสมัครงานของภาคธุรกิจ บริการในเขตจังหวัดนนทบุรี ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นประชาชนในชุมชนเอื้ออาทร (วัดกู้ 2) จำนวน 80 คน และเจ้าของกิจการในเขตจังหวัดนนทบุรี จำนวน 20 โรงงาน โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยวัดค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า Independent Samples t Test ค่า One Way ANOVA และสถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียรสัน (Pearson product moment correlation) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความพึงพอใจโดยรวมของประชาชนและผู้ประกอบการที่ใช้งานระบบสารสนเทศบนเว็บไซต์ มีค่าเฉลี่ย 3.94 (ระดับ มาก) และค่าเฉลี่ย 3.97 (ระดับ มาก) ตามลำดับ และ 2) ควรเพิ่มความเพียงพอของเมนูในเว็บไซต์ ควรเพิ่มปริมาณเนื้อหาให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และควรมีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารภายในเว็บไซต์เกี่ยวกับธุรกิจให้มีความเหมาะสม</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273214 The Development of Integrated Physical Education Teaching to Enhance Physical Fitness of Students in Higher Vocational Colleges Kunming City 2024-09-06T22:47:26+07:00 Ji Chunze jakrin.d@udru.ac.th Jakrin Duangkam jakrin.d@udru.ac.th Wiradee Eakronnarongchai jakrin.d@udru.ac.th Rangsarit Jamrern jakrin.d@udru.ac.th <p> The purposes of this research were to develop and compare integrated physical education teaching to enhance physical fitness before and after teaching between the experiment group and control group.<br /> The sample group consisted of grade 1 students in the physical education course of Yunnan vocational college of tourism of the academic year 2023. The researcher randomly selected the sample classrooms using a cluster random sampling method by drawing lots to determine the research sample classrooms. Two classrooms were selected and divided into an experimental group of 50 students and a control group of 50 students. The research was conducted for 1.5 hours per week, totally ten weeks. The tools used in the study were 1) integrated physical education teaching, consisting of 10 lesson plans with an IOC average congruence index of 0.97 and 2) The physical fitness test on BMI, speed, endurance, flexibility and strength measurement form, National students physical health standards test in china with a reliability of 0.92. The data was analyzed using means and standard deviations, and the difference in average score was tested using a t-test.<br /> The research findings were as follows:<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. Development of integrated physical education teaching design, consisting of 10 lesson plans to enhance the physical fitness of students in higher vocational colleges, Kunming city.<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. The average of physical fitness students in the experimental group in speed, endurance, flexibility and strength, who received integrated physical education teaching significantly increased at the .05 level. However, the students in the control group, who received conventional normal physical education teaching, not significantly at the .05 level<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. After the experiment, the average of physical fitness students in speed, endurance, and strength of the experimental group was significantly higher than that of students in the control group at the .05 level. However, the students BMI and flexibility, not significantly at the .05 level</span></p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273656 Innovative Pathways for Integrating Chinese Children's Piano Works into Piano Education at Universities in Guangxi 2024-09-23T13:45:17+07:00 Hao Lu 75832079@qq.com Nataporn Rattachaiwong 75832079@qq.com Lingling Liu 75832079@qq.com <p> This study explores innovative pathways for integrating Chinese children's piano works into piano education in Guangxi universities. It examines the artistic characteristics of these works, focusing on how they enhance students' technical abilities, cultural identity, and teaching skills. Utilizing qualitative research methods, including questionnaire surveys, interviews, and classroom observations, the study investigates the current piano education system and proposes a modular teaching model tailored to Guangxi’s unique cultural environment. The results indicate that incorporating Chinese children's piano works into the curriculum significantly improves students' musical expressiveness and teaching practice abilities while promoting</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270441 The Exploring Motivative Dynamics in English Language Learning Among University Students in Thailand’s Deep South through L2MSS Framework 2024-05-12T15:28:27+07:00 Abdullah Yuhannan tonpanansatun@gmail.com Phnita Chatranonth tonpanansatun@gmail.com Patsriyanyong Sungroong tonpanansatun@gmail.com <p> This study investigates the motivational factors influencing English language learning among university students in Thailand’s politically volatile southern border provinces, employing Zoltán Dörnyei’s L2 Motivational Self System (L2MSS). This framework encompasses three key constructs: the Ideal L2 Self, the Ought-to L2 Self, and the L2 Learning Experience. Data were collected through in-depth interviews with students from Yala, Narathiwat, and Pattani to analyze how these motivational components impact their English proficiency.<br /> Results indicate that the Ideal L2 Self is a pivotal motivator, with students linking future success in English to career and personal life goals, often inspired by successful role models. The Ought-to L2 Self is influenced by societal and environmental expectations from family, religion, educational systems, and cultural contexts, affecting motivation variably across individuals. The L2 Learning Experience, including well-resourced classrooms, proficient teachers, modern teaching materials, and educational technology, supports motivational pathways for enhancing English skills.<br /> This research enriches the understanding of motivational factors in English language learning and provides insights specific to the unique cultural, social, and political contexts of the southern border area. The findings offer implications for policy formulation aimed at improving English language education and motivation in this region and potentially across Thailand.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273527 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ 2024-09-20T23:32:27+07:00 สรารัตน์ สอนสุกอง bim_l_m@hotmail.co.th สิรินภา กิจเกื้อกูล Sararats65@nu.ac.th <p> งานวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์ เป็นฐานที่สามารถส่งเสริมปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา และศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา เมื่อจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เรื่อง วิวัฒนาการ ซึ่งผู้เข้าร่วมวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ในโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน จำนวน 3 แผน ระยะเวลา 12 ชั่วโมง แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกกิจกรรม และแบบประเมินปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) เลือกปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ 2) ดำเนินการศึกษาค้นคว้า 3) สังเคราะห์ความรู้และลงข้อสรุป 4) ตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนผ่านการนำเสนอชิ้นงาน ผลการวิจัยพบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเลือกใช้ปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผู้เรียน ปรากฏการณ์ที่ผู้เรียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียน สามารถพัฒนาปัญญาด้านธรรมชาติวิทยาของผู้เรียนให้เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะด้านความสนใจ และด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ และพบว่าหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน นักเรียนมีค่าเฉลี่ยผลการประเมินด้านความสนใจ ด้านทักษะ/ความสามารถ และด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ อยู่ในระดับ มาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.71, 3.75 และ 4.00 ตามลำดับ ในขณะที่ด้านความรู้/ความเข้าใจ อยู่ในระดับ ปานกลาง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.33</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273146 The Effective Teacher Motivation Model in Higher Vocational College of GuangDong Province 2024-09-12T14:05:35+07:00 Beibei Cao s64584951024@ssru.ac.th Thada Siththada thada.si@ssru.ac.th <p> The purpose of this research was to propose the guidelines for an effective teacher motivation model in higher vocational colleges of Guangdong Province.the samples of this study were 66 public higher vocational colleges in Guangdong Province. The respondents were school administrators (132 respondents) and teachers (330 respondents) total of 462 people. The research instruments are semi-structured interviews, a Research questionnaire, and a checklist form. the statistics used for analyzing the data were context analysis, frequency,percentage, mean,standard deviation,and Exploratory Factor Analysis,and the finding was confirmed by the ethnographic future research. The findings of this research were:1. The level of teacher motivation in higher vocational colleges of Guangdong Province between moderate level and highest level.2. the components of an effective teacher motivation model in the Higher Vocational College of Guangdong Province comprised 7 components which were 1) School Climate (SC), 2) Self-efficacy (SE), 3) Working Conditions (WC), 4) Promotion Development (PD),5) Leadership Style (LS),6) Assessment and Evaluation (AE), 7) Management Effectiveness (ME).</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273636 Student Affair Management in Universities of Art in Shenyang Under Liaoning Province 2024-09-23T09:43:07+07:00 Zhang Xinyu praewpanprajakko@gmail.com Chuanchom Chinatangku praewpanprajakko@gmail.com Kamolmal Chaisirithanya praewpanprajakko@gmail.com <p> The objectives of this research were: (1) to explore the components of student affair management in universities of art in Shenyang under Liaoning Province, and(2) to propose guidelines for improving student affair management in universities of art in Shenyang under Liaoning Province.The research was a mixed methodology, including qualitative research and quantitative research.The population of this research consisted of administrations and teachers from universities of art in Shenyang under Liaoning Province,totaling 1,513. The sample was determined by Krejcie and Morgan's Table (1970),and obtained by a stratified random sampling technique,totaling 330 samples. The key informants consisted of 14 people,who were professional art teachers,and who worked in student affair organizations,obtained by purposive sampling method. The instruments used for data collection were a semi-structured interview forms, and a five-point scale questionnaires. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, mean, Standard Deviation and Exploratory Factor Analysis as well as the content analysis was employed. The research findings were revealed that: (1) the components of student affair management in universities of art in Shenyang under Liaoning province consisted of components: Assist students’ learning and living conditions,Having responsibility and service awareness of students,Strengthen academic and leadership skill for students,Providing counseling services,Improving and quality and comping ability of students,Improving and enhance work requirement,and Providing employment information and resources; and (2) there were 50 guidelines for improving student affair management in universities of art in Shenyang under Liaoning Province.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273429 แนวทางการตลาดธุรกิจนำเข้า-ส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร ระหว่างประเทศเวียดนาม ลาว และไทย กรณีศึกษาบริษัทนำเข้าส่งออก “TTHH MTV QUANG THUY” 2024-09-12T15:22:40+07:00 Hau Nguyen Van nguyenvanhau090199@gmail.com รุจิรัตน์ พัฒนถาบุตร nguyenvanhau090199@gmail.com <p> การนำเข้า-ส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรระหว่างประเทศเวียดนาม ลาว และไทย เป็นส่วนสำคัญของช่องทางการตลาดในภาคการเกษตรที่ส่งเสริมความเป็นเอกภาพ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมทางการจัดการของธุรกิจนำเข้าส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรระหว่างประเทศเวียดนาม ลาว และไทย 2) ศึกษาองค์ประกอบการตลาดธุรกิจนำเข้าส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร 3) วิเคราะห์และนิยามองค์ประกอบการตลาดธุรกิจนำเข้าส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร 4) ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้บริการธุรกิจการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตร และ 5) กำหนดแนวทางการตลาดแนวทางการตลาดธุรกิจนำเข้าส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรระหว่างประเทศเวียดนาม ลาว และไทย บริษัทนำเข้าส่งออก “TTHH MTV QUANG THUY” <br /> ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธีการ ในเชิงคุณภาพด้วยการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ การระดมสมองระหว่างทีมบริหารของธุรกิจ และในเชิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ จากกลุ่มเป้าหมาย 400 คน ผลการวิจัยพบว่า จุดแข็งของบริษัทคือการใช้ระบบ ERP ในการติดตามและควบคุมการดำเนินงาน การคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่มีคุณภาพสูง และการจัดการเอกสารการขนส่งเพื่อลดปัญหาการจัดเก็บภาษีและการส่งมอบ กำหนดองค์ประกอบทางการตลาดได้ 33 องค์ประกอบ และเมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจสามารถลดองค์ประกอบเหลือ 5 องค์ประกอบ ประกอบด้วย 1) การบริการอันทรงคุณค่า 2) การบริการด้านโลจิสติกส์ 3) การบริการที่ตรงเวลาและโปร่งใส 4) การบริการด้วยประสบการณ์ และ 5) การบริการเสริมที่สำคัญ ซึ่งสามารถอธิบายการตลาดธุรกิจนำเข้าส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรได้ร้อยละ 69.403 จึงนำองค์ประกอบที่ได้มาระดมสมองกำหนดเป็นแนวทางการตลาด “VLT Ex-Im” ที่ตรงตามศักยภาพของบริษัทและสนองตอบพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมาย </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273980 The Exploring Impact Mechanisms of Network Embedding on Innovation Performance in Chinese International Freight Forwarding Enterprises 2024-10-06T19:45:04+07:00 Lingli Ouyang 510716549@qq.com Huabai Bu 2710389209@qq.com <p> This study aims to explore the influence mechanism of network embeddedness on business model innovation and enterprise innovation performance in Chinese international freight forwarding enterprises. The research is based on network embeddedness theory and supported by dynamic capability theory. The study population consists of Chinese international freight forwarding companies, with a sample of 10 companies selected from the "Top 100 National Freight Forwarders in China's International Freight Forwarding Ranking 2022" published by "Trade and Economic Network". Data was collected through questionnaire surveys and analyzed using empirical methods.<br /> The research findings indicate that: 1) Network embeddedness has a significant positive impact on both business model innovation and enterprise innovation performance; 2) Business model innovation partially mediates the relationship between network embeddedness and enterprise innovation performance; 3) Dynamic capabilities significantly moderate the relationship between network embeddedness and business model innovation. Based on these results, it is suggested that Chinese international freight forwarding enterprises should focus on strengthening their network relationships and improving their dynamic capabilities to enhance their innovation performance. This research contributes to broadening the perspective on the relationship between network embeddedness and innovation performance, while providing strategic guidance for Chinese international freight forwarding enterprises to enhance their innovation capabilities in an increasingly globalized business environment.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273255 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานคร 2024-09-06T23:18:24+07:00 กนิษฐา ช้างเสวก kanittha.chan@northbkk.ac.th สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล sanit.si@northbkk.ac.th พิศมัย จารุจิตติพันธ์ pisamai.ja@northbkk.ac.th <p> สถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง เนื่องจากเป็นธุรกิจรายย่อย ที่ผ่านมาสามารถเปิดได้อย่างเสรีโดยไม่มีการขึ้นตรงต่อหน่วยงานใดที่จะมารับผิดชอบ และยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานของการประกอบธุรกิจไว้โดยเฉพาะ จึงมีการร้องเรียนบ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุถูกทำร้าย บางครั้งเกิดอุบัติเหตุหกล้มหรือตกเตียง เพราะไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า,2564) ปัจจุบันได้มีการบังคับใช้ พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 และกฎกิจการกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564 เข้ามาควบคุมดูแลมาตรฐานในสถานประกอบการซึ่งประสงค์จะประกอบกิจการต้องผ่านมาตรฐานตามที่กระทรวงกำหนด การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยองค์กรและปัจจัยการจัดการที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานคร รวมถึงข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาผลการดำเนินงานของสถานประกอบการ ประชากรคือสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานครที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 169 แห่ง โดยการเปิดตารางเครซี่และมอร์แกน ใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) ตามด้วยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานประกอบการที่มีลักษณะและทุนจดทะเบียนของสถานประกอบการแตกต่างกันมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสถานประกอบการที่มีระยะเวลาดำเนินกิจการและด้านประสบการณ์ของผู้ดำเนินการของสถานประกอบการแตกต่างกันมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ปัจจัยการจัดการทั้ง 4 ด้าน สามารถร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานของสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานครโดยรวม ได้ร้อยละ 67.7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเมื่อเรียงลำดับอิทธิพลพบว่า ปัจจัยการจัดการด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ และด้านงบประมาณ ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานครโดยรวมในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) แนวทางการพัฒนาผลการดำเนินงานของสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในกรุงเทพมหานคร พบ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การจัดหาแหล่งเงินทุนให้เพียงพอ เพื่อนำมาดำเนินงานในสถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การจัดสรรบุคลากรที่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการ อย่างเพียงพอและเหมาะสมในการปฏิบัติงาน 3. การพัฒนาการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพื่อเป็นการกำหนดทางและทิศทางในการดำเนินงาน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273388 A Study of the Commonalities in the "Ca Da Bo" Dance of the Han and Yi Ethnic Groups in Baoshan, Yunnan 2024-09-12T14:43:53+07:00 Yonglin Zhao 156041961@qq.com Qiu Jin jinqianqiu1391@sina.com <p> Background: The "Ca Da Bo" dance is a traditional folk performance found among both the Han and Yi ethnic groups in Baoshan, Yunnan. It integrates elements of dance, percussion, and ritual, reflecting the cultural identities and shared heritage of these two groups. Despite the unique features of each group's version, the dances demonstrate significant commonalities, revealing the cultural exchanges that have taken place between them over centuries.<br /> Research objectives: This study aims to explore the commonalities in the "Ca Da Bo" dances of the Han and Yi ethnic groups by examining shared elements in dance movements, formations, rhythm, style, spirit, props, costumes, and performance spaces.<br /> Methodology: The research employs a mixed-methods approach, including a literature review, field observations, and comparative analysis of dance practices. Data was gathered through video recordings, interviews with practitioners, and direct observation of performances. The analysis focuses on identifying both the physical and cultural aspects of the dances that reflect their shared heritage.<br /> Research results: The findings reveal significant similarities in the rhythmic structure, stylistic features, and cultural expressions of the Han and Yi "Ca Da Bo" dances. Both groups use similar formations, props, and costumes, while their dance rhythms and performance styles reflect a shared cultural spirit. Despite some regional variations, the dances showcase a common cultural foundation that has been preserved and transmitted through centuries of cultural exchange.<br /> Conclusion: This study contributes to a deeper understanding of how traditional dances can act as a medium for preserving and promoting cultural heritage. The "Ca Da Bo" dance serves as a bridge between the Han and Yi ethnic groups, maintaining distinct cultural traits while fostering mutual understanding and cultural integration.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273295 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่การเป็นเมืองเป้าหมาย ทางการท่องเที่ยวแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน 2024-09-12T15:27:45+07:00 มณฑิรา เกียรติถาวรนันท์ montira.k@rmutsv.ac.th ศุภวรรณ ตันตสุทธิกุล montira.k@rmutsv.ac.th ประภาพรรณ แก้วสิยา montira.k@rmutsv.ac.th หทัยรัตน์ วัฒนพฤกษ์ montira.k@rmutsv.ac.th <p> วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1) เปรียบเทียบปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญ 2) ความคิดเห็นของชุมชนและหน่วยงานภาครัฐในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 3) กำหนดแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่การเป็นเมืองเป้าหมายทางการท่องเที่ยวแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน วิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมจากนักท่องเที่ยว จำนวน 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติเชิงอนุมานด้วยสถิติทดสอบ t –test และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง กลุ่มให้ข้อมูล คือ ประชาชนในชุมชน หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว วิเคราะห์ข้อมูลโดยการการวิเคราะห์เนื้อหา การจัดระเบียบข้อมูล และสรุปผล<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.80, S.D.= 0.82) และพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ บุคลากร ราคา กระบวนการ การนำเสนอลักษณะทางกายภาพ และการส่งเสริมการตลาด ตามลำดับ การทดสอบค่า t-test พบว่า เพศที่แตกต่างกัน ให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว พบว่า อายุ ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน ให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกัน 2) ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวผ่านกระบวนการรวมกลุ่มเพื่อวางแผน ดำเนินงาน การจัดการผลประโยชน์ที่ได้รับ และการประเมินผลจากการทำงานทุกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนควรมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวด้วยการช่วยอนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษา ผ่านกระบวนการให้ความรู้ ความร่วมมือกับชุมชนในการสร้างจิตสำนึก ความหวงแหน ผ่านการสืบทอดภูมิปัญญาให้คนรุ่นหลัง 3) ควรนำปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมาพัฒนาผ่านการมีส่วนร่วมแบบบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว รวมทั้งได้รับการสนับสนุนด้านความองค์ความรู้ งบประมาณจากภาครัฐและเอกชนในพื้นที่</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273043 การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2024-08-29T13:43:25+07:00 มนชิดา หนูแก้ว po-mon@hotmail.com นพรัตน์ ชัยเรือง po-mon@hotmail.com วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ po-mon@hotmail.com <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3) ตรวจสอบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช การวิจัยแบบผสานวิธี ดำเนินการเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน ผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้รับผิดชอบงาน 151 คน กำหนดจากตารางของ Taro Yamane และผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพในการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ระยะที่ 2 พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา และระยะที่ 3 ตรวจสอบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยใช้การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ 12 คน<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /> สภาพปัจจุบันการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄<strong>=</strong> 3.28) และความต้องการจำเป็น (PNI) โดยรวมเท่ากับ 0.315</p> <p> การพัฒนาขั้นตอนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประกอบด้วย 1) ชื่อระบบ การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ V3S2R Model 2) เป้าหมายของระบบ คือ เพื่อใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่พัฒนาขึ้นยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา และเพื่อให้การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนผ่านกระบวนการทำงานที่ชัดเจน ปรับเปลี่ยนตามสภาพบริบทของนักเรียน และสถานศึกษา 3) ผู้รับผิดชอบระบบ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว ครูผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาอื่น ๆ หน่วยงานภายนอก</p> <p> ผลการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นประโยชน์ของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ด้านความถูกต้อง ในภาพรวม ค่าเฉลี่ย 4.46 อยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272636 การทดลองพัฒนาระบบจัดการจัดซื้อจัดจ้างวัตถุดิบสินค้าที่เหมาะสมด้วยโปรแกรม ออราเคิลแอปพลิเคชัน กรณีศึกษาบริษัท สุวรรณภูมิซุปเปอร์แวร์ จำกัด 2024-09-29T13:56:19+07:00 พรทิพย์ ว่องสรรพการ tomvichakarn@gmail.com นันทิรา วรกาญจนบุญ pornthip.won@svit.ac.th บุณยณัฐ บัวราช pornthip.won@svit.ac.th อัจฉรา ธนีเพียร pornthip.won@svit.ac.th ณฐา ธรเจริญกุล pornthip.won@svit.ac.th <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลและรวบรวมข้อมูลการจัดซื้อสินค้าหรือบริการแต่ละประเภท ความต้องการของฝ่ายจัดซื้อเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเภทการจัดซื้อจัดจ้างที่มีให้เลือกใช้ในระบบการจัดซื้อจัดจ้างของออราเคิลแอปพลิเคชัน 2. เพื่อศึกษาระบบการจัดซื้อสินค้าในระบบปัจจุบันเพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่หรือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต 3. เพื่อศึกษาออกแบบและพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างของออราเคิลแอปพลิเคชัน ให้รองรับความต้องการและสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ กลุ่มตัวอย่างกรณีศึกษาบริษัท สุวรรณภูมิซุปเปอร์แวร์ จำกัด จากการศึกษาความต้องการของฝ่ายจัดซื้อนั้น สามารถตอบสนองความต้องการได้โดยใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของออราเคิลแอปพลิเคชัน มาช่วยสนับสนุนการทำงานโดยระบบออราเคิลแอปพลิเคชัน นั้นได้เตรียมประเภทของใบสั่งซื้อสำหรับเลือกใช้ในระบบด้วยกันทั้งหมด 4 แบบ คือ 1. ใบสั่งซื้อแบบมาตรฐาน 2. ใบสั่งซื้อแบบแพลน 3. สัญญาสั่งซื้อแบบแบล็งเค็ต 4. สัญญาว่าจ้าง ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบใช้เพื่อการสั่งซื้อหมวดหมู่ของสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม ผลจากการพัฒนาเมื่อนำระบบจัดซื้อจัดจ้างของออราเคิลแอปพลิเคชัน มาใช้แล้ว เปรียบเทียบประเภทการจัดซื้อที่เหมาะสมกับหมวดหมู่สินค้าหรือบริการนั้นสามารถจัดการ ควบคุม การจัดซื้อจัดหาสินค้าหรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มีฟังก์ชันการแตกราคาที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดซื้อที่มีปริมาณมาก ๆ การแจ้งเตือนเมื่อการสั่งสินค้าไม่เป็นไปตามที่กำหนดวางแผนเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้งานให้สามารถทำงานง่ายขึ้น ช่วยลดความผิดพลาดให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้การจัดซื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนของธุรกิจลดลง</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270127 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย ของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ 2024-05-02T21:10:19+07:00 ดำรงค์ ทองศรี bm12072@hotmail.com โชติ บดีรัฐ bomby3138@gmail.com ศรชัย ท้าวมิตร bomby3138@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และ 3. แนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ประชากร ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 14,705 หลังคาเรือน มีประชากร 30,637 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 ครัวเรือน ๆ ละ 1 คน รวมกลุ่มตัวอย่าง 390 คน<br /> ผลการวิจัยพบว่า สภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มี 3 ปัจจัย คือ 1. ความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย 2. ทัศนคติต่อการจัดการขยะมูลฝอย และ 3. พฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอย แนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ใช้รูปแบบ “UTTARA Model ” ซึ่งมีแนวทาง 6 ด้าน คือ 1. การกระตุ้นให้ร่วมมือจัดการขยะมูลฝอย (Urge) 2. การคัดแยกขยะมูลฝอย (Trash Distinguish) 3. การเก็บขนขยะมูลฝอย (Transport) 4. การฝังกลบขยะมูลฝอย(Action Landfill) 5. การกำจัดขยะมูลฝอย (Rid Waste) 6. การแต่งตั้งคณะทำงานด้านขยะมูลฝอย (Appoint) และเงื่อนไขความสำเร็จ 2 เงื่อนไข ได้แก่ 1. ความตั้งใจของฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการทุกระดับ 2. ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและแกนนำภาคประชาชนในพื้นที่ จากการตรวจสอบรูปแบบฯ พบว่ารูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ตามแนวทาง UTTARA Model มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และ มีความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272699 การสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณค่าวัฒนธรรมทวารวดี และสร้างแผนที่ทางวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม 2024-09-07T08:59:26+07:00 วิรัตน์ ปิ่นแก้ว daungdao0120@gmail.com วัลลี นวลหอม daungdao0120@gmail.com ลัทธสิทธิ์ ทวีสุข daungdao0120@gmail.com ดวงดาว รุ่งเจริญเกียรติ daungdao0120@gmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างกลไกและเครือข่ายความร่วมมือในการอนุรักษ์ พัฒนา และสร้างสรรค์คุณค่าของทุนวัฒนธรรมทวารวดี และ 2) สร้างแผนที่วัฒนธรรมทวารวดี และสื่อการเรียนรู้ทวารวดีจังหวัดนครปฐม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี วิธีการดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การสร้างกลไกและเครือข่ายความร่วมมือขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมทวารวดี ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ จำนวน 67 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และระยะที่ 2 การสร้างแผนที่วัฒนธรรมและสื่อการเรียนรู้ทวารวดีจังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรมทวารวดี 2) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมทวารวดีของชุมชน 3) กลุ่มผู้นำทางสังคม จำนวน 60 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด และนักเรียนทดลองใช้สื่อการเรียนรู้ จำนวน 150 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นแบบไม่เป็นสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต และแบบทดสอบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ และคนในชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test แบบ Dependent Samples ที่นัยสำคัญระดับ .05 <br /> ผลการวิจัยพบว่า การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ประกอบด้วย ส่วนราชการจังหวัดนครปฐม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา พระพุทธศาสนา นักวิชาการ ประชาชน และผู้ผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม โดยกลไกความร่วมมือสรุปได้ 2 แนวทาง ดังนี้ 1. ความร่วมมือกับภาคีหน่วยงานมี 9 ประเด็น 2.กลไกและแนวปฏิบัติในการดำเนินการขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมมี 4 ด้าน และการสร้างแผนที่วัฒนธรรมทวารวดีจังหวัดนครปฐม ประกอบด้วย 1) ทุนทางวัฒนธรรมทวารวดี 30 ทุน 2) ทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา 20 ทุน จำแนกเป็น 10 หมวดหมู่ และผลการทดลองใช้สื่อ พบว่า นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนรู้จากสื่อวัฒนธรรมทวารวดี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270002 รูปแบบการจัดการทุนมนุษย์ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2024-04-27T21:43:40+07:00 เกียรติศักดิ์ หยุยลือ kiatisakkk@hotmail.com รัชดา ภักดียิ่ง kiatisakkk@hotmail.com <p> การศึกษาวิจัยเรื่องรูปแบบการจัดการทุนมนุษย์ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการจัดการของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 2) ระดับปัจจัยทุนมนุษย์ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 3) ระดับความสำเร็จในการดำเนินงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 4) รูปแบบการจัดการทุนมนุษย์ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จำนวน 300 คน สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างด้วยโปรแกรม Mplus</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการจัดการ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยทุนมนุษย์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3) ความสำเร็จในการดำเนินงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อยู่ในระดับมาก 4) รูปแบบการจัดการทุนมนุษย์ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า (4.1) การจัดการ มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสำเร็จในการดำเนินงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยสัมประสิทธิ์เส้นทางมีค่าเท่ากับ 0.175 และมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับปัจจัยทุนมนุษย์ มีสัมประสิทธิ์เส้นทางมีค่าเท่ากับ 0.629 (4.2) ปัจจัยทุนมนุษย์มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสำเร็จในการดำเนินงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.829 และ (4.3) การจัดการมีอิทธิพลที่เป็นสาเหตุทางอ้อมต่อความสำเร็จในการดำเนินงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.521 โดยผ่านเส้นทางด้านปัจจัยทุนมนุษย์ ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง สามารถนำรูปแบบไปพัฒนาธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ของตนได้ตามความเหมาะสมกับลักษณะพื้นที่ของธุรกิจเพื่อสนับสนุนธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273695 แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ในสังกัดเทศบาลเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 2024-09-30T13:44:51+07:00 บำเพ็ญ ไมตรีโสภณ bampen.maitreesophon@stamford.edu พชร สาตร์เงิน bampen.maitreesophon@stamford.edu ชวนพิศ จตุรภุช bampen.maitreesophon@stamford.edu <p> การวิจัยนี้เป็นแบบผสานวิธีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองเพชรบุรี 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการมีส่วนร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา และ 4) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 391 คน ใช้การสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็น เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าไคสแควร์ และการถดถอยเชิงพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แบบแก่นสาระ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยส่วนบุคคลด้าน อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และระยะเวลาที่อาศัยอยู่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05, 3. ปัจจัยการมีส่วนร่วมของชุมชนมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ 4. แนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาพบว่า ก) ควรมีการสำรวจและจัดทำแหล่งการเรียนรู้และแหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่น ข) ควรมีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและมีการกำหนดแผนงานร่วมกัน ค) ควรมีการสื่อสารที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ง) ควรสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วม และ จ) ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนในด้านการเรียนการสอน การประเมินผลกิจกรรมหรือโครงการของสถานศึกษา </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274030 The Development of Training Curriculum for Enhancing the Digital Technology Ability of Digital Media Arts Teachers at Private Colleges in Guangdong Province, People’ s Republic of China 2024-10-25T20:31:25+07:00 Wu Yixi nawamin.pc@bru.ac.th Nawamin Prachanant nawamin.pc@bru.ac.th Ketsuda Buranaphansak nawamin.pc@bru.ac.th <p>-</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270038 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-04-27T21:58:36+07:00 สิรินฤดี ดาวดึงษ์ jaoomy.23@gmail.com วารีรัตน์ แก้วอุไร wareeratk@nu.ac.th <p><strong> </strong>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านค้างปินใจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 12 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา และแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบลำดับพิสัยวิลคอกซอน ผลวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 มีความเหมาะสมในระดับมาก (= 4.33, = 0.75) และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.62/76.62 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273352 การบริหารจัดการโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่น: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันพี่เลี้ยง 2024-09-23T09:49:59+07:00 สมจินตนา จิรายุกุล Somjintana.J@dru.ac.th พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ Somjintana.J@dru.ac.th ดิเรก สุขสุนัย Somjintana.J@dru.ac.th วรรณนภา โพธิ์ผลิ Somjintana.J@dru.ac.th สมิทธิ์ เจือจินดา samith.j@dru.ac.th <p> การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่น: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันพี่เลี้ยง 2)ศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่น: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันพี่เลี้ยง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ อาจารย์ที่รับผิดชอบโครงการ 20 คน ครู/ผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 20 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ 4 ฉบับ นำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหา จัดประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์และวิจารณ์ตามประเด็นที่กำหนด<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพการบริหารจัดการโครงการ มีการจัดอบรม 20 โครงการ โดยเนื้อหาหลักที่จัดอบรมมี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการผลิตสื่อและการใช้เทคโนโลยี ด้านหลักสูตรและการสอน ด้านทักษะการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และด้านจิตวิทยาการศึกษา มีการบริหารจัดการโครงการอย่างเป็นระบบโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการโครงการในระดับมากที่สุด 2) ปัจจัยที่ส่งเสริม คือด้านบุคลากรมีความรับผิดชอบและมีความสามารถในการบริหารจัดการเป็นอย่างดี ผู้บริหารและครูในโรงเรียนเครือข่ายให้ความร่วมมือดี วิทยากรมีความรู้ความสามารถ มีงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการที่เป็นระบบ การอบรมที่เน้นปฏิบัติ และด้านสถานที่ของโรงเรียนเครือข่ายสะดวกต่อผู้เข้าร่วม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคที่พบ ได้แก่ ด้านบุคลากรครู/ผู้บริหารที่มีภารกิจอื่นเข้าร่วมไม่ได้ การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า และด้านอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตที่ช้าไม่พร้อมในการทำกิจกรรมในการอบรม</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272971 แนวทางเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพและความงามในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้า 2024-08-26T11:50:29+07:00 พีระยุทธ มั่งคั่ง nning.1990ning@gmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบกลยุทธ์การดำเนินงานของศูนย์สุขภาพและความงามในประเทศไทย จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้บริหารศูนย์สุขภาพและความงาม และ (2) พัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพและความงามในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้า เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้จัดการของศูนย์สุขภาพและความงาม จำนวน 321 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบ t-test และ One-Way ANOVA และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 15 คน และทำการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) กลยุทธ์การดำเนินงานของศูนย์สุขภาพและความงามในประเทศไทย ตามการรับรู้ของผู้จัดการของศูนย์สุขภาพและความงาม โดยรวมอยู่ในระดับมาก และผู้จัดการของศูนย์สุขภาพและความงามที่มีข้อมูลส่วนบุคคล แตกต่างกัน มีกลยุทธ์การดำเนินงานของศูนย์สุขภาพและความงาม แตกต่างกัน และ (2) แนวทางเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพและความงามในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้า ได้แก่ การเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะด้าน การเข้าถึงลูกค้าทุกช่วงวัย เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สร้างฐานข้อมูลลูกค้าและใช้ข้อมูลเชิงลึก การเพิ่มทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์ เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สร้างภาพลักษณ์และมีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272970 ความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในประเทศไทย 2024-08-26T11:56:43+07:00 ชัยวุฒิ เทโพธิ์ nning.1990ning@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของประชาชนและส่วนราชการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบ เชิงยืนยันของการจัดองค์กรตามแนวคิดกลยุทธ์ของแมคคินซีย์ ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดของประชาชนและส่วนราชการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อาศัยในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 จำนวน 400 คน และผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 จำนวน 17 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการศึกษา พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาได้จากค่า X<sup>2</sup>/df =1.727, p-value = 0.171, GFI = 0.966, RMSEA =0.038, SRMR = 0.013, CFI = 0.998 และ X<sup>2</sup>/df =1.789, p-value = 0.5920, GFI = 0.985, RMSEA =0.024, SRMR = 0.015, CFI = 0.998 ซึ่งพบว่าทั้งค่าสถิติไค-สแควร์ และดัชนีวัดระดับความสอดคล้องความกลมกลืนมีค่าเป็นไปตามเกณฑ์ทุกค่า ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม ของประชาชนและส่วนราชการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และ การจัดองค์กรตามแนวคิดกลยุทธ์ของแมคคินซีย์นั้นมีความถูกต้องเหมาะสมดีแล้วกับการนำมาใช้จริงในทางปฏิบัติ</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272972 การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของประชาชนในกรุงเทพมหานคร 2024-08-26T11:47:13+07:00 ชาญชัย จิตรเหล่าอาพร nning.1990ning@gmail.com สกล สุขเสริมส่งชัย chanchai.polsu@gmail.com ณัฐพร ยงวงศ์ไพบูลย์ chanchai.polsu@gmail.com ปรัชญา วงศ์วารี chanchai.polsu@gmail.com วรงค์สิทธิ์ สิงห์ดำรง chanchai.polsu@gmail.com บุษยรังสี หาสุดใจ chanchai.polsu@gmail.com <p> บทความวิจัยเรื่อง “การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของประชาชนในกรุงเทพมหานคร” เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็นด้วยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญจากพื้นที่ในการวิจัยจาก 4 เขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตลาดพร้าว เขตดอนเมือง เขตภาษีเจริญ และเขตบางนา โดยกำหนดจำนวนโควตากลุ่มตัวอย่างไว้เขตละ 100 คน สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของประชาชนในกรุงเทพมหานคร โดยรวม มีค่าเฉลี่ย 4.02 อยู่ในระดับมาก โดยด้านสันติภาพและความยุติธรรมมีค่าเฉลี่ย 4.17 อยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านการพัฒนาคน ด้านเศรษฐกิจและความมั่งคั่ง ด้านความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และด้านสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273452 การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์จากชุมชนในตำบลบางเล่า อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-09-15T11:51:02+07:00 ภาวิณีย์ มาตแม้น prarichart.rue@rru.ac.th ปราริชาติ รื่นพงษ์พันธ์ prarichart.rue@rru.ac.th จัดการ หาญบาง prarichart.rue@rru.ac.th <p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านช่องทางออนไลน์ และความต้องการช่องทางการจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ผู้บริโภคสนใจในผลิตภัณฑ์ชุมชน 2) เพื่อพัฒนาช่องทางการจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์จากชุมชนในตำบลบางเล่า อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจที่มีต่อช่องทางการจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์จากชุมชนในตำบลบางเล่า อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้บริโภคของผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือผู้บริโภคที่สนใจผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 400 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจงกับผู้ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือคาดว่าจะมีการซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน และผู้ประกอบการที่เลี้ยงปลากัดสวยงาม ปลูกมะพร้าวน้ำหอม และปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ในตำบลบางเล่า คัดเลือกจากการดำเนินธุรกิจไม่น้อยกว่า 5 ปี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เอกสารเนื้อหาการอบรม และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณด้วยวิธีการ Enter<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) กลยุทธ์การตลาดออนไลน์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านช่องทางออนไลน์ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านการให้บริการส่วนบุคคล ส่งผลในทิศทางบวก ตัวแปรด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว ส่งผลในทิศทางลบ สามารถเขียนสมการถดถอย ดังนี้ = .618 + .251<sub>x1</sub>*+ .106<sub>x2</sub>*+ .307<sub>x3</sub>*+ .071<sub>x4</sub>*+ .132<sub>x5</sub>*- .015<sub>x6<br /></sub> 2) ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถปรับปรุงเฟซบุ๊กตนเอง และสร้างเฟซบุ๊กแฟนเพจสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ ผ่านกระบวนกการฝึกอบรมที่ได้รับการประเมินผลความเหมาะสมของเนื้อหาการฝึกอบรมจากผู้ทรงคุณวุฒิ อยู่ในระดับมากที่สุด (=4.67 S.D.=.577) และ 3) ความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่มีต่อการพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด (=4.37 S.D.=.566) และความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด (=4.26 S.D.=.586) </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273168 มุมมองของผู้ปกครองไทยต่อหลักสูตรภาษาอังกฤษเข้มข้นในระดับประถมศึกษา กรณีศึกษา : โรงเรียนวิทยานนท์ 2024-09-06T23:01:52+07:00 รัชพล วิทยานนท์ rachapol.w@gmail.com <p> การวิจัยนี้ศึกษาการรับรู้ของผู้ปกครองต่อหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (IEP) ในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อทำความเข้าใจแรงจูงใจในการเลือกเรียนและผลที่คาดหวังในด้านสังคม ผู้ปกครองที่มีนักเรียนในปกครองศึกษาในหลักสูตร IEP จำนวน 89 คน ตอบแบบสอบถามในการวิจัยนี้<br /> ผลการวิจัยพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ (88.8%) เชื่อว่าหลักสูตร IEP ช่วยยกระดับสถานะทางสังคมของบุตรหลาน โดย 67.4% เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อความนี้ ความคาดหวังหลักจาก IEP คือการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ (97.8% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ตามมาด้วยผลการเรียนที่ดีขึ้น (42.7%) และการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านวัฒนธรรมต่างชาติ (32.6%) การมองว่า IEP เป็นทางเลือกทางการศึกษาที่ก้าวหน้าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตัดสินใจเลือกเรียน (74.2% ให้ความสำคัญมากหรือมากที่สุด) ที่น่าสนใจคือ 71.9% ของผู้ปกครองวางแผนที่จะให้บุตรหลานเรียน IEP ต่อหลังจบระดับประถมศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในประโยชน์ระยะยาวของหลักสูตรนี้ ผลการวิจัยนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองของผู้ปกครองต่อหลักสูตร IEP ในบริบทของการศึกษาไทย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนานโยบายการศึกษาและการปรับปรุงหลักสูตร IEP ในอนาคต</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273485 The Analysis Causal Model of Human Capital Management on Teachers’ Career Success at the University of Science and Technology in China with Leadership Style as a Mediator 2024-09-20T09:03:50+07:00 Chen Yunfang cpanyasiri@gmail.com Maneekanya Nagamatsu shahid8762@gmail.com Chaiyanant Panyasiri cpanyasiri@gmail.com <p> The objectives of this study are 1)to study the direct impact of Human Capital Management on teachers' career success, 2) To study the indirect impact of Human Capital Management on leadership style, and 3) to study the indirect impact of Leadership style on teachers' career success. <strong>Methodology: </strong>The quantitative approach distributed 400 questionnaires covering scientific universities in 18 provinces and municipalities in China. <strong>Results: </strong>By analyzing data through SPSS and AMOS software, we verified the positive effect of human capital management on teachers’ career success through leadership style. The main contribution of this study is to provide empirical evidence for HRM and development. Research shows that the use of transactional leadership and transformational leadership styles can effectively encourage teachers to invest actively in teaching and scientific research work, thus promoting more fruitful results and the common sustainable development of teachers and universities of science and technology.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272766 บทบาทการกำกับของวุฒิภาวะที่เชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวก แรงจูงใจด้าน ความบันเทิง มูลค่าราคา อิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ไปสู่ความตั้งใจใช้ และการใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ 2024-08-30T13:07:53+07:00 ศิริพงษ์ เหมมั่น joesiriponghemmun@gmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อิทธิพลของสิ่งอำนวยความสะดวก แรงจูงใจด้านความบันเทิง มูลค่าราคา อิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ไปสู่ความตั้งใจใช้และการใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ และ 2) ศึกษาการกำกับของวุฒิภาวะที่เชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวก แรงจูงใจด้านความบันเทิง มูลค่าราคา อิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ไปสู่ความตั้งใจใช้เทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) ตามสัดส่วนจำนวน 540 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติแบบเส้นทางกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS-SEM) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป Smart PLS 4.0 และวิเคราะห์การกำกับด้วยโปรแกรม PROCESS macro<br /> ผลการวิเคราะห์ พบว่า 1) สิ่งอำนวยความสะดวกมีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยีตรวจสุขภาพ บนสมาร์ทวอทช์มีค่าเท่ากับ 0.668 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และความตั้งใจใช้มีอิทธิพลต่อการใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์มีค่าเท่ากับ 0.640 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ในทางกลับกันสิ่งอำนวยความสะดวกไม่มีอิทธิพลต่อการใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ แรงจูงใจด้านความบันเทิงไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ มูลค่าราคาไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ อิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้งานเทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ โดยมีค่าเท่ากับ 0.120, -0.149, 0.163, 0.085 ตามลำดับ 2) บทบาทการกำกับของวุฒิภาวะที่เชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวก แรงจูงใจด้านความบันเทิง มูลค่าราคา และอิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์มีค่า ß เท่ากับ 0.033, -0.068, -0.092, 0.001 ตามลำดับและไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ โดยไม่ได้มีอิทธิพลให้ตัวแปรส่งผลกระทบต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยีตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ ผลการวิจัยนี้เป็นแนวทางให้กับผู้ผลิตในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตรวจสุขภาพบนสมาร์ทวอทช์ เพื่อสร้างแรงจูงใจและการยอมรับให้กับผู้บริโภคแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง งานวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเชิงลึก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272593 รูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง 2024-09-26T19:30:00+07:00 พชรกมล คำไวย์ phacharakamolkhamwai@gmail.com สถิรพร เชาวน์ชัย phacharakamolkhamwai@gmail.com ฉลอง ชาตรูประชีวิน phacharakamolkhamwai@gmail.com จิตติมา วรรณศรี phacharakamolkhamwai@gmail.com สำราญ มีแจ้ง phacharakamolkhamwai@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน และสถานศึกษาที่มีการปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 แห่ง 2) สร้างรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ โดยสอบถามจากผู้อำนวยการและครูผู้รับผิดชอบระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 728 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบฯ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบและแนวการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ มี 2 ประการ ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) กระบวนการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนมี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเรียน ด้านการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ด้านอารมณ์ส่วนบุคคล และด้านสุขภาพร่างกาย 2. รูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) กระบวนการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3) ความสามารถในการปรับตัวของนักเรียน 3. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนฯ พบว่า รูปแบบมีความเป็นไปได้อยู่ระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270107 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการทำงานในอนาคตของนักเรียน 2024-04-29T11:20:39+07:00 ศุภรินทร์ พรมรินทร์ suparin@damrong.ac.th พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ suparin@damrong.ac.th สุกัญญา แช่มช้อย suparin@damrong.ac.th <p> งานวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการทำงานในอนาคตของนักเรียนใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 62 เขตพื้นที่ กลุ่มตัวอย่าง คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 54 เขตพื้นที่ ได้มาโดยใช้วิธีการ สุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการทำงานในอนาคตของนักเรียน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในกรวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)<br /> ผลการวิจัย พบว่า การบริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการทำงานในอนาคตของนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสูงที่สุด คือ การบริหารกระบวนการ รองลงมา คือ การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผลการดำเนินงาน การมุ่งเน้นบุคลากร การวัดการวิเคราะห์และการจัดการความรู้ การวางแผนกลยุทธ์และการนำองค์การ ตามลำดับ ส่วนทักษะการทำงานในอนาคตของนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสูงที่สุด คือ ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ รองมา คือ ทักษะส่วนบุคคล ทักษะการคิด ทักษะที่ใช้ในที่ทำงาน และทักษะด้านคนและสังคม ตามลำดับ</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270416 A Study on the Relationship Between the Bronze Drum Patterns of Wanjiaba and Contemporary Yi Patterns in Chuxiong 2024-05-12T15:13:08+07:00 Haolin Xiong zoe_jt1127@outlook.com Jirawat Vongphantuset haolin_x@su.ac.th <p> Chuxiong's contemporary visual culture is distinguished by its rich diversity and the seamless integration of traditional Chinese cultural elements, ethnic minority influences, and modern aesthetics. This fusion creates a distinctive and dynamic artistic expression. Within this multicultural blend, Yi culture and bronze patterns play a significant role in shaping contemporary visual culture of Chuxiong.</p> <p>This study conducts research on the contemporary use and display of Wanjiaba bronze patterns and Yi patterns through methods such as field research, literature review and collection, comparative analysis, and interview surveys.It assesses their proper application, identifies any alterations made, and explores their relevance to contemporary art and cultural heritage. By pinpointing areas where patterns may be confused or misused, the research aims to enhance the effective propagation and exhibition of these designs,thereby supporting cultural development and the safeguarding of intangible cultural heritage in the Chuxiong region.The research findings indicate that some ancient patterns are no longer in use, while others have been inherited by the ancient Yi people and integrated into Yi culture. These patterns appear in modern visual culture in a different form, yet many local residents are largely unaware of the connection between Wanjiaba bronze drum patterns and contemporary patterns.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273600 The Developing A Design Thinking Leadership Program for the Salesian Society Foundation Students in Thailand 2024-09-20T23:41:26+07:00 Siriwan Phuriwattanatham khamyon.siriwan@yahoo.com <p> This study aims to develop a leadership program for students of Salesian Society Foundation in Thailand, combining transformational leadership, the Salesian preventive system, and design thinking principles. The program seeks to enhance the leadership characteristics of students, including commitment, communication, inspiration, morality, teamwork, service mind, and vision. The research employs both quantitative and qualitative methodologies, involving a sample of 1,159 students across five Salesian schools in Thailand. The findings highlight a gap between desired and current leadership characteristics, with teamwork, commitment, and inspiration identified as priority areas for improvement. The study proposes a 5-day leadership program designed to address these gaps by fostering empathy, creativity, and ethical leadership. Expert validation of the program emphasizes its alignment with the holistic principles of Salesian education and its potential to develop innovative, compassionate leaders.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270027 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก 2024-05-09T10:20:43+07:00 นันทพันธ์ คดคง nanthaphan.k@psru.ac.th ภาสกร ดอกจันทร์ nanthaphan.k@psru.ac.th กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ nanthaphan.k@psru.ac.th <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะของกำนันผู้ใหญ่บ้าน 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้าน และ 3) ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ โดยเก็บกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสอบถามคือกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 300 คน และกลุ่มตัวอย่างจากการสัมภาษณ์ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายอำเภอทั้ง9 อำเภอ และกำนันผู้ใหญ่บ้าน แหนบทองคำจำนวน 10 คน รวม 20 คน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตจังหวัดพิษณุโลก ทั้งหมด 7 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตามพระราชบัญญัติการปกครองท้องถิ่น พ.ศ.2457 พบว่า ระดับการศึกษา สถานภาพ รายได้ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตจังหวัดพิษณุโลก และ3. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก จากการสัมภาษณ์พบว่า การปฏิบัติหน้าที่องกำนัน ผู้ใหญ่บ้านจังหวัดพิษณุโลกมีความร่วมมือ ประสานกันในพื้นที่กันพอสมควร แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของกำนันผู้ใหญ่บ้านในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก คือ การเพิ่มศักยภาพในเรื่องการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการบริหาร พร้อมทั้งมีการปรับตัวให้เข้ากับนโยบายของกระทรวง</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/270294 The Moderation and Mediation Effects of Organizational Climate on the Relationship between Transformational Leadership and Teachers’ Commitment of Public Medical Colleges in Henan Province 2024-05-08T13:18:19+07:00 Ding Ying praewpanprajakko@gmail.com Sukhum Moonmuang 5644168@qq.com Sataporn Pruettikul 5644168@qq.com <p> The objectives of this research were: (1) to develop the relationship model between transformational leadership and teachers’ commitment, (2) to study the effect of transformational leadership on teachers’ commitment, (3) to study the effect of transformational leadership on organizational climate, (4) To study the effect of organizational climate on teachers’ commitment, (5) to study the mediation effect of organizational climate on the relationship between transformational leadership and teachers’ commitment, and (6) To study the moderation effect of organizational climate on the relationship between transformational leadership and teachers’ commitment.<br /> This study was used a cross sectional quantitative survey research design by using a 5-points rating scale questionnaire for data collection. Population frame in this study were 5,925 teachers who are teaching in medical colleges in Henan Province in academic year 2023. Sample were 444 teachers that were randomly selected from population by using the multistage random sampling method. Descriptive statistics and structural equation model (SEM) as well as a latent mediation and moderation effect analysis were employed for data analysis.<br /> Research results revealed that: (1) the relationship model was consisted of 3 latent variables, transformational leadership as independent variable, teachers’ commitment as dependent variable, and organizational climate as moderator, and mediator, (2) transformational leadership had positive effect on teachers’ commitment, (3) transformational leadership had positive effect on organizational climate, (4) organizational climate had positive effect had on teachers’ commitment. (5) There was a mediation effect of organizational climate on the relationship between transformational leadership and teachers’ commitment. (6) There was a moderation effect of organizational climate on the relationship between transformational leadership and teachers’ commitment</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273414 The Research on the Integration and Innovation of Baoshan Lisu Dance Culture in Yunnan 2024-09-12T15:05:06+07:00 Fen Zhou 651137795@qq.com <p> This research aims to explore the cultural integration and innovative development of Lisu dance in Baoshan, Yunnan, focusing on how historical migration, cultural exchanges, and modernization have shaped its evolution. The study adopts a mixed-methods approach, incorporating field observations, interviews with cultural practitioners, and literature reviews to examine the transformation of traditional Lisu dance. The research sample includes Lisu communities in Longling and Tengchong counties, known for preserving rich cultural heritage. Research tools include video documentation of performances and interviews with key cultural figures. Data collection involved gathering insights from Lisu dance performances and analyzing their development across different historical periods.<br /> The research results found that Lisu dance has undergone significant changes due to its interactions with other ethnic groups, modern media, and global influences. While maintaining its traditional elements, such as the "Three-String Dance," Lisu dance has adapted to modern aesthetic preferences, incorporating contemporary music, choreography, and costumes. These innovations, along with the use of digital platforms and formal education, have helped </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273549 The Themes Analysis in Hemingway’s Novels Based on Corpus Techniques 2024-09-20T23:18:15+07:00 Jianfeng Lian 1578779915@qq.com Suwaree Yordchim angvarrah.li@ssru.ac.th Cholthicha Sudmuk angvarrah.li@ssru.ac.th Behrad Aghaei angvarrah.li@ssru.ac.th Angvarrah Lieungnapar angvarrah.li@ssru.ac.th <p> This study aims to achieve two key objectives: (1) To investigate Hemingway’s word choices on nouns in his novels that expressed the themes, using wordlist and keywords techniques. (2)To identify the themes expressed in Hemingway’s novels through his word choices on nouns, using the Componential Analysis and AntConc (3.2.1.0). The population for this research includes Hemingway’s nine novels and novellas. The sample is the population, providing a diverse representation of his thematic range. Research instruments for this study include a corpus analysis software tool, which facilitates the examination of linguistic patterns and thematic elements within the texts. For data analysis, descriptive statistics will be employed to quantify the frequency of identified themes and linguistic features, while componential analysis will provide context and depth to the findings, allowing for a comprehensive understanding of how language shapes meaning in Hemingway's works.<br /> The findings of this research reveal 14 unique themes prevalent in Hemingway's novels, including isolation, war, love, and the human condition. The analysis demonstrates that Hemingway's specific word choices and linguistic patterns significantly influence the interpretation of these themes, often reflecting his sociocultural context and personal experiences. For instance, the frequent use of terse, economical language underscores themes of existential struggle and emotional distance. Based on these findings, it is suggested that educators incorporate corpus methods into their curriculum, enabling students to engage with texts more analytically. This approach not only enhances their understanding of thematic complexity but also develops critical thinking skills essential for literary analysis. Additionally, further research could explore the application of corpus methodologies to other authors or genres, thereby broadening the scope of literary studies and enriching discussions around language and themes across a wider literary landscape.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/269040 The Design of Practice on Wicker Intangible Cultural Heritage Skills in Public Art Based on Sustainable Design Concepts 2024-05-02T21:18:58+07:00 Nameng Sun s64584948013@ssru.ac.th Chanoknart Mayusoh chanoknart.ma@ssru.ac.th <p> The rapid development of China's urbanization process has, on the one hand, caused the intangible cultural heritage wicker weaving skills to face difficulties in the protection and inheritance, and on the other hand, promoted the vigorous development of urban public art. This study attempts to intervene the traditional willow weaving skills into the field of public art, and promote the inheritance and development of willow weaving skills in the city through the integration and innovation of willow weaving traditional skills in public art. The research goal: Based on sustainable design theory, demonstrate the practical creation of traditional willow weaving skills in public art in first-tier cities in Shanghai. First, based on literature research, fieldwork on intangible cultural heritage wicker weaving, and in-depth interviews with young users in Shanghai, the research results on the four sustainability dimensions of culture, environment, economy, and society were sorted out. The focus is on analyzing and discussing the attitudes and evaluations of young users in Shanghai on the four dimensions; Secondly, the "Magic City Rubik's Cube" - a wicker public art concept plan was designed and created, and the work was specifically displayed from the four dimensions of cultural sustainability, environmental sustainability, social sustainability, and economic sustainability ;The final research results show that young users in Shanghai pay more attention to the cultural sustainability of wicker public art, hold a positive attitude towards environmental sustainability throughout the life cycle of LCA, and are more willing to accept innovative applications of new technologies and new materials in wicker public art. Research contribution: For the first time, the creative process of traditional willow weaving skills in public art is demonstrated, providing an important reference for the sustainable innovation of intangible heritage traditional skills in the field of public space.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273236 Curriculum Development of remote diagnosis and treatment courses traditional Chinese medicine IT in China 2024-09-06T23:11:37+07:00 Li Rui peter442396380@gmail.com Prapai Sridama peter442396380@gmail.com Piyanan Issaravit peter442396380@gmail.com Kanakorn Sawangcharoen peter442396380@gmail.com <p> This research aims to explore the curriculum development of remote diagnosis and treatment courses in Traditional Chinese Medicine (TCM), focusing on how information technology (IT) can be effectively integrated to enhance both the delivery and quality of TCM education. The study is structured around several key objectives: investigating the current state of remote TCM education, identifying critical issues such as insufficient content, lack of interactivity, and challenges in practical application, and proposing strategies for curriculum improvement.<br /> The research sample includes TCM educators and students from various educational institutions across China, with a focus on those involved in remote learning platforms. Research instruments include surveys, interviews, and direct observations, allowing for a comprehensive understanding of the existing educational environment. Data collection is carried out through a combination of qualitative and quantitative methods, providing a balanced analysis of both the strengths and weaknesses of current remote TCM courses. Research analysis involves statistical examination of survey data and thematic analysis of qualitative feedback, leading to a robust framework for curriculum enhancement.<br /> The research results found that remote TCM courses currently suffer from significant gaps in content coverage, particularly in areas related to practical diagnosis and treatment techniques. Additionally, there is a notable lack of interactive elements, which negatively impacts student engagement and learning outcomes. Based on these findings, the study proposes a revised curriculum framework that incorporates interactive digital tools, enhances content comprehensiveness, and provides more opportunities for practical application. These recommendations aim to improve the overall effectiveness</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272624 The Research of Dance Therapy and Adolescent Mental Health: A Case Study on the Therapeutic Effects of the Street Dance for Dragon Dance 2024-08-07T08:16:26+07:00 Qiang Peng 510716549@qq.com Jin Qiu 510716549@qq.com <p> This study investigated the effects of "Dragon Dance," a street dance form, as a therapeutic intervention for adolescent mental health. The objectives were to: 1) explore the impact of Dragon Dance therapy on adolescents' mental well-being; 2) assess changes in self-esteem, social skills, and emotional management; and 3) analyze the unique elements of Dragon Dance contributing to these improvements. A mixed-methods approach was employed, involving 50 adolescents aged 13-18 in a 12-week Dragon Dance therapy program. Data were collected through pre- and post-intervention questionnaires, in-depth interviews, and behavioral observations. Quantitative analysis of questionnaire data and qualitative analysis of interview and observational data were conducted. Results indicated significant improvements in participants' self-esteem, social skills, and emotional management. The physical expression and team collaboration inherent in Dragon Dance were found to facilitate stress release, confidence building, and enhanced social connections. This study provides empirical support for the application of street dance as an innovative therapeutic approach in adolescent mental health interventions. Future research should examine the long-term effects of various dance therapies and explore their integration into comprehensive mental health programs for adolescents.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273360 รูปแบบการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วม ในจังหวัดอุดรธานี 2024-09-13T11:12:53+07:00 พระมหาณัฐพันธ์ สุทสฺสนวิภาณี praewpanprajakko@gmail.com พระมหากิตติ กิตฺติเมธี mahakitti2017@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบและกิจกรรมการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมใน จังหวัดอุดรธานี และ3) เพื่อประเมินรูปแบบและกิจกรรมการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมใน จังหวัดอุดรธานี โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน <strong> </strong>2,314 คน กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 400 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 รูป/คน<br /><strong> ผลการวิจัยพบว่า <br /></strong> 1) การบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี พบว่า สภาพปัจจุบัน ของรูปแบบการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี ค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ( =3.43, S.D.= 0.07) นอกจากนั้นสภาพที่พึงประสงค์รูปแบบการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี มีค่าเฉลี่ย โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.68, S.D.= 0.13) และความต้องการความจำเป็น โดยระบุความต้องการความจำเป็นที่มีความสำคัญมากที่สุดและมีความเร่งด่วนที่ต้องได้รับการพัฒนาก่อนรูปแบบการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งพิจารณาจากค่าดัชนี PNI<sub>modified </sub>=0.40<br /> 2) การพัฒนารูปแบบและกิจกรรมการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมใน จังหวัดอุดรธานี พบว่า 1) โครงการสามารถส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม หรือเป็นประโยชน์ต่อชุมชน รายละเอียดครบถ้วน 2) มีการจัดสรรงบประมาณในการจัดการอย่างเพียงพอ 3) มีหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูและและควบคุมการปฏิบัติงาน และ 4) การจัดทำแผนงานหรือโครงการเพื่อพัฒนาวัดอย่างต่อเนื่อง 5) เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นในการวางแผนงานในด้านต่างๆนอกจากนี้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวางแผนการปลูกสร้างสิ่งต่างๆภายในวัดมีส่วนร่วมในการเข้าร่วมประชุมการแก้ไขปัญหาของวัดอย่างสม่ำเสมอตลอดถึงการวางแผนจัดสรรการเงินของวัดค่าใช้จ่ายของวัดมีหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูและและควบคุมการปฏิบัติงาน<br /> 3) การาประเมินรูปแบบและกิจกรรมการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมใน จังหวัดอุดรธานี พบว่า (ชื่อรูปแบบ,วัตถุประสงค์,หลักการ/แนวคิด) โดยสามารถพิจารณา ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของ รูปแบบการบริหารจัดการอุทยานการศึกษาของวัดแบบการมีส่วนร่วมในจังหวัดอุดรธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด คือความเป็นไปได้ ( = 4.68, S.D. = 0.53) ลองลงมา ความเหมาะสม ( = 4.68, S.D. = 0.42) และ ความเหมาะสม ( = 4.68, S.D. = 0.42</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273098 ต้นทุนประสิทธิผลในการเตรียมคนเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรม 2024-09-07T08:53:51+07:00 อติพร เกิดเรือง atiporn.gerdruang@stamford.edu <p> วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาต้นทุนประสิทธิผลในการเตรียมคนเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรม 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการฝึกเตรียมเข้าทำงานจากการมีงานทำของผู้ผ่านการฝึกเตรียมเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของสถานประกอบการต่อผู้ผ่านการฝึกเตรียมเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรม และ 4) เพื่อเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายในการเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ผ่านการฝึกเตรียมเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 217 คน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี วิเคราะห์ข้อมูลโดยการคำนวณร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ต้นทุนประสิทธิผล และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ต้นทุนประสิทธิผลในการฝึกเตรียมเข้าทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 3 กลุ่ม โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนการผลิตกับปริมาณผลผลิต พบว่า ช่างซ่อมโทรทัศน์และวิทยุ และช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ สอดคล้องกับต้นทุนเฉลี่ยต่อหัว ส่วนช่างสาขาอื่นนอกจากนี้ไม่สอดคล้อง 2) ประสิทธิภาพด้านต้นทุน พบว่า ประสิทธิภาพด้านต้นทุนของช่างในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 3 กลุ่ม มีประสิทธิภาพมากที่สุดทุกกลุ่ม 3) ความพึงพอใจของสถานประกอบการต่อคุณสมบัติส่วนบุคคล พบว่า อยู่ในระดับมาก ด้านความมีมนุษย์สัมพันธ์ดี และการวางตัวเหมาะสม ความพึงพอใจต่อคุณสมบัติเกี่ยวกับการทำงาน พบว่า อยู่ในระดับมาก ได้แก่ การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และมีการจัดระบบและวางแผน ตามลำดับ และ 4) ข้อเสนอเชิงนโยบาย มี 6 ด้าน ได้แก่ การสร้างระบบฝึกอบรมร่วมกับภาคเอกชน การใช้เทคโนโลยีในการฝึกอบรม การพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นและการรับรองทักษะ การสนับสนุนเงินทุนและสิ่งจูงใจ การประเมินผลและปรับปรุงกระบวนการฝึกอบรม และการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273968 ผลการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ (EF) ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 2024-10-04T13:55:56+07:00 สมศักดิ์ จั่นผ่อง praewpanprajakko@gmail.com <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ (EF) ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จของนักศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด และ 2) ศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูม กลุมตัวอยาง เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 28 คนซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ 1) แบบประเมินทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จของนักศึกษา 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน การวิเคราะห์ ขอมูลใช้สถิติพื้นฐาน คือ คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วย t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ฯของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี สามารถกำหนดกิจรรมเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นที่ 2 ขั้นกิจกรรมการเรียน และขั้นที่ 3 ขั้นการประเมินผลการเรียนรู้ บทเรียนมีค่าประสิทธิภาพระหว่างเรียนและหลังเรียน (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.92/83.24 2) คะแนนประเมินหลังเรียนของนักศึกษาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ อยู่ในระดับมาก (= 4.25) การวิจัยนี้ทำให้ได้แนวทางในการออกแบบและสร้างระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และสามารถสงเสริมและพัฒนาการนําระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยโปรแกรมกูเกิ้ลคลาสรูมแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพการใช้งาน</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273550 The Ecological Discourse Analysis on the Animal Themes in the American Literature Walden 2024-09-20T23:22:18+07:00 Linjia Gao 86197723@qq.com Cholthicha Sudmuk cholthicha.su@ssru.ac.th Behrad Aghaei cholthicha.su@ssru.ac.th Suwaree Yordchim cholthicha.su@ssru.ac.th <p> This research contains three objectives: analyzing the ecological philosophy themes in American Literature Walden, interpreting the ecological meaning of the animal theme by using the Componential Analysis, and establishing the Ecological philosophy themes network of the animal theme in American Literature <em>Walden</em>.<br /> The research adopts a qualitative study, the research tools include HyperRESEARCH, Microsoft Word, and Microsoft Excel spreadsheets, which are used to collect and identify ecological discourses. The componential Analysis is used to analyze the ecological meaning of the animal theme in the American Literature <em>Walden.<br /></em> The results revealed that Thoreau’s essay Walden is a nature essay that contains abundant animal themes and profound ecological thoughts through the Componential Analysis and establishment of the Ecological philosophy themes network of the animal theme. The interpretation of this essay from an EDA perspective not only enriches studies of this classical work but also is of practical significance and contemporary relevance in the era of ecological civilization construction.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273254 สภาพการณ์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะผู้ให้บริการในสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง 2024-09-06T23:15:41+07:00 สุดารัตน์ พงศ์ประยูร sp.dowsitt@gmail.com ณัฐภัสสร ธนาบวรพาณิชย์ nutpatsorn.ta@northbkk.ac.th พิศมัย จารุจิตติพันธ์ pisamai.ja@northbkk.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพ ปัญหาเกี่ยวกับสมรรถนะของผู้ให้บริการ 2) ช่องว่างระหว่างสมรรถนะที่เกิดขึ้นจริงกับสมรรถนะที่คาดหวังของผู้ให้บริการ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้ให้บริการในสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง เป็นการวิจัยแบบผสมผสานโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณจากการตอบแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง 169 แห่ง ด้วยวิธีการเปิดตารางเครจซี่และมอร์แกน และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ PNI modified และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ให้บริการในสถานประกอบการต้องจบหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ 420 ชั่วโมง และต้องได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปัญหาในการปฏิบัติงานพบทั้งการขาดความรู้ ทักษะ ผู้ให้บริการมีความเครียดในการปฏิบัติงาน และจำนวนผู้ให้บริการไม่เพียงพอต่อความต้องการ <br />2) ช่องว่างระหว่างสมรรถนะที่เกิดขึ้นจริงกับสมรรถนะที่คาดหวังของผู้ให้บริการในสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงและลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนา พบว่า ระดับสมรรถนะที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างจากสมรรถนะที่คาดหวัง โดยระดับสมรรถนะที่คาดหวังสูงกว่าระดับสมรรถนะที่เกิดขึ้นจริง ทั้งโดยรวม สมรรถนะหลัก และสมรรถนะในงานที่ปฏิบัติ โดยลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนามีดังนี้ ลำดับ 1 การควบคุมอารมณ์และจัดการความเครียด ลำดับ 2 การรับผิดชอบเชิงจริยธรรม ลำดับ 3 การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 3) แนวทางการจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้ให้บริการในสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง มี 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การจัดหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการปฏิบัติงาน 2. การพัฒนาสมรรถนะของผู้ให้บริการโดยการเสริมสร้างการมีความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม การควบคุมอารมณ์และจัดการความเครียด และ 3. การพัฒนาสมรรถนะของผู้ให้บริการโดยการเสริมสร้างการมีความรู้ความเข้าใจและการดูแลผู้สูงอายุ</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273077 The Dissemination and Development of He Jiguang's Vocal Performance Art: An Investigation from the Perspective of Amateur Enthusiast Groups 2024-08-29T16:51:46+07:00 Yi Pang 490319902@qq.com Nutthan Inkhong 490319902@qq.com <p> This paper takes the amateur enthusiast group as the research object to explore the dissemination and development of He Jiguang's vocal performance art within this specific group. Through the analysis of relevant data, it dissects the role of factors such as artistic experience, the background of the times, singing repertoire, singing techniques, and the audience group in the dissemination and development of He Jiguang's vocal performance art from the perspective of amateur enthusiasts. The research results indicate that the amateur enthusiast group believes that these factors have a unique influence mechanism in He Jiguang's vocal performance art, providing valuable references for further promoting the dissemination of He Jiguang's vocal performance art.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274460 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิค KWL Plus เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและความพึงพอใจ ต่อการเรียนวิชาปรัชญาการศึกษาและการพัฒนาหลักสูตร ของนักศึกษาวิชาชีพครู 2024-10-25T20:35:37+07:00 สุวัทนา สงวนรัตน์ suwattana.s@lawasri.tru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิค KWL 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่ได้รับการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนและหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม และ 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม ด้วยวิธีการจับสลากห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบประเมินรูปแบบการเรียนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที<br /> สรุปผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับเทคนิค KWL มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ที่มาและความสำคัญของรูปแบบ 2. หลักการของรูปแบบ 3. แนวคิดการพัฒนารูปแบบ 4. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 5. เนื้อหาของรูปแบบ 6. กระบวนการจัดการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นนำเสนอความรู้ใหม่ ขั้นการฝึกปฏิบัติ ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และขั้นสรุปความรู้ และ 7. การวัดและประเมินผล 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนเท่ากับร้อยละ 86.28 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครู พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครูที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิค KWL Plus ภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/269874 The Cultural Representation of Nezha's Animation Image in the Context of Aesthetic Education 2024-04-20T11:57:31+07:00 Shi Xuefeng 49607481@qq.com Arkom Sa-Ngiamviboon 49607481@qq.com <p> In 2019, the Chinese animated film Nezha's Descent of the Magic Child achieved at the box office, and the character of "ugly Nezha" sparked a heated discussion in the community (Bi, 2021; Whyke &amp; Mugica, 2022). Against the backdrop of China's vigorous development of aesthetic education, this study explores how the animated character of Nezha has been culturally represented in different periods of time. This qualitative study employs content analysis, using five Nezha animations and film and television reviews as samples, to construct categories and analyze the representation of the Nezha character within them.The Nezha animation characters consisted of two representations and were subject to audience participation, The results of the study show that the external representation of Nezha animation maintains national artistry, and the internal representation reflects changes in society and values over time, making it a suitable text for understanding Chinese art and culture in aesthetic education.This paper is part of the doctoral thesis.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273999 The Employability Enhancement For Students of Art Universities in Liaoning Province 2024-10-06T16:32:26+07:00 Jiang Xiaodiu praewpanprajakko@gmail.com Somsak Chanphong 315938683@qq.com Nitwadee Jirarotephinyo 315938683@qq.com <p> The objectives of this research were: (1) to explore the components of student’s employability of art universities in Liaoning Province, and (2) to propose the managerial guidelines for student’s employability enhancement of art universities in Liaoning Province.<br /> The research was a mixed method between quantitative research and qualitative research. Population was 1,047 teachers work in the 2023 academic year at eight art universities in Liaoning Province; the sample size was determined by Krejcie and Morgan’s tables and was obtained using stratified random sampling method, with a total of 285 teachers. Key informants for interview total 11 key informants were selected by the purpose sampling method. Focus group discussion by seven key informants. The data collection instruments include a five-point rating scale. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, refer to, Standard Deviation and Exploratory Factor Analysis (EFA). Both Interviews and Focus Group Discussion were analyzed by content analysis.<br /> The research results showed: (1) the student’s employability of art universities in Liaoning Province, total 5 components included: Policy and goal setting, Student’s employability attributes, Effectiveness management and collaboration platform, Quality education and training, and Monitoring and evaluation, and (2) managerial guidelines for student’s employability enhancement of art universities in Liaoning Province, total 32 guidelines included: 5 for Policy and goal setting, 8 for Student’s employability attributes, 8 for Effectiveness management and collaboration platform, 7 for Quality education and training, and 4 for Monitoring and evaluation.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273667 Cultural Identities and Tourism Appeal of Chaoshan Culinary Arts 2024-09-23T15:39:09+07:00 Jieshan He jieshan_h@su.ac.th Watanapun Krutasaen wspxwps@hotmail.com <p> This study explores the cultural characteristics and tourism appeal of Chaoshan cuisine, focusing on the distinctive culinary identifiers and techniques that contribute to the development of cultural tourism in the region. The main objectives were to identify key cultural elements that enhance Chaoshan cuisine's attractiveness to tourists and examine the role of these culinary features in creating meaningful artistic experiences.<br /> A mixed-method approach was adopted, combining structured field observations and quantitative surveys to comprehensively assess tourists' perceptions and motivations regarding Chaoshan culinary experiences. Research was conducted at popular restaurants in Shantou and Chaozhou, focusing on visual appeal, renowned dining atmospheres, and service quality. A total of 303 survey responses were collected, supplemented by systematic observations at selected sites. Results indicated that visual aesthetics and high-quality service significantly increase tourist engagement, while culinary narratives deepen cultural immersion.</p> <p>Practical recommendations for destination managers include integrating traditional culinary elements into immersive experiences and promoting regional cooperation to achieve sustainable tourism. The findings suggest that preserving and promoting these culinary features not only supports local economic growth but also strengthens Chaoshan's cultural identity as a premier culinary tourism destination. Furthermore, the study highlights the importance of memorable culinary experiences in enhancing the overall tourist experience, offering valuable insights for policymakers and stakeholders on incorporating culinary heritage into sustainable tourism development.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/274129 การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง 2024-10-12T10:08:58+07:00 พชรกมล คำไวย์ phacharakamolkhamwai@gmail.com สถิรพร เชาวน์ชัย phacharakamolkhamwai@gmail.com ฉลอง ชาตรูประชีวิน phacharakamolkhamwai@gmail.com จิตติมา วรรณศรี phacharakamolkhamwai@gmail.com สำราญ มีแจ้ง phacharakamolkhamwai@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1) การสังเคราะห์เอกสาร และการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา โดยการศึกษาเอกสาร (Document Study) หลักการ แนวคิดทฤษฎี แนวทางการปฏิบัติงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน แนวคิด ทฤษฎีหลักการแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา การบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน กระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและความสามารถในการปรับตัวและสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องเครื่องมือที่ใช้ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นตารางการวิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเคราะห์เนื้อหา 2) การศึกษาแนวทางการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 11 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา 3) การศึกษากระบวนการบริหารที่เป็นเลิศ (Best Practice) ในสถานศึกษาต้นแบบระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่ได้รับรางวัลระดับเขตพื้นที่การศึกษาหรือรางวัลระดับประเทศ จำนวน 3 แห่ง โดยแบ่งตามขนาดโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดเล็ก ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 6 คน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา และครูผู้รับผิดชอบระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบและแนวการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาเขตภาคเหนือตอนล่าง มี 3 ประการ ได้แก่ 1) ปัจจัยการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) กระบวนการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและ3) ความสามารถในการปรับตัวของนักเรียนมี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเรียน ด้านการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ด้านอารมณ์ส่วนบุคคล และด้านสุขภาพร่างกาย </p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/271460 การบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้เกิดทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียน ขยายโอกาสในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอนุภาคลุ่มน้ำโขง 2024-10-06T11:30:36+07:00 สิริศักดิ์ นิลเกตุ hbgroup2567@gmail.com นวัตกร หอมสิน Hbgroup2567@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้เกิดทักษะอาชีพ ของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอนุภาคลุ่มน้ำโขง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ 2) พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ 3) ประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพของนักเรียน โรงเรียนขยายโอกาสในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอนุภาคลุ่มน้ำโขง โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน มีขั้นตอนการดำเนินงาน 3 ระยะคือระยะที่ 1 คือศึกษาสภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง 488 คน ทำการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .87 ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ในการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ระยะที่ 3 การประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยประชุมสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง จำนวน 30 คน ประเมินและตรวจสอบแนวทางในด้านความเป็นประโยชน์ ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ โรงเรียนขยายโอกาสในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อนุภาคลุ่มน้ำโขง วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน นำมาแปลผลภาพรวมการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 2. ผลพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ พบว่า สามารถแบ่งได้ 5 องค์ประกอบ 36 ประเด็นย่อยอยู่ในระดับมาก 3. ผลการประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ พบว่า ผลการประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษาในด้านความเป็นประโยชน์ ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ มีระดับความคิดเห็นทุกด้าน อยู่ในระดับมาก</p> 2024-11-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/273649 The Case Method: An Effective Approach to Enhancing Critical Thinking 2024-09-23T09:45:43+07:00 Hui Wei 47182559@qq.com Anchunda Henry Yuh weih64@nu.ac.th Wareerat Kaewurai weih64@nu.ac.th <p> This systematic review explores how the case method enhances critical thinking among university students. The study's objectives are to: 1) define the concept and application of the case method, including key steps such as case preparation, presentation, discussion, reflection, and assessment, and their role in fostering critical thinking; 2) evaluate the effectiveness of the case method in enhancing students' critical thinking skills, particularly in analysis, evaluation, Interpretation, Inference, explanation through real-world applications; 3) compare the case method with traditional teaching methods, focusing on its impact on student learning experiences and academic performance; 4) identify the benefits and challenges of implementing the case method in different cultural contexts, with particular attention to its application in exam-oriented education systems like China’s. A qualitative research design was employed, using a systematic literature review and content analysis of studies published over the last two decades. Data were drawn from academic journals, peer-reviewed articles, books, institutional reports, conference proceedings, and dissertations, with sources selected from databases like Web of Science, Elsevier ScienceDirect, and Springer Link. Relevant studies were identified through the purposive sampling of English and Chinese publications, with keywords systematically used to extract themes on instructional effectiveness, student engagement, and educational outcomes.<br /> The findings demonstrate that the case method significantly enhances critical thinking by engaging students in real-world problem-solving, encouraging them to think from multiple perspectives and apply theoretical knowledge. Additionally, the case method improves the overall learning experience, fostering deeper engagement, teamwork, and self-directed learning. However, cultural and educational traditions, particularly in China, challenge its implementation. Based on the study’s findings, integrating case analysis into curricula aligned with course objectives, incorporating student feedback to refine teaching methods, and providing teacher training can enhance the effectiveness of the case method. Although the case method is a powerful tool for fostering critical thinking, its success relies on cultural adaptation and institutional support.</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/272969 การพัฒนาระบบบริการสุขภาพชายแดนและเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับประเทศเพื่อนบ้าน 2024-08-26T12:00:47+07:00 วิโรจน์ เซมรัมย์ nning.1990ning@gmail.com พนมวรรณ์ สว่างแก้ว nning.1990ning@gmail.com หรรษา ชื่นชูผล nning.1990ning@gmail.com <p> การวิจัยและพัฒนา (Research and Development; R&amp;D) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาพัฒนาระบบและประเมินระบบบริการสุขภาพชายแดนและเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับประเทศเพื่อนบ้าน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนธันวาคม 2566 กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 456 คนเป็นผู้รับผิดขอบงานสาธารณสุขชายแดน และแรงงานต่างด้าว เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่กู้ชีพจากแขวงจำปาสัก เจ้าหน้าที่ด่านวังเต่า คณะทำงานพัฒนาช่องทางเข้าออกอำเภอชายแดนและเครือข่ายเมืองคู่มิตร และผู้รับบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนไทย-ลาว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินการรับรู้ แบบบันทึกและแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis)<br /> ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนาระบบบริการสุขภาพชายแดนและเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับประเทศเพื่อนบ้านประกอบด้วย (1) สภาพปัญหาระบบบริการตามแนวชายแดน จากการทบทวนเอกสารและข้อสรุปจากการสนทนากลุ่ม (Focus group) พบปัญหาทั้งด้านปัจเจกบุคคล สิ่งแวดล้อม และระบบบริการสาธารณสุข (2) ระบบบริการสุขภาพชายแดนประกอบด้วย 5 ด้านคือ ระบบบริการสุขภาพและการรักษาพยาบาล ระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค ระบบการเข้าถึงบริการ ระบบความพันธ์ระหว่างผู้รับและผู้ให้บริการ และระบบการบริการแบบองค์รวมและต่อเนื่องกลุ่มเป้าหมายมีการรับรู้โดยรวมอยู่ในปานกลาง (Mean = 4.35,SD.= 0.36) และ (3) หลังจากพัฒนาระบบบริการแล้วผู้รับบริการตามแนวชายแดนไทย-ลาว มีความพึงพอใจต่อระบบบริการสุขภาพชายแดนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (50.3%)</p> 2024-10-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal of Roi Kaensarn Academi