วารสารการทดสอบและการประเมินทางการศึกษาระดับชาติ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS
<p><br />วารสารการทดสอบและการประเมินทางการศึกษาระดับชาติ</p> <p>ISSN: 2730-3535 E-ISSN: 3027-8333</p> <p>เป็นวารสารของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ แนวคิด ผลงานวิจัยและบทความวิชาการ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการทดสอบ นโยบายการศึกษา การบริการจัดการทดสอบ การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษา นวัตกรรมเกี่ยวกับระบบการทดสอบ เทคนิคด้านการวัดและประเมินผลทางการศึกษา บทความที่เป็นศาสตร์ทางการศึกษาในแขนงที่เกี่ยวข้อง อันจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ในด้านการวัดและประเมินผลทางการศึกษา เพื่อประโยชน์และการนำไปใช้ระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย บุคลากรทางการศึกษา นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป</p> <p>ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (2567) : กรกฎาคม - ธันวาคม 2567</p> <p>Published: 2024-12-24</p>
National Institude of Educational Testing Service Center
th-TH
วารสารการทดสอบและการประเมินทางการศึกษาระดับชาติ
2730-3535
<p>under process</p>
-
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนาการเรียนรู้ยุคดิจิทัล
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS/article/view/275875
<p>ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นการชี้นำและส่งเสริมบุคลากรให้มีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อพัฒนาองค์กรและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยใช้กลยุทธ์บริหารที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้ การพัฒนาการเรียนรู้ยุคดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงการศึกษาแบบดิจิทัล ซึ่งส่งผลต่อครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรทุกฝ่ายในการปรับตัวและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี พร้อมทั้งสร้างภาวะผู้นำและวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บทความฉบับนี้มุ่งนำเสนอประเด็นหลัก 3 เรื่อง ได้แก่ <em>(1) ความหมายและแนวคิดของภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา</em> ซึ่งเป็นกระบวนการชี้นำและส่งเสริมบุคลากรให้มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อพัฒนาองค์กรและการเรียนรู้สู่ความยั่งยืนและนวัตกรรมทางการศึกษา <em>(2) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล</em> ได้แก่ 1) วิสัยทัศน์และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ข้อมูลเชิงระบบ 3) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความร่วมมือในองค์กร 4) สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ 5) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัล และ <em>(3) วิเคราะห์บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนาการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล</em> ประกอบด้วย 1) การกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของโรงเรียน 2) การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุกและนวัตกรรม 3) การพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการเรียนรู้ และ 4) การใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้</p>
กิตติ สมอุ่มจารย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
6 1
1
16
-
แนวทางพัฒนาผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ปีการศึกษา 2566 ของเครือข่ายโรงเรียนที่ 5 “ลานสกา” จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS/article/view/274165
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ปีการศึกษา 2566 ของเครือข่ายโรงเรียนที่ 5 “ลานสกา” จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติของเครือข่ายโรงเรียนที่ 5 “ลานสกา” จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างปีการศึกษา 2565 และ 2566 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพกับเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่มเพื่อหาแนวทางพัฒนาผลการทดสอบฯ ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 26 คนและใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้ข้อมูลคะแนนการประเมินความสามารถด้านการอ่านของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (RT) การทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (NT) และการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (O-NET) ซึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิจากนักเรียนที่เข้าร่วมการทดสอบ RT, NT และ O-NET จำนวน 671 คนในปีการศึกษา 2565 และ 667 คนในปีการศึกษา 2566 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและใช้การทดสอบ t-test ผลของการวิจัย พบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางพัฒนาผลการทดสอบระดับชาติ ปี 2566 ของเครือข่ายโรงเรียนที่ 5 "ลานสกา" จ.นครศรีธรรมราชครอบคลุม 3 การทดสอบหลัก ได้แก่ การทดสอบ RT การทดสอบ NT และ การทดสอบ O-NET โดยเน้นบทบาทสำคัญของผู้บริหารและครู ดังนี้ การทดสอบ RT ผู้บริหารควรสนับสนุนแผนการสอนที่เน้นทักษะการอ่าน จัดสรรทรัพยากรและเวลาให้เหมาะสม พร้อมส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนานและร่วมมือกับผู้ปกครอง ส่วนครูต้องออกแบบการสอนที่กระตุ้นความสนใจนักเรียน เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและใช้สื่อหลากหลาย รวมถึงประเมินผลผ่านการอ่านออกเสียงและจับใจความ การทดสอบ NT ผู้บริหารควรสนับสนุนการใช้สื่อดิจิทัลและอบรมครูเพื่อพัฒนาทักษะจำเป็น เช่น การอ่านจับใจความและแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ส่วนครูต้องจัดกิจกรรมที่กระตุ้นการเรียนรู้และใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียน และการทดสอบ O-NET ผู้บริหารควรจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะสำคัญ เช่น การอ่านจับใจความ การคำนวณ และการทดลองวิทยาศาสตร์ ส่วนครูต้องใช้การประเมินที่หลากหลายและติดตามความก้าวหน้า ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เครือข่ายโรงเรียนควรร่วมมือกันพัฒนาการสอน แบ่งปันทรัพยากร จัดอบรมครู และส่งเสริมกิจกรรมนอกห้องเรียน เพื่อยกระดับผลการทดสอบอย่างยั่งยืน 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบระดับชาติ ปี 2565 และ 2566 พบว่า 1) ผลการทดสอบ RT </span><span style="font-size: 0.875rem;">ทั้งการอ่านออกเสียงและการอ่านรู้เรื่อง ระหว่างปีการศึกษา 2565 และ 2566 ไม่แตกต่างกัน 2) ผลการทดสอบ NT วิชาภาษาไทย ระหว่างปีการศึกษา 2565 และ 2566 มีความแตกต่างกัน แต่วิชาคณิตศาสตร์ไม่แตกต่างกัน และ 3) ผลการทดสอบ O-NET ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้ง 4 วิชา ได้แก่ วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาภาษาอังกฤษ ระหว่างปีการศึกษา 2565 และ 2566 ไม่แตกต่างกัน</span></p>
สาครินทร์ จันทรมณี
สิรวิชญ์ ทับสุทธิ
มณฑกานติ์ติ เพชรอักษร
สิทธิไกร กุลสวน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
6 1
17
38
-
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจของความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ สำหรับครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS/article/view/274236
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจของความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์สำหรับครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ข้าราชการครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ปีการศึกษา 2567 จากสถานศึกษาจำนวน 22 แห่ง จำนวน 350 คน ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามด้านความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหามีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.962 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ ทำการสกัดปัจจัยด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยร่วม เทคนิคย่อยวิธีแกนหลักและหมุนแกนปัจจัยแบบมุมฉากด้วยวิธีแวริแมกซ์ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยของความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์สำหรับครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 3 ปัจจัย เรียงลำดับตามกระบวนการจัดการความรู้ ได้ดังนี้ 1. ปัจจัยด้านความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ GAI อย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงถึงความเข้าใจการทำงานขั้นพื้นฐานและสามารถใช้ GAI ได้อย่างเหมาะสม 2. ปัจจัยด้านการใช้ GAI อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงถึงการใช้คำสั่งเพื่อสั่งงาน GAI อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ละเมิดสิทธิ์และ 3. ปัจจัยด้านการใช้ GAI ในบริบทต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงถึงทักษะการใช้ GAI เพื่อช่วยทำงานหรือแก้ปัญหาในบริบทอื่น ๆ นอกเหนือจากการจัดการเรียนการสอน โดยทุกปัจจัยสามารถร่วมกันอธิบายความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์สำหรับครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ 82.56% ซึ่งหน่วยงานทางการศึกษาสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดแผนการดำเนินการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาหรือครูผู้สอนเพื่อนำไปสู่การใช้ GAI ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงานได้</p>
ณัฐพล บัวอุไร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
6 1
39
62
-
การประเมินหลักสูตรท้องถิ่น “พลวัตพ่วงพรมคร” โดยใช้รูปแบบซิปป์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS/article/view/274934
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรท้องถิ่น “พลวัตพ่วงพรมคร” ตามรูปแบบซิปป์ (CIPP MODEL) ประกอบด้วย 1) บริบท 2) ปัจจัยนำเข้า 3) กระบวนการ และ 4) ผลผลิต กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหาร คณะกรรมการสถานศึกษา ปราชญ์ชุมชน ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนพ่วงพรมครวิทยา รวม 59 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า มีค่าเฉลี่ยทั้งหมด 4.74 อยู่ในระดับมากที่สุด โดยการประเมินบริบทมีคะแนนเฉลี่ย 4.76 อยู่ในระดับมากที่สุด มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและโรงเรียน โครงสร้างของหลักสูตรประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 พ่วงพรมครบ้านเรา หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 จากเมืองสองธรรม สู่เมืองคนดี หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 จากนภา ลงภูผา ผ่านทุ่งนา สู่มหานที หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 วิถีท้องถิ่น แดนดินพ่วงพรมคร หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 พอเพียงตามวิถีคนพ่วง และหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 นวัตกรพ่วงพรมคร ซึ่งเป็นการนำองค์ความรู้ในท้องถิ่นมาจัดทำเป็นรายวิชาเพิ่มเติมที่บูรณาการระหว่างรายวิชา โดยมีกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นแกนหลัก สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 การประเมินปัจจัยนำเข้า มีคะแนนเฉลี่ย 4.72 อยู่ในระดับมากที่สุด ผู้บริหารมีการสนับสนุน ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ และงบประมาณมีเพียงพอในการดำเนินการ และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน การประเมินกระบวนการมีคะแนนเฉลี่ย 4.66 อยู่ในระดับมากที่สุด มีการ พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นตามขั้นตอน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย ยึดหลักผู้เรียนเป็นสำคัญ นำเอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ เน้นการวัดและการประเมินผลตามสภาพจริง ครู วิทยากร(ปราชญ์ชาวบ้าน) ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการประเมิน และมีการนิเทศติดตามการใช้หลักสูตรอย่างสม่ำเสมอจากผู้บริหาร และการประเมินผลผลิตมีคะแนนเฉลี่ย 4.87 อยู่ในระดับมากที่สุด นักเรียนมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพทั่วไป ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแล อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนที่ส่งผลต่อวิถีชุมชน มีความตระหนักต่อประโยชน์ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต มีส่วนร่วมเพื่ออนุรักษ์และสืบสาน และมีทักษะในการทำงานกลุ่ม การแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์</p>
ธนาธิป รัตนพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
6 1
63
79
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ด้านการบวก ลบ คูณ หารระคน ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JOURNALNIETS/article/view/276443
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ด้านการบวก ลบ คูณ หารระคน ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ก่อนและหลังใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านพรมลีศรีสว่าง อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 11 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบสุ่มจากนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ต่ำกว่าร้อยละ 60 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมระหว่าง 4.33 ถึง 4.67 (จากคะแนนเต็ม 5) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (IOC) ≥ 0.50 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20–1.00 ค่าระดับความยากระหว่าง 0.20–0.80 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ด้านการบวก ลบ คูณ หารระคน ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ก่อนและหลังใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านพรมลีศรีสว่าง อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 11 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบสุ่มจากนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ต่ำกว่าร้อยละ 60 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ผ่านการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดและบอร์ดเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมระหว่าง 4.33 ถึง 4.67 (จากคะแนนเต็ม 5) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (IOC) ≥ 0.50 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20–1.00 ค่าระดับความยากระหว่าง 0.20–0.80 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ค่าเฉลี่ย = 17.27 หรือ 86.36%) และ 2) คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ก่อนเรียนค่าเฉลี่ย = 8.00 เทียบกับหลังเรียน 17.27)</p>
วิไล บุญทาป
สุวรรณวัฒน์ เทียนยุทธกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
6 1
80
90