https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/issue/feed
วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
2025-10-30T00:00:00+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุพล พรหมมี
phurithat2007@gmail.com
Open Journal Systems
<p>ยินดีต้อนรับสู่วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์ ISSN: 3088-2591 (Online) เป็นวารสารวิชาการของวิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วารสารเผยแพร่เนื้อหาบทความที่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการมีการตรวจสอบคุณภาพบทความให้มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานตามหลักวิชาการ ทำให้วารสารมีข้อมูลเพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ศาสนศึกษา และพุทธศาสนาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือการประยุกต์พุทธศาสนากับสาขาวิชาอื่น เช่น การศึกษา การพัฒนาสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน บทความทั้งหมดจะต้องเกี่ยวข้องกับการสอน และการวิจัยทางพระพุทธศาสนา ใน 2 กลุ่มประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 พระพุทธศาสนาแบบดังเดิม ได้แก่ หลักพุทธธรรม การวิเคราะห์หลักพุทธธรรม และกลุ่มที่ 2 พุทธศาสนาประยุกต์ หมายถึง การประยุกต์หลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสาร (Publication Frequency)</strong></p> <p> กำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ เป็นราย 6 เดือน</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p> </p> <p>ปีที่เริ่มตีพิมพ์: 2564</p> <p> </p> <p><strong>ISSN (เดิม)</strong></p> <p>ISSN 2773-9554 (Online)</p> <p><strong>ISSN (ใหม่) เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป </strong></p> <p>ISSN 3088-2591 (Online)</p> <p> </p> <p>ภาษาที่รับตีพิมพ์: ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/280337
การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2
2025-07-11T14:41:44+07:00
วิภาวดี วงศ์สุริยา
phink179@gmail.com
ภูวนัย สุวรรณธารา
phuwanais@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา และเพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ พื้นที่วิจัย คือ กลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูกลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 จำนวน 186 คน สุ่มตัวอย่างโดยวิธีแบ่งชั้นภูมิ โดยเทียบสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่างตามรายโรงเรียนและสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน คือ การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า <br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก คือ หลักความคุ้มค่า รองลงมา คือ หลักคุณธรรม อันดับสุดท้าย คือ หลักการมีส่วนร่วม <br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มบางพลี 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และตำแหน่ง โดยรวม แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/280380
ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
2025-07-11T14:40:38+07:00
ศรุชยา สุขภุมรินทร์
2534oppo.f7@gmail.com
นงลักษณ์ ใจฉลาด
dr.nongluck@psru.ac.th
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ประกอบด้วยผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 16 คน และครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 54 คน รวมทั้งสิ้น 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.98 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริงของภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมอยู่ในระดับมาก ขณะที่สภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ ด้านความยุติธรรม (0.29) รองลงมาคือด้านความไว้วางใจ (0.28) และด้านความรับผิดชอบ (0.25) ตามลำดับโดยผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการบริหารงานด้วยความยุติธรรม ยึดหลักกฎหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดรวมถึงเสริมสร้างความไว้วางใจและความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการพัฒนาสถานศึกษาให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/280978
กระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้าขาวม้าของชุมชนบ้านปะขาว: การบูรณาการผ่านพลังบวร
2025-08-09T09:34:05+07:00
พระภัทรารุจ ภัทรเดชาวิชญ์
6701204304@mcu.ac.th
พระอุดมบัณฑิต สีไม้
udombunthit.see@mcu.ac.th
ขวัญชนก เหล่าสุนทร
kuanchanok.lao@mcu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้าขาวม้าของชุมชนบ้านปะขาว จังหวัดอ่างทอง (2) พัฒนากระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้าขาวม้า (3) เสริมสร้างเครือข่ายพลังบวรในการขับเคลื่อนโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้าขาวม้า การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดนวัตกรรมทางสังคมและพลังบวรเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ชุมชนบ้านปะขาว ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 25 คน ได้แก่ (1) ผู้บริหาร (2) ผู้นำชุมชน (3) ประชาชนในชุมชนเกี่ยวกับการทอผ้าขาวม้า (4) ตัวแทนเครือข่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดเวทีสนทนากลุ่ม รวมถึงบันทึกการสังเกตการณ์เพื่อนำไปสู่กระบวนการพัฒนาการสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่เหมาะสม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุมชนบ้านปะขาวกำลังเจอวิกฤตการณ์รุนแรง จากการลดลงของช่างทอผ้ารุ่นใหม่ ขาดการสนับสนุนด้านการตลาด และขาดกลไกการสืบทอดภูมิปัญญาที่เป็นระบบ (2) กระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่เหมาะสมเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ผ่านพลังบวร และการเชื่อมโยงกับตลาดออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้างกลไกที่ยั่งยืนในการอนุรักษ์และฟื้นฟู (3) เสริมสร้างเครือข่ายพลังบวรในการขับเคลื่อนโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดความร่วมมือที่เข้มแข็ง องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ คือ PATTRARUJ Model เป็นกรอบแนวคิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูภูมิปัญญาการทอผ้าอย่างยั่งยืน เป็นประโยชน์ในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่บูรณาการพลังชุมชนเข้ากับการจัดการองค์ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และเทคโนโลยี เพื่อรักษาคุณค่าดั้งเดิมและสร้างคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/281100
ระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์เพื่อพัฒนาการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์สำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง
2025-08-18T20:21:20+07:00
พระสิทธิชัย รินฤทธิ์
sitthichaimcu@gmail.com
ชวาล ศิริวัฒน์
6301205232@mcu.ac.th
สุวัฒสัน รักขันโท
6301205232@mcu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์เพื่อพัฒนาการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง (2) พัฒนาระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์ (3) ทดลองระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์ (4) ประเมินระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์ การวิจัยใช้แบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ทดลองใช้กับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 จำนวน 11 คน ผลการวิจัยพบว่า <br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. การศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์ส่งเสริมให้นักศึกษา</span><span style="font-size: 0.875rem;">ได้เรียนรู้เชิงปฏิบัติ พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 เข้าใจความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ บูรณาการข้ามศาสตร์ เตรียมพร้อมสู่โลกยุคดิจิทัล<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. การสร้างระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์จากการการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้มี 7 ขั้นตอน คือ (1) ศึกษาองค์ความรู้ (2) ประเมินความต้องการ (3) พัฒนากรอบแนวคิด (4) สอบถามความคิดเห็น (5) ร่างต้นแบบ (6) ทดสอบ (7) ปรับปรุง รายงานฉบับสมบูรณ์<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. การทดลองการสร้างระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์ ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชน คือ (1) แผนที่ชุมชนบ้านภูบ่อบิด บ้านก้างปลา และบ้านติ้ว (2) ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เป็นระบบ (3) เกิดความร่วมมือชุมชนกับสถาบัน (4) เกิดแนวคิดจัดการข้อมูลสมัยใหม่ (5) ได้มีส่วนร่วมในการสำรวจและวางแผน และ (6) ตระหนักถึงคุณค่าของข้อมูลเชิงพื้นที่ต่อการพัฒนาในระยะยาว<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">4. การประเมินระบบการสอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.74, S.D. = 0.93)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">5. องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย คือ (GIT) CIPOF PLAN คือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ของระบบการสอนแบบอิงประสบการณ์เพื่อพัฒนาการเรียน อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/281135
แนวทาง การเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการ ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
2025-08-19T18:22:37+07:00
พระมหาสหพล ชุมภู
phramhashphlchumphu@gmail.com
ณฤณีย์ ศรีสุข
narunee2533@gmail.com
พระครูสุตชยาภรณ์ เขียวสุข
singchai2559@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดเกี่ยวกับการอัตลักษณ์ ทฤษฎีทางสังคมและวัฒนธรรรม โลกาภิวัตน์ การอยู่ร่วมกัน กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทลื้อ และบริบทพื้นที่เป็นกรอบการวิจัย <br />พื้นที่วิจัย คือ กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ในพื้นที่ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง โดยมีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน และสนทนากลุ่มเฉพาะ 6 กลุ่ม โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเทคนิคการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือในการวิจัย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. ชาวไทลื้ออพยพจากสิบสองปันนา ประเทศจีน มาตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือของไทย มีอัตลักษณ์</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่โดดเด่นผ่านวิถีชีวิต ความเชื่อ และภาษา ปัจจุบันพวกเขากำลังเผชิญความท้าทายในการสืบทอดมรดก</span><span style="font-size: 0.875rem;">ทางวัฒนธรรมเหล่านี้สู่คนรุ่นใหม่ โดยมีชุมชนและภาครัฐร่วมมือกันเพื่อการอนุรักษ์<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ชาวไทลื้อในอำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เสริมสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมโดยผสมผสานวิถีดั้งเดิม ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษเข้ากับหลักพุทธศาสนา พวกเขาปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทำให้สามารถรักษาวัฒนธรรมและอยู่ร่วมกัน</span><span style="font-size: 0.875rem;">อย่างสงบสุข<br /></span>3. งานวิจัยได้นำเสนอแนวทางบูรณาการวัฒนธรรมไทลื้อดั้งเดิมกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมภาษาและชุดแต่งกายในกลุ่มเยาวชน จัดเทศกาลอาหาร ทำการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมไทลื้อแม่ทะ โดยอาศัยหลักธรรม เช่น สังคหวัตถุ 4 และฆราวาสธรรม 4 และการผสานการร่วมมือกับทุกภาคส่วน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/281136
รูปแบบ การเตรียมความพร้อมของชุมชนเชิงพุทธในการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
2025-08-20T14:33:56+07:00
ไพรวัลย์ ใจหล้า
phirwalycihla@gmail.com
ณฤณีย์ ศรีสุข
narunee2533@gmail.com
พระครูสุตชยาภรณ์
Sahapon.li5@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดทฤษฎีดังนี้ คือ แนวคิดการเตรียมความพร้อม แนวคิดพฤฒพลัง แนวคิดการส่งเสริมสุขภาพ แนวคิดเชิงพุทธ และแนวคิดด้านสวัสดิการสังคม มาเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย โดยใช้พื้นที่ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ในการวิจัย และมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเทคนิคการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือในการวิจัย และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. ตำบลท่าผามีการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบตามนโยบายเมืองน่าอยู่ ในทุกมิติทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. การจัดสวัสดิการชุมชนเชิงพุทธเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุพัฒนาจากการพึ่งพาตนเองในอดีตสู่การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในปัจจุบัน โดยใช้หลักธรรมเป็นแกนหลักเพื่อสร้างความยั่งยืน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. รูปแบบการเตรียมความพร้อมของชุมชนเชิงพุทธเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของตำบลท่าผาเป็นการผสมผสานการดูแลแบบองค์รวม โดยใช้หลักธรรมทางศาสนาเป็นแกนหลักร่วมกับแนวทางการพัฒนาที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อสร้างชุมชนเชิงพุทธที่ยั่งยืน<br /></span>การเตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นการผสมผสานการดูแลแบบองค์รวมที่อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางและขับเคลื่อนหลักร่วมกับโรงเรียนผู้สูงอายุ และ เครือข่ายความร่วมมือ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งสามารถนำประโยชน์ที่ได้ไปใช้กับการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ และการวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/281169
การพัฒนา กิจกรรมและรูปแบบการส่งเสริมงานบริหารกิจการคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
2025-08-20T14:34:30+07:00
พระมหาอมร เลิศอมรวัฒนา
phramhaxmrleisxmrwathna@gmail.com
พระครูสิริธรรมบัณฑิต แสนคำ
phanu_mculp@hotmail.com
ณฤณีย์ ศรีสุข
narunee2533@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษาการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (2) เพื่อศึกษาการพัฒนากิจกรรมและรูปแบบการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (3) เพื่อเสนอรูปแบบการส่งเสริมงานบริหารกิจการคณะสงฆ์อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรม<br />งานบริหารกิจการคณะสงฆ์ และการบริหารกิจการคณะสงฆ์ เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 คน โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. การบริหารกิจการคณะสงฆ์อำเภอเมืองลำปางดำเนินงานภายใต้โครงสร้างที่ชัดเจน แต่ยังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ปัจจัยลบที่สำคัญคือภาวะผู้นำ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ของพระสังฆาธิการบางรูป จำนวนพระสงฆ์ที่ลดลง และความศรัทธาของประชาชนที่น้อยลง<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. การพัฒนากิจกรรมและรูปแบบการบริหารกิจการคณะสงฆ์อำเภอเมืองลำปาง มุ่งแก้ปัญหา</span><span style="font-size: 0.875rem;">ด้วยการใช้เทคโนโลยี หลักการบริหารสมัยใหม่ โดยปรับการปกครองเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการ</span><span style="font-size: 0.875rem;">พัฒนาศาสนศึกษาด้วยระบบออนไลน์และสร้างกองทุนฉเพื่อการสงเคราะห์ นอกจากนี้ ยังมีการใช้สื่อดิจิทัล</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในการเผยแผ่และระดมทุนรวมถึงจัดทำฐานข้อมูลอาสาสมัครทั้งหมดนี้เพื่อแก้ไขปัญหาบุคลากร งบประมาณ และวิกฤตศรัทธา ทำให้งานต่าง ๆ ยั่งยืนและทันสมัยยิ่งขึ้น<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. รูปแบบการส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์อำเภอเมืองลำปาง ควรเน้นการพัฒนา 6 ด้าน โดยเฉพาะ</span><span style="font-size: 0.875rem;">การทำฐานข้อมูลดิจิทัลด้านการปกครองการเผยแผ่ การบริหารงานควรเป็นแบบมีส่วนร่วม และนำหลักอัปปมาทะ และสัปปุริสธรรม 7 มาประยุกต์ใช้เพื่อประสิทธิภาพและความยั่งยืน</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/282384
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
2025-10-10T19:29:55+07:00
พรภิรมย์ ยอดบุญ
pornpirom.yod@mcu.ac.th
พระครูปลัดวิมลปริยัติวัฒน์ วงศ์กันทราภัย
piyabut.pan@mcu.ac.th
พระครูปลัดวิสุทธิวรรธน์ ชาวเวียง
wiwarayano@gmail.com
องปลัดศราวุธ จันทนะ
sarawut.jan52011@gmail.com
รวีวรรณ วงค์เดชานันทร์
raveewan.wong@mcu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเพื่อนำเสนอปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี โดยการประยุกต์ตามหลักอิทธิบาท 4 ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตวิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร จำนวน 150 คน โดยใช้การวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test ความแปรปรวนทางเดียว (One – way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนิสิต พบว่า โดยรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. การเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนิสิต จำแนกตามเพศ อายุ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ .05 เมื่อจำแนกตามสาขาวิชา พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. การนำเสนอปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี โดยการประยุกต์ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า การตัดสินใจของนิสิตประกอบด้วยความเชื่อมั่น (ฉันทะ) มีความพยายาม (วิริยะ) ที่ถูกกระตุ้นจากความคุ้มค่าและโอกาสทางอาชีพ มีความตั้งใจ (จิตตะ) จากการได้รับแรงบันดาลใจจากข้อมูลที่ชัดเจน และมีการไตร่ตรอง (วิมังสา) ทั้งด้านกายภาพและคำแนะนำจากบุคคลรอบข้าง</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JMBR_sothorn/article/view/281520
พัฒนาการเนยยัตถะและนีตัตถะ
2025-09-16T10:48:41+07:00
ไวทย์ชนินทร์ มีสุวรรณ
waichanin007@gmail.com
มนตรี สิระโรจนานันท์
montree.s@arts.tu.ac.th
องปลัดศราวุธ จันทนะ
sarawut.jan52011@gmail.com
<p>บทความนี้ศึกษาความหมายและพัฒนาการของแนวคิด “เนยยัตถะ–นีตัตถะ” ในพระพุทธศาสนาเถรวาท อันเป็นหลักเกณฑ์ในการจำแนกพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระหว่างถ้อยคำ<br />ที่ต้องตีความ (เนยยัตถะ) กับถ้อยคำที่เข้าใจได้โดยตรง (นีตัตถะ) เพื่อป้องกันการบิดเบือนพระธรรมคำสอน อรรถกถาได้อธิบายว่า ถ้อยคำที่ใช้ “สมมุติ” เช่น “บุคคล” หรือ “สัตว์” เป็นข้อความเนยยัตถะ เพราะไม่อาจยึดความหมายตามถ้อยคำ ต้องอธิบายประกอบให้สอดคล้องกับหลักปรมัตถสัจจะ ขณะที่คำสอนประเภท “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง” เป็นนีตัตถะ เพราะสื่อสภาวธรรมโดยตรง หลักการนี้สะท้อนแนวคิดทางภาษาว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษาโลกโดยไม่ยึดถือว่าเป็นสัจธรรมถาวร เนื่องจากภาษาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทสังคม<br />ต่อมาแนวคิดเนยยัตถะ–นีตัตถะได้พัฒนาเป็นระบบ “สมมุติสัจจะ–ปรมัตถสัจจะ” ซึ่งเป็นพื้นฐานของทฤษฎีสัจจะสองขั้นที่นาคารชุนและอรรถกถาจารย์เถรวาทนำมาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างถ้อยคำกับความจริงในพระธรรมเทศนา โดยพระพุทธโฆสาจารย์และพระธรรมปาละเถระได้สืบต่อแนวทางนี้ผ่าน“อุปจาระ” ซึ่งเป็นวิธีการตีความเชิงภาษาศาสตร์ เช่น ผลูปจาระ การณูปจาระ ฐานูปจาระ และอเภโทปจาระ ทำให้เกิดระบบวิเคราะห์ถ้อยคำที่ซับซ้อนและลุ่มลึกยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการตีความ<br />พระพุทธวจนะจากยุคพุทธกาลสู่ยุคอรรถกถาอย่างเป็นระบบ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธโสธรปริทรรศน์