วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR <p><strong>วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรรศน์</strong> <br />ISSN : 3088-1110 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> ๑. เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p> ๒. เพื่อให้บริการทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญาแก่สังคม</p> <p> ๓. เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p> ๔. เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> th-TH <p>บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนผู้แต่ง กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป</p> wittayapankhai@gmail.com (นายวิทยา ปานไข่) wittayapankhai@gmail.com (Mr.Wittaya Pankhai) Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ตามหลักวุฑฒิธรรม ๔ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/257825 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางในการเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ตามหลักวุฑฒิธรรม ๔ หลักวุฑฒิหรือวุฑฒิธรรมคือธรรมเป็นเครื่องเจริญ คุณธรรมที่ก่อให้เกิดความเจริญงอกงาม เป็นข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน คุณสมบัติของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยวุฑฒิธรรม ๔ มีเกณฑ์ชี้วัดดังนี้ เกณฑ์ชี้วัดข้อที่ ๑ สัปปุริสสังเสวะ-การคบสัตบุรุษต้องเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ๓ ระดับ คือ สุตมยปัญญา-ปัญญาจากการฟัง จินตมยปัญญา-ปัญญาจากการคิด ภาวนามยปัญญา-ปัญญาจากการลงมือปฏิบัติ เกณฑ์ชี้วัดข้อที่ ๒ สัทธัมมัสสวนะ-การฟังพระสัทธรรม ต้องเกิดประโยชน์ ๕ ข้อ คือ (๑) ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ได้เรียนรู้สิ่งที่ยังไม่เคยเรียนรู้ (๒) สิ่งที่เคยได้ฟังก็ทำให้แจ่มแจ้งเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น (๓) แก้ข้อสงสัยได้ (๔) เกิดสัมมาทิฏฐิ (๕) มีจิตผ่องใสจากการฟังธรรม เกณฑ์ชี้วัด ข้อที่ ๓ โยนิโสมนสิการ-มีกระบวนการคิดที่มีเหตุผล ๔ นัย ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดในเรื่องที่ต้องตัดสินใจในชีวิตประจำวัน เป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เกณฑ์ชี้วัดข้อที่ ๔ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือเข้าใจความหมาย ขอบเขต และบริบทของหลักธรรมที่นำมาปฏิบัติได้ถูกต้องครบถ้วน สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานและการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น วุฑฒิธรรม ๔ จึงเป็นวิถีแห่งความเจริญในชีวิตที่ควรเสริมสร้างให้เกิดขึ้นในตนเอง</p> พระมหาธนวุฒิ อุปชัย Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/257825 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 บทวิจารณ์หนังสือ เรื่อง จริยเศรษฐศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/272722 <p>หนังสือเรื่องจริยเศรษฐศาสตร์ เขียนโดย ศาสตราจารย์ อมาตยา เซน (Amartya Sen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญาชาวอินเดีย ผู้ก่อตั้งสำนักคิด วิถีสมรรถภาพมนุษย์ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี ค.ศ. ๑๙๙๘ รางวัลภารตรัตนะ รางวัลสูงสุดที่รัฐมอบให้พลเรือนอินเดียในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ และรางวัลโยฮัน สไกด์ สาขารัฐศาสตร์ในปี ค.ศ. ๒๐๑๗ หนังสือเรื่องนี้ผู้เขียนได้เขียนไว้เป็นฉบับภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า “On Ethics And Economics” และถูกแปลเป็นภาษาไทยโดย สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียน นักแปล นักวิจัย และนักวิชาการอิสระ และเป็นคณะบรรณาธิการสำนักพิมพ์ ซอลท์ พับลิชชิ่ง มีชื่อว่า “จริยเศรษฐศาสตร์” มีจำนวน ๑๘๐ หน้า ผู้แปลได้ดำเนินการจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ซอลท์ พับลิชชิ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒</p> หฤทธิ์ สุกใส Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/272722 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัดสารอดภายใต้กรอบ บวร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/270921 <p>บทความนี้ดำเนินการในรูปแบบอริยสัจจ์โมเดล ภายใต้กรอบการวิจัยตามบันได ๙ขั้น สำหรับการตอบวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบท สภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น เพื่อศึกษาวิเคราะห์พุทธสันติวิธีที่เอื้อและเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัดสารอดภายใต้กรอบบวร เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก จัดประชุมสัมมนาวิชาการ สนทนากลุ่มเฉพาะ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๕๐ คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัย ๑) บริบทการท่องเที่ยวในปัจจุบันโดยความร่วมมือกันระหว่างคนในชุมชนมีจุดแข็งระหว่างบวร “บ้าน วัด ราชการ” ส่วนสภาพปัญหามีการบริหารจัดการยังไม่เป็นระบบ ขาดจุดบริการ ขาดการอำนวยความสะดวก ส่วนความต้องการให้วัดสารอดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพราะเป็นศูนย์กลางของชุมชนในเขตราษฎร์บูรณะ ๒) พุทธสันติวิธีที่เอื้อ คือ หลักอริยสัจสี่ ๓) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมวัดสารอด เรียกว่า BAIPHO Model มีองค์ประกอบอยู่ ๖ ประการ คือ B = Boss ผู้นำ A = Activity I = Information P = Peace ความสงบ H = Highlight โดดเด่น O = Owner ความเป็นเจ้าของ การศึกษาครั้งนี้ทำได้องค์ความรู้ใหม่ ๔ ส ได้แก่ ๑. สะอาด ๒. สะดวก ๓. สงบ ๔. สว่าง การพัฒนาการด้านกายภาพมีการก่อสร้างห้องน้ำและการตีเส้นถนน การพัฒนาทางด้านการอบรม มีการจัดมัคคุเทศก์รุ่น๑แก่นักเรียนวัดสารอด</p> ธัญญาภรณ์ โตชำนาญวิทย์, พระเมธีวัชรบัณฑิต , พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/270921 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาวิเคราะห์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/269789 <p>บทความวิจัยเรื่องศึกษาวิเคราะห์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (๒) เพื่อศึกษาพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่เกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนา และ (๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยเชิงเอกสาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (๑) สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบเพราะอยู่ระหว่างการทำศึกสงคราม ฉะนั้นกิจการด้านพระพุทธศาสนาจึงขาดพระสงฆ์ผู้ทรงความรู้ด้านปริยัติและปฏิบัติ ขาดพระสงฆ์ที่จะศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและพระสงฆ์ที่จะเป็นหลักในการบริหารการคณะสงฆ์ (๒) พระราชประวัติที่เกี่ยวกับกิจการด้านศาสนธรรมทรงให้ทำการรวบรวมพระไตรปิฎกจากหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อทำการสังคายนาแต่ไม่สำเร็จเนื่องจากสิ้นราชกาลเสียก่อน และทรงออกพระราชกำหนดว่าด้วยศีลสิกขาบท ด้านศาสนบุคคลทรงแต่งตั้งสังฆราชและพระราชาคณะเพื่อปกครองดูแลพระภิกษุสงฆ์และทรงส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ด้านศาสนสถานทรงบริจาคราชทรัพย์เพื่อใช้สร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์วัด พระอุโบสถ วิหาร กุฏิสงฆ์ ด้านศาสนสวัตถุทรงให้สร้างสมุดภาพไตรภูมิและปั้นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ปางสมาธิ และด้านศาสนสพิธีทรงเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศล บริจาคทาน และทรงเสด็จไปนมัสการปูชนียสถาน (๓) การวิเคราะห์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาพบว่า พระองค์ทรงมีจิตใจใฝ่ในธรรม ทรงมีพระราชศรัทธาและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของพุทธศาสนิกชน</p> พระมหาสาโรจน์ ปญฺญาวชิโร (เห็ดตุม), รศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, ผศ. ดร.อรชร ไกรจักร์ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/269789 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271153 <p>บทความวิจัยเรื่องการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาสภาพบริบทปัญหาสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ๒) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่เอื้อต่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ๓) เพื่อประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ดำเนินการวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) แบบภาคสนามเครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตการณ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม (๑) กลุ่มผู้บริหารกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๑๐ ท่าน (๒) กลุ่มผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ๖ ท่าน (๓) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา ๕ ท่าน (๔) กลุ่มประชาชนหลากหลายวัย ๓ ท่าน รวมผู้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒๔ ท่าน วิเคราะห์ด้วยวิธีอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(๑) สังคมไทยมีการรับรู้เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนที่แตกต่างกัน ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและอยู่ในแวดวงที่จำกัด ปัญหาในการใช้หลักสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย คือ กระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาคและเลือกปฏิบัติ เกิดช่องว่างระหว่างวัยในการรับรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน และความเชื่อจากการเสพสื่อออนไลน์ทำให้เกิดการบิดเบือนนำไปสู่การละเมิดสิทธิ (๒) หลักพุทธธรรมที่สะท้อนเด่นชัดและเอื้อต่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย คือ ศีล ๕ เนื่องจากเป็นหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่ทุกคนใช้เป็นแนวทางนำไปปฏิบัติ ช่วยลดปัญหาการละเมิดสิทธิและทำให้คนเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (๓) การประยุกต์หลักพุทธธรรม คือ ศีล ๕ สามารถนำไปประยุกต์โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จคือ ผู้นำ ระบบและกลไก ความรู้ และสื่อ องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย คือ HR+ โมเดล สู่สังคมแห่งความสุขและเคารพสิทธิ</p> วชิระ นันผาด Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271153 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การจัดการขยะชุมชนเมืองโดยใช้พลังบวรเป็นฐาน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271277 <p>บทความวิจัยเรื่อง "การจัดการขยะชุมชนเมืองโดยใช้พลังบวรเป็นฐาน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทปัญหาและความต้องการในการจัดการขยะในชุมชนวัดใหม่ (ยายแป้น) วิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่เอื้อต่อการจัดการขยะชุมชนเมือง และพัฒนากระบวนการนำเสนอองค์ความรู้ใหม่ ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีเชิงปฏิบัติการ ตามแนวคิดอริยสัจโมเดล ผลการศึกษาพบว่าชุมชนวัดใหม่ (ยายแป้น) ขาดความรู้ในการจัดการขยะและขาดระบบจัดการขยะอย่างเหมาะสม การใช้หลักพุทธธรรมสังคหวัตถุ 4 ช่วยพัฒนากระบวนการจัดการขยะ โดยใช้พลังบวร (ชุมชน วัด ราชการ) เป็นฐาน ได้แบบจำลอง "นะโม ซีโร่เวสต์ โมเดล-แยกขยะ ละกิเลส" ผลการดำเนินพบว่าชุมชนมีความรู้และตระหนักรู้เพิ่มขึ้น การจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะตลาดนัดรีไซเคิล ลดปริมาณขยะ ๖,๓๔๕.๓ กิโลกรัม และสร้างรายได้ ๒๕,๓๑๕.๔๐ บาท ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) จำนวน ๖,๔๔๑.๕ กิโลกรัมคาร์บอน มีวิธีการวัดผลโดยใช้ ESG Index ที่เป็นดัชนีชี้วัดความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและความโปร่งใส เพิ่มเติมจากด้านเศรษฐกิจ ช่วยในการติดตามและประเมินผลกระทบ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการจัดการขยะในชุมชนมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นต้นแบบในการจัดการขยะชุมชนเมืองที่เหมาะสมได้</p> ฺบุญชู สถิตมั่นในธรรม Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271277 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรม ในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทาราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/247707 <p>บทความวิจัยเรื่อง”รูปแบบการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทาราม” มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ(๑) เพื่อศึกษารูปแบบการอบรมจริยธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทาราม (๒) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทารามและ (๓) เพื่อเสนอรูปแบบการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทาราม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๒๕ ท่าน ได้แก่ พระวิปัสสนาจารย์จำนวน ๗ รูป และผู้เข้าอบรมในโครงการวิป้สสนาจำนวน ๑๘ คน และจัดทำสนทนากลุ่ม รวมทั้งการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผลการศึกษาวิจัยพบว่า (๑) หลักธรรมที่โครงการอบรมเนกขัมมบารมีใช้ในการส่งเสริมการตระหนักรู้มุสาวาท คืออยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง เป็นฐาน และใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ศีล ๘ ไตรสิกขา มงคลชีวิตข้อวาจาสุภาษิต เบญจธรรมข้อ ๔ สัจจะ รวมทั้งปฏิบัติตนอยู่อย่างต่ำกระทำอย่างสูง (๒) การเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทารามได้จากการเข้าใจและปฏิบัติตนตามหลักธรรมในโครงการและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อลดปรับพฤติกรรมมุสาวาทได้จริง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีตระหนักรู้มุสาวาทของ Steven J. Breckler ด้านความรู้ความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกพฤติกรรมทางวาจา และ Sternberg การตระหนักรู้ในตนเองรู้เท่าทันความคิด คำพูด การกระทำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมละมุสาวาทได้จริงหรือลดน้อยลงตามลำดับ และ ๓) รูปแบบการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาทของผู้ปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนาวัดปัญญานันทาราม มีองค์ประกอบ ๓ ส่วนที่สำคัญ คือ (๑) กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งประกอบไปด้วยหลักธรรม พระวิปัสสนาจารย์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมในโครงการ ๒) การนำเสนอเชิงบวกก่อให้เกิดการเสริมสร้างการตระหนักรู้มุสาวาท โดยการรับรู้ และเข้าใจผ่านสติ สัมปชัญญะ สัจจะและวาจาสุภาษิต ๓) การตระหนักรู้มุสาวาท โดยมีการฝึกตนตามหลักธรรมที่ได้อบรมมาอย่างสม่ำเสมอ</p> พิชญานันต์ พงษ์ไพบูลย์ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/247707 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการพัฒนาอินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตร เพื่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/272146 <p>บทความวิจัยเรื่องกระบวนการพัฒนาอินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตรเพื่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนามีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาอินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตร ๒) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาอินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตรของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า อินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตร นำเสนอการสำรวมอินทรีย์ ๖ อย่าง ได้แก่ ๑) จักขุนทรีย์ (ตา) คือ สติคอยสำรวมระวังในขณะที่ประสาทตาเห็นรูป ๒) โสตินทรีย์ (หู) คือ สติคอยสำรวมระวังในขณะที่เสียงมากระทบประสาทหู ๓) ฆานินทรีย์ (จมูก) คือ สติคอยสำรวมระวังในขณะที่ประสาทจมูกกระทบกลิ่น ๔) ชิวหินทรีย์ (ลิ้น) คือ สติคอยสำรวมระวังในขณะที่ลิ้นรับรสต่างๆ ๕) กายินทรีย์ (กาย) คือ การมีสติในขณะที่เราถูกต้องสัมผัสทางกาย และ ๖) มนินทรีย์ (ใจ) คือ การมีสติในขณะที่ทวารใจเปิดรับอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏของธรรมารมณ์ การสำรวมอินทรีย์ ๖ อย่างเพื่อมิให้ยึดถือสิ่งที่กระทบเป็นรูป (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) อันเป็นเหตุให้เกิดความยินดีเกิดความยินร้ายกระทบเข้ามาสู่จิตใจ ทำให้ได้รับความสุขอันประณีตปราศจากกิเลส กระบวนการพัฒนาอินทรียสังวรในอินทรียสังวรสูตรของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็นกระบวนการพัฒนาจักขุนทรีย์ (ตา) โสตินทรีย์ (หู) ฆานินทรีย์ (จมูก) ชิวหินทรีย์ (ลิ้น) กายินทรีย์ (กาย) และ มนินทรีย์ (ใจ) โดยการมีสติระวัง (สติสังวร) ในขณะที่เกิดการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัสและการรับอารมณ์</p> พระครูปฐมธรรมรักษ์ (ประสิทธิ์ชัย คำดี), พระมหาวิโรจน์ คุตฺตวีโร Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/272146 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนายุวชนวัดนาครินทร์ โดยพุทธสันติวิธี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/270096 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการศูนย์พัฒนายุวชนวัดนาครินทร์ ๒) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมและแนวคิดศาสตร์สมัยใหม่ที่เอื้อต่อการบริหารจัดการศูนย์พัฒนายุวชน ๓) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนายุวชนวัดนาครินทร์ โดยพุทธสันติวิธี ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ มี ๓ กลุ่ม ได้แก่ คณะกรรมการศูนย์พัฒนายุวชนวัดนาครินทร์ ตัวแทนสถานศึกษา และเยาวชนที่เข้ากิจกรรมของศูนย์ จำนวน ๑๗ ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยอุปนัยวิธี</p> <p>ผลกาวิจัยพบว่า</p> <p>ศูนย์พัฒนายุวชนชนวัดนาครินทร์ เกิดจากอุดมการณ์ของผู้นำวัด ได้รับความร่วมมือจากชุมชน สถานศึกษา วัฒนธรรมจังหวัด และองค์กรเครือข่ายต่างๆ จนมีผลงานเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน มีวิสัยทัศน์คิดแนวทางการการบริหารจัดการศูนย์ฯ ประกอบด้วย การวางแผน กาจัดองค์กร การจัดคนเข้าทำงาน การสั่งงาน การประสานงาน การรายงาน และการว่างแผนงบประมาณ และนำหลักศีล ๕ คำสอนในทางพระพุทธศาสนามาเป็นข้อปฏิบัติทางด้านจิตใจร่วมกัน เพื่อให้เกิดคุณธรรม จริยธรรม มีความสงบ มีความสามัคคีในหมู่คณะ ได้ตระหนักในบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกันระหว่างวัด บ้าน โรงเรียน สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความเชื่อมัน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชุมชน ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ</p> พระปลัดบุญเพ็ง ชยสาโร (ชัยวิเศษ) Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/270096 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยา ของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274507 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี การพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษาตามหลักจิตวิทยาและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๒) เพื่อสร้างโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาตามแนวพุทธจิตวิทยาของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา และ <br />๓) เพื่อทดลองและเสนอผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาตามแนวพุทธจิตวิทยาของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา เป็นงานวิจัยแบบผสานวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจัยกึ่งทดลอง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๙ คน และนักเรียนจำนวน ๓๖ คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ ๑๘ คน วิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Pair t-test ผลการวิจัยพบว่า ๑) แนวคิดทางจิตวิทยาที่มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาสมรรถนะของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา ประกอบด้วย คุณลักษณะของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา ความรู้เกี่ยวกับการปรึกษา เจตคติต่อการปรึกษา และทักษะการปรึกษา โดยหลักการสำคัญที่เป็นในการส่งเสริม ได้แก่ การใช้หลักจิตวิทยาของกลุ่มเพื่อน ๒) โปรแกรมพัฒนามีการ<br />บูรณาการแนวคิดทางจิตวิทยา กระบวนการปรึกษา และหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาด้วยหลักอริยสัจ ๔ และทักษะกระบวนการการปรึกษาแนวพุทธ ภายใต้โปรแกรม “เพื่อนใจวัย Tweens” ประกอบด้วย กิจกรรม จำนวน ๑๖ กิจกรรม ๆ ละ ๖๐-๑๒๐ นาที จำนวน ๔ ครั้ง รวม ๓ เดือน และ ๓) สมรรถนะการปรึกษาตามแนวพุทธจิตวิทยาของนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษาหลังเข้าอบรมด้วยโปรแกรม และหลังระยะการติดตามผล มีค่าสูงกว่าก่อนเข้าอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และหลังการเข้าร่วมอบรม กลุ่มทดลองมีคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕</p> มนัสนันท์ ประภัสสรพิทยา Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274507 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การเจริญสติที่มีผลต่อการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาของผู้เข้าปฏิบัติธรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274524 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดการเจริญสติและการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยา ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการเจริญสติที่มีต่อการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาของผู้เข้าปฏิบัติธรรม ๓) เพื่อนำเสนอผลการเจริญสติที่มีต่อการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาของผู้เข้าปฏิบัติธรรม เป็นวิธีวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๔๕ คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ปฏิบัติธรรม ๙ คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>๑. แนวคิดการเจริญสติและการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยา เป็นการพัฒนาทักษะทางด้านจิตใจ การอยู่กับปัจจุบันขณะ ประกอบด้วยการยอมรับ ความใส่ใจ การตระหนักรู้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการมีสติและการตระหนักรู้ต่าง ๆ ทั้งในตนเองและสภาพแวดล้อมภายนอก และเป็นผลจากการใช้หลักโยนิโสมนสิการในการกำหนดระลึกรู้ตามความเป็นจริงด้วยวิธีพิจารณาอย่างแยบคายในการู้เท่าทันอารมณ์ ความนึกคิดของตนเอง สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น</p> <p>๒. ผลการเปรียบเทียบภาพรวมคะแนนการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาของผู้เข้าปฏิบัติธรรมหลังเข้าร่วมการเจริญสติ มีคะแนนสูงกว่าก่อนเข้าร่วมการเจริญสติสติ และอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>๓. ผลการเจริญสติที่มีต่อการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาของผู้เข้าปฏิบัติธรรมหลังการปฏิบัติธรรม ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมมีการตระหนักรู้ในตนเองตามแนวพุทธจิตวิทยาสูงขึ้นกว่าก่อนการปฏิบัติธรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ทั้งในภาพรวมและในรายด้าน ดังนั้น การฝึกเจริญสติตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จะช่วยเสริมสร้างการตระหนักรู้ในตนเองให้บุคคลได้ นำไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและสังคมดีขึ้น</p> โชติกา วงศ์อนวัช Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274524 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/258306 <p>บทความวิจัยเรื่องการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ๑) กระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์ในสังคมไทย ๒) รูปแบบกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ ๓) นำเสนอผลสัมฤทธิ์ของกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลภาคสนามจากการสัมภาษณ์สมาชิกเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์อิสาน ๓ จังหวัด จำนวน ๑๓ คน เสนอเป็นข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ พบว่า ๑) กระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์อิสานได้นำหลักทฤษฎีมาปฏิบัติใช้คือ หลักเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพึ่งตนเอง กระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ต้นน้ำ(การผลิต)-กลางน้ำ(แปรรูป)-ปลายน้ำ(การตลาด)-บริโภค การสร้างความมั่นคงของรายได้ การสร้างเครือข่ายแห่งความยั่งยืน การสร้างเครือข่ายแห่งความเข้มแข็ง ๒) รูปแบบกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ เป็นวิถีการเกษตรที่สอดคล้องตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามหลักความพอเพียงและการพึ่งตนเอง กระบวนการผลิตข้าวสอดคล้องกับหลักโยนิโสนมสิการและหลักสัมมาอาชีวะ ความมั่นคงของรายได้ตรงตามหลักทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์๔และหลักสัปปุริสธรรม การสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนและการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งสอดคล้องตรงตามหลักสัปปุริสธรรม๗ ๓) ผลสัมฤทธิ์ของกระบวนการผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์เชิงพุทธบูรณาการ ประเมินจากเกษตรกร(ด้านผู้ผลิต) วิสาหกิจ(ด้านชุมชน) ผู้บริโภคและผู้ได้รับผลกระทบ(ด้านสังคม) ผลการประเมินมีความสอดคล้องทั้งหลักการ การปฏิบัติและหลักธรรมที่อ้างอิง บทธรรมที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงความสำเร็จของเครือข่ายคือ หลักธรรมาภิบาล</p> ชิษณพงศ์ ตันติวณิชชานนท์ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/258306 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวัด โดยพุทธสันติวิธีของวัดสารอด กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271162 <p>บทความวิจัยฉบับนี้ดำเนินการในรูปแบบอริยสัจจ์โมเดล ภายใต้กรอบการวิจัยตามบันได ๙ ขั้น (Action Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับการตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ ข้อ ได้แก่ ๑) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ บริบท สภาพปัญหา ความต้องการจำเป็นและศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวัดตามศาสตร์สมัยใหม่ ๒) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวัด ๓) เพื่อพัฒนาและนำเสนอการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวัดโดยพุทธสันติวิธีของวัดสารอด กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดประชุมสัมมนาวิชาการ จัดสนทนากลุ่มเฉพาะ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๒๘ คน รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ๑) บริบทวัดสารอดเป็นวัดในชุมชนเมืองมีพื้นที่สีเขียวจำนวนน้อยบริเวณ ส่วนมากพื้นที่เป็นพื้นปูน มีอาคารก่อสร้างจำนวนมากเพียงพอต่อการใช้สอย ทำให้ขาดความร่มรื่นของต้นไม้ การปลูกต้นไม้ล้อมต้องขุดหลุมด้วยรถแม็คโฮเพราะพื้นปูนต้องเจาะลงพื้นที่ปูนซึ่งมีหลายชั้นของชั้นปูน ปัญหาเรื่องการดูแลรักษาต้นไม้ไม่ให้ตาย ปัญหาดินไม่ดี ไม่มีอินทรียวัตถุในดิน ๒) พุทธธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือ หลักพุทธธรรมในกสิภารทวาชสูตรเป็นหลักพุทธธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวัด ๓) การพัฒนาพื้นที่สีเขียวในวัดสารอด เรียกว่า บัว โมเดล มีองค์ประการสำคัญสามารถสรุปได้ ๓ ประการ คือ (๑) B Beauty พื้นทีออกแบบสวยงาม (๒) U Useful มีประโยชน์ ใช้ประโยชน์ได้ (๓) A Appropriate เหมาะสม ดูแลรักษาไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเดิม พื้นที่สีเขียวมีความสะอาดเรียบร้อยอย่างเหมาะสม องค์ความรู้ใหม่ มี ๕ ประการ คือ ๑) ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใบเขียว มีสวนหย่อมอันน่ารื่นรมย์ ๒) อยู่เย็นกลายเป็นเขตพื้นที่อภัยทาน ๓) เป็นสุขมีพระสงฆ์สามเณรอุบาสกอุบาสิกาใช้สอยพื้นที่สีเขียวเพื่อการฝึกอบรมจิตใจให้มีความสุข และ๕) ปลูกปัญญา พื้นที่สีเขียวในวัดเป็นพื้นที่เอื้อต่อการบ่มเพาะปัญญาให้แก่คนในชุมชน</p> จันทร์รอน มากพันธุ์ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/271162 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/236000 <p>บทความวิจัยเรื่อง การศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของพระสอนศีลธรรมมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาพุทธวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก (๒) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีการสื่อสารในยุคนวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ (๓) เพื่อประยุกต์วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนวัดทุ่งครุ (พึ่งสายอนุสรณ์) แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับคณะครูผู้บริหารโรงเรียน และพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนวัดทุ่งครุ (พึ่งสายอนุสรณ์) ผลการวิจัยพบว่า แนวทางพุทธวิธีการบริหารทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก ด้วยการวางแผน จัดการองค์กร บริหาร บุคคล อำนวยการและกำกับดูแลให้เกิดการปริยัติ เกิดการปฏิบัติ และนำมาประยุกต์เข้ากับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ด้วยการนำพุทธวิธีการบริหารมาเป็นแนวทาง อีกทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกได้นำสื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเรียนการสอนและการทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในหลายๆ ด้านกับกลุ่มเป้าหมาย ให้เกิดความสนุก สงบ สาระ สำนึก และสร้างสรรค์ ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีศีล สมาธิ และปัญญา ตามหลักไตรสิกขา</p> พระมหาชัชวาลย์ อนาลโย Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/236000 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่เสริมสร้างพลังใจตามแนวพุทธจิตวิทยา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของผู้สูงอายุในสังคมไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274514 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจตามแนวพุทธจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของผู้สูงอายุในสังคมไทย ๒) เพื่อศึกษาปัจจัยที่เสริมสร้างพลังใจตามแนวพุทธจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของผู้สูงอายุในสังคมไทย และ ๓) เพื่อเสนอแนวทางเสริมสร้างพลังใจตามแนวพุทธจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของผู้สูงอายุในสังคมไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุ จำนวน ๓๙๙ คน ผลการวิจัยพบว่า ๑) แนวคิดทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาวะทางจิต ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับพลังใจของกรอทเบอร์ก (Grotberg) และหลักธรรมที่ใช้ส่งเสริมการสร้างพลังใจ ได้แก่ พละ ๕ ๒) ปัจจัยที่เสริมสร้างพลังใจตามแนวพุทธจิตวิทยาได้แก่ พละ ๕ ประกอบด้วย ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา โดยรวมและรายด้าน มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับสุขภาวะทางจิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ยกเว้นด้านพลังของศรัทธามีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง และ ๓) แนวทางเสริมสร้างพลังใจควรมีการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา เนื่องจากเป็นการบํารุงให้ใจมีกําลังเข้มแข็งกล้าหาญ ทำให้ผู้สูงอายุมีพลังใจ มีความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคนำไปสู่การมีสุขภาวะทางจิตที่ดี องค์ความรู้ที่ได้รับ คือ แนวคิดพลังใจของ Grotberg สามารถนำมาผสานกับหลักธรรม พละ ๕ อันเป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณที่มีศักยภาพในการเสริมสร้างพลังใจให้เข้มแข็งจากภายในได้</p> วรัญญา สิริโพธิธนากุล Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274514 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 โปรแกรมการฝึกการคิดแบบโยนิโสมนสิการเพื่อพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและ การแก้ปัญหาของผู้ต้องขังหญิง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274542 <p>การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยกึ่งทดลอง ผู้วิจัยศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเหตุผลจากเอกสารงานวิจัย และวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลได้องค์ความรู้นำมาพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย สร้างโปรแกรมและทดลองใช้โปรแกรมการฝึกการคิดแบบโยนิโสมนสิการเพื่อพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและการแก้ปัญหาของผู้ต้องขังหญิงเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีสมาชิกกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ ๓๕ คน วัดผลก่อนและหลังการทดลอง แล้วนำผลการประเมินมาทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ <br />ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และการทดสอบความแตกต่างด้วยค่าที <br />(t-test).</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>๑) แนวคิดโยนิโสมนสิการเป็นกระบวนการคิดที่เป็นระบบ ช่วยให้บุคคลมองเห็นปัญหาอย่างลึกซึ้ง แยกแยะข้อมูล และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลสอดคล้องกับจริยธรรม ๒) โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยหลักโยนิโสมนสิการ ๑๐ วิธี ไตรสิกขา และอริยสัจ ๔ ดำเนินการในรูปแบบกิจกรรมกลุ่ม ๑๒ ครั้ง ครอบคลุม ๓ ขั้นตอนคือ ศีล สมาธิ และปัญญา โดยออกแบบให้เชื่อมโยงกับบริบทชีวิตของผู้ต้องขังหญิง ๓) ผลการทดลองพบว่า ผู้เข้าร่วมโปรแกรมมีคะแนนด้านเหตุผลเชิงจริยธรรมและการแก้ปัญหาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งเมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าร่วม และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมในระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .๐๑</p> สายันต์ ขันธนิยม Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274542 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาวิเคราะห์การบริหารจัดการภาวะวิกฤติ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตามหลักทศพิธราชธรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/258315 <p> บทความวิจัยเรื่อง ศึกษาวิเคราะห์การบริหารจัดการภาวะวิกฤติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตามหลักทศพิธราชธรรม มีวัตถุประสงค์คือ ๑) เพื่อศึกษาภาวะวิกฤติในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒) เพื่อศึกษาหลักทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท และ ๓) เพื่อวิเคราะห์การบริหารจัดการภาวะวิกฤติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตามหลักทศพิธราชธรรม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีขอบเขตแหล่งข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัย และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ พระสงฆ์ นักวิชาการ รวม ๑๑ รูป/คน โดยการสังเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีภาวะวิกฤติหลายด้านปัญหาทางการเมืองภายในระหว่างวังหลวงกับวังหน้าและกลุ่มขุนนาง การคลัง การฉ้อราษฎร์บังหลวง การมีข้าทาสเป็นปัญหาสำคัญที่มหาอำนาจตะวันตกมองว่า สังคมไทยล้าหลัง มีการใช้คนเป็นข้าทาสบริวาร แล้วจะนำมากล่าวอ้างในการเข้ามาพัฒนาประเทศไทย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส นอกจากที่ต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแล้ว แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะทรงเจริญในธรรมราชา อันเป็นหลักธรรมของพระราชาของนักปกครอง ด้วยหลักทศพิธราชธรรมพบว่า มีหลักธรรมที่เด่นคือ ความอดทน การให้อภัย การพระราชทานทรัพย์ช่วยเหลือราษฎร เสียสละความสุขสำราญส่วนพระองค์ มีความนุ่มนวลอ่อนโยน และความหนักแน่นในธรรม เมื่อครองราชย์พระองค์ต้องอดทน ให้มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ต่อมา เมื่อกลับเข้าครองราชย์อีกครั้ง ทรงบริหารราชการแผ่นดินแบบค่อยเป็นค่อยไป ทรงเสด็จประพาสต้น เพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎร พระราชทานทรัพย์เพื่อช่วยเหลือราษฎร ทรงทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ทรงเลิกทาสให้เป็นไท ทรงเสียสละความสุขสำราญส่วนพระองค์ในการเสด็จไปไกลบ้านและเยือนประเทศที่เป็นอาณานิคม เพื่อทอดพระเนตรบ้านเมืองแล้วนำมาพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้สถานการณ์ที่มีความบีบคั้นกดดัน แต่ด้วยความหนักแน่นในธรรม ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรมในการบริหารจัดการกับปัญหาด้วยพระปรีชาสามารถ พระอัจฉริยภาพ</p> ณัฏฐกานต์ ประศาสน์ครุการ Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/258315 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 “ศีลธรรม” ในทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/263657 <p>บทความนี้ประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นทัศนะเรื่องศีลธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ ผ่านการตั้งคำถาม ใน ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑. ศีลธรรมคืออะไร ๒. ศีลธรรมขาดหายไปได้อย่างไร ๓. ศีลธรรมกลับมาได้ด้วยวิธีการใด และ ๔. ศีลธรรมกลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น โดยนำทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุที่ได้นำเสนอความคิดเห็นในประเด็นเหล่านี้ไว้ในผลงานต่าง ๆ ของท่านมาเป็นคำตอบ ผลการศึกษาพบว่า ๑. สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม มีความ เกี่ยวเนื่องกับภาวะปกติ ที่ใดมีศีลธรรมที่นั่นมีภาวะปกติ ๒. การขาดศีลธรรมมีสาเหตุเบื้องต้นมาจากความเห็นแก่ตัวของปัจเจกบุคคลซึ่งจะขยายเป็นปัญหาทางสังคมในที่สุด ๓. การดึงศีลธรรมกลับมาต้องเริ่มต้นที่การบังคับตนเองและเพิ่มเติมให้การศึกษามีจุดมุ่งหมายที่การดับทุกข์ และ ๔. เมื่อศีลธรรมกลับมาจะเกิดสันติสุข ในส่วนบุคคล และเกิดสันติภาพในส่วนสังคม</p> เอกมันต์ แก้วทองสอน , ผศ. ดร.ธีรัตม์ แสงแก้ว , รศ. ดร.ประเวศ อินทองปาน Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/263657 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ความเชื่อของชาวพุทธอีสานเกี่ยวกับพุทธสถาน ที่ปรากฏในอุรังคธาตุนิทาน (ตำนานพระธาตุพนม) : ศึกษาเฉพาะกรณีพระธาตุพนมและพระพุทธบาทเวินปลา จังหวัดนครพนม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/252774 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาอุรังคธาตุนิทานกับพุทธสถานที่ปรากฏในอุรังคธาตุนิทาน ๒) เพื่อศึกษาและ ๓) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อของชาวพุทธอีสานเกี่ยวกับพระธาตุพนมและพระพุทธบาทเวินปลา โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เอกสารและสัมภาษณ์ผู้รู้จำนวน ๒๐ รูป/คน ผลการ วิจัยพบว่า ๑) อุรังคธาตุนิทานเป็นตำนานท้องถิ่นที่กล่าวถึงการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนกลาง มีจุดเน้นที่การสร้างพระธาตุพนม และต่อมาจึงมีการสร้างพุทธสถานในรูปพระธาตุหรือพระพุทธบาทขึ้นในสถานที่ที่ตำนานระบุว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมา ๒) ชาวพุทธอีสานเชื่อว่าตำนานอุรังคธาตุนิทานเป็นเรื่องจริงจึงมีศรัทธาเกี่ยวกับพระธาตุพนมและพระพุทธบาทเวินปลาอย่างแนบแน่น ๓) ซึ่งก่อกำเนิดการสร้างศิลปาคารทางพุทธศาสนาแบบ”อูบมุง”หรือพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุสิ่งสำคัญและมีคุณค่าทางจิตใจ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น ทั้งยังมีพิธีบูชาสักการะตามความเชื่อ ซึ่งส่งผลให้พระพุทธศาสนาเจริญสืบมาในดินแดนแถบนี้</p> พระครูศรีปริยัติการ อาจวิชัย Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/252774 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ ด้านการเยียวยาจิตใจผู้ป่วย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/178355 <p>การวิจัยเรื่องโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ด้านการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาองค์ประกอบการพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ด้านการเยียวยาจิตใจผู้ป่วย ๒) เพื่อสร้างโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ด้านการเยียวยาจิตใจผู้ป่วย และ ๓) เพื่อเสนอโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ด้านการเยียวยาจิตใจผู้ป่วย การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพระสงฆ์กลุ่มพระจิตอาสาอาสาคิลานธรรม จำนวน ๑๘ รูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบความแตกต่างด้วยโดยการวัดซ้ำ Repeated Measure ANOVA และจำแนกเป็นรายคู่โดยวิธี Bonferron</p> <p>ผลกการวิจัยพบว่าหลังการทดลองและระยะติดตามผล ๑๕ วัน เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์เพิ่มขึ้นแตกต่างจากช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการปรึกษาแนวพุทธจิตวิทยาของพระสงฆ์ เป็นการพัฒนาคุณลักษณะของพระสงฆ์ผู้การปรึกษาผสมผสานทักษะและการฟังที่ลึกซึ้งมีประสิทธิภาพเพิ่มความชัดเจนของปัญหา และการเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง และการนำอริยสัจจ์ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาเป็นเครื่องมือในการเยียวยาจิตใจให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ยอมรับในความทุกข์ สร้างกำลังใจและความสุขสงบเมื่อเผชิญความทุกข์</p> พระมหาสุเทพ สุทฺธิญาโณ (ธนิกกุล) , สาระ มุขดี Copyright (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/178355 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700