วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR <p><strong>วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรรศน์</strong> <br />ISSN : 3088-1110 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> ๑. เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p> ๒. เพื่อให้บริการทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญาแก่สังคม</p> <p> ๓. เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p> ๔. เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> th-TH <p>บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนผู้แต่ง กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป</p> wittayapankhai@gmail.com (นายวิทยา ปานไข่) wittayapankhai@gmail.com (Mr.Wittaya Pankhai) Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาศักยภาพภาษาอังกฤษเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาพุทธศาสนา ในสินค้าโอทอปประเภทผลิตภัณฑ์ผ้าทอของผู้ผลิตและจำหน่าย ในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/217530 <p>โครงการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษากระบวนการทอผ้าโดยใช้วัสดุ อุปกรณ์ แนวความคิดและที่มาของผลิตสินค้าและการบริการของสินค้าโอทอปในประเภทผ้าทอ ๒) เพื่อศึกษาแนวทางของการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาพุทธศาสนาผ่านลวดลายผ้าทอในการผลิตสินค้าและการบริการของสินค้าโอทอปในประเภทผ้าทอ ๓) เพื่อศึกษาการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ของผู้ผลิตและจำหน่ายโอทอปในประเภทผ้าทอด้านลวดลายงานหัตถกรรมที่มีในปัจจุบันผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ๗PS กลุ่มตัวอย่างคือ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนทอผ้าพื้นเมืองบ้านฝายมูล จังหวัดน่าน จำนวน ๔๒ คน โดยการใช้เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติแบบปริมาณ ข้อมูลบรรยายเชิงคุณภาพเพื่อนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ๗PS</p> <p>ผลการดำเนินงานตามโครงการวิจัยปรากฏว่า การทอผ้าพื้นเมืองของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านฝายมูล ใช้กระบวน อุปกรณ์ด้าย กี่ อุปกรณ์ลำเลียงด้ายการเป็นลำดับขั้นตอนด้วยแนวความคิดภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ลวดลายที่สื่อถึงจิตนาการอันงดงามจากธรรมชาติแวดล้อมและธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ยังคงยึดมั่นประเพณีการสวมใส่แบบดั้งเดิมและปฏิบัติอย่างต่อเนื่องถ่ายทอดผ่านการฟ้อนรำ งานประเพณี ด้านการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ของผู้ผลิตและจำหน่ายโอทอปในประเภทผ้าทอด้านลวดลายงานหัตถกรรมที่มีในปัจจุบัน ได้ทำผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ๗PS ด้วยการผ่านโปรแกรมแสดงบทความผ้าซิ่นบ้านฝายมูลบนอินเตอร์เน็ต (Blog) โปรแกรมซื้อขายสินค้าผ่าน Line โปรแกรมซื้อขายสินค้าผ่าน Facebook ซึ่งเนื้อหาประกอบเรื่องราวของการทอผ้าประกอบการนำเสนอบนสื่อออนไลน์ดังกล่าว ยังอยู่ในระดับที่ต้องได้รับการปรับปรุง</p> ปรียารัตน์ ศรีชัยวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/217530 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารกิจการคณะสงฆ์ด้วยหลักพุทธธรรม : กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของพระสังฆาธิการจังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278433 <p>การวิจัยเรื่อง การบริหารกิจการคณะสงฆ์ด้วยหลักพุทธธรรม : กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของพระสังฆาธิการจังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑. ศึกษาการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ๒. ศึกษาหลักพุทธรรมในการสร้างความเข้มแข็งของพระสังฆาธิการ จังหวัดสงขลา ๓. ศึกษา วิเคราะห์การบริหารกิจการคณะสงฆ์ด้วยหลักพุทธธรรม : กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของพระ สังฆาธิการ จังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และได้นำข้อมูลมาเรียบเรียงเชิงพรรณนา สรุป ได้ว่า การบริหารกิจการคณะสงฆ์ฯ เป็นไปด้วยความเข้มแข็งและมีระบบ ด้านการปกครอง มี โครงสร้างการบริหารที่ชัดเจนตั้งแต่ระดับจังหวัดถึงระดับวัด ด้านการศึกษาและด้านการเผยแผ่ ได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ด้านการสาธารณะสงเคราะห์และการศึกษาสงเคราะห์ คณะสงฆ์มี การช่วยเหลือสังคมอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้านการสาธารณูปการ วัดได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย สรุป การบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดสงขลามีความก้าวหน้าในหลายด้าน การนำหลักอปริหานิยธรรม ๗ ประการมาใช้ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดสงขลา การประชุมกันอย่างสม่ำเสมอ การเคารพผู้ใหญ่ และอื่น ๆ ช่วยเสริมสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสามัคคี และความมั่นคงของหมู่คณะ และยังส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นและเป็นที่พึ่งของชาวพุทธได้อย่างแท้จริง การเสริมสร้างความเข้มแข็งของพระสังฆาธิการ ได้แก่ ๑) ความคิดรวบยอด(การวางแผน) ซึ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง จากพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา โดยมีการนำการบริหารยุคใหม่มาใช้ ๒) เทคนิค (วิธีการ)ที่มุ่งเน้นการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ และสร้างเครือข่ายกับองค์กร ภายนอก ๓) การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี มีการสื่อสาร ลดความขัดแย้งได้</p> Pakorn Nutmuang, ปัญณพงศ์ วงศ์ณาศรี , พระครูบวรชัยวัฒน์, ดร. ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278433 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยแห่งการสำรวมอินทรีย์ในภิกขุวรรค อรรถกถาธรรมบท https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279038 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรค อรรถกถาธรรมบท (๒) เพื่อศึกษาหลักการสำรวมอินทรีย์ในภิกขุวรรค อรรถกถาธรรมบท (๓) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยแห่งการสำรวมอินทรีย์ในภิกขุวรรค อรรถกถาธรรมบท เป็นการวิจัยเชิงเอกสารโดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ผลการวิจัยพบว่า ภิกขุวรรคปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ โครงสร้างและเนื้อหาเป็นร้อยกรองคาถาฉันทลักษณ์ ในอรรถกถามีเนื้อหาทั้งร้อยกรองและร้อยแก้ว จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) เรื่องภิกษุ ๕ รูป (๒) เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ (๓) เรื่องพระโกกาลิกะ (๔) เรื่องพระธรรมารามเถระ (๕) เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง (๖) เรื่องปัญจัคคทายกพราหมณ์ (๗) เรื่องภิกษุหลายรูป (๘) เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป (๙) เรื่องพระสันตกายเถระ (๑๐) เรื่องพระนังคลกูฏเถระ (๑๑) เรื่องพระวักกลิเถระ (๑๒) เรื่องสุมนสามเณร หลักการสำรวมอินทรีย์ในภิกขุวรรค เป็นการจัดระเบียบทางทวารทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ เพื่อให้เกิดความสำรวมกายวาจาใจ มีหลักธรรมสนับสนุน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ความอดทน อโลภะ อโทสะ อโมหะ หิริ โอตตัปปะ สติ สัมปชัญญะ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ความไม่คึกคะนองทางกายวาจาใจ ซึ่งเป็นหลักการสำรวมอินทรีย์ที่สำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติบรรลุมรรคผลนิพพาน สาเหตุและปัจจัยแห่งการสำรวมอินทรีย์ในภิกขุวรรค เหตุปัจจัยสนับสนุน คือ ทาน ศรัทธา ขันติ วิริยะ สติ ศีล สมาธิ ปัญญา ความไม่ประมาท นาถธรรม กัลยาณมิตร วาจางาม ยินดีในธรรม โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ขันธ์ ๕ สันโดษ ปีติ ปราโมทย์ และปฏิสันถาร ซึ่งการปฏิบัติเหล่านี้นำไปสู่การสำรวมทวาร การพิจารณาเตือนตน การสำรวมมือ เท้า วาจา สำรวมตน สำรวมใจ สำรวมอย่างสม่ำเสมอ ความสงบแห่งกายวาจาใจ การปฏิบัติธรรม การกำจัดราคะโทสะและโมหะ การบรรลุธรรม</p> พระมหาวิรถ เขมจาโร (พัฒนสาร), รศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, ผศ. ดร.อรชร ไกรจักร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279038 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการประพันธ์บทเพลงลูกทุ่งไทยเพื่อการเสริมสร้างพลังใจของผู้ฟังตามหลักพุทธจิตวิทยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278580 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาบริบท กรอบแนวคิด วิธีการประพันธ์เพลง และประโยชน์ของเพลงลูกทุ่งที่เสริมสร้างพลังใจของผู้ฟัง ๒) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของบทเพลงลูกทุ่งที่เสริมสร้างพลังใจของผู้ฟังตามหลักพุทธจิตวิทยา และ ๓) เพื่อเสนอแนวทางการประพันธ์เพลงลูกทุ่งเพื่อการเสริมสร้างพลังใจของผู้ฟังตามหลักพุทธจิตวิทยา ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ วิธีเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจำนวน ๔๐๐ คน ด้วยแบบประเมิน วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ ๒ วิธีเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่มย่อย จำนวน ๒๕ รูป/คน ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลวิจัยพบว่า ๑.ผลศึกษาบริบท กรอบแนวคิด วิธีการประพันธ์เพลง และประโยชน์ในเชิงปริมาณพบว่า ผู้ฟังมีทัศนคติต่อเพลงลูกทุ่งในการสร้างพลังใจ อัตลักษณ์ด้านภาษาและวิถีชีวิต พัฒนาคุณธรรมในอนาคต อิทธิพลต่อความรู้สึก สร้างกำลังใจและทัศนคติเชิงบวก และอิทธิพลของภาษาและท่วงทำนองอยู่ในระดับมากที่สุด และผลเชิงคุณภาพ พบว่า เพลงลูกทุ่งพัฒนาจากเพลงพื้นบ้าน การประพันธ์และเนื้อร้องใช้ภาษาง่ายๆ ๒. ผลวิเคราะห์องค์ประกอบของบทเพลงลูกทุ่งที่เสริมสร้างพลังใจของผู้ฟังตามหลักพุทธจิตวิทยา ได้แก่ พละ ๕ ประกอบด้วย ๑) เนื้อเพลงมุ่งเน้นคุณค่าจริยธรรม ๒) ภาษาและทำนองที่เข้าถึงจิตใจ ๓) ดนตรีที่สื่อสารอารมณ์เชิงบวก ๔) การสอดแทรกหลักพุทธธรรมในการเสริมสร้างจิตใจ ๓. แนวทางการประพันธ์เพลงลูกทุ่งเพื่อการเสริมสร้างพลังใจของผู้ฟังตามหลักพุทธจิตวิทยา พบว่าเน้นมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฟัง การเชื่อมโยงค่านิยมพุทธศาสนากับเพลงร่วมสมัย การใช้เนื้อหาสร้างกำลังใจ ภาษาเข้าใจง่าย ทำนองกระตุ้นอารมณ์เชิงบวก แฝงคติธรรมและรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม</p> บุปผา บุญมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278580 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเชิงวิเคราะห์การเรียนรู้ความทุกข์ที่เกิดจากความรักของผู้คนในวัยต่าง ๆ ในปิยวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279042 <p>วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา โครงสร้าง และเนื้อหาของปิยวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ๒) เพื่อวิเคราะห์การเรียนรู้ความทุกข์ที่เกิดจากความรักของผู้คนวัยต่าง ๆ ในปิยวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ๓) เพื่อเสนอแนวทางการป้องกันความทุกข์ที่เกิดจากความรักของผู้คนวัยต่าง ๆ ในสังคมไทยปัจจุบันตามแนวทางของปิยวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาธรรมบททั้งภาษาบาลีและภาษาไทย ตลอดจนตำรา หนังสือ และงานวิจัยทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องความรักและความทุกข์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปิยวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทเป็นวรรคหนึ่งในธรรมบทอรรถกถาที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้รจนาไว้ มีเรื่องเกี่ยวข้องกับความรักจำนวน ๙ เรื่อง ซึ่งสามารถจำแนกตามวัยของผู้เกี่ยวข้องได้เป็น ๔ วัย ได้แก่ วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา โดยแต่ละเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ที่เกิดจากความรักในลักษณะต่าง ๆ เช่น การพลัดพราก การยึดมั่นถือมั่น และความไม่สมหวังในความรัก แนวทางการป้องกันความทุกข์จากความรักที่ปรากฏในปิยวรรคมีความเหมาะสมกับช่วงวัยของผู้คนในสังคมไทย ได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูเด็กด้วยความรักเมตตา การส่งเสริมการควบคุมตนเองในวัยรุ่น การศึกษาธรรมะเพื่อพิจารณาความรักในวัยผู้ใหญ่ และการเจริญสติพิจารณาความเป็นธรรมดาของการพลัดพรากในวัยชรา แนวทางเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจในสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> พระมหาธนชัย อตฺถวโร (ผมทอง), รศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, ผศ. ดร.อรชร ไกรจักร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279042 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรสงคราม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278526 <p>บทความวิจัยเรื่องการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม และ ๒) เปรียบเทียบการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน ๒๓๔ คน ค่าความเที่ยงเท่ากับ .๙๗ สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test independent วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD ผลการวิจัยพบว่า ๑) การบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการให้บริการชุมชน ด้านบทบาทร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการสร้างเสริมความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียนและหน่วยงานอื่น ด้านการจัดตั้งกลุ่ม ชมรม สมาคม มูลนิธิ และด้านการรับความช่วยเหลือสนับสนุนจากชุมชน และ ๒) เปรียบเทียบการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนจำแนกตามขนาดสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑</p> kitiporn truyanont ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/278526 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชนด้วยหลักปธาน ๔ กรณีศึกษาเยาวชน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279205 <p>บทความวิจัยเรื่อง การส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชน กรณีศึกษาเยาวชนในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีส่งเสริมการใช้โชเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชน : กรณีศึกษาเยาวชน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒. ศึกษาหลักปทาน ๔ ในการส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชน : กรณีศึกษาเยาวชน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๓.ส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชนด้วยหลักปทาน ๔ : กรณีศึกษาเยาวชน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมถึงการนำหลักปธาน ๔ มาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมดังกล่าว การศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๕ รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า ๑) การใช้โซเชียลมีเดียของเยาวชนในอำเภอหาดใหญ่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และวัฒนธรรมอย่างชัดเจน โดยแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ X (Twitter) เป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการสื่อสาร การแสดงตัวตน การเรียนรู้ และการสร้างเครือข่าย เยาวชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมีพื้นที่ในการแสดงออก ซึ่งโซเชียลมีเดียเป็นทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และโอกาสในการพัฒนาศักยภาพในมิติต่าง ๆ ๒) หลักปธาน ๔ เป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชน โดยเน้นการรู้เท่าทันสื่อและการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม สังวรปธาน ช่วยป้องกันการหลงเชื่อหรือเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ, ปหานปธาน เน้นการละเลิกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม,ภาวนาปธานกระตุ้นให้สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ และอนุรักขนาปธาน ช่วยรักษาพฤติกรรมที่ดีให้ต่อเนื่อง หลักการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างเยาวชนให้เป็นผู้ใช้สื่ออย่างมีจริยธรรม และใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างยั่งยืน ๓) การส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ด้วยหลักปธาน ๔ เป็นกระบวนการบูรณาการ ที่ครอบคลุมทั้งการป้องกันความเสี่ยง การแก้ไขพฤติกรรม การส่งเสริมการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม และการรักษาพฤติกรรมที่ดีอย่างยั่งยืน การปลูกฝังสติและการรู้เท่าทันสื่อ (สังวรปธาน) การละพฤติกรรมไม่เหมาะสม (ปหานปธาน) การสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ (ภาวนาปธาน) และการรักษาความดีอย่างต่อเนื่อง (อนุรักขนาปธาน) แนวทางนี้ช่วยเสริมสร้างเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีจริยธรรม วิจารณญาณ และจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม สามารถใช้สื่อดิจิทัลได้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในอนาคต</p> พระวิจิตร สุวรรณโณ, พระเมธีวชิราภิรัต, พระครูบวรชัยวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279205 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาวิเคราะห์แนวการสอนธรรมนิกายเซนของพุทธทาสภิกขุ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279884 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาผลงานการสอนธรรมของพุทธทาสภิกขุ (๒) เพื่อศึกษาวิธีการสอนธรรมในพุทธศาสนานิกายเซน (๓) เพื่อวิเคราะห์แนวการสอนธรรมนิกายเซนของพุทธทาสภิกขุ เป็นการวิจัยเชิงเอกสารโดยศึกษาข้อมูลจากหนังสืออานาปานสติสมาธิภาวนาของพุทธทาสภิกขุเป็นหลัก เชื่อมโยงกับพระไตรปิฎกและอรรถกถา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลงานการสอนธรรมของพุทธทาสภิกขุ มุ่งเน้นไปที่หลักไตรลักษณ์ คือ (๑) อนิจจัง สภาวะของสรรพสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (๒) ทุกขัง ผลโดยตรงจากความไม่เที่ยงแท้จริงของสรรพสิ่ง (๓) อนัตตา หลักที่ปฏิเสธความเป็นตัวตนถาวรในสิ่งทั้งหลาย โดยสรรพสิ่งทั้งปวงว่างจากตัวตนตามหลักสุญญตา ความทุกข์เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น ซึ่งสามารถดับได้ด้วยการรู้แจ้งตามหลักอริยสัจ ๔ และการปฏิบัติตามแนวทางพุทธศาสนา</p> <p>วิธีการสอนธรรมในพุทธศาสนานิกายเซน คือ (๑) การตื่นรู้ในขณะปัจจุบัน (๒) การใช้ชีวิตเรียบง่ายสอดคล้องกับธรรมชาติ (๓) โดยนิกายเซนมุ่งเน้นการดำเนินชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ เรียบง่าย โดยถือว่าชีวิตประจำวันคือธรรมะ การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องแยกออกจากชีวิตประจำวัน เพราะทุกกิจกรรมสามารถเป็นพื้นที่แห่งการรู้แจ้งได้ หากกระทำด้วยจิตที่ตื่นรู้และสอดคล้องกับธรรมะ นิกายเซนไม่ได้มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพหรือความสุขเฉพาะตน หากแต่มุ่งเน้นการดำรงอยู่ในปัจจุบันอย่างสมบูรณ์</p> <p>แนวการสอนธรรมนิกายเซนของพุทธทาสภิกขุ คือ (๑) ให้ตระหนักรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต (๒) การปล่อยวางความยึดมั่นในโลกธรรม (๓) การปฏิบัติตนเพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ด้วยไตรลักษณ์ โดยให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ปล่อยวางความยึดมั่นในโลกธรรม ปฏิบัติตนให้เข้าถึงความว่างของจิต คือ ความไม่มีตัวกูของกู อันเป็นพุทธะที่แท้จริง เพื่อการดับทุกข์ และบรรลุนิพพานได้ในปัจจุบัน </p> พระครูประจักษ์วรานุกิจ ชุตินฺธโร (ช่างแกะ), รศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, ผศ. ดร.อรชร ไกรจักร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279884 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาวิเคราะห์มโนมยิทธิในมหาสกุลุทายิสูตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274335 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโครงสร้างและสาระสำคัญในมหาสกุลุทายิสูตร เพื่อศึกษาศึกษามโนม ยิทธิในพระไตรปิฎก และเพื่อวิเคราะห์มโนมยิทธิในมหาสกุลุทายิสูตร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยทางคัมภีร์ ผลการวิจัยพบว่า ๑)โครงสร้างมหาสกุลุทายิสูตร มีสาระสำคัญคือเทศนาธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่มหาสกุลทายีปริพาชกเรื่องศิษย์ไม่เคารพครูทั้ง ๖ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพ ๕ ธรรมเป็นเหตุให้ทำความเคารพ ฌาน ๔ และวิชชา ๘ ๒) มโนมยิทธินี้เป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้เกิดฤทธิ์สำเร็จด้วยใจสามารถเนรมิตร่างกายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ให้มีกายที่สำเร็จด้วยใจ ทำให้มีอวัยวะน้อยใหญ่สมบูรณ์ มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ครบถ้วนเหมือนกับอวัยวะกายเดิม ฉะนั้น ที่โยคีได้ฝึกฝนบ่มเพาะจิตของตนให้เข้าถึงมโนมยิทธิได้จะต้องอาศัยฌานเป็นบาทสำคัญ โดยอาศัยซึ่งสมถกรรมฐานมี ๔๐ กอง คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูปฌาน ๔ เพราะกรรมฐานคือข้อปฏิบัติเพื่อมุ่งมั่นทำจิตให้สงบ บริสุทธิ์ ทำให้เกิดสมาธิ ให้จิตระงับจากความฟุ้งซ่านทั้งปวง และ๓) วิเคราะห์มโนมยิทธิในมหาสกุลุทายิสูตร พบว่าโยคีเมื่อจิตตั้งมั่น แน่วแน่เป็นฌานมีความชำนาญเข้าออกฌานจนเป็นวสี แล้วน้อมจิตยกอารมณ์ขึ้นสู่มโนมยิทธิ สามารถแสดงฤทธิ์รูปกายอื่นหรือแสดงทางกายเดียวเป็นหลายกายได้และสามารถไปยังนรกสวรรค์ได้ด้วยใจ</p> พระกิตติยุทธ สุกิตฺติโก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/274335 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 เทวภูมิ : กระบวนการสร้างความเกื้อกูลกันทางสังคม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279759 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ ๑) เพื่อศึกษาความเชื่อเรื่องเทวภูมิที่มีต่อการเกื้อกูลกันในสังคมไทย ๒) เพื่อพัฒนากระบวนการส่งเสริมการเกื้อกูลกันในสังคมไทยตามความเชื่อเรื่องเทวภูมิ และ ๓) เพื่อนำเสนอกระบวนการเกื้อกูลกันในสังคมไทยตามความเชื่อเรื่องเทวภูมิ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ครอบคลุมการวิเคราะห์เชิงเอกสารจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา งานวิจัย และการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และพระสงฆ์ในพื้นที่คณะสงฆ์ภาค ๑๐ มหานิกาย รวมถึงการจัดสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussions) ผลการวิจัยพบว่า ความเชื่อเรื่องเทวภูมิในพระพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงสวรรค์หกชั้นในฉกามาพจรสวรรค์ มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อจิตใจและพฤติกรรมของคนไทย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าการกระทำดี เช่น การมีศรัทธาในพระรัตนตรัย การเคารพกฎแห่งกรรม การรักษาศีล และการประกอบกุศลกรรมบถ ๑๐ จะนำไปสู่การเกิดใหม่ในเทวภูมิและได้รับความสุขในภพหน้า องค์ความรู้สำคัญที่ได้จากการวิจัย คือ ๑) ความเชื่อเรื่องเทวภูมิเป็นพลังขับเคลื่อนทางจิตใจที่เสริมสร้างความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เพราะคนไทยจำนวนมากเชื่อว่าความดีจะไม่สูญเปล่า แต่จะให้ผลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ๒) กระบวนการเกื้อกูลในสังคมไทยประกอบด้วยการช่วยเหลือกันในชีวิตประจำวัน การจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ การบริจาคทรัพย์และแรงกายเพื่อส่วนรวม การบำเพ็ญสาธารณกุศล และการเสียสละเพื่อส่วนรวมในยามวิกฤต เช่น ภัยธรรมชาติหรือโรคระบาด ๓) การพัฒนากระบวนการส่งเสริมการเกื้อกูลควรออกแบบให้เชื่อมโยงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ สังคหวัตถุ ๔ และฆราวาสธรรม ๔ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติสู่การกระทำที่มีคุณค่าทางสังคม</p> เตชินท์ สิทฺธาภิภู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279759 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279785 <p>การวิจัยเรื่อง “แนวทางการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร” มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ คือ ๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา ๒) เพื่อศึกษาการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา และ ๓) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณวัดยานนาวา การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา จำนวน ๕ รูป/คน นักเรียน ๑๐ รูป นักวิชาการด้านการศึกษา ๓ คน โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง </p> <p>ผลการวิจัยพบว่าสภาพปัญหาการจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา มี ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านครูและผู้สอน (๒) ด้านสื่อและอุปกรณ์การศึกษา (๓) ด้านเงินทุนสนับสนุน (๔) ด้านสถานที่ศึกษาและบรรยากาศ และ (๕) ด้านผู้เรียน ผลการศึกษาการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมพรหมวชิรญาณวัดยานนาวา พบว่า การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ในลักษณะของอุปกรณ์การเรียนการสอน และ ครูผู้สอนมีทักษะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่สื่อดิจิทัลใช้ในการเรียนการสอน นอกจากนี้ได้นำแพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์มาใช้ในการเรียนการสอน ส่วนแนวทางการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น ผู้วิจัยนำเสนอ ๔ ด้าน (๑) ปรับปรุงการจัดการศึกษา (๒) การเพิ่มทักษะพัฒนาครูผู้สอน เพื่อใช้เทคโนโลยี (๓) การพัฒนาทรัพยากรด้านการสอนให้ทันสมัย (๔) สนับสนุนส่งเสริมความสามารถคณะครูให้มีทักษะการใช้เครื่องมือดิจิทัลในรูปแบบวีดีโอ อินโฟกราฟิก และ แอพลิเคชั่น</p> พระครูใบฎีกาบดินทร์ กตกิจฺโจ (เพ็ญวงษ์) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279785 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์เชิงพุทธ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279787 <p>บทความวิจัยเรื่องแนวทางการดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์เชิงพุทธมีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อได้แก่ ๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาสุขภาพของพระสงฆ์ ตำบลบางระกำ ๒) เพื่อศึกษาการดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์ตำบลบางระกำ ๓) เพื่อเสนอแนวทางการดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์เชิงพุทธ การวิจัยในครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือพระสงฆ์จำนวน ๑๙ รูป เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ๓ คน อาสาสมัครสาธารณสุข ๓ คน และแพทย์ ๓ คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจำแนกข้อมูลแล้วสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ประเด็นหลักและประเด็นย่อย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ๑) พระสงฆ์ในตำบลบางระกำมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ๓ โรค คือ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไขมันในเส้นเลือด จากพฤติกรรมและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอายุ น้ำหนักเกิน การขาดกิจกรรมทางกาย ๒) การดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์ตำบลบางระกำ จำแนกเป็นสุขภาพทางกายและสุขภาพจิตใจ ซึ่งในตำบลพื้นที่จัดให้มีสหวิชาชีพให้การดูแลคณะพระสงฆ์ในโรคต่าง ๆ โดยให้ความรู้และการเฝ้าระวังตนเองเรื่องความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคภัย คณะผู้ดูแลจะให้แนวทางปฏิบัติผ่านกิจของสงฆ์เป็นสาระสำคัญ ส่วนการดูแลสุขภาพจิตใจให้มุ่งเน้นการสวดมนต์ การทำวัตรปฎิบัติ การภาวนาจิต การเดินจงกรม มีสติในการควบคุมอารมณ์ให้มีความเข้มแข็ง ๓) แนวทางการดูแลสุขภาพตนเองของพระสงฆ์เชิงพุทธ ใช้พุทธวิธีการดูแลสุขภาพจิตเพื่อเป็นหลักสำคัญในการดูแลสุขภาพร่างกาย การใช้เภสัช ๕ ประเภท การเข้าโรงไฟบำบัดการรักษา (การอบสมุนไพร) การต้มน้ำสมุนไพรเพื่อดื่มแก้ไข้และคลายความร้อนภายใน สามารถทำเป็นน้ำมันหอมระเหย พระสงฆ์ต้องมีวินัยเพื่อการพักผ่อนและการทำวัตรปฎิบัติ การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม วิปัสสนามองเห็นโรคภัยตามความเป็นจริง ปล่อยวางไม่ยึดติดกับสังขาร มีสติพิจารณาอาหารก่อนบริโภคเสมอพร้อมรักษาโรคตามอาการทางแพทย์แผนปัจจุบัน</p> พระกล้าณรงค์ กนฺตสาโร จุลดิลก, รศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, ผศ. ดร.อรชร ไกรจักร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279787 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุวิถีใหม่ในสังคมไทย เชิงพุทธบูรณาการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279532 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุในสังคมไทย ๒) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุวิถีใหม่ในสังคมไทย และ ๓) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุในบริบทวิถีใหม่ของสังคมไทยเชิงพุทธบูรณาการ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๓ กลุ่ม ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะองค์รวม และผู้สูงอายุ รวมจำนวน ๒๐ รูป/คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้รูปแบบการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและสังเคราะห์เชิงอธิบาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการบูรณาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา โดยมีหลักพุทธธรรมเป็นแกนกลางขับเคลื่อน ซึ่ง เป็นพลังควบคุมจิตใจให้สงบมั่นคง และปัญญานำไปสู่การรู้เท่าทันสภาพชีวิตในวัยชรา อันนำไปสู่การพึ่งตนอย่างมีสติและปรับตัวอย่างเหมาะสมในยุควิถีใหม่</p> <p> องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยได้แก่ “๙ รู้อยู่ดีมีสุข”เพื่อการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมในผู้สูงอายุ ได้แก่ ๑) รู้กาย: การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกาย ๒) รู้ใจ: การฝึกสมาธิและควบคุมอารมณ์ ๓) รู้กิน: การเลือกอาหารอย่างเหมาะสม ๔) รู้อยู่: การรู้วิธีอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างปลอดภัย ๕) รู้เวลา: การบริหารเวลาอย่างมีคุณค่า ๖) รู้รัก: การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ๗) รู้ศีล: การยึดหลักจริยธรรมของชาวพุทธ ๘) รู้สมาธิ: การฝึกเจริญภาวนาเพื่อจิตมั่นคง และ ๙) รู้ปัญญา: การใช้เหตุผลไตร่ตรองในการดำเนินชีวิต ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ถูกร้อยรัดเป็น “กรอบแนวคิดการพัฒนาผู้สูงอายุเชิงพุทธบูรณาการในยุควิถีใหม่” ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม</p> <p> ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุในสังคมไทยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาวะที่สมดุล และดำรงชีวิตอย่างมีความสุขในยุควิถีใหม่ได้ หากได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาศักยภาพตนเองตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของตนเองและสังคมโดยรวม</p> นางนาฏฤดี พรงาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279532 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 พุทธบูรณาการสร้างสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279537 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาปัญหาและสาเหตุของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ๒) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการสร้างสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง และ ๓) เพื่อนำเสนอแนวทางการสร้างสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๒๔ รูป/คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนา ผู้บริหารศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุจิตอาสาคิลานธรรม และกลุ่มแพทย์/พยาบาล/ผู้ดูแลผู้ป่วย ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและนำเสนอผลการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งการขาดความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วย ภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น การขาดการสนับสนุนทางสังคมและจิตใจ และการไม่มีเวลาดูแลตนเอง ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ สภาวะเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ดูแลต้องเผชิญกับความเครียดเรื้อรัง ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ลดลงด้านหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการสร้างสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง พบว่า หลักพรหมวิหาร ๔ และอิทธิบาท ๔ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักพรหมวิหาร ๔ ประกอบด้วย เมตตา ช่วยให้ผู้ดูแลมีความรักความปรารถนาดีต่อผู้ป่วยและตนเอง กรุณาช่วยให้เข้าใจความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจของผู้ป่วย มุทิตา ช่วยให้ยินดีในความก้าวหน้าของการรักษาแม้เพียงเล็กน้อย และอุเบกขา ช่วยให้ผู้ดูแลรู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนอิทธิบาท ๔ ประกอบด้วย ฉันทะช่วยให้ผู้ดูแลมีความพอใจในหน้าที่ วิริยะ ช่วยให้มีความเพียรพยายามแม้ในยามเหนื่อยล้า จิตตะช่วยให้มีสมาธิในการสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างละเอียด และวิมังสา ช่วยให้ผู้ดูแลพัฒนาวิธีการดูแลให้ดีขึ้นอยู่เสมอ</p> <p> แนวทางการสร้างสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งจากการบูรณาการหลักพุทธธรรม ประกอบด้วย ๑) การสร้างความเข้าใจและยอมรับบทบาทของตนเอง โดยปรับมุมมองให้เห็นคุณค่าของการดูแลผู้ป่วยว่าเป็นโอกาสในการสร้างบุญ ๒) การบำรุงสุขภาพกายและใจของผู้ดูแล ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ดูแลโภชนาการ และหมั่นสำรวจจิตใจ ๓) การนำหลักพรหมวิหาร ๔ และอิทธิบาท ๔ มาใช้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ร่วมกับการฝึกสติ สมาธิ และเจริญปัญญาเพื่อลดความเครียด ๔) การขอรับการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน ไม่แบกรับภาระเพียงลำพัง และ ๕) การสร้างความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และการเห็นความหมายในการดูแล ตลอดจนการใช้ศิลปะ ดนตรี ธรรมะ หรือกิจกรรมที่ชอบในการเติมพลังใจให้ตนเอง</p> <p>องค์ความรู้จากการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความสุขสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยบูรณาการหลักพุทธธรรมเข้ากับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม อันจะส่งผลให้ผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> นางสาวรังษิยา อุ่นใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279537 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักกรรมในคัมภีร์เปตวัตถุเชิงพุทธบูรณาการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279600 <p>งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักกรรมในคัมภีร์เปตวัตถุเชิงพุทธบูรณาการ” มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดและหลักการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาและทฤษฎีมนุษยนิยมของอับราฮัม มาสโลว์ (๒) เพื่อศึกษาเนื้อหาสาระเรื่องกฎแห่งกรรมในคัมภีร์เปตวัตถุ และ (๓) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามคติสอนใจเรื่องกฎแห่งกรรมในคัมภีร์เปตวัตถุเชิงพุทธบูรณาการ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ และมีการวิจัยภาคสนามผ่านการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลักกรรมในพุทธศาสนาเป็นระบบเหตุผลที่เชื่อมโยงการกระทำกับผลอย่างแนบแน่น มีผลต่อพฤติกรรมทั้งตรงและอ้อม คัมภีร์เปตวัตถุแสดงเรื่องผลกรรมผ่านการบอกเล่าของเปรตผู้เป็นเจ้าของเรื่องและบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นการยืนยันว่า ชีวิตหลังความตายดำเนินต่อไปตามอำนาจกรรม เมื่อเปรียบกับทฤษฎีมาสโลว์พบว่า ทั้งสองแนวคิดให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตทั้งด้านวัตถุและจิตใจ แต่พุทธศาสนาเน้นพัฒนาไปสู่โลกุตระ คือ ความพ้นทุกข์อย่างยั่งยืน</p> <p> ข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิยืนยันว่า ความเข้าใจหลักกรรมอย่างถูกต้องช่วยให้เกิดการตระหนักรู้ เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ความรับผิดชอบ และการจัดการปัญหาอย่างมีสติ ทั้งยังลดทุกข์ใจจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ โดยตระหนักว่าผลกรรมชั่วในอดีตสามารถแก้ไขได้ผ่านกรรมดีในปัจจุบัน การบูรณาการหลักกรรมสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีจึงต้องมีความสมดุล ทั้งทางวัตถุ สังคม จิตใจ และจิตวิญญาณ ผ่านหลักกรรม การพัฒนา และความพึงพอใจ ตามองค์ความรู้ KDC Model ที่ได้จากการวิจัยเรื่องนี้.</p> พระมหาชัยพร อมรปญฺโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279600 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การยกระดับการรักษาศีล ๕ ไปสู่การประกันคุณภาพชุมชนวิถีพุทธในชุมชนวัดหว่านบุญ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279388 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ ๑) เพื่อสำรวจพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ และปัญหาจากการละเมิดศีล ๕ ของชุมชนวัดหว่านบุญ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ๒) เพื่อพัฒนากิจกรรมยกระดับการรักษาศีล ๕ ไปสู่การประกันคุณภาพชุมชนวิถีพุทธในชุมชนวัดหว่านบุญ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และ ๓) เพื่อยกระดับการรักษาศีล ๕ ไปสู่การประกันคุณภาพชุมชนวิถีพุทธในชุมชุมวัดหว่านบุญ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผลการวิจัยพบว่าการรักษาศีล ๕ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชุมชนโดยรวมได้ การศึกษานี้มุ่งเน้นการยกระดับการรักษาศีล ๕ ไปสู่การประกันคุณภาพชุมชนวิถีพุทธในชุมชนการสร้างมาตรฐานคุณภาพชุมชนผ่านการส่งเสริมศีลธรรม การมีส่วนร่วมของประชาชนและการบูรณาการหลักศีล ๕ กับกิจกรรมชุมชน เช่น การอบรม ศีล ๕ สัญจร และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กิจกรรมดังกล่าวขยายผลได้อย่างกว้างขวางและมีความยั่งยืน การยกระดับการรักษาศีล ๕ ผ่านกิจกรรม ๗ กิจวัตรความดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนมีศีลธรรมประจำใจซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมโดยรวมในระยะยาว</p> พระมหาคมสันต์ คุณธารี, พระศิริ อิทธิญาโณ (ปิดทอง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279388 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากระบวนการเชิงสร้างสรรค์ความหลากหลายของทูตวัฒนธรรม ชาวกัมพูชาเชิงพุทธบูรณาการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279486 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมสากลและวัฒนธรรมชาวกัมพูชา ๒) เพื่อศึกษาการพัฒนากระบวนการเชิงสร้างสรรค์ความหลากหลายของทูตวัฒนธรรมชาวกัมพูชา และ ๓) เพื่อเสนอการพัฒนากระบวนการเชิงสร้างสรรค์ความหลากหลายของทูตวัฒนธรรมชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายคือ ทูตวัฒนธรรมชาวกัมพูชา จำนวน ๑๐ รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก โดยเรียบเรียงเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างชนชาติ การพัฒนากระบวนการที่ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมจึงเป็นแนวทางที่มีคุณค่า ซึ่งการพัฒนากระบวนการเชิงสร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนบทบาทของทูตวัฒนธรรมชาวกัมพูชาเพื่อสร้างความยั่งยืนในบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างสันติสุข ส่วนการพัฒนากิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของทูตวัฒนธรรมชาวกัมพูชาที่สามารถเชื่อมโยงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และสร้างความเข้าใจในสังคมพหุวัฒนธรรมเป็นแนวทาง คือ ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) และ จักร ๔ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและสังคมโดยรวมที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ <strong>BRTOE Modle </strong>ที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมกัมพูชาได้รับการสืบทอดต่อไป</p> พระฮอน อาวุธปฺปญฺโญ, พระชินพล ชินพโล (ปรางทอง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279486 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเรียนรู้หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/273115 <p>หลักธรรมในพระพุทธศาสนาลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจให้กระจ่าง เพราะประกอบด้วยหลักทฤษฎีและการปฏิบัติที่จะต้องลงรอยไปด้วยกัน พระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับภาษาไทย อันเป็นหลักฐานชั้นต้นของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท มีมากถึง ๔๕ เล่ม นับได้ประมาณ ๒๒,๔๐๐ หน้า แต่ด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนามีคำสอนมาจากรากเดียวกัน ถ้าผู้ศึกษาจับแนวทางของการศึกษาได้ หลักคำสอนแม้นจะมีมากมาย ก็จะค่อยไหลลื่นเข้าสู่กระแสแห่งการเข้าใจของตนได้อย่างมีระบบ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ก่อนการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นและวิเคราะห์หลักธรรมสำคัญๆ เช่น ธาตุ ๔ อายตนะ ๖ และ ปฏิจจสมุปบาท มาก่อน ในคืนตรัสรู้ พระองค์บรรลุวิชชา ๓ และตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเนื้อแท้แล้ว สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์ในคืนนั้น คือ การกำจัดอาสวกิเลสได้หมดสิ้น และการตรัสรู้อริยสัจ ๔ การตรัสรู้คือการสังเคราะห์ปฏิจจสมุปบาทลงเป็นอริยสัจ ๓ ข้อแรก และสรุปประสบการณ์ในขณะบำเพ็ญเพียรตลอดเวลา ๖ ปี ลงเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ที่เรียกว่า มรรค ๘ ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ ๔ จึงเป็นหลักธรรมสายเดียวกันและเป็นรากเหง้าของหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา หลักคำสอนทั้งสองนี้ยังได้ชี้ไปที่หลักอิทัปปัจจยตา อันเป็นคำสอนเรื่องความเป็นเหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ การเข้าใจหลักคำสอนชุดนี้ จะช่วยให้เข้าใจคำสอนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น พุทธอุทานที่ทรงเปล่งหลังจากการตรัสรู้ได้ ๗ วัน ธรรมจักษุที่เกิดแก่พระอัญญาโกณฑัญญะหลังจากได้ฟังธัมมจักกัปปวัตนสูตร และ คาถาเยธัมมาที่พระอัสสชิแสดงแก่อุปติสสมาณพ</p> ประเชิญ ชื่นรักชาติ, พระมหาธณัชพงศ์ สุพรหมปัญโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/273115 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 วิเคราะห์บทบาทและความแตกต่างของสารนิพนธ์และดุษฎีนิพนธ์: กรณีของหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/280561 <p>การศึกษาระดับปริญญาเอกประกอบด้วยองค์ประกอบทางวิชาการที่สำคัญสองประการ คือ ดุษฎีนิพนธ์และสารนิพนธ์ ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันในกระบวนการพัฒนานักวิจัย บทความนี้วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างดุษฎีนิพนธ์และสารนิพนธ์ในมิติต่าง ๆ ได้แก่ ลำดับขั้นตอนในหลักสูตร วัตถุประสงค์และเป้าหมาย ขนาดและความซับซ้อนของงาน การกำกับดูแลและการประเมิน และความสำคัญต่อการได้รับปริญญา ผลการวิเคราะห์พบว่า สารนิพนธ์เป็นเครื่องมือในการประเมินความพร้อมของนิสิตก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยหลัก ขณะที่ดุษฎีนิพนธ์เป็นผลงานวิจัยสำคัญที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่และเป็นเกณฑ์ชี้ขาดในการสำเร็จการศึกษา การเข้าใจความแตกต่างดังกล่าวจะช่วยให้นิสิตปริญญาเอกสามารถวางแผนการศึกษาและเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม</p> พระมหาทวี ละลง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/280561 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาปรัชญาภาพยนตร์เรื่องพระจันทร์ตก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279866 <p>จากการศึกษาปรัชญาภาพยนตร์เรื่องพระจันทร์ตก (Moon Fall) ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ ๑ ประโยชน์ที่ได้รับจากภาพยนตร์คือ ทำให้เกิดจินตนาการในการหาทางออกเพื่อรับมือกับปัญญาประดิษฐ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต สิ่งที่พบในภาพยนตร์จัดเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าในเชิงวิทยาศาสตร์สมจริงและมีคุณค่าทางศิลปะภาพยนตร์ นอกจากนี้ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ ๒ เพื่อการศึกษาแนวทางปรัชญาของเบอร์ทรัลด์ รัสเซล พบว่าปรัชญาเชิงวิเคราะห์ทางตรรกะสามารถเป็นทางออกให้ปัญญาประดิษฐ์เกิดการยอมรับเพื่อประมวลข้อมูลจากฐานคณิตศาสตร์</p> จุฬารัตน์ วิชานาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/279866 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700