https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/issue/feed วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ 2024-04-29T15:12:07+07:00 ดร.อุดม จันทิมา udomchantima@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรรศน์</strong> <br>ISSN : 1905-1603&nbsp; &nbsp;(Print) <br>ISSN : 2697-4215&nbsp; &nbsp;(Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp;๑. เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p>&nbsp;&nbsp; ๒. เพื่อให้บริการทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญาแก่สังคม</p> <p>&nbsp;&nbsp; ๓. เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและปรัชญา</p> <p>&nbsp;&nbsp; ๔. เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/267812 พระพุทธศาสนาเพื่อการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับการดูแลผู้ป่วยที่มีความทุกข์จากภาวะบีบคั้นทางจิตวิญญาณ 2024-04-28T22:27:31+07:00 Jiratithigan Sillapasuwan dr.js.bpst@gmail.com อัมพวรรณ ถากาศ aa.ampawan@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาหลักธรรมแห่งการพ้นทุกข์ทางพระพุทธศาสนามาเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาพยาบาลเยียวยาอย่างเป็นองค์รวมสำหรับการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชแก่ผู้ป่วยที่มีความทุกข์จากภาวะบีบคั้นทางจิตวิญญาณ ๒) เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้ให้บริการและการให้บริการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชแก่ ผู้ป่วยที่มีความทุกข์จากภาวะบีบคั้นทางจิตวิญญาณ สามารถสรุปการศึกษาได้ดังนี้ ๑) หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อการพ้นทุกข์ที่สำคัญที่สุดคือหลักอริยสัจ ๔ พยาบาลควรเรียนรู้และเข้าใจในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรคแปด และปฏิบัติตนให้ทาน รักษาศีลและเจริญจิตภาวนาจนสามารถเข้าใจในหลักธรรมอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณผู้ป่วย ๒) นำสู่กระบวนการรักษาพยาบาลทางเลือกใหม่ ที่สามารถช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยที่มีความทุกข์ในจิตใจให้บรรเทาจากทุกข์ กลับเข้าสู่ความผาสุกทางจิตวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> </p> 2024-05-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/263241 The Implementation of Adhiṭṭhānadhamma Pattern to Drive Corporate Management towards Sustainable 2024-04-29T15:12:07+07:00 Sutisha Charoenngam sutisha@gmail.com <p>บทความวิจัยเรื่องรูปแบบการใช้อธิษฐานธรรมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาหลักอธิษฐานธรรมในพุทธศาสนาเถรวาท ๒) ศึกษาแนวคิดและหลักการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ ๓) เสนอรูปแบบการใช้อธิษฐานธรรมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๘ รูป/คน พบว่า อธิษฐานธรรมหมายถึงธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ มีองค์ประกอบ ๔ ประการ ได้แก่ (๑) ปัญญา (๒) สัจจะ (๓) จาคะ และ (๔) อุปสมะ เมื่อบุคคลประกอบด้วยธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ จะเกิดประโยชน์แก่บุคคลนั้น ๓ ระดับ ได้แก่ ประโยชน์ที่เป็นอยู่ในระดับพื้นฐาน จุดหมายเพื่อตนเอง ประโยชน์ที่เป็นอยู่ในระดับปานกลาง จุดหมายเพื่อผู้อื่น และประโยชน์ในระดับสูงสุด จุดหมายคือพระนิพพาน แนวคิดและหลักการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ความเป็นมาของการพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดจากการประชุมระดับโลกที่เรียกร้องให้เกิดการพัฒนาโดยรวมความเอาใจใส่ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ โดยแนวคิดการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการบริหารองค์กรที่บูรณาการด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล ทำให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งมีหลักการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านกิจกรรมหลัก ๔ ประการในกระบวนการจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การชี้นำหรือสั่งการ และการควบคุม ประโยชน์ในการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จะสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> <p>รูปแบบการใช้อธิษฐานธรรมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้บริหารองค์กรมีการใช้ปัญญาธิษฐาน สัจจาธิษฐาน จาคาธิษฐาน อุปสมาธิษฐาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีรูปแบบการใช้อธิษฐานธรรมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ใน ๓ สถานการณ์ ได้แก่ เมื่อสถานการณ์ปกติ เมื่อเกิดปัญหา และเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติ โดยมีการบริหารองค์กร ซึ่งนำองค์ธรรมปัญญา สัจจะ จาคะ และอุปสมะ มาใช้ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ให้เกิดความสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/263955 เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2024-04-18T16:18:55+07:00 คะนอง ปาลิภัทรางกูร kanong.p@arts.tu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเกณฑ์ตัดสินจริยธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เป็นไปได้ในชีวิตมนุษย์ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา และหนังสือต่างๆ และใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาท หลักการต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินจริยธรรมในชีวิตมนุษย์ มีดังนี้ หลักเจตนา หลักสภาวะจิต หลักผลิตผลลัพธ์ หลักการเคารพตนเอง หลักใจเขาใจเรา หลักมัชฌิมาปฏิปทา หลักเสียงสะท้อนจากวิญญูชน และหลักมุ่งตรงต่อนิพพาน นอกจากนี้ยังได้เสนอแนวคิดเรื่องตาชั่งวัดระดับความหนักเบาของกรรม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ได้แก่ เจตนา สภาวะจิตใจของผู้กระทำ ความพยายามของผู้กระทำ ขนาดของผู้ถูกกระทำ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ คุณธรรมของผู้ถูกกระทำ และพฤติกรรมของผู้ถูกกระทำ</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/264057 คุณค่าของประเพณีบุญข้าวจี่ บ้านโพนต้องสะหวาด เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2024-04-18T16:59:36+07:00 Boun Ouane Vongmaly ouanevml@gmail.com Sawangjit Khantee sawangjit897@gmail.com <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย “คุณค่าของประเพณีบุญข้าวจี่บ้านโพนต้องสะหวาด เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” เพื่อศึกษาประวัติ อัตลักษณ์ และวิเคราะห์คุณค่าของประเพณีบุญข้าวจี่ บ้านโพนต้องสะหวาด เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระเบียบวิธีวิจัยได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน ๒๐ รูป/คน ประกอบด้วยพระสังฆาธิการ ผู้นำชุมชนและปราชญ์ชาวบ้าน ผลการวิจัยพบว่า ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นงานบุญประเพณีของสปป.ลาว ที่กระทำกันในเดือนสามจนเรียกว่า บุญเดือนสาม มีการปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้านอัตลักษณ์ประกอบด้วย ๓ ช่วงเวลาที่สำคัญคือ ๑) ก่อนถึงวันงานเป็นวันเพ็ญ ๑๔ ค่ำเดือน ๓ เป็นวันเตรียมการสิ่งที่จะนำมาทำข้าวจี่ได้แก่ ข้าวสารเหนียว น้ำตาล เกลือ ไม้เสียบข้าวจี่และเตา มารวมตัวกันที่วัดโพนต้องสะหวาด ๒) วันงานพิธีได้แก่วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๓ ชาวบ้านโพนต้องสะหวาดก่อจะจี่ข้าวจี่ในช่วง ๓-๕ โมงเช้าแล้วนำมาถวายแก่พระสงฆ์ภายในวัดบ้านโพนต้องสะหวาด และ๓) ตอนเย็นของวันงานชาวบ้านก็มารวมกัน เพื่อไหว้พระตอนเย็นร่วมกับพระสงฆ์ หลังจากเสร็จพิธีดังกล่าวจะทำการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ ๓ รอบ จะถือว่าเสร็จพิธีอย่างสมบูรณ์ คุณค่าของประเพณีบุญข้าวจี่ ประกอบด้วย คุณค่าด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ประเพณีบุญข้าวจี่เป็นรากฐานแห่งอุปนิสัยใจคอของคนลาว บ่อเกิดของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามของชาวบ้านโพนต้องสะหวาด, คุณค่าทางด้านสังคมงานประเพณีบุญข้าวจี่ได้สร้างความสามัคคีภายในชุมชน เป็นโอกาสในการสร้างความดี และ ถวายทานไปยังผู้ที่เสียชีวิต, คุณค่าทางด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นลาว ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ฮีดครองลาว เก้าผม เบี่ยงแพ”, คุณค่าทางด้านการศึกษาของงานประเพณีบุญข้าวจี่ ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่มาของประเพณี และความเป็นลาว แล้วนำหลักคำสอนดังกล่าวไปปฏิบัติให้ครอบครัวมีความสุข และ คุณค่าด้านโภชนาการได้แก่ การแปรูปอาหารได้แก่จากข้าวจี่ที่ทาเกลืออย่างเดียวก็แปรรูปเป็นทาด้วยไข่ ทาด้วยของหวาน ซึ่งทำให้ข้าวจี่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหาร สวยงาม และน่ารับประทานมากขึ้น.</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/264891 การพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางจำหน่ายสินค้าสัมมาชีพตามแนวพุทธจากยางรถยนต์รีไซเคิล 2024-04-18T17:08:40+07:00 กรรณิการ์ ขาวเงิน kannikar.khaw@gmail.com ชัยณรงค์ ขาวเงิน chainarong.kha@gmail.com กนกอร ก้านน้อย kanokornknn@au.edu <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๒ ข้อ คือ ๑) เพื่อพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับสินค้าสัมมาชีพตามแนวพุทธจากยางรถยนต์รีไซเคิล และ ๒) เพื่อพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้าสัมมาชีพตามแนวพุทธจากยางรถยนต์รีไซเคิล เป็นการวิจัยและพัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มเป้าหมายจำนวน ๗ คน และอาสาสมัครเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางจำหน่ายสินค้า จำนวน ๕ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เป็นคำถามปลายเปิด (Open ended questions) และชุดกิจกรรมการพัฒนาสื่อและพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้า ผลการวิจัยพบว่า ๑) การพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบวิดีโอคลิปโดยใช้โปรแกรมแคนวา มี ๖ ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ ๑ ใช้บัญชีของตนเองลงชื่อเข้าใช้งาน Canva ขั้นตอนที่ ๒ การเลือกแม่แบบ (Template) ขั้นตอนที่ ๓ การใช้ฟีเจอร์ต่างๆ จากหน้าต่างด้ายซ้ายของ Canva ขั้นตอนที่ ๔ การใส่ Sub Title ขั้นตอนที่ ๕ การปรับแต่งวิดีโอ และขั้นตอนที่ ๖ บันทึกแล้วแชร์คลิป จำนวนคลิปที่พัฒนามีจำนวน ๕ คลิป ประกอบด้วย EP1: Diy ขายดี EP2: เล่นอย่างมันส์ EP3: นั่งยางเฟอร์นิเจอร์ EP4: มาทำสวนยาง EP5: มียาง ไม่อาย ไม่จน และ ๒) การพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้า มี ๒ ช่องทางคือ เฟซบุ๊กและติ๊กต็อก เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าสัมมาชีพวิถีพุทธ</p> 2024-05-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/264954 รูปแบบการพัฒนาความกรุณาต่อตนเองในการเผชิญวิกฤติของผู้ประกอบการ 2024-04-18T16:05:13+07:00 Phuthththida Makphun phuthththidamakphun@gmail.com กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ kamalas2013@gmail.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา siriwatmcu@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบและเสนอรูปแบบการพัฒนาความกรุณาต่อตนเองในการเผชิญวิกฤติของผู้ประกอบการ เป็นวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการผ่านพ้นวิกฤติและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๗ รูป/คน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ๗ รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ๑. แนวคิดความกรุณาต่อตนเองตามแนวจิตวิทยา ๙ องค์ประกอบ คือ ความอารีต่อตนเอง ตระหนักในความธรรมดาของมนุษย์ การมีสติ การเชื่อมตนกับสังคม การให้อภัย การยอมรับ ความอ่อนโยน ความสุขุมและความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความกรุณาต่อตนเองตามหลักพระพุทธศาสนา ๕ องค์ประกอบ คือ ความสามารถในการเข้าใจตนเองและผู้อื่นทางกายและวาจา การมีทัศนคติและกระบวนการคิดที่ถูกต้อง การคิดพินิจพิจารณาที่ถูกต้อง การมีมิตรดีและการมีสติระลึกรู้ ๒. องค์ประกอบความกรุณาต่อตนเองจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ๓ องค์ประกอบ คือ ความอารีต่อตนเอง ตระหนักในธรรมดาของคนและการมีสติ และจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการมี ๔ องค์ประกอบ คือ การเข้าใจและยอมรับทุกข์ตามความเป็นจริง ความอารีต่อตนเอง การมีสติในปัจจุบันและความมีกัลยาณมิตร และ ๓. รูปแบบการพัฒนาความกรุณาต่อตนเองในการเผชิญวิกฤติของผู้ประกอบการ(5C : 5 Power of Compassion Model) ได้แก่ ความอารีต่อตนเอง การมีสติในปัจจุบันขณะ ความตระหนักในธรรมดาของมนุษย์ กระบวนการคิด โยนิโสมนสิการ และความมีกัลยาณมิตร</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/265009 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อหิริโอตตัปปะ ของวัยรุ่นตอนต้น 2024-04-18T15:50:15+07:00 ณายา เทพธรณินทรา nayathephthrninthra@gmail.com สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต kamalas2013@gmail.com สิริวัฒน์ ศรีเครือดง siriwatmcu@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างหิริโอตตัปปะของวัยรุ่นตอนต้นตามหลักพุทธจิตวิทยา ๒) เพื่อเปรียบเทียบโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อหิริโอตตัปปะของวัยรุ่นตอนต้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ ๓) เพื่อเสนอโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อหิริโอตตัปปะของวัยรุ่นตอนต้น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากวัยรุ่นตอนต้นอายุ ๑๒-๑๖ ปีที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๔ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๓๔๑ คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และวิเคราะห์สมการโครงสร้างเชิงสาเหตุ ผลการวิจัยพบว่าโมเดลที่สร้างขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ได้ค่า = ๔.๓๕๙, df = ๓, p = ๐.๒๒๕, CMIN/DF = ๑.๔๕๓, CFI = ๐.๙๙๘ ,GFI = ๐.๙๙๕, AGFI = ๐.๙๗๔, RMSEA = ๐.๐๓๗ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างหิริโอตัปปะ ได้แก่ การสวดมนต์และฟังธรรม การปฏิบัติเจริญภาวนา การควบคุมตนเองและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดย</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ, หิริโอตตัปปะ, วัยรุ่นตอนต้น</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JGSR/article/view/269846 บทวิจารณ์หนังสือ เรื่อง “พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์” เขียนโดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) 2024-04-19T13:40:45+07:00 หนึ่งธิดา สาริศรี taleiw1717@gmail.com <p>บทวิจารณ์หนังสือ (ไม่มีบทคัดย่อ)</p> <p> </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์