https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/issue/feed
วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
2025-07-30T16:21:44+07:00
อาจารย์ ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์
jem@nida.ac.th
Open Journal Systems
<p> วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Journal of Environmental and Sustainable Management: JESM) เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความในสหสาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่มีขอบข่ายครอบคลุมตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปร่วมกัน ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การบริหารการจัดการ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสาขาวิชาอื่นที่มีนัยทางทฤษฎีหรือการประยุกต์ใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในชุมชนเมือง มลพิษอุตสาหกรรม รวมถึง มิติด้านวัฒนธรรม ในมุมมองภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ สู่ผู้สนใจทั่วไปในทุกสาขาวิชา</p> <p> กองบรรณาธิการ วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเปิดรับบทความภาษาไทย ในประเภทบทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Journal Article) บทความปริทัศน์ (Review Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการอิสระ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยผลงานที่เสนอเพื่อตีพิมพ์ในวารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมจะต้องไม่เคยตี พิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/280866
ฉบับสมบูรณ์
2025-07-30T16:21:44+07:00
2025-07-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/280196
คำแนะนำวารสาร
2025-06-30T21:08:00+07:00
สุชีลา นิลโคตร
jem@nida.ac.th
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/278616
บทบาทบริษัทย่อยกับการสนับสนุนการดำเนินงานและการเติบโตอย่างยั่งยืนของสายการบิน: กรณีศึกษา บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด
2025-04-30T10:32:08+07:00
พรพรหม สุธาทร
pornprom.sut@nida.ac.th
ดิณห์ ศุภสมุทร
dinh4242@gmail.com
จุฑาพรรธ์ ผดุงชีวิต
judhaphan@as.nida.ac.th
<p style="font-weight: 400;"> บทความนี้ศึกษาบทบาทของบริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนการดำเนินงานของสายการบิน และศึกษาข้อจำกัดและความท้าทายในการดำเนินงานเพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาต่อสายการบิน โดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-dept Interview) ผู้บริหารและพนักงานของ บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด จำนวน 12 คน ใช้คำถามแบบกึ่งทางการ (Semi-Structured Question) และวิธีตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation)</p> <p style="font-weight: 400;"> ผลการศึกษาพบว่าบริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด มีบทบาทสำคัญในการ (1) สนับสนุนการฝึกอบรมบุคลากรของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบุคลากรในอุตสาหกรรมการบินให้เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศไทย (2) การจัดการฝึกอบรมให้แก่สายการบินและหน่วยงานภายนอก (3) สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรภายนอก ในการพัฒนาหลักสูตรร่วมผลิตและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการบินบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สามารถเสริมสร้างศักยภาพบริษัทย่อยได้โดยผ่านการสนับสนุนด้านข้อมูล บุคลากรและงบประมาณ เพื่อให้บริษัทสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของสายการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/272736
การกำหนดพื้นที่วิกฤติทางอากาศ โดยใช้ข้อมูลสถานีอุตุนิยมวิทยาและ GOOGLE EARTH ENGINE
2024-09-06T18:01:50+07:00
รสสุมนต์ จารยะพันธุ์
rossumont.j@ku.th
สุรัตน์ บัวเลิศ
surat.b@ku.ac.th
ภาคภูมิ ชูมณี
xxx@ku.ac.th
ธัญภัสสร์ ทองเย็น
xxx@ku.ac.th
กิตติชัย ดวงมาลย์
xxx@ku.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาพื้นที่วิกฤติทางอากาศ คือพื้นที่ที่เมื่อปล่อยมลพิษในระดับใกล้เคียงกับพื้นที่ปรกติ แต่ผลกระทบรุนแรงกว่า เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ โดยหาจากสัดส่วนของเสถียรภาพอากาศที่มีความเสถียรสูง บนพื้นที่ตัวอย่าง 2) เพื่อนำพื้นที่ตัวอย่างที่มีค่าความวิกฤติสูงสุดมาศึกษาแนวโน้มระหว่าง PM 2.5 กับเสถียรภาพของอากาศที่เกี่ยวข้องกับการสะสมมลสารทางอากาศ งานวิจัยนี้ใช้ทฤษฎี Monin-Obukhov Similarity Theory นำค่ามาจำแนกเสถียรภาพของอากาศ โดยใช้ข้อมูล ปริมาณเมฆปกคลุม ความเร็วลมและอุณหภูมิที่ระดับ 10 เมตร จากสถานีอุตุนิยมวิทยา 20 แห่ง ได้แก่ เก็บข้อมูลทุก 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 01:00 - 22:00 น. รวม 8 ครั้งต่อวัน ตลอดปี 2566 และใช้ข้อมูลพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ จาก Google Earth Engine</p> <p> ผลการวิจัย 20 สถานี พบว่า สถานีที่มีสัดส่วนของเสถึยรภาพอากาศ มี่มีค่าความวิกฤติสูงที่สุด 5 ลำดับแรกได้แก่ ลำปาง ร้อยละ 51.37 กาญจนบุรี/ทองผาภูมิ ร้อยละ 50.36 น่าน ร้อยละ 49.7 แม่ฮ่องสอน ร้อยละ 49.29 และพะเยา ร้อยละ 48.66 พื้นที่ตัวอย่างใน จังหวัดลำปางมีค่า PM 2.5 ความสัมพันธ์กับเสถียรภาพอากาศแบบเสถียรสูง โดยฝุ่นในระดับที่ส่งผลต่อสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 67.6 จากจำนวนเสถียรภาพอากาศทั้งหมด และจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และอุตุนิยมวิทยามีผลต่อสะสมของมลพิษทางอากาศ นำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การจัดการคุณภาพอากาศแบบเฉพาะเจาะจงในพื้นที่ภูมิศาสตร์</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/274189
แนวทางการจัดการน้ำเสียจากบ้านเรือนริมคลองเจ๊ะเหมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นแว้ง จังหวัดนราธิวาส
2025-01-09T16:20:43+07:00
ณชพงศ จันจุฬา
nachapong.j@psu.ac.th
ประสงค์ ตันพิชัย
fedupst@ku.ac.th
สันติ ศรีสวนแตง
xxx@ku.ac.th
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำเสียจากบ้านเรือนริมคลองเจ๊ะเหมด้วยกลไกชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง แบ่งการวิจัยเป็น 4 ขั้นตอนใน 2 ระยะ คือ 1) พัฒนาและขับเคลื่อนกระบวนการจัดการน้ำเสียจากบ้านเรือนริมคลอง ด้วยขั้นตอนการวางแผน การลงมือปฏิบัติ และการสังเกตผล 2) ขยายผลเครือข่าย ด้วยขั้นตอนการสะท้อนผล ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อถอดบทเรียน สรุปผลและตีความจากเวทีประชุมกลุ่มเป้าหมายที่คัดเลือกแบบเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการจัดการน้ำเสียจากบ้านเรือนริมคลองเจ๊ะเหมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นแว้ง แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1) ระดับครัวเรือน ด้วยการจัดการน้ำเสีย ณ แหล่งกำเนิดโดยการปรับปรุงส้วมให้ถูกสุขลักษณะ ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารในครัว และทำแปลงใบเตยหลังบ้านเป็นบ่อผ่านน้ำเสีย 2) ระดับชุมชน ด้วยการกำหนดมาตรการและนโยบายสาธารณะ 4 ข้อ คือ (1) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการจัดการน้ำเสียครัวเรือนและขยะต้นทางบ้านริมคลอง (2) ออกข้อบัญญัติ/ฮูกุมปากัสกำหนดให้คลองเจ๊ะเหมเป็นพื้นที่อนุรักษ์และแหล่งอาหารชุมชน (3) จัดตั้งคณะกรรมการคลองเจ๊ะเหมและบรรจุวาระติดตามในการประชุมตำบล (4) บรรจุแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูคลองเจ๊ะเหมไว้ในแผนพัฒนาท้องถิ่น และ 3) ระดับเครือข่าย ด้วยการสร้างเครือข่ายลุ่มน้ำโกลก เพื่อกำหนดมาตรการร่วมในระดับลุ่มน้ำต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/275628
การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมมะพร้าวน้ำหอมของประเทศไทย: กรณีศึกษาจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงคราม
2025-01-21T15:51:26+07:00
กิตตินันท์ สดใส
kittinan.sodsai@gmail.com
จิระพันธุ์ เนื่องจากนิล
xxx@kmutt.ac.th
สาวินี วุฒิสกุลวงศ์
xxx@kmutt.ac.th
รุ่งโรจน์ ปิยะภานุวัตน์
rungroj.piy@kmutt.ac.th
<p> งานวิจัยนี้ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมมะพร้าวน้ำหอมของประเทศไทย กรณีศึกษาจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงคราม โดยรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ ปริมาณการแปรรูป ปริมาณวัสดุเหลือใช้ตลอดห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ ศึกษาแนวทางการจัดการและการสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลการศึกษาพบว่า พ.ศ. 2566 ทั้งสองจังหวัดมีพื้นที่ปลูกมะพร้าว 100,100 ไร่ (ร้อยละ 54.60 ของประเทศ) มีผลผลิตรวม 1,630,357 ลูกต่อวัน คิดเป็น 3,526.53 ตันต่อวัน (น้ำหนักรวมทั้งทะลาย) มะพร้าวน้ำหอมร้อยละ 6.95 ขายผลสดนอกพื้นที่ และส่งแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ร้อยละ 93.05 เช่น มะพร้าวควั่น มะพร้าวเจีย วุ้น และพุดดิ้ง เป็นต้น ภายหลังแปรรูป เกิดเป็นก้านทะลาย ก้านผล เปลือก และกะลา รวม 1,836.14 ตันต่อวัน จากข้อมูลการจัดการในปัจจุบันพบว่า วัสดุเหลือใช้ 1,420.74 ตันต่อวัน ไม่ถูกพัฒนาหรือใช้ประโยชน์ และจัดการด้วยการฝังกลบ ปรับถมที่ และกองทิ้ง จากการวิเคราะห์แนวทางการจัดการข้างต้น การแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด สามารถทดแทนถ่านหินได้ 200.42 ตันต่อวัน (ให้พลังงาน 106.92 TOE ต่อวัน คิดจากชีวมวลและค่าความร้อนชีวมวล) ภายใต้ความต้องการพลังงานในหม้อน้ำเชื้อเพลิงถ่านหินทั้งสองจังหวัด 1,017.50 ตันต่อวัน (573.90 TOE ต่อวัน) และสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 510.16 TonCO<sub>2</sub>e ต่อวัน ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ (BCG model) ด้านมะพร้าวน้ำหอม</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/276243
แนวทางการออกแบบระบบผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อจัดการปัญหาขยะฟิล์มพลาสติกอย่างยั่งยืนด้วยวิธีการสนทนากลุ่มและการร่วมคิดร่วมสร้าง
2025-03-10T15:55:01+07:00
สุพิชฌาย์ ศาศวัตวิบูลย์
6670055925@student.chula.ac.th
สุพิชญา ศุภพิพัฒน์
Suphichaya.S@chula.ac.th
<p> การจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทย โดยเฉพาะขยะฟิล์มพลาสติก เช่น ถุงและบรรจุภัณฑ์อาหาร ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากมีการใช้งานสูงแต่ขาดระบบคัดแยกที่เหมาะสม ทำให้รีไซเคิลได้ยาก ปัญหานี้ส่งผลต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีปริมาณขยะสูงและระบบจัดการยังไม่เพียงพอ</p> <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ขยะฟิล์มพลาสติกในกรุงเทพฯ ผ่านการสนทนากลุ่ม (Focus group) และการร่วมคิดร่วมสร้าง (Co-creation) กับกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องในระบบจัดการขยะ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอุปสรรคและโอกาสในการจัดการขยะประเภทนี้</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ขยะฟิล์มมีมูลค่าต่ำและจัดการยาก เนื่องจากลักษณะเบา ฟู และสกปรก ส่งผลให้ธุรกิจรีไซเคิลไม่คุ้มทุน ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังขาดความรู้เรื่องการแยกขยะอย่างถูกต้อง ส่วนผู้ผลิตยังให้ความสำคัญด้านการตลาดมากกว่าด้านสิ่งแวดล้อม</p> <p> การศึกษานี้เสนอแนวทางพัฒนาระบบจัดการ เช่น คู่มือแยกขยะออนไลน์พร้อม AI ระบุวัสดุ ฐานข้อมูลจุดรับขยะ ระบบถุงขยะแยกประเภท และเครื่องล้างขยะขนาดเล็ก ส่งเสริมการใช้วัสดุเดียวและการติดฉลากรีไซเคิลชัดเจน พร้อมระบบจูงใจ เช่น การให้รางวัลและบริการรับขยะถึงบ้าน เพื่อสร้างระบบจัดการขยะที่ยั่งยืนและสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในระยะยาว</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/278620
กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะพลาสติก: ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยเชิงคุณภาพในพื้นที่เขตโครงการไม่เทรวม กรุงเทพมหานคร
2025-05-02T11:57:16+07:00
รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ
rungrat_cha@utcc.ac.th
นภวรรณ คณานุรักษ์
napawan_kan@utcc.ac.th
ปิยะเนตร นาคสีดี
piyanate_nak@utcc.ac.th
พิชญ์พธู ไวยโชติ
pitchpatu_wai@utcc.ac.th
วิชญุตร์ งามสะอาด
witchayut_nga@utcc.ac.th
สุธี เผ่าบุญมี
suthee_pho@utcc.ac.th
ธนาพงษ์ สมุทรรัตนกุล
thanapong_sam@utcc.ac.th
พงศ์ปิติ เดชะศิริ
phongpiti_dec@utcc.ac.th
<p> งานวิจัยเชิงประยุกต์นี้ศึกษาสภาพแวดล้อมทางกายภาพของการจัดการขยะพลาสติก พฤติกรรมการทิ้งขยะ รวมถึงพฤติกรรมการสื่อสารของประชาชน โดยเจาะจงพื้นที่เขตปทุมวันและเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในโครงการไม่เทรวม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ 2 ส่วน คือ การสังเกตการณ์ภาคสนาม 290 ตัวอย่าง และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม 14 ราย ร่วมกับการสนทนาเชิงสัมภาษณ์กลุ่มประชาชนผู้บริโภค 20 คน </p> <p> ผลการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางกายภาพ พบการทิ้งขยะมากที่สุดในช่วงบ่าย เขตปทุมวันมีถังขยะแยกประเภทมากกว่าเขตพญาไท ประชาชนส่วนใหญ่ไม่แยกขยะ ทิ้งขยะปริมาณน้อย 1-2 ชิ้นต่อครั้ง และมักทิ้งขยะพลาสติกรวมกับขยะอื่น ๆ</p> <p> ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งสองเขตพบว่า ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมใช้พลาสติกปริมาณปานกลางค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่เข้าใจการจัดการขยะพลาสติกปานกลาง นิยมใช้สื่อสังคม เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ โทรทัศน์ สนใจติดตามข่าวสั้น บทสัมภาษณ์ ส่วนกลุ่มผู้บริโภคใช้พลาสติกปริมาณปานกลาง เกือบทั้งหมดเข้าใจการจัดการขยะพลาสติกระดับปานกลาง ติดตามข่าวสารทางสื่อสังคม โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ไลน์ และสนใจฟีดข่าวสั้น ภาพข่าว</p> <p> ทั้งนี้ เสนอแนะแนวทางพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ กลุ่มผู้รับสารเป้าหมาย ผลลัพธ์เป้าหมาย ช่องทางการสื่อสาร และเนื้อหา เพื่อประยุกต์ในการจัดการขยะพลาสติกต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/278606
การถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการคัดแยกขยะที่ต้นทางในจังหวัดจันทบุรี
2025-05-01T11:32:21+07:00
นิโลบล ดินรมรัมย์
Nilobon.din@outlook.co.th
จำลอง โพธิ์บุญ
chamlong@nida.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทเรียนจากโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการคัดแยกขยะที่ต้นทางในจังหวัดจันทบุรี ศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 5 แห่ง ด้วยวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างกับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโครงการ ผู้นำชุมชนและประชาชน รวมถึงการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยประยุกต์ใช้การประเมินแบบสมดุล (Balanced Scorecard: BSC) ร่วมกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (SWOT Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) มิติด้านประสิทธิผล อปท. 4 แห่งบรรลุวัตถุประสงค์ งบประมาณการจัดการขยะลดลง มีกลไกการจัดการครอบคลุมประเภทขยะมากขึ้น 2) มิติด้านกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมโครงการกับอปท. ทั้ง 5 แห่ง หัวหน้างานหรือผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ดูแลโครงการ บุคลากร อปท. มีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามนโยบาย 3) มิติด้านการบริหารจัดการ กิจกรรมถูกออกแบบให้มีการจัดการขยะ 4 ประเภท แต่มีอุปสรรคด้านการติดตามประเมินผล 4) มิติด้านการเรียนรู้และการพัฒนา มีการพัฒนาบุคลากรทุกแห่ง และอปท. 3 แห่งมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องให้ความสำคัญกับการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการทำงาน ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ได้แก่ ผู้บริหาร บุคลากร งบประมาณ และกระบวนการดำเนินงาน ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพพื้นที่ ผู้นำชุมชน การมีส่วนร่วมของชุมชน และความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/280193
บทบรรณาธิการ
2025-06-30T20:34:41+07:00
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/280194
หนังสือน่าอ่าน
2025-06-30T20:45:28+07:00
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน