https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/issue/feed วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 2024-12-31T14:55:00+07:00 อาจารย์ ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ jem@nida.ac.th Open Journal Systems <p> วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Journal of Environmental and Sustainable Management: JESM) เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความในสหสาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่มีขอบข่ายครอบคลุมตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปร่วมกัน ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การบริหารการจัดการ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสาขาวิชาอื่นที่มีนัยทางทฤษฎีหรือการประยุกต์ใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในชุมชนเมือง มลพิษอุตสาหกรรม รวมถึง มิติด้านวัฒนธรรม ในมุมมองภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ สู่ผู้สนใจทั่วไปในทุกสาขาวิชา</p> <p> กองบรรณาธิการ วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเปิดรับบทความภาษาไทย ในประเภทบทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Journal Article) บทความปริทัศน์ (Review Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการอิสระ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยผลงานที่เสนอเพื่อตีพิมพ์ในวารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมจะต้องไม่เคยตี พิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/275840 บทบรรณาธิการ 2024-12-28T15:10:48+07:00 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/275841 หนังสือน่าอ่าน 2024-12-28T15:12:56+07:00 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/275842 คำแนะนำวารสาร 2024-12-28T15:15:39+07:00 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/271125 การประเมินมูลค่าชายหาดของจังหวัดภูเก็ตเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของมูลค่าจากการกำหนดราคาห้องพักโรงแรมและจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละฤดูท่องเที่ยว 2024-07-13T11:26:20+07:00 ภัทรกร นิธินรางกูร pattrakorn.n@gmail.com สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง fengstr@ku.ac.th <p>ชายฝั่งมีความสำคัญทั้งด้านนิเวศและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้หลายจังหวัด ซึ่งต้องบริหารจัดการให้ดีเพื่อตอบสนองความต้องการและป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติและจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การประเมินมูลค่าชายหาดเป็นประเด็นท้าทายเนื่องจากชายหาดเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ประเมินมูลค่ามิได้ งานศึกษานี้ใช้ Log-linear hedonic pricing regression เพื่อประเมินมูลค่าชายหาดในภูเก็ต ได้แก่ หาดในทอน หาดกมลา หาดป่าตอง หาดกะรน และหาดกะตะ โดยใช้ราคาห้องพักโรงแรมช่วง High Season และ Low Season ผลที่ได้พบว่าเมื่อพิจารณาด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวรายจังหวัดนั้น ชายหาดที่มีมูลค่าสูงสุดในช่วง High Season และ Low Season คือหาดกะรนและหาดกะตะตามลำดับ และเมื่อพิจารณาจากจำนวนนักท่องเที่ยวผู้ใช้หาดจากการสำรวจ พบว่าหาดป่าตองมีมูลค่าสูงสุดทั้งสองฤดูท่องเที่ยว โดยสรุปผลได้ว่ามูลค่าชายหาดช่วง High Season สูงกว่า Low Season ประมาณ 3 เท่า การเลือกใช้ข้อมูลที่เหมาะสมในการประเมินมูลค่าผลประโยชน์ชายหาดจึงสำคัญต่อการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์เพื่อวางแผนการอนุรักษ์และบริหารจัดการชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/271058 การวัดประสิทธิผลการจัดส่งรายงานการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 2024-08-20T10:26:41+07:00 วนิดา นามจันทา wanida.namj@ku.th กิตติชัย ดวงมาลย์ kittichai.d@ku.ac.th อรอนงค์ ผิวนิล onanong.p@ku.th <p> บทความนี้ศึกษาการวัดประสิทธิผลการจัดส่งรายงานการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) และเสนอแนะแนวทางการจัดส่งรายงานฯ มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประเภทโครงการที่กำหนดตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ต้องจัดทำรายงาน EIA และได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ช่วงปี พ.ศ. 2527 - 2566 จำนวน 10,229 โครงการ (9 ประเภทโครงการ) ใช้สถิติเชิงพรรณนา ในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ประเภทโครงการที่ดำเนินการส่งรายงาน EIA 3 อันดับแรก คือ 1.โครงการอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน (ร้อยละ 60.00) 2.โครงการเหมืองแร่ (ร้อยละ 12.63) และ 3.โครงการอุตสาหกรรม (ร้อยละ 7.38) และประเภทโครงการที่ดำเนินการส่งรายงานฯ ตามกระบวนการ EIA 3 อันดับแรก คือ 1.โครงการอาคาร ฯ (ร้อยละ 59.11) 2.โครงการเหมืองแร่ (ร้อยละ 19.27) และ 3.โครงการพลังงาน (ร้อยละ 15.49) ซึ่งประเภทโครงการที่ดำเนินการตามกระบวนการ EIA มากที่สุด คือ โครงการ อื่นๆ และโครงการพลังงาน ร้อยละ 91.67 และ 33.79 ตามลำดับ ส่วนประเภทโครงการที่ไม่ดำเนินการตามกระบวนการ EIA คือ โครงการโรงกลั่นน้ำมัน และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและเกษตรกรรม ร้อยละ 100 โดยทั้ง 2 ประเภทโครงการ เมื่อวิเคราะห์ประสิทธิผลในการจัดส่งรายงานการฯ ตามกระบวนการ EIA คิดเป็นร้อยละ 15.52 ซึ่งอยู่ในระดับน้อยมาก โดยโครงการส่วนมากไม่ดำเนินการตามกระบวนการ EIA และไม่เป็นไปตามประกาศฯ ที่กฎหมายกำหนด</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/271221 การวางผังแม่บทและออกแบบพื้นที่สีเขียวภายนอกอาคารเพื่อการควบคุมสภาพอากาศที่เอื้อต่อความสะดวกสบายของมนุษย์: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ 2024-08-05T16:31:36+07:00 พิทักษ์พงศ์ แบ่งทิศ 62602004@kmitl.ac.th สุปิยา ปัญญาทอง koy.supiya@gmail.com <p> การศึกษานี้มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่สีเขียวของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทรงพุ่มของไม้ยืนต้นและประสิทธิภาพในการสกัดกั้นรังสีดวงอาทิตย์ พร้อมวิเคราะห์สัดส่วนพื้นที่ร่มเงาต่อพื้นที่สิ่งปกคลุมผิวพื้นในบริเวณต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และกำหนดแนวทางการออกแบบภูมิทัศน์ที่เหมาะสม ผลการศึกษาพบว่า ไม้ยืนต้นจำนวน 36 ต้น มีทรงพุ่ม 15 ลักษณะ ส่วนใหญ่เป็นทรงพุ่มหนาแน่นปานกลาง มีระดับการสกัดกั้นรังสีระหว่างร้อยละ 58.91-77.89 และปริมาณความชื้นสัมพัทธ์ใต้ต้นไม้เฉลี่ยที่ร้อยละ 65.1 ซึ่งสูงกว่าค่าที่มนุษย์รู้สึกสบาย เมื่อเปรียบเทียบอุณหภูมิอากาศเหนือสิ่งปกคลุมผิวพื้นกับใต้ต้นไม้ พบว่าพื้นที่รอบหอพักนักศึกษามีอุณหภูมิสูงที่สุด ในขณะที่พื้นที่ส่วนบริหารมีสัดส่วนพื้นที่ร่มเงามากที่สุด อย่างไรก็ตาม พบว่ามี 4 พื้นที่ที่สัดส่วนของพื้นที่ร่มเงาต้นไม้ใหญ่น้อยกว่าพื้นที่สิ่งปกคลุมผิวพื้น โดยเฉพาะคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม และคณะผลิตกรรมการเกษตร ซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าระดับที่มนุษย์รู้สึกสบาย การออกแบบภูมิทัศน์ควรคำนึงถึงความโปร่งโล่ง ร่มรื่น การถ่ายเทอากาศ รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวและตัดแต่งต้นไม้เพื่อควบคุมอุณหภูมิและเพิ่มความสบายในมหาวิทยาลัย</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/270033 การวางแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้วยระบบดิจิทัลพร้อมใช้ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานี 2024-06-05T09:46:40+07:00 อับดุลฟาตะห์ มะสาแม abdunfatah.mas@ftu.ac.th อนุวัตร วอลี anuwatworlee@yahoo.com นูรฮูดา มะสาแม nourhuda.mas@ftu.ac.th มะรอนิง อุเซ็ง u.maroning@ftu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อใช้งานร่วมกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดปัตตานี โดยมีวิธีการดำเนินงานคือ 1) การประเมินและวิเคราะห์ทักษะพื้นฐานทางดิจิทัลของบุคลากรในหน่วยองค์การบริหารส่วนตำบลที่อยู่ในส่วนของสำนักปลัดและกองงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ซึ่งได้ประเมินผลทั้งก่อนและหลังการดำเนินโครงการ 2) การออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการใช้งานร่วมกับกองงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล 5 ตำบลในจังหวัดปัตตานี จำนวน 25 คน ผลจากการดำเนินการพบว่าบุคลากรในหน่วย อบต.ทั้งในส่วนของสำนักปลัดและกองงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีผลการประเมินทักษะทางดิจิทัลก่อนการดำเนินโครงการอยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินโครงการบุคลากรทุกคนมีทักษะทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น สำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล พบว่าสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มรับเรื่องร้องเรียน ขอความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ได้สำเร็จ โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวได้พัฒนาเป็นเว็บแอพลิเคชั่น ที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับกองงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ทุกที่ ทุกเวลา และให้ผลการใช้งานในระดับที่น่าพึงพอใจ</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/274334 การปล่อยและชดเชยก๊าซเรือนกระจกจากการกำจัดขยะของกิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิลเทศบาลตำบลเก่ากลอย อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู 2024-11-29T16:53:12+07:00 โสภณ เบื้องบน XXX@XXX.com ภัทร์ฐิตา ธนกิจมณีรักษ์ suwimol.d@kkumail.com นัสพงษ์ กลิ่นจำปา XXX@XXX.com <p><strong> </strong>งานวิจัยนี้ศึกษาการปล่อยและชดเชยก๊าซเรือนกระจกจากการกำจัดขยะของกิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิล และศึกษาองค์ประกอบทางกายภาพขยะมูลฝอย ในเทศบาลตำบลเก่ากลอย อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ปี พ.ศ. 2566 คำนวณการปล่อยและการชดเชยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีหน่วยเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามแนวทางของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และตามแนวทางของหน่วยงานองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ขยะประเภทเศษอาหารมีองค์ประกอบทางกายภาพสูงสุด ร้อยละ 36.66 ขยะมูลฝอยที่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดคือเศษอาหาร เท่ากับ 284,724.3 kgCO2eq/ปี ขยะมูลฝอยที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด คือ ผ้า เท่ากับ 13,420 kgCO2eq/ปี การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการกำจัดขยะมูลฝอยรวมตลอดทั้งปี เท่ากับ 435,491 kgCO2eq/ปี หลังจากศึกษากิจกรรมกำจัดขยะของธนาคารขยะรีไซเคิล พบว่ามีการชดเชยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมกำจัดขยะของธนาคารขยะรีไซเคิล อยู่ที่ 230,423.20 kgCO2eq/ปี แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการกำจัดขยะของธนาคารขยะรีไซเคิลช่วยชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 205,067.80 kgCO2eq/ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของโครงการในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/274023 บทบาทการมีส่วนร่วมและผลกระทบทางสังคมจากการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในรูปแบบการจัดการป่านันทนาการ: กรณีศึกษา ป่านันทนาการน้ำตกเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี 2024-12-16T09:46:46+07:00 ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม natthaphat.chue@gmail.com กนกวรา พวงประยงค์ XXX@XXX.com <p> แนวคิดการจัดการป่านันทนาการเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยการพัฒนาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งภาคส่วนต่าง ๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่านันทนาการเพื่อการสร้างคุณค่าร่วมที่ยั่งยืน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมและผลกระทบทางสังคมจากการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในรูปแบบการจัดการป่านันทนาการ โดยมีป่านันทนาการน้ำตกเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นกรณีศึกษา การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ บุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน จำนวน 34 คน ผลการศึกษาพบว่า บทบาทการมีส่วนร่วมในการจัดการป่านันทนาการแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น โดยดำเนินการอย่างบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการป่านันทนาการ ส่งผลให้เกิดการสร้างผลกระทบเชิงบวกในมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของป่า รักและหวงแหนป่ามากขึ้น เกิดความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ชุมชนโดยรอบ มีอาชีพและรายได้ พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น และอัตราการบุกรุกป่าลดลง เป็นต้น ดังนั้น ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในรูปแบบการจัดการป่านันทนาการเพื่อให้เกิดรูปธรรมของการพัฒนาป่าสงวนแห่งชาติและการพัฒนาชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JEM/article/view/269774 การประเมินผลกระทบทางสังคมจากโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล: กรณีศึกษา พื้นที่ชายฝั่งหาดมหาราช อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 2024-12-12T16:33:47+07:00 วัชรพงศ์ หนุมาศ watcharapong.han@gmail.com อิทธิศักดิ์ จิราภรณ์วารี ittisak.jira@kmutt.ac.th <p> ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ คือ มาตรการสีเขียว สีขาว และสีเทา การศึกษานี้มุ่งเน้นการประเมินผลกระทบทางสังคมจากโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล กรณีศึกษา พื้นที่ชายฝั่งหาดมหาราช อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด 76 ราย ใน 4 มิติ คือ มิติด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสังคม และด้านวิถีชีวิต ผลการศึกษาพบว่า มิติด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน มีระดับผลกระทบที่สูงที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 3.59 ในทางกลับกันมิติด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีระดับผลกระทบน้อยที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 2.นอกจากนี้ การทดสอบความต่างของค่าเฉลี่ยของอาชีพที่มีระดับความห่วงกังวลต่อผลกระทบทางสังคมในด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านวิถีชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อค้นพบในครั้งนี้สนับสนุนแนวทางการป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรูปแบบผสมผสาน โดยการปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ (สีขาว) ในการกำหนดพื้นที่กันชนให้มีระยะห่างระดับหนึ่งจากทะเล กำหนดการใช้พื้นที่ให้เหมาะสมกับอัตราการกัดเซาะชายฝั่งร่วมกับการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมเดิมที่ได้มีการดำเนินการแล้วเสร็จ (สีเทา) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน