https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/issue/feed
วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
2025-05-02T00:00:00+07:00
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา
journals.unrn@gmail.com
Open Journal Systems
<center> <h4><strong>ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์</strong><strong>วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต</strong></h4> <h4><a style="color: #800080;">วารสารฯ ของเราเป็นวารสารวิชาการสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</a></h4> <h4>จัดอยู่ในฐานข้อมูลของ TCI กลุ่มที่ 2</h4> <h4><a href="https://www.kmutt.ac.th/jif/Impact/detail.php?yr=2561&issn=2630-0443">ค่า IF ประจำปี 2561 = 0.663</a></h4> </center> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต มีนโยบายในการรับตีพิมพ์บทความทางวิชาการ และบทความวิจัย ที่มีคุณภาพในสาขา<strong>มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</strong> ที่มีสาระครอบคลุมวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คุณภาพชีวิต การท่องเที่ยว เกษตรและอาหาร วิสาหกิจชุมชน สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การศึกษา การจัดการระบบชุมชน โดยให้ความสำคัญในด้านการทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชุมชน และเผยแพร่ผลงานวิจัยของนักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่มีคุณภาพ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะเพื่อการพัฒนาชุมชนและเพิ่มคุณภาพชีวิต</p> <p>ISSN: 3057-1839 (Print)</p> <p>ISSN: 3057-1847 (Online)</p> <p> </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเผยแพร่ผลงาน วิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง</p> <p> </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความที่ผ่านกระบวนการส่งเข้ามาเพื่อรอการพิจารณาตีพิมพ์ทุกบทความต้องผ่านการพิจารณาจาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 ท่าน/บทความ</strong> โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review)</p> <p><strong> </strong></p> <p> </p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong></p> <p>บทความวิจัย (Research Article)</p> <p>บทความวิชาการ (Original Paper)</p> <p> </p> <p><strong>ผู้ให้การสนับสนุน</strong></p> <p>วารสารฯ ได้รับการสนับสนุนจาก<br />สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.)</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์วารสารฯ ทุกๆ 4 เดือน<br /></strong>(มกราคม - เมษายน, พฤษภาคม - สิงหาคม, กันยายน - ธันวาคม)</p> <p>โดยจะนำเสนอในรูปแบบ E-journal บนเว็บไซต์วารสารฯ (ThaiJO) <br />ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน<br />ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p><em>" ไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ"</em></p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/272155
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายตัวของผู้สูงอายุและการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2024-07-15T19:22:37+07:00
ศุภฤกษ์ โออินทร์
oin_s@su.ac.th
เนติรัฐ นนทะนำ
oin_s@su.ac.th
<p>งานวิจัยเรื่องการศึกษาและวิเคราะห์ลักษณะการกระจายตัวของผู้สูงอายุและสวัสดิการทางสังคมของผู้สูงอายุ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจำนวนผู้สูงอายุแยกตามเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. 2556 – 2565 จากกรมการปกครอง พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทั้งแบบรายปีและแบบแยกตามเขต ยกเว้น พ.ศ. 2556 ที่มีประชากรผู้สูงอายุมากกว่า พ.ศ. 2557 และศึกษาจำนวนสวัสดิการทางสังคมของผู้สูงอายุแยกตามเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 โดยประกอบไปด้วย สถานพยาบาล สถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ และสวนสาธารณะ โดยนำปัจจัยทั้งสามปัจจัยไปหาความสัมพันธ์กับจำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า สถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีค่า R เท่ากับ 0.513 ค่า R<sup>2</sup> เท่ากับ 0.264 ค่า F เท่ากับ 5.491 และค่า Significance F เท่ากับ 0.003 โดยที่จำนวนสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งมีค่า <em>P</em>-value เท่ากับ 0.0003 หมายความว่าจากตัวแปรอิสระทั้งหมดมีเพียงจำนวนสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามหรือจำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่กรุงเทพมหานคร</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/273721
แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมองด้วยการแพทย์แผนไทย
2024-09-26T00:14:16+07:00
วรรณพร สุริยะคุปต์
wannaporn.sur@gmail.com
ปริพัช เงินงาม
paripach@hotmail.com
ฐิติรัตน์ ชัยชนะ
Rajung_0001@hotmail.com
วศิน พลนรัตน์
suwasin.pol@crru.ac.th
พรนิภา สิทธิสระดู่
Mirror.bell2533@gmail.com
<p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; color: windowtext; letter-spacing: .2pt;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและผลกระทบของผู้สูงอายุที่เป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ตำบลสันทราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองด้วยการแพทย์แผนไทยโดยวิเคราะห์จากเอกสารร่วมกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วมของอาจารย์และแพทย์แผนไทย จำนวน 10 คน และการจัดประชุมกลุ่มเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาและผลกระทบของผู้สูงอายุที่เป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับบุคคลคือ มีปัญหาทั้งด้านร่างกายและจิตใจระดับครอบครัวคือ การดูแลผู้ป่วยเป็นภาระหนัก และระดับสังคมคือการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยมีค่าใช้จ่ายสูง และ 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับบุคคล คือ การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทยระดับครอบครัวคือการนำวิถีชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรักษา และระดับสังคมคือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้นำชุมชนด้วยกระบวนการจิตอาสา</span></p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/273602
การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนเทศบาลตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
2024-09-20T12:18:26+07:00
สามารถ ใจเตี้ย
samartcmru@gmail.com
จันจิราภรณ์ สท้านไตรภพ
Samart_jai@cmru.ac.th
สิวลี รัตนปัญญา
Samart_jai@cmru.ac.th
<p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชน 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชน และ <br />3) สังเคราะห์ข้อเสนอแนะกิจกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชน จำนวน 382 ครัวเรือน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดการขยะมูลฝอย จำนวน 37 คน ในพื้นที่เทศบาลตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ประชาชนขาดการสนับสนุนอุปกรณ์ในการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน และกลไกส่งเสริมการใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอยยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนมีการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนภาพรวมระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.18 ± 0.32) โดยมีปัจจัยอายุ (r= - 0.112, <em> P</em>–value = 0.046) และปัจจัยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือน (r= 0.146<em>, P</em>–value = 0.011) มีความสัมพันธ์กับการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสนอแนะกิจกรรมการสนับสนุนอุปกรณ์ในการรองรับและรวบรวมขยะมูลฝอยที่คัดแยกได้ การใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอยทั้งการสร้างรายได้และการใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร และการเสริมสร้างความรู้การใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอยให้กับประชาชน</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/275201
ปัจจัยทางการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโม เกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง
2024-11-26T14:19:34+07:00
ศิริวรรณ์ ศิลารักษ์
siriwan.si@rmutsv.ac.th
นุชนาถ ทับครุฑ
siriwan.si@rmutsv.ac.th
ศุกพิชญาณ์ บุญเกื้อ
siriwan.si@rmutsv.ac.th
จันทรา อุ้ยเอ้ง
siriwan.si@rmutsv.ac.th
กนกรัตน์ รัตนพันธุ์
siriwan.si@rmutsv.ac.th
ลักษมี วิทยา
siriwan.si@rmutsv.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยสวนบุคคล ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและจิตวิทยา และพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อแตงโมเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กับผู้บริโภคที่ซื้อหรือเคยซื้อแตงโมเกาะสุกร 449 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโม พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากมีภูมิลำเนาใน จังหวัดตรัง เป็นเพศชาย อายุไม่เกิน 25ปี ส่วนมากมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน น้อยกว่า 8,000 บาทต่อเดือนและส่วนใหญ่รู้จักแตงโมเกาะสุกร ผลการศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและปัจจัยด้านจิตวิทยา พบว่า โดยภาพรวมจะอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและด้านราคามีอิทธิพลอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.52) ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และปัจจัยด้านประชาสัมพันธ์และด้านจิตวิทยามีอิทธิพลอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.46) และผลการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคพบว่า ความถี่ในการซื้อแตงโม อยู่ระหว่าง 1-5 วันต่อครั้ง ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโม คือ รสชาติ และราคาที่ซื้อ อยู่ที่น้อยกว่า 100 บาทต่อครั้ง น้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ซื้อต่อครั้ง คือ น้อยกว่า 2 กิโลกรัม ช่องทางการเลือกซื้อแตงโม ส่วนใหญ่ซื้อที่ตลาดผลไม้ และหากมีแตงโมออร์แกนิกหรือปลอดภัยวางจำหน่ายจะสนใจซื้อ โดยเฉพาะมีตราสินค้าออร์แกนิก หรือปลอดภัย</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/270379
กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดและแนวทางการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นมของสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด
2024-05-09T00:45:58+07:00
สุพัตรา คำแหง
supatra.k@rmutsv.ac.th
สิทธิชัย นวลเศรษฐ
Supatra.k@rmuthv.ac.th
สุธิกาญจน์ แก้วคงบุญ
Supatra.k@rmuthv.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงเพื่อ 1. ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นมของสหกรณ์โคนมพัทลุง 2. เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการของสหกรณ์โคนมพัทลุง 3. เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมของสหกรณ์โคนมพัทลุง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ใช้แบบสอบถามกลุ่มผู้บริโภคในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามัน จำนวน 400 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค พบว่า กลุ่มผู้บริโภคจะชอบผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ชนิดปรุงแต่งและรสพร่องมันเนย โดยมีความถี่ในการบริโภคสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้งและซื้อผลิตภัณฑ์จากตัวแทนจำหน่าย และ รู้จักผลิตภัณฑ์จากช่องทางการออกร้านและจัดแสดงนิทรรศการ ผลการศึกษากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณราการ พบว่า สหกรณ์โคนมพัทลุงใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ และการจัดกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมการขายเชิงพื้นที่ ผลการศึกษาการตัดสินใจซื้อ พบว่า กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะตัดสินใจซื้อเพราเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานสินค้า รสชาติมีความอร่อยและมีความหลากหลายในรสชาติและขนาดบรรจุเหมาะสมต่อการบริโภคและผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่า ควรเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้หลากหลายผ่านทางช่องทางการตลาดทางตรงแลการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/270881
การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์น้ำพริกลาบเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนน้ำพริกลาบบ้านน้ำจำ ตำบลวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
2024-05-28T13:43:16+07:00
จิระประภา คำราช
chiraprapha5356@gmail.com
ฐิฏิกานต์ สุริยะสาร
chi_2514@hotmail.com
กาญจนา คุมา
chi_2514@hotmail.com
เบญจวรรณ เลาลลิต
chi_2514@hotmail.com
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมและศักยภาพโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ของกลุ่มน้ำพริกลาบ 2) การวิเคราะห์แผนธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำพริกลาบโดยใช้แบบจำลองธุรกิจ (Business Model Canvas) ในการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์จากสมาชิกกลุ่มจำนวน 25 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกลาบที่มีเอกลักษณ์ด้านกลิ่นและรสชาติ มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันจากวัตถุดิบปลอดสารและเป็นผลผลิตจากสมุนไพรพื้นบ้านที่ปลูกเองตามธรรมชาติ ทำให้มีความปลอดภัยและมีต้นทุนวัตถุดิบต่ำ และ 2) การวิเคราะห์แผนธุรกิจ โดยใช้แบบจำลองธุรกิจทำให้กลุ่มน้ำพริกลาบบ้านน้ำจำพัฒนากลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ กลุ่มเป้าหมายหลักประกอบด้วยผู้บริโภคชาวภาคเหนือ คนในชุมชนที่ทำงานต่างพื้นที่และผู้ประกอบการร้านอาหารพื้นเมือง เพื่อทราบถึงความต้องการของผู้บริโภคและนำข้อมูลมาพัฒนากระบวนการผลิต สร้างช่องทางการสื่อสารจากผู้ซื้อโดยตรงได้แก่ Line, Facebook ผลิตภัณฑ์นี้อยู่ระหว่างการขอรับมาตรฐานการผลิต จะทำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มและเป็นการสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงให้กับชุมชนตลอดไป</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/273338
การยกระดับการผลิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกผักอินทรีย์ ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
2024-09-08T18:03:00+07:00
พิไล เลิศพงศ์พิรุฬห์
philai_ler@cmru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะและรูปแบบการผลิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกผักอินทรีย์ ตำบลออนใต้ 2) พัฒนาการผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ 3) วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการเข้าสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม มีวิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างที่เข้ารับการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในแต่ละขั้นตอน มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกผักอินทรีย์ได้เข้าร่วมอบรมมาตรฐานการผลิต จำนวน 40 คน มีการยื่นใบสมัครเพื่อเข้ารับการตรวจ 20 คน มีการเข้ารับการตรวจรอบที่หนึ่ง จำนวน 14 คน ผ่านการตรวจและปรับปรุงระบบการปลูก จำนวน 10 คน และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 4 คน เนื่องจากระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์มีมาตรฐานเข้มงวด จึงทำให้มีเกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐานไม่มากนัก ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ และใช้เป็นต้นแบบในการผลิตเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่อื่น ๆ ได้</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/272763
การพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสร้างความยั่งยืนของวิสาหกิจชุมชน
2024-08-14T16:12:37+07:00
ลลิตา พิมทา
lalitapimta@hotmail.com
สิรวิชญ์ ปิ่นคำ
lalitapimta@hotmail.com
โชคชัย ศรีชัย
lalitapimta@hotmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ และเพื่อประเมินผลการดำเนินงานดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่บริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จำนวน 163 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการสถิติเชิงพรรณนา ผลการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ชุมชนได้รับการพัฒนาและยกระดับเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์ โดยได้มาตรฐาน อย. จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ กษ-ORGANIC จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ มผช. จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมี 10 ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างยื่นขอมาตรฐาน อย. และ มผช. ผลการประเมินการดำเนินงาน พบว่า ความเหมาะสมของกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =3.88) มีความเหมาะสมของการดำเนินงานตามแนวทาง BSC โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =3.90) และมีความสำเร็จการใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.12)</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/273263
คนรุ่นใหม่รักบ้านเกิด: การสร้างเครือข่ายนวัตกรรักษ์ถิ่นในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่
2024-09-05T16:04:45+07:00
พระมหานันทวิทย์ แก้วบุตรดี
porntipg@gmail.com
พรทิพย์ เกศตระกูล
porntipg@gmail.com
นาฏนภางค์ โพธิ์ไพจิตร์
porntipg@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายนวัตกรรักษ์ถิ่นในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ 2. พัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายนวัตกรรักษ์ถิ่นในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ 3. นำเสนอแนวทางการขยายเครือข่ายนวัตกรรักษ์ถิ่นในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การเสวนากลุ่ม การจัดกิจกรรม เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 23 คน และกลุ่มตัวอย่าง 20 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 23 คน และกลุ่มตัวอย่าง 20 คน วิเคราะห์ข้อมูล<br />เชิงคุณภาพด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ T-test ผลการศึกษาปัจจัยที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายนวัตกรรักษ์ถิ่นในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ พบว่า ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยภายในตัวบุคคล ประกอบด้วย การมีความกตัญญูกตเวที มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน มีความคิดเชิงบวก มีความเพียรพยายามไม่ย่อท้อ<br />มีความคิดสร้างสรรค์ 2) ปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย การสนับสนุนจากครอบครัว การมีกัลยาณมิตร การมีเครือข่ายความรู้ ความร่วมมือของชุมชน ทุนทางสังคมในชุมชนพื้นที่ รูปแบบการสร้างเครือข่ายที่พัฒนามี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การวิเคราะห์จุดแข็ง การลงมือทำ และการสร้างเครือข่าย กิจกรรมเสริมสร้างแรงบันดาลใจส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างมีความเชื่อมั่นในตนเองและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/270814
การประยุกต์ใช้หลักการศาสนาอิสลามของชุมชนแผ่นดินทองนูรุดดีน ในการดำเนินงานการจัดการขยะเพื่อสร้างความยั่งยืน
2024-05-25T22:01:33+07:00
ทศพร มะหะหมัด
tosaporn.mah@kbu.ac.th
เพ็ญจุรี คันธวงศ์
tosaporn.mah@rmutr.ac.th
ฟาลิซิโต้ เจบูเต
tosaporn.mah@kbu.ac.th
ภิราภรณ์ ก้อนคำ
tosaporn.mah@kbu.ac.th
อิงอร ตั้นพันธ์
tosaporn.mah@kbu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักการศาสนาอิสลามในการจัดการขยะของชุมชนแผ่นดินทองนูรุดดีน โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการลดปริมาณขยะที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฎิบัติการ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตการณ์เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการขยะในชุมชน ผลการวิจัยพบว่าชุมชนสามารถนำหลักการศาสนาอิสลาม เช่น <em>Khalifah</em> (การเป็นผู้ดูแลโลก) และ <em>Ihsan</em> (การทำความดี) มาประยุกต์ใช้ในการแยกขยะ การลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง และการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ปริมาณขยะในชุมชนลดลงและการรีไซเคิลขยะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนในการจัดการขยะและ การประยุกต์ใช้หลักการศาสนาอิสลามในการจัดการขยะในชุมชนแผ่นดินทองนูรุดดีนเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน สมาชิกในชุมชนสามารถนำหลักการทางศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง และสามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/270672
แนวทางการส่งเสริมการผลิตมะม่วงมหาชนกของวิสาหกิจชุมชนไม้ผลและมะม่วง ตำบลหนองบัว อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์
2024-05-21T12:55:50+07:00
ยศ บริสุทธิ์
yosboris@kku.ac.th
สุวัฒน์ ทองเดือน
yosboris@kku.ac.th
สุภัทร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
yosboris@kku.ac.th
<p><strong>: </strong>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการผลิตมะม่วงมหาชนกของวิสาหกิจชุมชนไม้ผลและมะม่วงตำบลหนองบัว อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้ดำเนินการศึกษา 2 ระยะ ในปี 2565 โดยระยะแรก ได้ศึกษาบริบท สภาพการผลิต การแปรรูปและการตลาดมะม่วงของวิสาหกิจชุมชน ด้วยการประยุกต์ใช้เทคนิค RRA และระยะที่ 2 ได้ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการผลิตมะม่วงมหาชนกของวิสาหกิจชุมชน ด้วยการประยุกต์ใช้เทคนิค A-I-C ผลการศึกษา พบว่า วิสาหกิจชุมชนมีพื้นที่ปลูก 120 ไร่ ปริมาณผลผลิตรวม 180 ตันต่อปี มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 8.1 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วิสาหกิจชุมชนจะมีศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออก แต่ยังผลิตมะม่วงมหาชนกนอกฤดูได้น้อยและคุณภาพไม่ตรงความต้องการของตลาดส่งออก และแนวทางการส่งเสริมการผลิต พบว่ามี 4 แนวทาง ที่สามารถดำเนินการนำร่องได้ภายในปีการผลิต 2566/67 ได้แก่ (1) การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบการให้น้ำอัจฉริยะ (2) การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตลูกมะม่วงคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของตลาด (3) การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีมะม่วงมหาชนกนอกฤดู และ (4) การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการศัตรูพืช </p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/273512
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับปรุงดินในนาข้าวของเกษตรกร อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
2024-09-16T23:43:22+07:00
จิลลาภัทร ทีฆาวงค์
jinlapateeka@gmail.com
นารีรัตน์ สีระสาร
jinlapateeka@gmail.com
ปริชาติ ดิษฐกิจ
jinlapateeka@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับปรุงดินในนาข้าวของเกษตรกรอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่านที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ปีการผลิต 2566/67 จำนวน 443 ราย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรทาโรยามาเน ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 210 ราย สุ่มตัวอย่างแบบง่าย และใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดอันดับ และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้เครื่องมือทางสถิติ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลตารางไขว้ (crosstab) และ chi-square ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับปรุงดินในนาข้าว โดยการทดสอบ chi-square <br />ค่า <em>P</em>-value มีค่าเท่ากับ 0.027 ซึ่งน้อยกว่าระดับนัยสำคัญที่ α = 0.05 จึงสามารถปฏิเสธ H<sub>0</sub> ทำให้สามารถสรุปได้ว่า การตรวจวิเคราะห์ดินมีความสัมพันธ์กับการปรับปรุงดินในนาข้าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/274613
ความรู้ พฤติกรรม และความตระหนักของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในการใช้สารเคมีทางการเกษตรในจังหวัดสุโขทัย
2024-10-30T20:37:43+07:00
ปิยะดา วชิระวงศกร
piyada333@hotmail.com
พลอยขวัญ เอี่ยมสอาด
piyada333@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงระดับวิความรู้เกี่ยวกับการใช้และอันตรายของสารเคมีทางการเกษตร พฤติกรรมการใช้และป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรในการปลูกข้าว รวมถึงความตระหนักถึงอันตรายจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในเขตพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 400 ราย ผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเคยได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการใช้และป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรเพียงร้อยละ 35.75 โดยได้รับข้อมูลจากพนักงานขายสารเคมีทางการเกษตรมากที่สุด เกษตรกรผู้ปลูกข้าวส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้และอันตรายจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 44.25 และพฤติกรรมการใช้และป้องกันอันตรายจากสารเคมีทางการเกษตรอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=2.45±0.18) ในขณะที่ความตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอยู่ในระดับมาก (x̄=3.86±0.15) โดยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีความตระหนักต่ออันตรายต่อตัวเกษตรกรมากที่สุด (x̄=4.60±0.46) รองลงมา คือ ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (x̄=3.81±0.21) และความตระหนักถึงอันตรายต่อผู้บริโภค (x̄=3.15±0.47) ตามลำดับ</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/270165
การเตรียมความพร้อมของชุมชนสำหรับรองรับการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตำบลน้ำหมาน อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
2024-04-30T12:59:38+07:00
วิริยา เพียรไทย
wiriya.p3@gmail.com
วิชญ์ มะลิต้น
wiriya.p3@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นและกระบวนการในการเตรียมความพร้อมของชุมชนสำหรับรองรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลน้ำหมาน อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือคือ แบบสอบถาม ประชากรคือ ชาวบ้านตำบลน้ำหมาน 4,040 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 357 คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า PNI modified ส่วนการศึกษากระบวนการในการเตรียมความพร้อม <br />แบ่งเป็น 4 กระบวนการคือ 1) Decision making: กระบวนการ Appreciation-Influence-Control (AIC) <br />2) Implementation: วิจัยเชิงปฏิบัติการ 3) Benefits: ใช้การสนทนากลุ่ม 4) Evaluation: ประชุมเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมาย ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่าความต้องการจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวมีความต้องการจำเป็นพบว่า ด้าน Benefits พบเป็นลำดับแรก ค่า PNI modified = 0.93 ด้านกระบวนการในการเตรียมความพร้อม ระยะที่ 1 Decision making ระยะที่ 2 Implementation ระยะที่ 3 Benefits และระยะที่ 4 Evaluation พบว่าควรเตรียมความพร้อมใน 3 ด้านคือ 1) การเตรียมความพร้อมของสถานที่ท่องเที่ยว 2) การเตรียมสินค้าชุมชน 3) การเตรียมความพร้อมบ้านพักหรือโฮมสเตย์</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JCDLQ/article/view/271729
ทัศนคติของนักศึกษามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาที่มีต่อผู้สูงอายุ
2024-06-28T13:36:44+07:00
ฉัตรจงกล ตุลยนิษกะ
chatjongkon@hu.ac.th
มาธุรี อุไรรัตน์
mathuree.may@gmail.com
กาญจนารัติ อุไรรัตน์
Kanjanarat.u@rmutsv.ac.th
สุมนฑา วงศ์งาม
sumontha_w@hu.ac.th
<p>: การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อผู้สูงอายุ และ <br /> 2) เปรียบเทียบระดับทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาปีที่ 1คณะศึกษาศาสตร์และ<br />ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบวัดระดับทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อผู้สูงอายุ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษามีทัศนคติต่อผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.26, S.D.=1.01) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อผู้สูงอายุอยู่ในระดับสูง ได้แก่ ด้านความเชื่อ ( =4.11, S.D.=1.03) และด้านบทบาท ( =3.57, S.D.=1.01) 2) ผลการเปรียบเทียบระดับทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อผู้สูงอายุ พบว่า นักศึกษาที่มีรูปแบบความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุแตกต่างกัน มีระดับทัศนคติต่อผู้สูงอายุแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เพียง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านลักษณะนิสัยส่วนบุคคล และด้านการปรับตัว เมื่อทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีของ (Scheffe, 1953) พบว่า นักศึกษาที่มีรูปแบบความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุแตกต่างกัน มีระดับทัศนคติต่อผู้สูงอายุแตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-05-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต