วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS
<p> ตั้งแต่ ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) เป็นต้นไป ได้ยกเลิกการตีพิมพ์รูปเล่มวารสารโดยจะเผยแพร่บทความแบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว</p>
th-TH
[email protected] (ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์)
[email protected] (บุญมี แก้วตา)
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
พุทธบูรณาการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/260994
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และพุทธธรรม<span class="Apple-converted-space"> </span>ที่เกี่ยวข้อง 2) เพื่อศึกษาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง 3) พุทธบูรณาการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีระเบียบวิธีวิจัยค้นคว้าทางเอกสารร่วมกับการศึกษาภาคสนามในพื้นที่แบบเฉพาะเจาะจง คือชุมชนวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญเพื่อการศึกษาวิจัยครั้งนี้ จำนวนทั้งสิ้น 44 รูป/คน กำหนดและแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มหน่วยงานภาครัฐด้านพัฒนาชุมชน 7 คน 2) กลุ่มผู้นำชุมชน วิสาหกิจและอาสาสมัครชุมชน 15 คน<span class="Apple-converted-space"> </span>3) กลุ่มพระสังฆาธิการ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา 15 รูป/คน 4) กลุ่มภาคี เครือข่ายพัฒนาชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ 7 คน เครื่องมือใช้ศึกษาวิจัย 4 ชนิด ได้แก่<span class="Apple-converted-space"> </span>1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง 3) การสนทนากลุ่ม 4) เครื่องมือเก็บบันทึกข้อมูล รวบรวมข้อมูลบูรณาการหลักพุทธธรรมกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว</p> <p class="p1"><span class="s1"><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และพุทธธรรมมีเป้าหมายสอดคล้องกัน เน้นการพึ่งพาคุณค่าทุนทางสังคม นำไปสู่มูลค่าเพิ่มโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด </span></p> <p class="p1">2) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว ใช้คุณค่าทุนทางสังคมผสานการเรียนรู้วิทยาการใหม่ พัฒนาเพิ่มมูลค่าบนพื้นฐานของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ <span class="Apple-converted-space"> </span></p> <p class="p1"><span class="s1">3) พุทธบูรณาการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชุมชนวอแก้ว ได้เกื้อหนุนทัศนคติต่อทุนทางสังคม เป็นสิ่งมีประโยชน์ มีคุณค่าสูง การพึ่งพาใช้สอยปัจจัยการผลิตมุ่งสู่เศรษฐกิจที่ดีงาม ชะลอความสิ้นเปลืองแก่<span class="Apple-converted-space"> </span>องค์รวมธรรมชาติ การอยู่ร่วมกันจึงงอกงามแห่งประโยชน์สุขนานับปการ</span></p>
จันทนา จิตวิริยานันท์
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/260994
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
แนวปฏิบัติและกระบวนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของเครือข่ายพระนักพัฒนาบนพื้นที่สูง : พื้นที่ต้นแบบ ฮอด แม่แจ่ม แม่สะเรียง
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/259714
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 4 ประการคือ (1) เพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในกระบวนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของเครือข่ายพระนักพัฒนาบนพื้นที่สูง (2) เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของเครือข่ายพระนักพัฒนาบนที่สูงในพื้นที่ต้นแบบอำเภอฮอด อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่สะเรียง (3) เพื่อวิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่าย พระนักพัฒนาบนพื้นที่สูงและกระบวนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต้นแบบ อำเภอฮอด อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่สะเรียง (4) เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้ของพื้นที่ต้นแบบ (Model) ในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของเครือข่ายพระนักพัฒนาและกระบวนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต้นแบบ การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา จำนวน 27 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรม คือ หลักอิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท กรรม และเมตตา 2) ผลการดำเนินงานด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย (1) การจัดการขยะ (2) บวชป่า (3) ทำแนวกันไฟ (4) อนุรักษ์ต้นน้ำ (5) อนุรักษ์พันธุ์ปลา (6) รณรงค์การไม่ใช้สารเคมี (7) ธนาคารข้าว (8) เครือข่ายอาสาสมัครรักษ์สิ่งแวดล้อม 3) วิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่ายพระนักพัฒนา ประกอบด้วย (1) การใช้แบบยั่งยืน (Sustainable utilization) (2) การกักเก็บรักษา (Storage) (3) การรักษาหรือซ่อมแซม (repair) (4) การฟื้นฟู (rehabilitation) (5) การพัฒนา (development) (6) การป้องกัน (protection) (7) การสงวน (preservation) (8) การแบ่งเขต (Zoning) และ 4) สังเคราะห์องค์ความรู้ในพื้นที่ต้นแบบ (Model) ประกอบด้วย (1) การพัฒนาศักยภาพของคน (Man) (2) งบประมาณ หรือ เงินหรือทุน หรือทรัพยากร (Money/Resource) (3) วัสดุ (Material) (4) การบริหารจัดการ (Management) (5) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Network) (6) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม (Holistic Approach) </p>
สกุณา คงจันทร์, พระวุฒิชัย มหาสทฺโท (เสียงใหญ่), ร้อยโทเทิดศักดิ์ ดวงปันสิงห์
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/259714
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
การบริหารจัดการปัจจัย 4 ตามหลักพุทธปรัชญา ของภิกษุสามเณร วัดจองคำ พระอารามหลวง ตำบลบ้านหวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263019
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการปัจจัย 4 ตามหลักพุทธปรัชญา ของภิกษุสามเณรในวัด 2) เพื่อศึกษาปัญหาในการบริหารจัดการปัจจัย 4 ตามหลัก<span class="s2">พุทธปรัชญา ของภิกษุสามเณรในวัด</span> 3) <span class="s3">เพื่อเสนอแนวทางใน</span>การบริหารจัดการปัจจัย 4 ตามหลักพุทธปรัชญา ของภิกษุสามเณรในวัดจองคำ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ <span class="s4">ภิกษุสามเณร ใน</span>วัดจองคำ พระอารามหลวง ตำบลบ้านหวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง จำนวน 27 รูป เป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า: 1) การบริหารจัดการปัจจัย 4 พบว่า มีการจัดถวายจีวรเครื่องนุ่งห่มปีละ 3 ครั้ง, อาหารบิณฑบาต<span class="Apple-converted-space"> </span>มีการจัดตั้งโรงครัวภายในวัด เสนาสนะมีการล้อมกำแพงทั้งบริเวณ ในแต่ละอาคารจะมีกล้องวงจรปิดทุกที่ ภิกษุสามเณรอยู่รวมกันที่อาคารเดียวกันทั้งหมด เภสัชหรือระบบสาธารณสุขนั้น หากภิกษุสามเณร ไม่<span class="s4">สบาย ทางวัดมีภิกษุเป็นเจ้าหน้าที่ดูแล มีรถรับส่งไปโรงพยาบาล แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสทุกครั้ง </span><span class="s5">2) ปัญหาในการบริหารจัดการปัจจัย 4 </span>พบว่า สามเณรไม่รักษาเครื่องนุ่งห่ม ยังไม่เคยมีนักวิชาการด้านโภชนาการมาให้คำแนะนำหรืออบรมแม่ครัวเกี่ยวกับเรื่องคุณค่าด้านโภชนาหาร เสนาสนะ มีการปลูกต้นไม้ใกล้กุฏิจนเกินไปทำให้กิ่งไม้หักใส่หลังคา บริเวณวัดมีสุนัขมากเกินไป ในด้านเภสัชหรือระบบสาธารณสุขนั้น ภิกษุที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลยังไม่มีความรู้มากพอในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและในการจ่ายยาให้กับภิกษุสามเณร 3) <span class="s3">แนวทางใน</span>การบริหารจัดการปัจจัย 4 พบว่า ควรมีโครงการไปศึกษาดูงานตามวัดต่าง ๆ เพื่อหาข้อมูลเปรียบเทียบแล้วนำไปพัฒนาการบริหารจัดการปัจจัย <span class="s6">4 ภายในวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะจะก่อให้เกิดผล คือภิกษุสามเณรได้รับการแบ่งปัน</span> แจกจ่ายอย่างทั่วถึงเสมอภาค เป็นธรรม ภิกษุสามเณรได้อาศัยการบริหารแจกจ่าย<span class="s6">ที่เป็นธรรมทั่วถึงนี้อยู่กันอย่างผาสุก </span>คือการได้อาศัยปัจจัย 4 ที่เป็นสัปปายะ เรียนรู้พัฒนาตนเองเข้าถึงธรรมในระดับที่สูงขึ้นไป</p>
พระมหาสมยศ ยสสฺสี (ดาทอง), ทรงศักดิ์ พรมดี, อุเทน ลาพิงค์
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263019
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน : ศึกษาเฉพาะกรณี วัดสันป่าแดง ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263035
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของพระสงฆ์วัดสันป่าแดง ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน 2) เพื่อศึกษาปัญหาการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ตามบทบาทของพระสงฆ์วัดสันป่าแดง 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ตามบทบาทของพระสงฆ์วัดสันป่าแดง เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีการรวบรวมข้อมูลการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการเลือกโดยเฉพาะเจาะจง จำนวน 25 รูป/คน</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของพระสงฆ์ ด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา มีการเผยแพร่ธรรมในวันธรรมสวนะและวันสำคัญทางศาสนา บทบาทด้านการศึกษาสงเคราะห์ มีการมอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์ทางการศึกษาบ้าง บทบาทด้านสาธารณะสงเคราะห์ มีการช่วยเหลือสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน<span class="Apple-converted-space"> </span>2) ปัญหาการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา ไม่มีชาวบ้านกลุ่มใหม่ให้ความสนใจในการเข้าวัด ด้านการศึกษาสงเคราะห์ การสนับสนุนการศึกษาของทางวัดยังไม่ครอบคลุมต่อความต้องการ ด้านสาธารณะสงเคราะห์ การบริหารจัดการไม่ให้มีผู้มาแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่มาขอใช้สถานที่ภายในวัดยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร<span class="Apple-converted-space"> </span>3. ด้านการเผยแพร่พุทธศาสนาควรบรรยายธรรมะที่เข้าใจง่ายและตัดขั้นตอนทางพิธีกรรมที่ไม่จำเป็นออก ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ควรส่งเสริมการศึกษาในทุก ๆ ด้าน ด้านการสาธารณะสงเคราะห์ <br />ควรมีการบริหารจัดการในการขอใช้สถานที่ภายในวัดอย่างเป็นระบบ</p>
พระพีรธรรม วีรธมฺโม (พิชยานุสรณ์), พระครูสมุห์ธนโชติ จิรธมฺโม, ทรงศักดิ์ พรมดี
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263035
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
การจัดการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรณีศึกษาชุมชนบ้านบ่อกรังหมู่ที่ 2 ตำบลท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263743
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทและการจัดการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชนบ้านบ่อกรัง หมู่ที่ 2 ตำบลท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยมีผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และนักพัฒนาชุมชน และผู้ให้ข้อมูลรอง คือ ประชาชนในชุมชนบ้านบ่อกรัง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม จากนั้นวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า บริบทชุมชนบ้านบ่อกรัง ถือเป็นชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร และค้าขาย ซึ่งเดิมชุมชนเคยเป็นพื้นที่สีขาว ปลอดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับการจัดการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ชุมชนมีการจัดการแบบเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงและตรงจุด ทั้งด้านกระบวนการวางแผน การกำหนดมาตรการบริหารจัดการปัญหา การมีส่วนร่วมของประชาชน การให้บริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน</p>
วีริศ ฤกษ์ดี
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263743
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
การศึกษาสมรรถนะของพระสังฆาธิการเพื่อการบริหารจัดการวัดและชุมชนที่ดีกรณีศึกษา พระสังฆาธิการในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263226
<p class="p1">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ในการบริหารจัดการวัดและชุมชนของพระสังฆาธิการ 2) เพื่อศึกษาสมรรถนะของพระในการบริหารจัดการ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี โดยกลุ่มประชากรเป็นพระสังฆาธิการในพื้นที่อำเภอแม่ริม จำนวน 83 รูป ประชากรสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 5 รูป แบบวิธีสุ่มอย่างง่าย โดยการใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) พระสังฆาธิการโดยมากเรียนรู้กระบวนการดังกล่าวด้านแนวทางปฏิบัติ รูปแบบการเรียนรู้ทั้งหลักธรรมและหลักวิชาเรียนรู้ตามยุคสมัย จากอดีตเจ้าอาวาสแบบซึมซับรับใช้ ผ่านการปฏิบัติงานจริง ความมีพระวินัย และข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ต่อการบริหารวัดและชุมชน 2) สมรรถนะในการบริหารจัดการวัดและชุมชนของพระสังฆาธิการ อยู่ในระดับดีในด้านต่อไปนี้ คือ 1. ด้านปริยัติธรรมหรือการศึกษาธรรม ซึ่งประกอบด้วย ความรู้ในด้านหลักธรรมที่สามารถนำมาหนุนเสริมในการบริหารจัดการวัดและชุมชน และความรู้ในด้านการบริหารจัดการวัดและชุมชน<span class="Apple-converted-space"> </span>2. ด้านปฏิบัติธรรมหรือการนำธรรมมาปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยทักษะความสามารถในการสื่อสารถ่ายทอดธรรมะสู่ประชาชน<span class="Apple-converted-space"> </span>การประสานงาน และการใช้สื่อเทคโนโลยี และ 3. ด้านปฏิเวธธรรม หรือผลของการฝึกการใช้ธรรมะ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการการวางตนที่เหมาะสม ดังนั้น สมรรถนะที่สำคัญเหล่านี้ควรได้รับการพัฒนาในหมู่พระสงฆ์รุ่นใหม่ เพื่อให้พระสงฆ์มีความพร้อมที่จะเป็นพระสังฆาธิการที่สามารถบริหารจัดการวัดและชุมชนได้เป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต</p>
พระครูมนุญบุญญากร ศรีบุญเป็ง, เฉลิมชัย ปัญญาด, สมคิด แก้วทิพย์
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263226
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
วิเคราะห์ระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย : ปัญหาเชิงพุทธจริยศาสตร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263015
<p class="p1">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาแนวคิดระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย 2) ศึกษาแนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ 3) วิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทย เป็นการวิจัยเชิงเอกสารแล้ววิเคราะห์ประมวลผลเนื้อหาว่าระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยเป็นปัญหาเชิงพุทธจริยศาสตร์หรือไม่อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์พรรณนา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยมีลักษณะการกระทำในสองลักษณะคือการกระทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยชอบด้วยกฎหมายและการประทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 2) แนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ ถือหลักการว่าการจะตัดสินการกระทำใดเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีใช้การกระทำหรือกรรมเป็นเครื่องชี้วัด และการกระทำที่จะถือว่าเป็นกรรมได้นั้นจักต้องเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงสภาพของจิตใจของผู้กระทำ สำนึกมโนธรรม หลักความสันโดษ ความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ ผลของการกระทำ และหลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติศีล 3) เมื่อวิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทยโดยใช้หลักมูลเหตุอันเป็นการส่อถึงเจตนาที่เป็นกุศลมูลหรืออกุศลมูล หลักความสันโดษ หลักมโนธรรมสำนึก หลักการฟังความเห็นหรือพิจารณาความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ และหลักพิจารณาลักษณะและผลของการกระทำหรือดูผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองลักษณะนี้เป็นสิ่งที่พุทธศาสนา ไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อพิจารณาตามสภาวะว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ การกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ ส่วนการกระทำลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ เมื่อใช้หลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติของศีลในระดับโลกิยะธรรมคือ ศีล 5 พบว่าไม่ล่วงละเมิดศีล<span class="Apple-converted-space"> </span>ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 อาจละเมิดศีลข้อที่ 4 และไม่ละเมิดศีลข้อที่ 5</p>
ฉัตรชัย วงศ์ปริยากร, อุเทน ลาพิงค์, พระมหาวิเศษ ปญฺญาวชิโร
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263015
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการงานอนุมัติผลการศึกษา สำนักส่งเสริมวิชาการ และงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/261683
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาในการให้บริการงานอนุมัติผลการศึกษา สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาในการให้บริการงานอนุมัติผลการศึกษา สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำแนกตาม เพศ และคณะ ผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 334 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายตามสูตรการคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที ซึ่งใช้กับกลุ่มที่มีตัวแปรสองกลุ่ม และ การทดสอบแบบเอฟ ซึ่งใช้กับกลุ่มที่มีตัวแปรมากกว่าสองกลุ่มขึ้นไป</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า<span class="Apple-converted-space"> </span>1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ความพึงพอใจที่ได้รับบริการจากงานอนุมัติผลการศึกษาในทุกด้านพบว่ามีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด<span class="s1"> <br />(</span> <img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" />= 4.58 ; S.D. = 0.41<span class="s1">)<span class="Apple-converted-space"> </span>ด้านที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุดคือ </span>ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ<br /><span class="s1">(<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" /></span>= 4.64 ; S.D. = 0.42<span class="s1">) </span>รองลงมาคือด้านคุณภาพการให้บริการ<span class="s1"> (<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" /></span>= 4.59 ; S.D. = 0.41) และด้านขั้นตอนการให้บริการ<span class="s1"> (<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" /></span>= 4.50 ; S.D. = 0.57<span class="s1">)</span><span class="Apple-converted-space"> </span>2) <span class="s1">เปรียบเทียบความ</span>พึงพอใจที่ได้รับบริการจากงานอนุมัติผลการศึกษา จำแนกตามเพศชายและเพศหญิงมีความคิดเห็นโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เพศชายมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด <span class="Apple-converted-space"> </span>( <img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" />= 4.71<span class="Apple-converted-space"> </span>; S.D. <br />= 0.38) เพศหญิงมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\inline&space;\chi" />= 4.60 ; S.D. = 0.44) และเปรียบเทียบความพึงพอใจได้รับบริการจากงานอนุมัติผลการศึกษาจำแนกตามสังกัดคณะของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าระดับความคิดเห็นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p>
ณัฐพล สันทาลุนัย
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/261683
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
บทบาททางการเมืองของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ ในฐานะเจ้านายฝ่ายเหนือ ในช่วง พ.ศ. 2531-2565
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263739
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาบทบาททางการเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ของนายธวัชวงศ์ <br>ณ เชียงใหม่ ในฐานะเจ้านายฝ่ายเหนือ ในช่วง พ.ศ. 2531 - 2565 และ 2. สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับกลไก<br>ทางการเมือง ปัจจัยแห่งความสำเร็จทางการเมือง และแนวทางการตัดสินใจทางการเมือง เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) เน้นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) และการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ <br>กลุ่มนักการเมือง และกลุ่มที่ไม่เป็นนักการเมือง และประชากรในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 400 คน โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า บทบาททางการเมืองนอกเหนือที่กฎหมายบัญญัติ อาทิ การลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน การร่วมงานสังคม และการเข้าถึงชาวบ้าน เป็นกลไกทางการเมืองที่สำคัญในการแสดงบทบาททางการเมืองของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ และใช้ความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือเป็นกลไกทางการเมืองน้อยมาก <br>เพื่อลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับนักการเมือง ในส่วนของปัจจัยแห่งความสำเร็จของนายธวัชวงศ์ <br>ณ เชียงใหม่ คือ การเป็นที่รู้จักและการสร้างความเชื่อมั่นในความรักแผ่นดินเกิด ผ่านการแสดงบทบาท<br>การเป็นทายาทตระกูล ณ เชียงใหม่ แต่ในอีกทางหนึ่งความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือไม่ได้ส่งผลต่อแนวทาง<br>การตัดสินใจทางการเมืองของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ และมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบทบาททางการเมือง<br>ที่นักการเมืองจะใช้เป็นกลไกในการทำงานการเมือง ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และแนวทางการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญ ดังนี้</p> <p>1) ความภักดีทางการเมือง (Political Loyalty) เป็นกลไกในการทำงานการเมืองที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงานการเมืองของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ โดยการยึดมั่นร่วมงานการเมืองกับพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ภายใต้หลักคิด “การมีหัวหน้าเพียงคนเดียว” ในฐานะบุคคลสำคัญในชีวิตการเมืองของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่</p> <p>2) การใช้วิธีการลงพื้นที่พบปะประชาชน การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และการเข้าถึงชาวบ้านอย่างเรียบง่าย เป็นกลไกในการทำงานการเมืองจนประสบความสำเร็จของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่</p> <p>3) การเป็นชนชั้นนำ (เจ้านายฝ่ายเหนือ) เป็นปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่</p> <p>4) นายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ มีแนวทางการตัดสินใจทางการเมืองโดยลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับนักการเมือง ไม่ใช้ความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือหรือชนชั้นนำ เป็นกลไกในการทำงานการเมือง</p>
พงษ์ศักดิ์ แก้วแสนเมือง
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263739
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
วิเคราะห์แนวทางการอนุรักษ์พระพุทธรูปหยกในล้านนา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/262861
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1) เพื่อศึกษาประวัติและพัฒนาการการสร้างพระพุทธรูปในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาคติการสร้างพระพุทธรูปหยกในล้านนา 3) เพื่อเสนอแนวทางการอนุรักษ์พระพุทธรูปหยกในล้านนา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p class="p1"><span class="s1">ผลการวิจัยพบว่า 1) ประวัติและพัฒนาการการสร้างพระพุทธรูปเป็นการสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์และสิ่งสักการะบูชาในพระพุทธศาสนาหรือเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า การสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้นเมื่อชนชาติกรีกเข้ามาสู่อินเดีย นิยมสร้างพระพุทธรูปหรือพระปฏิมาให้มีรูปทรงตามมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ <span class="Apple-converted-space"> </span>หลังจากนั้นได้มีการประยุกต์เข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น<span class="Apple-converted-space"> </span>2) คติการสร้างพระพุทธรูปหยกในล้านนา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนน้อมบูชาพระพุทธรูปหยกซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่นที่พระพุทธรูปหยกประดิษฐาน และอีกประการหนึ่งเป็นการแสดงถึงศรัทธาตามแนวทางพระพุทธศาสนาคือ กัมมศรัทธา วิปากศรัทธา กัมมัสสกตาศรัทธา ตถาคตโพธิศรัทธา คตินี้เป็นแนวคิดและมรดกทางภูมิปัญญาของล้านนา 3) แนวทางการอนุรักษ์พระพุทธรูปหยกล้านนา ได้แก่ 1) เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ถึงคุณค่าและอานิสงส์ของการบูชาพระพุทธรูปหยกล้านนาผ่านสื่อต่าง ๆ </span><span class="s2">2</span><span class="s1">) จัดสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหยกล้านนาที่เหมาะสม </span><span class="s2">3</span><span class="s1">) จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ให้ผู้คนเห็นความสำคัญ<span class="Apple-converted-space"> </span>รับทราบถึงคุณค่า และอานิสงส์ของการบูชาพระพุทธรูปหยกล้านนา </span><span class="s2">4</span><span class="s1">) การสร้างเครือข่ายทางวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธรูปหยกล้านนา<span class="Apple-converted-space"> </span>คุณค่าของการอนุรักษ์พระพุทธรูปหยกล้านนาประกอบด้วยคุณค่าด้านศิลปะ ด้านประเพณี ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ</span></p>
อรชร เรือนคำ, เทพประวิณ จันทร์แรง
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/262861
Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติด ในโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263894
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดในโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่<span class="Apple-converted-space"> </span>2) เพื่อพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดในโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดในโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและกึ่งโครงสร้าง คัดเลือกเฉพาะเจาะจง จำนวน 34 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาเพื่อสร้างรูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติด</p> <p class="p1">ผลการศึกษาวิจัย พบว่า 1) การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดในโรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่มีการบริหารงานตามโครงสร้างของส่วนกลาง ขั้นตอนการรักษาโดยการคัดกรอง ประเมินความรุนแรง บำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ ประเมินผลและติดตามผล การฟื้นฟูสมรรถภาพ (1) การลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (2) ครอบครัวบำบัด (3) การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยนอก Matrix Program และ (4) การบำบัดฟื้นฟูเข้มข้นทางสายใหม่ ไม่ได้มุ่งเน้นแก้ไขภาวะจิตใจ ครอบครัวบำบัดยังไม่ทำให้เข้าใจผู้ป่วยและไม่สามารถดูแลขณะอยู่ในสังคม เป็นสาเหตุหลักที่ผู้ป่วยกลับไปเสพติดซ้ำ 2) การพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยเป็นขั้นตอนการนำรูปแบบปัจจุบันมาวิเคราะห์หาสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลับไปเสพซ้ำ พบว่าสาเหตุหลักคือ ภาวะจิตใจของผู้ป่วยและรูปแบบครอบครัวบำบัด นำข้อสรุปสู่เวทีสนทนากลุ่มเพื่อพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยที่เหมาะสม 3) รูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดใหม่คือธรรมบำบัดตามหลักธรรมสัมมัปปธาน 4 เพื่อฝึกจิตใจให้เพียรพยายาม มุ่งมั่นตั้งใจทำดี อดทนต่อสิ่งยั่วยุ และอบรมความรู้ครอบครัวให้สามารถดูแลผู้ป่วยไม่หวนกลับไปเสพซ้ำ</p>
มณทิรา เมธา , ทิพาภรณ์ เยสุวรรณ, สหัทยา วิเศษ
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263894
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
วิเคราะห์การนำจริต 6 เพื่อพัฒนาอุปนิสัยบุคคล ที่ปรากฏในโหราศาสตร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263653
<p class="p1"><span class="s1">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักจริต 6 และการพัฒนาอุปนิสัยบุคคลในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาหลักการพิจารณาอุปนิสัยบุคคลตามหลักโหราศาสตร์ 3) เพื่อวิเคราะห์การประยุกต์ใช้หลักจริต 6 กับโหราศาสตร์ในการพัฒนาอุปนิสัยบุคคล เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 27 ท่าน</span></p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1)<span class="Apple-converted-space"> </span>จริต คือ ความประพฤติของบุคคลที่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมทางกาย วาจา และจิตใจ ในทางพระพุทธศาสนา จริตแบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต สัทธาจริต และญาณจริต แต่ละจริตมีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน การเข้าใจจริตของแต่ละบุคคลจะช่วยให้สามารถพัฒนาอุปนิสัยบุคคลได้อย่างเหมาะสม<span class="Apple-converted-space"> </span>2) หลักการพิจารณาอุปนิสัยบุคคลตามหลักโหราศาสตร์ อาศัยหลักการทำนายจักรราศี จากการคำนวณการโคจรของดวงดาวและตำแหน่งดวงดาวขณะเกิด ใช้หลักเลขศาสตร์ในการให้ความหมายของตัวเลขแทนลักษณะนิสัยของบุคคลเพื่อใช้ทำนายอุปนิสัยพื้นฐานและพฤติกรรมของบุคคล ส่งผลต่อการให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับจริตของแต่ละบุคคล<span class="Apple-converted-space"> </span>3) การประยุกต์ใช้หลักจริต 6 กับโหราศาสตร์ โหราจารย์ได้ให้คำแนะนำในการฝึกฝนพัฒนาอุปนิสัยบุคคลตามจริตของตน ดังนี้<span class="Apple-converted-space"> </span>(1) ราคจริต ควรฝึกฝนการบุญสุนทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา เพื่อลดความโลภ (2) โทสจริต ควรฝึกฝนเจริญเมตตา เพื่อลดความโกรธ (3) โมหจริต<span class="Apple-converted-space"> </span>ควรฝึกฝนเจริญสติ เพื่อลดความหลง (4) วิตกจริต ควรฝึกฝนเจริญสมาธิ เพื่อลดความวิตกกังวล (5) สัทธาจริต ควรฝึกฝนเจริญปัญญา เพื่อเพิ่มความศรัทธา (6) พุทธิจริต ควรฝึกฝนการใช้หลักเหตุผล เพื่อเพิ่มความรอบคอบ และ (7) การฝึกฝนตามจริตของตนจะช่วยพัฒนาอุปนิสัยให้ดีขึ้น และนำไปสู่ความสุขความเจริญได้</p>
พระครูสุภัทรวชิรานุกูล
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263653
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมฝาผนัง “อัตลักษณ์ลายคำน้ำแต้ม ทางธรรมเนียมประเพณีล้านนา สู่งานศิลปกรรมร่วมสมัย”
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/265523
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ 1) เพื่อสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังให้ได้องค์ความรู้ใหม่ในการรักษาผลงานจิตรกรรมฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำน้ำแต้มล้านนาร่วมสมัยที่เป็นเอกลักษณ์ของล้านนาอย่างแท้จริง<span class="Apple-converted-space"> </span>2) เพื่อจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมแบบร่วมสมัยที่มีประโยชน์ในการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่สำคัญของประเทศไทยแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นการวิจัยเชิงพัฒนางานสร้างสรรค์ทางศิลปะ</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังและองค์ความรู้การรักษาจิตรกรรมฝาฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำน้ำแต้มล้านนา คือ (1) การสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำน้ำแต้มล้านนาร่วมสมัยในศาสนสถานสำคัญของชุมชน 2 ด้าน คือ ผนังด้านข้างทิศเหนือ และผนังด้านข้างทิศใต้ ใช้รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานเป็นการรวบรวมร้อยเรียงเรื่องราวให้ต่อเนื่องเป็น 1 เดียว ในเรื่องธรรมเนียมประเพณีไทยล้านนา คัมภีร์พระเจ้าเลียบโลก และประเพณี 12 เดือน<span class="Apple-converted-space"> </span>(2)<span class="Apple-converted-space"> </span>องค์ความรู้ใหม่ในการรักษาผลงานจิตรกรรมฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำน้ำแต้มล้านนาร่วมสมัยที่เป็นเอกลักษณ์ของล้านนาอย่างแท้จริง โดยการนำเสนอลักษณะรูปแบบลายคำร่วมสมัย โดยใช้เทคนิคจิตรกรรมแบบสากลมาผสมผสานกับเทคนิคลายคำโบราณ มีการจัดวางน้ำหนักของสีพื้น การใช้เฉดสีอื่นและน้ำหนักของสีทองที่มีความหลากหลาย พัฒนาจากของโบราณที่มี 2 สี เกิดเป็นงานลายคำที่มีมิติและบรรยากาศที่น่าสนใจ</p>
ธีระพงษ์ จาตุมา, อำนาจ ขัดวิชัย, ปฏิเวธ เสาว์คง, สุวิน มักได้
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/265523
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
วิเคราะห์คุณค่าของคัมภีร์สมันตปาสาทิกาตามหลักพุทธจริยศาสตร์
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267241
<p class="p1">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมา โครงสร้าง สาระสำคัญ และคุณค่า ของคัมภีร์สมันตปาสาทิกา 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธจริยศาสตร์ และคุณค่าของพุทธจริยศาสตร์<span class="Apple-converted-space"> </span>และ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าของคัมภีร์สมันตปาสาทิกาตามหลักพุทธจริยศาสตร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ<span class="Apple-converted-space"> </span>ประกอบการศึกษาวิจัยเอกสาร<span class="Apple-converted-space"> </span>และการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) คัมภีร์สมันตปาสาทิกา เป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถาพระวินัยภาษาบาลี ที่อธิบายหลักการและข้อที่พึงปฏิบัติในพระวินัย มีโครงสร้างและสาระสำคัญ ดังนี้ มหาวิภังควรรณนา ภิกขุนีวิภังควรรณนา มหาวรรควรรณนา จุลวรรควรรณนา ปริวารวรรณนา<span class="Apple-converted-space"> </span>คัมภีร์สมันตปาสาทิกา มีคุณค่าในด้านต่างๆ เช่น ด้านประวัติศาสตร์ ด้านจารีตประเพณี ด้านพุทธวิธีการสอน ด้านการศึกษาพระวินัยปิฎก ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยด้านการตีความหลักคำสอน โดยที่คัมภีร์สมันตปาสาทิกาได้อธิบายหลัการพร้อมทั้งเชื่อมโยงและประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจพุทธบัญญัติในพระวินัยปิฎกชัดเจนยิ่งขึ้น 2) หลักพุทธปรัชญาด้านจริยศาสตร์ ให้มุมมองด้านคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ทั้งในเชิงจิตวิสัย และเชิงวัตถุวิสัย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินชีวิตของบุคคล ซึ่งอาศัยหลักคำสอนทางศีลธรรมในพุทธศาสนามาเป็นฐานตัดสินคุณค่าว่า ถูกต้อง ดีงาม เพื่อยกระดับของคุณค่าทางความประพฤติให้สูงขึ้น เกณฑ์ในการพิจารณาคุณค่าของคัมภีร์สมันตปาสาทิกาตามหลักทางพุทธจริยศาสตร์นั้น เป็น กฎเกณฑ์ข้อห้าม คำแนะนำเชิงปฏิบัติที่มีลักษณะเฉพาะของตน ในการตัดสินคุณค่าทางพุทธจริยศาสตร์ ใช้เกณฑ์แบบสัมพัทธนิยม (Relativism) ซึ่งตั้งอยู่บนเงื่อนไข เช่น เจตนา ผลที่เกิด และผลกระทบเป็นหลัก<span class="Apple-converted-space"> </span>3) วิเคราะห์คุณค่าของคัมภีร์สมันตปาสาทิกาตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ได้พบเกณฑ์การตัดสินข้อวัตรปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานที่ถูกต้องที่สุด ให้เกิดคุณค่าด้านสร้างความยุติธรรมในสังคมสงฆ์ เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดพระบัญญัติ จะได้รับการพิจารณาตัดสินโทษโดยปราศจากอคติ<span class="Apple-converted-space"> </span>นอกจากนี้ ได้พบคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล บุคคลต่อสังคม ตามหลักวัตรต่างๆ มีอุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกวัตร เป็นต้น ที่ปรากฏในสมันตปาสาทิกา<span class="Apple-converted-space"> </span></p>
พระมหานาถ โพธญาโณ (โปทาสาย)
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267241
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
วิเคราะห์แนวคิดเรื่องธรรมชาติของชาร์ลส์ ดาร์วิน ผ่านมุมมองทางพระพุทธศาสนาเถรวาท
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267239
<p class="p1">บทความวิจัย มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและพัฒนาการของธรรมชาติในทางปรัชญาและศาสนา 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องธรรมชาติของชาร์ลส์ ดาร์วิน 3) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดเรื่องธรรมชาติของของชาร์ลส์ ดาร์วิน ในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาท การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาผลงานทางวิชาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน พระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา และ ผลงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาการทางความคิดในเรื่องธรรมชาติในทางปรัชญาและศาสนาเต็มไปด้วยข้อถกเถียงเรื่องความมีอยู่และความจริงแท้ในธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐาน 3 คือ สสารนิยม เชื่อว่าสิ่งที่เป็นจริง คือ โลกทางวัตถุ ได้แก่สสารและพลังงาน ซึ่งอยู่ในขอบเขตของการรับรู้ทางประสาทสัมผัสเท่านั้น จิตนิยม เชื่อว่า นอกจากโลกทางวัตถุแล้วยังมีความจริงอื่น คือ นามธรรม แม้จะยอมรับความจริงทางประสาทสัมผัส แต่ก็รับความจริงนามธรรมเป็นความจริงสูงสุด เนื่องจากใช้ประเมินค่าความจริงทางวัตถุ ในขณะที่ ธรรมชาตินิยม เชื่อว่า ทุกสิ่งประกอบขึ้นด้วยสิ่งธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ และสิ่งนามธรรม อย่างที่ศึกษากันในวิชาวิทยาศาสตร์<span class="Apple-converted-space"> </span>2) ด้านแนวคิดเรื่องธรรมชาติ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ค้นพบทฤษฏีวิวัฒนาการ<span class="Apple-converted-space"> </span>ทำให้สามารถอธิบายการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในธรรมชาติว่า ดำรงอยู่โดยอาศัยการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่รอดได้ก็ด้วยการปรับเปลี่ยนทางกายภาพ ดาร์วิน เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า การคัดสรรโดยธรรมชาติ คำอธิบายเช่นนี้ นับว่าท้าทายความเชื่อทางศาสนจักรที่ส่งอิทธิพลอย่างแพร่หลายต่อความคิดความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้น แนวคิดดังกล่าวของดาร์วินจึงเป็นไปในแบบมนุษยนิยมและอเทวนิยม 3) การค้นพบของดาร์วินเรื่องธรรมชาติดังกล่าว สอดคล้องกับโลกทัศน์และหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาทที่ว่า สิ่งทั้งหลายในธรรมชาติประกอบจากส่วนต่าง ๆ ที่อิงอาศัยเหตุปัจจัยกันเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติยังต้องดำรงอยู่ภายใต้ภาวะความเปลี่ยนแปลง ความบีบคั้น และการที่บังคับบัญชาไม่ได้ หากแต่พระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีเป้าหมายในการพัฒนาตนเอง และเน้นย้ำให้เห็นถึงการพัฒนาภาวะด้านในและการเจริญวิปัสสนาเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์</p>
นิรันดร์ แสงพลสิทธิ์
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267239
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
แนวทางการนำหลักอธิษฐานธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต ของผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุตำบลเวียง ตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263017
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการนำหลักอธิษฐานธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต 2) เพื่อศึกษาปัญหาการนำหลักอธิษฐานธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการนำหลักอธิษฐานธรรมสู่การดำเนินชีวิต เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบของการเขียนเชิงพรรณนา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า: 1) การนำหลักอธิษฐานธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตพบว่า เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างเป็นระบบด้วยปัญญาของปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยการสร้างองค์ความรู้ สร้างอาชีพ ผู้สูงอายุทำตนเป็นที่น่าเคารพนับถือมีความจริงใจไม่ยึดมั่นถือมั่นในวัยของตนพร้อมรู้จักปล่อยวาง รู้จักใช้วัตถุอามิสและบุญทานอย่างมีระบบด้วยการยินดีเข้าวัดสู่การปฏิบัติธรรม <span class="s2">2) </span><span class="s3">ปัญหาการนำหลักอธิษฐานธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต</span><span class="s2">พบว่ามีปัจจัยหลาย ๆ ด้านประกอบกัน ได้แก่ วัยวุฒิ คุณวุฒิ สถานภาพความเป็นอยู่และสถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุก่อเกิดความยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมรับความจริงของกาลเวลา สังขารและความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ค่อยจะปล่อยวางกับชีวิตเกิดความกังวล</span> 3) แนวทางการนำหลักอธิษฐานธรรมสู่การดำเนินชีวิตพบว่าการนำหลักภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่องค์ความรู้เพิ่มปัญญา ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุลดความยึดมั่นถือมั่นเข้าใจหลักความเป็นจริงของสัจจะธรรมทำตนให้เป็นที่น่านับถือ รู้จักปล่อยวางสร้างหลักประกันของตนให้มากที่สุดด้วยการเข้าวัดปฏิบัติธรรมมุ่งสู่วัยข่มใจ วัยวิเวก วัยเหงาตลอดถึงเข้าสู่วัยที่ห่างโรคซึมเศร้า</p>
พระครูเกษมสีลสัมบัน, ทรงศักดิ์ พรมดี, พระครูสมุห์ธนโชติ จิรธมฺโม
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263017
Wed, 27 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
ศึกษาวิเคราะห์พิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263022
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อวิเคราะห์พิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าพิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์ และศึกษาจากข้อมูลเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p class="p1"><span class="s1">ผลการวิจัยพบว่า 1) พิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่</span> เป็นพิธีกรรมที่ว่าด้วยการสร้างและอบรมสมโภชพระพุทธรูปและเจดีย์ใหม่ มีการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในพิธีกรรม แสดงหลักธรรม เรื่องราวของพระพุทธเจ้า และใช้บทโวหาร กล่าวถึงจุดประสงค์ของพิธีกรรมเพื่ออัญเชิญความศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่องค์พระพุทธรูป 2) พิธีกรรมการอบรมสมโภชพระพุทธรูป ฉบับนี้ มีลักษณะการใช้รูปแบบเชิงสัญลักษณ์ในการสื่อความหมายของหลักธรรมผ่านพิธีกรรม เครื่องประกอบพิธี เทียนอบรมสมโภชพระพุทธรูป และบทสังวัธยาย เพื่อแสดงถึงพุทธภาวะ เป็นการสถาปนาสู่พระพุทธรูป 3) คุณค่าของพิธีกรรมที่ปรากฎ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณค่าเชิงพุทธศิลป์ เป็นการถ่ายทอดความคิดและสภาวะสังคมท้องถิ่น ที่ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาผ่านศิลปวัตถุ เพื่อเป็นนัยเชื่อมโยงถึงองค์พระพุทธเจ้า ด้านคุณค่าเชิงพิธีกรรม ทำให้บุคคลเกิดความปีติ ยังจิตให้ผ่องใส มีความศรัทธาตั้งมั่น ในพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนา ด้านคุณค่าเชิงการสืบทอดพระพุทธศาสนา ทำให้ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมเข้าถึงหลักธรรมสามารถนำมาปฏิบัติที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต เป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้างคุณงามความดี และบรรลุสู่ความสงบสุข ตามหลักทางพระพุทธศาสนา</p>
พระสิฏฐวัชญ์ ปญฺญาวฑฺฒโก (พวงเรือนแก้ว), โผน นามณี, พระครูสมุห์ธนโชติ จิรธมฺโม
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/263022
Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700
-
รูปแบบการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและวิกฤตหมอกควัน บนฐานหลักธรรมทางพุทธศาสนากับภูมิปัญญาล้านนาแบบพหุภาคี จังหวัดเชียงใหม่
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267302
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและวิกฤตหมอกควันบนฐานหลักธรรมทางพุทธศาสนากับภูมิปัญญาล้านนาแบบพหุภาคี จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ เจ้าอาวาส ผู้นำชุมชน ประธาน ผู้ใหญ่บ้าน และแกนนำกลุ่มเกษตรชุมชน ปราชญ์ชุมชน จำนวน 17 รูป/คน ใช้แบบสัมภาษณ์ประกอบกับการสนทนากลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความร่วมมือในการดำเนินการแก้ปัญหาจากความร่วมมือของชุมชนโดยมีแกนนำหลักคือ เจ้าอาวาสวัดบ้านแม่กลางหลวง พ่อหลวง คณะกรรมการ หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ เจ้าหน้าที่กรมอุทยาน และภาคีเครือข่ายจากองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ และวัดสนับสนุนทำกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรม “อินทนนท์ร่วมกันเชื่อมสัมพันธ์ 4 อำเภอ ” โดยผสานความร่วมมือจากพหุภาคี พหุวัฒนธรรม พหุประเพณี 2) มีการพัฒนารูปแบบการสร้างความร่วมมือโดย 1. ความร่วมมือผ่านกิจกรรมนำโดยเจ้าอาวาสวัดแม่กลางหลวง การจัดกิจกรรม “อินทนนท์ร่วมกันเชื่อมสัมพันธ์ 4 อำเภอ” สร้างการมีส่วนร่วมกันทุกช่วงวัย 2. ความร่วมมือผ่านการผสมผสานความพหุวัฒนธรรม พหุประเพณี เคารพในความแตกต่างเรียนรู้พหุวิถี 3. การผสานเครือข่ายความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ NGO 4. การสร้างการมีส่วนร่วม และ 5. การสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวม 3) ได้นำเสนอกิจกรรมความร่วมมือ “อินทนนท์ร่วมกันเชื่อมสัมพันธ์ 4 อำเภอ” และรูปแบบความร่วมมือผ่านการผสมผสานความพหุวัฒนธรรม พหุประเพณี เคารพในความแตกต่างเรียนรู้พหุวิถี ด้วย “เวที พิธี สาปแช่ง คนเผ่าป่า” โดยสร้างการมีส่วนร่วม และเน้นรูปแบบการสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมร่วมกัน </p>
อุเทน ลาพิงค์, พระมหาปุณณ์สมบัติ ปภากโร, พระวีระชาติ วีรชาโต, เชน เพชรรัตน์, พระอธิวัฒน์ รตนวณฺโณ
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/267302
Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700