https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/issue/feed
วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
2025-06-22T23:31:23+07:00
ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์
phisit.kot@mcu.ac.th
Open Journal Systems
<p> ตั้งแต่ ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) เป็นต้นไป ได้ยกเลิกการตีพิมพ์รูปเล่มวารสารโดยจะเผยแพร่บทความแบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/278102
การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรเชิงพุทธ
2025-04-04T20:40:50+07:00
พระครูสุจิตพัฒนาพิธาน
anusorn.rua@mcu.ac.th
<p class="p1">บทความนี้ เป็นบทความวิชาการ ที่นำเสนอการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรเชิงพุทธ การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกันขององค์กรเชิงพุทธ เป็นการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรให้มีความสุขและเกิดประสิทธิภาพ ทั้งผู้บริหารและพนักงาน โดยการเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการด้านอารมณ์ สภาพแวดล้อมและทัศนคติที่ดีต่อกัน เป็นการสร้างแรงจูงใจและความพึงพอใจในการทำงานร่วมกันขององค์กร ทั้งในมิติของความเป็นผู้นำ มิติของการสื่อสาร และความสมดุลระหว่างการทำงานร่วมกันภายใต้นโยบายขององค์กร การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมภายในองค์กร ถือเป็นสิ่งสำคัญที่บุคลากรต้องเรียนรู้และปรับตัวมองการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก มองการเปลี่ยนแปลงเป็นการท้าทายของการปฏิบัติงาน ให้ความสำคัญกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ<span class="Apple-converted-space"> </span>และเป้าหมายชีวิต โดยนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กร เน้นความดีสำคัญกว่าความรู้ เพราะความดีเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล ความรู้เป็นส่วนที่บุคคลสนใจ เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันสภาพแวดล้อมทางสังคมค่อนข้างเน้นในเรื่องของวัตถุมากกว่าความเอาใจใส่ในเรื่องของจิตใจ หรือทางด้านจริยธรรม จริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกเป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางในการสร้างคุณธรรมให้กับบุคลากร เพราะฉะนั้น การนำหลักไตรสิกขา หลักอิทธิบาท หลักสัปปุริสธรรม มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสภาพแวดล้อมและบุคลากรในองค์กร ให้มีคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติงานด้วยเหตุด้วยผล ยอมรับการเปลี่ยนแปลง รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงสังคมโลก รู้จักธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความสามารถและรู้จักบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในองค์กร ให้คุณภาพชีวิตที่ดีและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/279582
โมไนยปฏิปทา : วิถีบำเพ็ญธรรมของฆราวาสในโลกสมัยใหม่
2025-06-11T21:46:13+07:00
สุนทร สุขทรัพย์ทวีผล
sunthorn.suk@hotmail.com
เตชิน อิสระภาณุวงค์
temsuk186@gmail.com
<p class="p1">บทความนี้เสนอแนวทางใหม่ในการดำเนินชีวิตของฆราวาสผู้ใฝ่ธรรม โดยชี้ให้เห็นว่า การเข้าถึงความสงบและปัญญาไม่จำเป็นต้องบวชเป็นพระ หากแต่สามารถฝึกได้ในชีวิตประจำวัน ผ่านแนวทางที่เรียกว่า ìโมไนยปฏิปทาî ซึ่งเป็นข้อธรรม 12 ประการจากพระพุทธเจ้าเพื่อฝึกตนให้พึ่งตนเอง มีวินัยทางจิต และหลุดพ้นจากพันธะทางโลก <br />ผู้เขียนได้สังเคราะห์ข้อธรรมเหล่านี้ในบริบทชีวิตฆราวาสยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีครอบครัว ทำงานภายใต้ระบบทุนนิยม ใช้สื่อออนไลน์ ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา คนในภาวะเปราะบาง คนเมือง และผู้เผชิญความสูญเสีย จากนั้นสังเคราะห์เป็นโมเดล เอ็มñยูñเอ็นñไอ ซึ่งมี 4 แกนหลัก ได้แก่ 1. เอ็ม ñ พึ่งตนด้วยสติ<span class="Apple-converted-space"> </span>ฝึกยืนหยัดด้วยใจมั่นคง ไม่ไหวเอนตามคำชม คำด่า หรือแรงกดดันจากสังคม 2. ยู ñ มั่นคงในคุณธรรม ยึดมั่นในความดี แม้ไร้คำชม หรืออยู่ในระบบที่ล่อลวงให้ลดจริยธรรม 3. เอ็น ñ ฝึกใจเหนืออารมณ์ รู้ทันความโกรธ ความโลภ ความเศร้า ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ 4. ไอ ñ สงบภายใน นำสู่ปัญญา สร้างพื้นที่เงียบในใจ เพื่อฟังเสียงภายในและเข้าใจความจริงตามธรรม เมื่อฝึกทั้ง 4 ด้านนี้ร่วมกัน ฆราวาสจะสามารถบวชใจได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องละทิ้งหน้าที่ทางโลก แต่ใช้ชีวิตอย่างมีสติ สมดุล และสงบท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/279634
การส่งเสริมความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษทางพระพุทธศาสนาด้วยกิจกรรมการอ่านในวัดไทยในสหรัฐอเมริกา
2025-06-22T23:31:23+07:00
ภาณุวัฒน์ รังสรรค์
doicute09@hotmail.com
พระครูธรรมธรอังคาร ญาณเมธี
doicute09@hotmail.com
เดชา ตาละนึก
doicute09@hotmail.com
พระมหานิธิภัทร วสุธานท
doicute09@hotmail.com
เฉลิมพงค์ ทำงาน
doicute09@hotmail.com
<p class="p1">บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษทางพระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปในบริบทของวัดไทยในต่างประเทศ โดยเน้นการออกแบบกิจกรรมการอ่านที่เหมาะสมกับเนื้อหาทางธรรมะและพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา กิจกรรมการอบรมจัดขึ้นที่วัดไทยสุชาดาธรรมจาริกสังฆวิหาร เมืองซันวัลเล่ย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้เข้าร่วมจำนวน 9 คน ประกอบด้วยพระสงฆ์ 6 รูป และฆราวาส 3 คน อบรมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 30 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์</p> <p class="p1">เนื้อหาประกอบด้วยนิทานชาดกภาษาอังกฤษ 5 เรื่อง และเทศกาลทางพระพุทธศาสนา 5 หัวข้อ โดยผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการอ่าน ออกเสียง การตีความ และการใช้คำศัพท์ผ่านกิจกรรมหลากหลาย เช่น การจับคู่คำศัพท์ การตอบคำถามจากภาพ การเล่นบทบาทสมมุติ และการอภิปรายกลุ่ม</p> <p class="p1"><br /><span class="Apple-converted-space"> </span>จากการดำเนินกิจกรรมอบรมส่งเสริมความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษทางพระพุทธศาสนา พบว่าผู้เข้าร่วมมีพัฒนาการด้านทักษะภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านการอ่าน การออกเสียง และการใช้คำศัพท์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังมีความเข้าใจในหลักธรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอนเป็นนิทานชาดกและเทศกาลทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและการปฏิบัติศาสนกิจ ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้งทางด้านภาษาและพุทธธรรมและเป็นแนวทางที่สามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่หลักสูตรฝึกอบรมสำหรับพระธรรมทูตในเวทีนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/274324
การออกแบบและสร้างสรรค์งานจิตรกรรมฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำประยุกต์ เพื่อการสืบทอดศิลปะล้านนา
2025-02-17T17:15:40+07:00
อำนาจ ขัดวิชัย
kingkongamnat168@gmail.com
พระอธิวัฒน์ ธรรมวัฒน์ศิริ
athiwat.tham@mcu.ac.th
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา <span class="Apple-converted-space"> </span><br />อัตลักษณ์ลายคำประยุกต์ในงานศิลปะล้านนา 2) เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์งานจิตรกรรมฝาผนังอัตลักษณ์ลายคำประยุกต์<span class="Apple-converted-space"> </span>เพื่อการสืบทอดศิลปะล้านนา 3) เพื่อจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้และกระบวนการสร้างสรรค์งานลายคำประยุกต์ล้านนา เพื่อส่งเสริมเป็นเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมในล้านนา เป็นการวิจัยและพัฒนา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) งานลายคำหรืองานลวดลายปิดทองถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญในงานศิลปะของไทยที่มีการสืบทอดกันมา มีวิวัฒนาการตั้งแต่สมัยอยุธยา ช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 เป็นช่วงที่งานศิลปะลายรดน้ำและงานลงรักปิดทองเจริญรุ่งเรืองที่สุด ลายคำ คือ งานศิลปะลงรักปิดทองเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยทางล้านนาจะนิยมลงรักเป็นพื้นสีแดงชาด แตกต่างจากงานลงรักปิดทองของภาคอื่น ๆ 2) ปัจจุบันงานลายคำมีการพัฒนาต่อยอดได้รับอิทธิพลและเทคนิควิธีการจากงานศิลปกรรมลายคำล้านนาในอดีต เรียกว่า ลายคำ น้ำแต้ม เป็นวิธีการหนึ่งที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นใหม่จากการทดลอง แก้ปัญหา และสร้างสรรค์ด้วยการใช้วัสดุในปัจจุบันที่หาได้ง่ายขึ้นจึงพัฒนามาเป็นลายคำประยุกต์ 3) การจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้<span class="Apple-converted-space"> </span>มีดังนี้ (1) กิจกรรมการเรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์งานลายคำประยุกต์ล้านนา (2) จัดเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนและภาคีเครือข่าย<span class="Apple-converted-space"> </span>(3) การเผยแผ่่องค์์ความรู้้ผ่านสื่อออนไลน์์</p>
2025-06-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/279692
รูปแบบการทำงานของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชน ภาคเหนือตอนบน
2025-06-11T21:35:43+07:00
นายธวัชชัย จันจุฬา
kaodern@gmail.com
พระครูปริยัติเจติยานุรักษ
kaodern@gmail.com
เยื้อง ปั้นเหน่งเพ็ชร์
kaodern@gmail.com
ปรุตม์ บุญศรีตัน
kaodern@gmail.com
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการทำงานของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนภาคเหนือตอนบน 2) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการทำงานของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนภาคเหนือตอนบน 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการทำงานพัฒนาชุมชน ของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนภาคเหนือตอนบน ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนภาคเหนือ จำนวน 5 รูป</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า<span class="Apple-converted-space"> </span>1) รูปแบบการทำงานของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนภาคเหนือมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับบริบทและสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ โดยมีการประยุกต์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกกับชุมชน พร้อมกันนี้ยังมีการเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดพลัง ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนในปัจจุบัน <span class="Apple-converted-space"> </span>2) กระบวนการทำงานพัฒนาของพระสงฆ์ ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน (1) การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาในชุมชนเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและแก้ไขได้ตรงจุด (2) จัดทำแผนและแบ่งบทบาทการทำงานร่วมกับชาวบ้าน (3) ปฏิบัติการตามแผนภายใต้การมีส่วนร่วมกับเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกชุมชน (4) ประเมินผลการทำงานเพื่อให้ทราบปัจจัยความสำเร็จและ ความล้มเหลว 3) นำเสนอรูปแบบการทำงานของเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาชื่อว่า ìKind Monk Modelî<span class="Apple-converted-space"> </span>ซึ่งเป็นโมเดลที่จะทำให้เครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนามีความเข้มแข็ง ทำงานท่ามกลางสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักคิดสำคัญคือมรรคมีองค์ 8 นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการเครือข่าย การนำความรู้ทางวิชาการสมัยใหม่มาใช้ และการเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง</p>
2025-06-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/277487
ศึกษาวิเคราะห์พิธีกรรมไหว้ครูของพุทธศาสนิกชนไทใหญ่ ในจังหวัดเชียงใหม่
2025-04-04T20:43:27+07:00
SAI LOUNG LYAN
lashio236@gmail.com
พระครูปริยัติเจติยานุรักษ
lashio236@gmail.com
เทพประวิณ จันทร์แรง
lashio236@gmail.com
สัญญา สะสอง
lashio236@gmail.com
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของพิธีกรรมไหว้ครูของพุทธศาสนิกชนของชาวไทใหญ่ 2) เพื่อศึกษารูปแบบพิธีกรรมของการไหว้ครูของพุทธศาสนิกชนของชาวไทใหญ่ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธรรมที่ปรากฏในพิธีกรรมการไหว้ครูของชาวไทใหญ่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และเสริมด้วยการเก็บข้อมูล</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) พิธีกรรมไหว้ครูเป็นการแสดงถึงความเคารพกตเวทีต่อบูรพาจารย์หรือนักปราชญ์ของชาวไทใหญ่ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ภาษา ประเพณี วัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ เพื่อเป็นการยกย่องและระลึกถึงคุณงามความดีและแสดงความกตัญญูกตเวทีตา 2) รูปแบบพิธีกรรมของการไหว้ครูของพุทธศาสนิกชนของชาวไทใหญ่ มีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาและเครื่องสักการะบูชาครู ประกอบไปด้วยกล้วยดิบ ข้าวสาร ดอกไม้ มะพร้าว และในยุคสมัยก่อนนิยมเปลี่ยนขันธ์ครู ทุกๆ 5 วัน หรือครบ 7 วัน ในยุคปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นขันธ์ครูถาวร (ขันธ์ครูหลวง) เปลี่ยนปีละ 2 ครั้ง คือ เดือน 5 (เมษายน) กับ เดือน 11 (พฤศจิกายน) ของทุกปี 3) หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในพิธีกรรม กัลยาณมิตรธรรม7 , บูชา 2 และบุญกิริยาวัตถุ 3</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/275366
ธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนา: การปริวรรต การแปลและการวิเคราะห์
2025-04-04T20:51:15+07:00
เอกชัย คำติ๊บ
thanatpong.kit@mcu.ac.th
พระครูสิริปริยัตยานุศาสก์
khamtib456@gmail.com
<p class="p1">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติและความเป็นมาของคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา โยชนาและปริวรรตธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนาบาลีอักษรไทยเป็นบาลีอักษรโรมัน<span class="Apple-converted-space"> </span>2) เพื่อแปลธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนาบาลีอักษรโรมันเป็นภาษาไทย 3) เพื่อวิเคราะห์การนำเสนอเนื้อหาคำศัพท์และไวยากรณ์ในธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนา เป็นการวิจัยเอกสาร ทำการวิเคราะห์ไวยากรณ์โดยคำและคำขยายความ</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า 1) อรรถกถาคือคัมภีร์ที่แต่งอธิบายและตีความพุทธธรรม ฎีกาคือคัมภีร์ที่แต่งขยายความอรรถกถาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โยชนาคือคัมภีร์ที่อธิบายการสร้างประโยคและแปลความหมาย ธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนาเป็นคัมภีร์ที่แต่งโดยพระสิริสุมังคลมหาเถร เพื่ออธิบายคาถาท้องเรื่อง<span class="Apple-converted-space"> </span>ในธัมมปทัฏฐกถา 8 ภาค ในงานวิจัยนี้ได้ปริวรรตจากภาษาบาลีอักษรขอมเป็นอักษรโรมันเพียง 4 ภาค คือ ภาคที่ 1 - ภาคที่ 4<span class="Apple-converted-space"> </span>2) การแปลคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนาภาษาบาลีอักษรโรมันเป็นภาษาไทย การแปลภาษาบาลี มี 3 วิธี ได้แก่ (1) แปลยกศัพท์ เป็นการแปลแบบศัพท์ต่อศัพท์หรือแปลบทต่อบท (2) การแปลโดยพยัญชนะ เป็นการแปลแบบคำต่อคำหรือการแปลแบบตรงตัว และ (3) แปลโดยอรรถ เป็นการแปลที่ไม่ได้มุ่งรักษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยเลือกวิธีแปลโดยอรรถเป็นภาษาไทย<span class="Apple-converted-space"> </span>3) การวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้เลือกอันตรคาถาที่ปรากฏในธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนา ภาคที่ 1- 4 โดยนำคำศัพท์จากอันตรคาถาที่อยู่ในเรื่อง วรรคละ 1 เรื่อง และวิเคราะห์ตามประเด็นดังต่อไปนี้ คือ (1) วิเคราะห์เนื้อหาและแหล่งที่มาของอันตรคาถา <br />(2) วิเคราะห์คำศัพท์และไวยากรณ์ให้เห็นหน้าที่ ที่มา ประเภท ความหมาย และคำแปล</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JBS/article/view/279586
บทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิสุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
2025-06-17T20:24:35+07:00
พระมหาวรพงษ์ วรวํโส
worapong.wo5@gmail.com
อุเทน ลาพิงค์
mahapui.dara@gmail.com
สมหวัง แก้วสุฟอง
mahapui.dara@gmail.com
<p class="p1">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิสุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาปัญหาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามบทบาทของพระราชวิสุทธิญาณ วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามบทบาทของพระราชวิสุทธิญาณ วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ พระภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติธรรมในวัดป่าดาราภิรมย์ 14 คน</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า บทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิสุทธิญาณ ได้แก่ 1) ด้านการศึกษา มีการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรม บาลี สามัญ และธรรมศึกษา 2) ด้านการปฏิบัติธรรมและอบรมคุณธรรม มีการสอนการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น 3) ด้านการพัฒนาชุมชน เป็นประธานมูลนิธิศึกษาพัฒนาชนบท ปัญหาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามบทบาทของพระราชวิสุทธิญาณ ได้แก่ 1) ด้านการศึกษา บุคลากรมีจำนวนน้อย ขาดงบประมาณ 2) ด้านการปฏิบัติธรรมและอบรมคุณธรรม ขาดบุคลากร สถานที่พักไม่เพียงพอ 3) ด้านการพัฒนาชุมชน ขาดบุคลากรผู้มีความรู้ในการอบรมวิชาชีพ วิเคราะห์ปัญหาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิสุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) ได้แก่ 1) ด้านการศึกษา ต้องสร้างบุคลากรขึ้น ระดมทุนจากส่วนภาครัฐและภาคเอกชน 2) ด้านการปฏิบัติธรรมและอบรมคุณธรรม ต้องมีโครงการอบรบพระวิทยากร สร้างที่พักเพิ่ม 3) ด้านการพัฒนาชุมชน ต้องสร้างบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิ</p>
2025-06-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา