วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC <p><em>วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร</em> ISSN 2985-248X (Online) รับตีพิมพ์ บทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ ได้แก่ นิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ครุศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ทัศนศิลป์ การท่องเที่ยวและการโรงแรม และจิตวิทยา โดยตีพิมพ์ 4 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 [มกราคม-มีนาคม] ฉบับที่ 2 [เมษายน-มิถุนายน] ฉบับที่ 3 [กรกฎาคม-กันยายน] และฉบับที่ 4 [ตุลาคม-ธันวาคม] <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโ<em>ดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 - 3 คน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review) ที่มาจากหลากหลายสถาบัน</em></strong></p> th-TH <blockquote> <p><strong><em>** ข้อความ ข้อคิดเห็น หรือข้อค้นพบ ในวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร</em></strong><strong><em>เป็นของผู้เขียน ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากบทความและงานวิจัยนั้น ๆ โดยมิใช่ความรับผิดชอบ</em></strong><strong><em>ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี **</em></strong></p> </blockquote> sandusit.b@rbru.ac.th (Sandusit Brorewongtrakhul) sandusit.b@rbru.ac.th (Ratchanok Patnimit) Thu, 18 Sep 2025 11:55:51 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องของลูกค้าสัญญาจ้างควบคุม และบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคารในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276962 <p>การให้บริการควบคุม และบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร มีผลมาจากการแข่งขันในภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่นับวันนอกจากรุนแรงแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะการให้บริการควบคุม และบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคารเพื่อให้อาคารเหล่านั้นอยู่ในสภาพที่ดี หรือการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร นับวันก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปด้วยเช่นกัน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน อาคารที่มีอยู่เดิมในปัจจุบันจะต้องมั่นใจว่า อาคารได้มีการบริหารจัดการที่ดี และมีการดูแลบำรุงรักษาอย่างดีอยู่เสมอ ตลอดไปจนถึงมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเมื่อถึงเวลาที่สมควร ดังนั้นจึงจําเป็นจะต้องมีการวางแผนควบคุม ประเมินผล รวมทั้งการจัดระบบฐานข้อมูล การตรวจสอบ และต้องมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์มาดำเนินการในแต่ละด้าน เพื่อตอบสนองต่อการใช้สอยอาคารให้เกิดประโยชนสูงสุด เหมาะสม และสอดคล้องกับนโยบายขององค์การให้มากที่สุด เพราะอาคารต่าง ๆ มีโครงสร้าง และระบบประกอบอาคาร ที่เกี่ยวข้องต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคาร เมื่อมีการใช้งานไประยะหนึ่งแล้ว จําเป็นที่จะต้องทําการตรวจสอบดูแล และบํารุงรักษา เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา ธุรกิจจึงจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการมองหากลยุทธ์ เพื่อพัฒนาปรับปรุงอาคาร ให้สามารถตอบรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว โดยการพัฒนาปรับปรุงอาคารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนด้านการดำเนินการ เพิ่มรายได้ หลีกเลี่ยงภาวะอาคารหมดสภาพ และการบริหารจัดการอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าชอบใจและติดใจกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องอีกต่อ ๆ ไป เพราะที่สุดแล้วการรักษาคุณภาพการบริการ และการสร้างความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้เป็นอย่างดี เป็นเป้าหมายการบริการลูกค้าที่ดีที่สุด ก็คือ การที่ลูกค้ายังคงตั้งใจใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ต่อสัญญาทุก ๆ สิ้นปี นั่นคือ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า การบริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยมนั่นเอง ด้วยปัจจัยต่าง ๆ จากทฤษฎีความภักดีลูกค้า ผนวกกับปัจจัยที่จะนำไปสู่ความตั้งใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องของลูกค้าอันได้แก่ ความพึงพอใจของลูกค้า การมีส่วนร่วมของลูกค้า คุณภาพการบริการ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และคุณค่าที่รับรู้ด้านราคา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้มีการใช้บริการต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างผลกำไร และบรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริการที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างผู้ให้บริการ</p> กิตติพงศ์ คงกะพันธ์, ธัญปวีณ์ รัตนพงศ์พร, สมบัติ ธำรงสินถาวร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276962 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 แห้ว : ของดีเมืองสุพรรณฯ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276058 <p>บทความนี้ได้รวบรวมเนื้อหาของแห้วสุพรรณบุรีที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย เนื้อหาได้รวบรวมถึงประวัติความเป็นมาของแห้วสุพรรณ การขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดสุพรรณบุรี พื้นที่การเพาะปลูก กรรมวิธีการเพาะปลูก แหล่งการเพาะปลูก คุณค่าทางโภชนาการของแห้วสุพรรณ (แห้วจีน)&nbsp; ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากแห้ว ในวิสาหกิจชุมชนที่มีการประกอบอาหารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแห้วสุพรรณ คณะผู้เขียนมุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ที่สนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แปรรูปแห้วจากวิสาหกิจชุมชนที่ทำการเกษตรเกี่ยวกับแห้วให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค และเกิดประโยชน์ในภาพรวมทั้งกลุ่มของวิสาหกิจชุมชนที่เกิดรายได้จากการแปรรูปจากแห้ว กลุ่มผู้บริโภคสามารถเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าทั้งเป็นของรับประทานและของฝาก อันจะนำมาซึ่งความมั่งคงของวิสาหกิจชุมชนที่ทำการเพาะปลูกแห้วในจังหวัดสุพรรณบุรี</p> ศิวกร ตลับนาค, จักรกฤษณ์ ทองคำ, น้อมจิตต์ สุธีบุตร, จักราวุธ ภู่เสม, สุนีย์ สหัสโพธิ์, เจตนิพัทธ์ บุณยสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276058 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/279072 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมทางการท่องเที่ยวน้อยมาก แต่ในตำบลเขาดินมีความพร้อมและเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติและผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย จึงได้ทำการศึกษาโดยเน้นไปที่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศตามบริบทของพื้นที่ชุมชนตำบลเขาดิน <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>: </strong>1. เพื่อศึกษาและสำรวจด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของตำบลเขาดิน 2. เพื่อประเมินศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชนตำบลเขาดิน และ 3. เพื่อนำเสนอโปรแกรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศสำเร็จรูปที่เหมาะสมให้กับชุมชนตำบลเขาดิน <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลภาคสนาม แบบประเมินศักยภาพด้านการท่องเที่ยว และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีการควบคุมคุณภาพโดยวิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ชุมชนตำบลเขาดิน มีสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในชุมชน ผลการประเมินศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของชุมชนตำบลเขาดิน คิดเป็นร้อยละ 66.38 ซึ่งถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมินศักยภาพด้านการท่องเที่ยวตามหลักเกณฑ์ที่กรมการท่องเที่ยวกำหนดไว้ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ชุมชนตำบลเขาดินสามารถพัฒนาโปรแกรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแบบไปกลับวันเดียวเป็น 4 โปรแกรมการท่องเที่ยว ได้แก่ 1. โปรแกรมศึกษาและเรียนรู้การทำนาแบบ นาขาวัง 2. โปรแกรมเที่ยวชมและศึกษาเส้นทางป่าชายเลนและป่าจาก 3. โปรแกรมเที่ยวชมวัดเขาดินและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และ 4. โปรแกรมเรียนรู้การทำอาหารจากวัตถุดิบในชุมชน โดยมีกิจกรรมทางการท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือ เที่ยวชมศึกษาเส้นทางป่าชายเลนและป่าจาก เรียนรู้การทำนาแบบ นา ขา วัง การเลี้ยงปูทะเล และการทำอาหารจากวัตถุดิบในชุมชนบ้านเขาดิน</p> ภานุวัฒน์ ธัมมิกนันท์, รัชฎาพร วงษ์โสพนากุล, ไตรภพ โคตรวงษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/279072 Thu, 18 Sep 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้บริหารเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครรังสิตที่ส่งผลต่อการพัฒนาเมือง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271020 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้บริหารเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครรังสิตที่การพัฒนาเมืองของประชาชน <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong> 1) เพื่อศึกษาการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้บริหารเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครรังสิตที่ส่งผลต่อการพัฒนาเมือง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้บริหารเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครรังสิตที่ส่งผลต่อการพัฒนาเมือง และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้บริหารเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครรังสิตที่ส่งผลต่อการพัฒนาเมือง <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์เอกสาร เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ครอบคลุมประเด็นรอบด้านของการสื่อสาร <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong><strong>: </strong>1) การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษามีการใช้สื่อมวลชนและสื่อท้องถิ่น เครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์ การจัดงานประชาสัมพันธ์และการประชุม การใช้สื่อสื่อพิมพ์ การใช้กระบวนการสื่อสารภายในชุมชน 2) ปัจจัยการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษา คือ ภาพลักษณ์ที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความยอมรับและการสนับสนุนของประชาชนในนโยบายทางการศึกษาของเทศบาล เป็นตัวอย่างที่ดี สร้างความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ภายในชุมชนท้องถิ่น 3) แนวทางการพัฒนาการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการอาศัยบริบทเชิงพื้นที่ ความเป็นพื้นที่เมืองของเทศบาลนครปากเกร็ดและความเป็นเมืองมหาวิทยาลัยของเทศบาลนครรังสิตส่งผลต่อการบริหารจัดการศึกษาของเทศบาลนครและบทบาทผู้บริหารเทศบาลกำหนดนโยบายบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงินและทรัพยากรคน สนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา บทบาทในการสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา รวมไปถึงชุมชน</p> พงษ์พิพัฒน์ มัลลิกะมาลย์ , พนม วรรณศิริ, สุกัญญา บูรณเดชาชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271020 Thu, 18 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดพะเยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271953 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปของผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา และ 2) ศึกษาแนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปของผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้บริโภคที่ซื้อหรือเคยซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดพะเยา จำนวน 385 คน ได้มาจากการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Sample Random Sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม (Questionnaire) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>1) การตลาดเชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดพะเยามาก ได้แก่ ปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านความรู้สึก ปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านประสาทสัมผัส ปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านการกระทำ และปัจจัยการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านความเชื่อมโยง โดยมีประสิทธิภาพร่วมกันในการทำนายการตลาดเชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดพะเยา ร้อยละ 56.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 2) แนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเสนอแนะสำหรับผลิตภัณฑ์โอทอปประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดพะเยา โดยผู้วิจัยจะแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) แนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านประสาทสัมผัส 2) แนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านความรู้สึก 3) แนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านการกระทำ และ 4) แนวทางการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านความเชื่อมโยง</p> คงฤทธิ์ เชื้อสะอาด, ธีรุตม์ หมื่นวงษ์เทพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271953 Thu, 18 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางในการตรากฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุในประเทศไทย กรณีศึกษา: กฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุของประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/278445 <p><strong>บทนำ:</strong> ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมผู้สูงอายุและจะเข้าสู่สถานะ "สังคมผู้สูงอายุระดับสูง" โดยมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมากมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ซึ่งทั้งสองประเทศมีกฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุ แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่คุ้มครองการจ้างงานผู้สูงอายุ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>: </strong>1) เพื่อศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการจ้างงานผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษากฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุตามกฎหมายของต่างประเทศ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการตรากฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุในประเทศไทย <strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงานผู้สูงอายุของไทยและกฎหมายการคุ้มครองแรงงานผู้สูงอายุของญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) โดยเปรียบเทียบกฎหมายของญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) กับกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุในไทย <strong>ผลการวิจัย:</strong> กฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุของญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) มีบทบัญญัติให้ภาคเอกชน กำหนดอายุเกษียณอย่างน้อย 60 ปี สนับสนุนการจ้างงานต่อเนื่องถึงอายุ 70 ปี กฎหมายดังกล่าว มีบทลงโทษสำหรับการเลือกปฏิบัติในเรื่องอายุในการจ้างงาน ทั้งนี้ภาคเอกชนต้องให้การสนับสนุนการจ้างคนงานสูงอายุ ประการสำคัญ กฎหมายของทั้งสองประเทศบัญญัติให้มีองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานผู้สูงอายุไว้ชัดเจนเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ แต่สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุ คงมีแต่เพียงประกาศของกระทรวงแรงงานฯ ในลักษณะของการขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเท่านั้น จึงทำให้ไม่มีการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีรัฐธรรมนูญบัญญัติก็ตาม ส่วนพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 เป็นเพียงการรับรองการสนับสนุนทางการแพทย์ การศึกษา และอาชีพ มิได้เกี่ยวกับการจ้างงานผู้สูงอายุ กฎหมายเหล่านี้ ไม่ครอบคลุมเท่ากับกฎหมายในญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้)<strong> สรุป:</strong> ประเทศไทยควรกำหนดแนวทางในการตรากฎหมายเฉพาะสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุขึ้น โดยใช้แนวทางและโครงสร้างที่ครอบคลุมอย่างญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุของประเทศไทยต่อไป</p> ญาณวัฒน์ พลอยเทศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/278445 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 บริบทของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/278511 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>บทความวิจัยเรื่องบริบทของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุราษฎร์ธานี <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาบริบทด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุราษฎร์ธานี <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัยได้แก่ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชุมชน และประชากรกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ ชาวไทยทรงดำ ในอำเภอบ้านนาสาร อำเภอเคียนซาและชาวไทยทรงดำ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 10 คน และมีการเก็บรวบรวมโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประชาชน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่าปัจจัยทางสังคมสะท้อนวิถีความเป็นอยู่ของชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีความสำคัญในหลายๆ ด้าน เช่น การตั้งถิ่นฐาน ชนชั้นทางสังคม ที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพ อาหารการกิน ความเชื่อ ภาษาและการศึกษา การอนุรักษ์วัฒนธรรมบทบาทในการสืบทอดความเชื่อผ่านการประกอบพิธีกรรม การไหว้ผีบรรพบุรุษ การแต่งกาย ภาษา การสร้างสำนึกร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ บริบททางสังคมและวัฒนธรรมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ด้านการตั้งถิ่นฐานนิยมตั้งถิ่นฐานใกล้ลุ่มแม่น้ำ ระดับชนชั้นทางสังคมมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมน้อย การสร้างที่อยู่อาศัยการมีความกลมกลืนกับคนในท้องถิ่นแต่บ้านเรือนก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทยทรงดำ ประกอบอาชีพมีการทำนา ทำสวน ทำไร่และปลูกพืชเศรษฐกิจ อาหารการกินมีความเรียบง่ายหาอาหารที่มีในท้องถิ่น มีความเชื่อในวัฒนธรรมประเพณีตามบรรพบุรุษและบทบาทด้านการศึกษาเกิดการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาไทยดำ รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดรายได้การพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ชาวไทยทรงดำและปัจจัยทางประวัติศาสตร์ มีการสืบทอด การอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณี</p> จิรวรรณ พรหมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/278511 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาพลักษณ์เชิงจริยธรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์ยุคดิจิทัล: มุมมองและความคาดหวังของผู้บริหารสื่อ ผู้ว่าจ้าง นักวิชาการ คอนเทนครีเอเทอร์ และผู้รับสาร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/274677 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ภาพลักษณ์เชิงจริยธรรมของคอนเทนต์ครีเอเทอร์ยุคดิจิทัลคือปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงความสามารถในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพตอบสนองต่อกลุ่มผู้รับสาร <strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษามุมมองและความคาดหวังต่อภาพลักษณ์เชิงจริยธรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์ยุคดิจิทัลของผู้บริหารสื่อ ผู้ว่าจ้าง นักวิชาการ คอนเทนครีเอเทอร์ และผู้รับสาร <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ จากผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 36 คน ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เนื้อหาจากแพลตฟอร์มดิจิทัล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีแก่นสาระและการตรวจสอบสามเส้า <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่ามุมมองและความคาดหวังต่อภาพลักษณ์เชิงจริยธรรมคอนเทต์ครีเอเทอร์ยุคดิจิทัลของผู้บริหารสื่อ ผู้ว่าจ้าง นักวิชาการ คอนเทนครีเอเทอร์และผู้รับสาร เป็นเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ โดยเป็นผู้ความน่าเชื่อถือ จริงใจ ให้ข้อมูลตรงตามข้อเท็จจริง ไม่ชักนำไปสู่ความบริโภคนิยมพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง วางแผนผลิตเนื้อหาให้มีสาระและปฏิบัติตามจริยธรรมทางวิชาชีพ ระดับความคาดหวังผู้ให้ข้อมูลหลักส่วนใหญ่พบว่าอยู่ระดับสูง เพราะบทบาทคอนเทนต์ครีเอเทอร์ส่งผลต่อมิติความคิดและค่านิยมของผู้รับสาร ขณะที่ระดับความคาดหวังปานกลางและน้อย พบว่าสาเหตุจากปัจจัยธุรกิจที่มุ่งสร้างความมีส่วนร่วมของผู้รับสารมากกว่าคุณภาพเนื้อหา ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นไม่ตรงกับความจริง เนื้อหามีหยาบคายไม่เหมาะกับเด็ก เน้นเรื่องราวที่เป็นกระแสสังคมจนขาดการตรวจสอบความถูกต้อง <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> คอนเทนต์ครีเอเทอร์คือกลไกสำคัญที่สร้างจิตสำนึกทางจริยธรรมในกระบวนการสื่อสารผ่านการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับสังคมอุดมปัญญาแก่สาธารณชนในสังคม</p> วัฒณี ภูวทิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/274677 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276851 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาแรงจูงใจ พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสูงอายุ และหาความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และพฤติกรรมที่ส่งผลต่อแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวสูงอายุชาวไทย จำนวน 400 ราย วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา ทำการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติอนุมาน และหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า นักท่องเที่ยวสูงอายุส่วนใหญ่เป็นหญิงอายุ 60-65 ปี การศึกษาปริญญาตรี สถานภาพสมรส ก่อนและหลังเกษียณประกอบอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันอยู่ที่ภาคใต้ รายได้ 15,001-25,000 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อพักผ่อนหย่อนใจพร้อมครอบครัว จำนวน 2-4 คน ส่วนใหญ่เดินทาง 2 วัน 1 คืน ด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล โดยพักค้างคืนที่โฮมสเตย์/โรงแรม ส่วนใหญ่รู้จัก/เลือกท่องเที่ยวในพื้นที่ธรรมชาติ การเดินทางท่องเที่ยว 2 ครั้ง/ปี มักเดินทางตามฤดูกาล/เทศกาล มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ 5,000 -10,000 บาท แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยอยูในระดับมากทุกด้าน <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผลการทดสอบสมมุติฐาน ความแตกต่างด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพก่อนเกษียณ ภูมิลำเนาปัจจุบัน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนนั้น มีแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยวแตกต่างกัน ปัจจัยแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวในภาพรวม อย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ 0.01 โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับด้านทรัพยากรท่องเที่ยว ด้านการสนับสนุนการท่องเที่ยว ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านค่านิยม ส่วนสถานภาพ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงมากกับด้านวัฒนธรรม อย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ 0.01</p> ชฎาภรณ์ สวนแสน, นรบดี ภัทรวิศรุต, ฎาวีณี ต่วนมูดอ, ลาวัณย์ พงษ์สุวรรณศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/276851 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ศักยภาพความพร้อมทางการท่องเที่ยวและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยว แขววิลเลจ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275685 <p><strong>บทนำ</strong>: ชุมชนท่องเที่ยวแขววิลเลจ เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาด้านความพร้อมและการบริหารจัดการในชุมชน การวิจัยในครั้งนี้จึงมุ่งสำรวจปัญหาและกลยุทธ์ในการจัดการการท่องเที่ยวของชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) บริบทของชุมชน 2) ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว และ 3) แนวทางการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชน <strong>ระเบียบวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสม โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามจำนวน 400 ตัวอย่างจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างจากคณะกรรมการชุมชนท่องเที่ยวแขววิลเลจ จำนวน 18 คน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า เมื่อพิจารณาศักยภาพและความพร้อมทางการท่องเที่ยวของชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีศักยภาพความพร้อมด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวระดับมากที่สุด ได้แก่ การทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วัดบ้านแขวที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณของคนไทยชนเผ่าเขมร และศูนย์เรียนรู้ขนมไทยพื้นบ้านและหัตถกรรมจักสานแขววิลเลจ รองลงมาคือด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ ความสะอาดของห้องน้ำ ความเพียงพอของห้องน้ำ ถังขยะ ที่จอดรถ อันดับที่สาม ด้านสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว ได้แก่ พิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา ความสะอาดของแหล่งท่องเที่ยว และความสวยงาม ร่มรื่น ของสถานที่ท่องเที่ยว ตามลำดับ สำหรับแนวทางการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวแขววิลเลจ เพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชน ประกอบด้วย การสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือร่วมใจกันของคนในชุมชน พร้อมช่วยกันผลักดัน การประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับรู้และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ การขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ชุมชนมีงบประมาณเบื้องต้นในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยว การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของชุมชนเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสร้างรายได้สู่ชุมชน <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ชุมชนมีศักยภาพด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวดังนั้นภาครัฐควรเข้ามาสนับสนุนงบประมาณ ปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้างการประชาสัมพันธ์</p> ณัฐกฤตา นันทะสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275685 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยด้านรายได้ที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกใช้บริการสินเชื่อดิจิทัล PAY NEXT EXTRA บนแอปพลิเคชัน TRUEMONEY WALLET https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/273276 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้บริการสินเชื่อ Pay Next Extra บน True Money Wallet ของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยเน้นกลุ่มที่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเคยใช้บริการ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยรายได้ ส่วนบุคคล และพฤติกรรมการกู้ยืม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ข่าวสารกับส่วนประสมทางการตลาด 5A ตามแนวคิด Marketing 4.0 ประกอบด้วย การรับรู้ (Awareness) การดึงดูดใจ (Appeal) การสอบถาม (Ask) การตัดสินใจ (Act) และการสนับสนุน (Advocate). <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่าง 405 คน สุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา One-Way ANOVA และ LSD. <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่ารายได้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข่าวสาร โดยเฉพาะออนไลน์มีผลสูงสุดต่อความตั้งใจใช้บริการ และต่อส่วนประสม 5A โดยการตัดสินใจ (Act) มีนัยสำคัญสูงสุด กลุ่มรายได้ 50,000-59,999 บาท ตอบสนองสูงสุดในทุกองค์ประกอบ. ผู้วิจัยเสนอแนวทางปรับกลยุทธ์ โดยเน้นสื่อออนไลน์และส่งเสริมการตัดสินใจ (Act) เพื่อยกระดับบริการสินเชื่อดิจิทัลในประเทศไทย</p> วชิระ ฉัพพรรณรังษี , สุทธิภัทร อัศววิชัยโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/273276 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยด้านกลยุทธ์การจัดการที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของ ธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271956 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการปลูกทุเรียนเป็นจำนวนมาก แต่การจัดการไม่สามารถกระจายผลผลิตออกได้ทัน งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาด้านกลยุทธ์การจัดการธุรกิจเพื่อเป็นแนวทางการจัดการธุรกิจในการพัฒนาผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านกลยุทธ์การจัดการที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดการธุรกิจในการพัฒนาผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (GI) ผลไม้ (ทุเรียน) จำนวน 106 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการถดถอยแบบพหุคูณ <strong>ผลการวิจัย:</strong> ปัจจัยด้านกลยุทธ์การจัดการของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ กลยุทธ์การเป็นผู้นำทางด้านต้นทุน กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง กลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์นวัตกรรม และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ อยู่ในระดับมาก โดยกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด สำหรับปัจจัยด้านกลยุทธ์การจัดการที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ 1) กลยุทธ์การเป็นผู้นำทางด้านต้นทุน 2) กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง และ 3) กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ในขณะที่กลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์และ กลยุทธ์นวัตกรรมไม่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานในเชิงบวก ข้อเสนอแนะแนวทางจัดการธุรกิจในการพัฒนาผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกผลไม้ (ทุเรียน) ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ ด้านกลยุทธ์การเป็นผู้นำทางด้านต้นทุน ผู้ประกอบการควรเน้นการสร้างและเพิ่มช่องทางการขายและจัดจำหน่ายผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรง และประหยัดต้นทุน ด้านกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง ผู้ประกอบการควรมีการออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ให้มีความเป็นเอกลักษณ์และแปลกใหม่ทำให้ผลิตภัณฑ์น่าสนใจมากขึ้น ลูกค้าจดจำได้ง่าย และด้านกลยุทธ์การตลาดผ่านสื่อออนไลน์ ผู้ประกอบการควรกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและมีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและหลากหลายเพื่อช่วยลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น <strong>สรุป:</strong> ผลการวิจัยสามารถนำเสนอสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้ Y = 1.687 + 0.322(X<sub>1</sub>) + 0.197(X<sub>2</sub>) + 0.123(X<sub>5</sub>)</p> วิจิตรา สุวรรณโกเมน, ฑาริกา พลโลก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271956 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271991 <p><strong>บทนำ </strong><strong>: </strong>สำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้ก่อตั้งตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 8/2558 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยได้แยกออกจากกองกลาง สำนักงานอธิการบดี เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการบริหารงาน และความสะดวกรวดเร็วในการทำงานจึงได้จัดตั้งสำนักงานสภามหาวิทยาลัยขึ้น <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย </strong><strong>: </strong>1) ศึกษาระดับปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2) ศึกษาประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา <strong>ระเบียบวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 277 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มแล้วจึงสุ่มแบบง่าย จากข้าราชการ/พนักงานมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาสายสอน และสายสนับสนุน จำนวน 902 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน การวิเคราะห์ t-test , F-test และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ <strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> สถานภาพทั่วไป พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 61.4 อายุ 31 - 45 ปี ร้อยละ 49.5 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 83.4 โสดร้อยละ 49.5 เงินเดือน 15,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 53.4 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการบแริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัย เห็นด้วยอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อยคือ ด้านลักษณะของข้าราชการ/พนักงาน ด้านลักษณะสภาพแวดล้อม ด้านลักษณะองค์การ และ ด้านนโยบายการบริหารและการปฏิบัติ เห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยภาพรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความพึงพอใจ ด้านประสิทธิภาพ และด้านผลงาน เห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผลการวิเคราะห์ในตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัว พบว่าตัวแปรอิสระ 2 ตัว มีผลเชิงบวกและตัวแปรอิสระ 1 ตัวมีผลเชิงลบต่อตัวแปรตามเรียงตามลำดับค่าสัมประสิทธิ์ของการถดถอยจากมากไปหาน้อย คือ ลักษณะนโยบายการบริหารและการปฏิบัติ ลักษณะของข้าราชการ/พนักงาน ลักษณะสภาพแวดล้อม ตัวแปรทั้ง 3 ตัว มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ถึงร้อยละ 74.00แสดงว่ายังมีปัจจัยด้านอื่นที่ไม่ได้นำมาพิจารณาอีกร้อยละ 26.00 ที่มีผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาและสมการที่ได้จากการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise) ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 มีค่าผิดพลาดของการคาดประมาณด้วยสมการ (Standard Error of the Estimate) เกี่ยวกับประสิทธิผลการบริหารงานของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เท่ากับ 5.85213</p> ชยนยุช โอภาสวิริยะกุล, สุรศักดิ์ โตประสี, ศรัณย์ ฐิตารีย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271991 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาในการสืบสวนขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271671 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> จากสถานการณ์การที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะเห็นได้ว่าการที่ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายแต่กระทำความผิดเอง โดยที่ทราบอยู่แล้วว่าตนเองนั้นกระทำความผิดดังกล่าวจะต้องได้รับโทษมากกว่าประชาชนทั่วไปที่กระทำผิดแต่ยังเลือกที่จะกระทำความผิด ซึ่งนำมาสู่อุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมาย การศึกษาเรื่องปัญหาในการสืบสวนขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong>1) เพื่อศึกษาปัญหาในการสืบสวนขยายผลการจับกุม เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการสืบสวนขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด <strong>ระเบียบวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยค้นคว้าด้านเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 15 คน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่าปัญหาในการสืบสวนขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ประกอบด้วย ปัญหาด้านโครงสร้าง ปัญหาทางด้านแนวทางหรือนโยบาย ปัญหาทางด้านกฎหมาย และปัญหาด้านการไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> จากการวิจัยรัฐควรต้องให้ความสำคัญทั้งการแก้ไขเชิงนโยบาย และการแก้ไขเชิงปฏิบัติอย่างจริงจัง การทบทวนและแก้ไขในการเพิ่มค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ การลงโทษผู้บังคับบัญชาที่มีการปล่อยปละละเลยให้เจ้าหน้าที่กระทำความผิดด้วย และควรมีการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และพัฒนาตนเองด้านการสืบสวนขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้มากขึ้น รวมถึงการที่องค์กรควรมีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลในการสืบสวนในแต่ละครั้ง และนำมาสรุปบทเรียนเพื่อนำมาถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป </p> อินทิรา ศรีสุข, สุรีย์ฉาย พลวัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271671 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 STUDY OF ENVIRONMENTAL FACTORS AFFECTING THE DEVELOPMENT OF ZHENG HE SCHOOL IN HENAN PROVINCE (MUSIC). https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/168-181 <p><strong>ABSTRAC<u>T</u></strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The purpose of this study was 1. To study the influencing factors of the development of Henan Zheng School. 2. To study what is the use of environmental factors to promote the development of Henan Zheng School&nbsp;</p> <p>Research methods. This article is a qualitative study. Field sampling observation Method of data collection: Field observation is based mainly on the author's investigation of the actual situation of part-time teaching in training institutes and schools. and observation and analysis of students of various ages. and different Zheng teachers through video, audio, live streaming, and other forms of online observation and analysis. Compare Henan Zheng School's unique characteristics and techniques.</p> <p>The population that provided data for this research was a purposive sampling. Three people provided information through interviews. Yang Jian was the Dean of the College of Music of Xinyang Normal University, Du Yuanyuan was my Guzheng teacher at the College of Music of Henan Normal University, and Mr. Song Guangsheng, was the successor of Mr. Cao Dongfu. Henan Zheng's musical representation and successor to China's non-material mainstream music.</p> <p>&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The research results found that:</p> <ol> <li>Factors that influence development from environmental factors that affect it. which can be divided into 3 types: natural environment Compassionate environment and "present environment"</li> <li>The development of Henan Zheng School needs the support of technical conditions, which are reflected in the support of Henan Zheng's music-playing skills, the manufacturing technical support of zheng instruments, and the help of media technology.</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The results of the research found that:</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The study revealed that the digital structural expression in Lingyun High Mountain Han folk songs promotes the development of song narratives, emphasizes structural simplicity, and supports straightforward transmission.</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>Keywords: </strong>Environmental factors of the development, Henan Zheng school, Gu Zheng music</p> Cui Luyue , Rungkiat Siriwongsuwan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/168-181 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัญหากฎหมายโครงสร้างสถานีตำรวจไทยในระบบป้องกัน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275216 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การค้นคว้าอิสระฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงปัญหากฎหมายโครงสร้างสถานีตำรวจไทยในระบบป้องกันเปรียบเทียบกับโครงสร้างสถานีตำรวจในระบบป้องกันของประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติไม่มีการกำหนดโครงสร้าง การจัดการ รูปแบบ ของตำรวจสายตรวจอย่างชัดเจน และเน้นการบริหารแบบกระจายกำลังพลลงสู่พื้นที่ ปริมาณกำลังพลไม่เพียงพอเหมาะสม ไม่มีการจัดสรรสวัสดิการตลอดจนการกำหนดอบรมพัฒนาศักยภาพด้านความรู้และสมรรถภาพร่างกายของตำรวจสายตรวจ ทำให้การป้องกันไม่มีประสิทธิภาพ <strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา แนวคิดทฤษฎี หลักกฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ปัญหา และเสนอแนะ ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายโครงสร้างสถานีตำรวจไทยในระบบป้องกัน มุ่งศึกษาในเรื่องการจัดรูปแบบโครงสร้างในระบบป้องกัน จำนวนกำลังพล สวัสดิการ การอบรมพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ และด้านสมรรถภาพร่างกาย ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจไทย <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาในเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากบทความ รายงาน หนังสือ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ เอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รวบรวมมาใช้วิเคราะห์เพื่อเชื่อมโยงปัญหาที่เกิดขึ้น และหาข้อสรุป เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา<strong> ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ด้านการจัดรูปแบบโครงสร้างในระบบป้องกัน ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติหรือมีกฎระเบียบย่อย เน้นการบริหารส่วนกลางมากกว่าการกระจายกำลังพลลงพื้นที่ ปริมาณกำลังพลไม่เพียงพอเหมาะสมกับปริมาณพื้นที่รับผิดชอบ ไม่มีการจัดสรรสวัสดิการที่จำเป็นตลอดจนไม่มีระเบียบการกำหนดอบรมพัฒนาศักยภาพด้านความรู้และสมรรถภาพร่างกายของตำรวจสายตรวจ <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนทางด้านเนื้อหาให้ครอบคลุมทุกส่วนที่สำคัญนำแนวคิดกฎหมายของประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้</p> วริษา อุบล, สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275216 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 CONSTRUCTING JIANG JIE’S OPERA GUIDEBOOK FOR TEACHING VOCAL MUSIC FOURTH-YEAR STUDENTS AT CHINESE PEOPLE’S LIBERATION ARMY OF ART COLLEGE, BEIJING PROVINCE, THE PEOPLE'S REPUBLIC OF CHINA https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271936 <p><strong> </strong><strong>Introduction:</strong> Jiang Jie’s Opera is a modern Chinese opera based on the true story of 'Jiang Jie,' a female revolutionary who sacrificed her life for the ideals of communism in China. <strong>Objective:</strong> to study Jiang jie opera to create an opera guidebook. Jiang Jie by using it to experiment and teach and find the results of the teaching experiment. <strong>Methods:</strong> Using a combination of qualitative and quantitative research methods. <strong>Results:</strong> found that Jiang Jie opera has an intense character, outstanding national style and beautiful singing parts. Jiang Jie opera guidebook there are a total of five chapters. The fourth-year students were taught Jiang Jie opera. using the guidebook, the trial took 14 weeks. Results: There was a noticeable improvement in students’ vocal abilities following the activity, as evidenced by an increase in the average score from 3.13 to 4.10. This indicates significant development in both vocal technique and emotional expression throughsinging.</p> Luo Han, Pranote Meeson ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271936 Sun, 21 Sep 2025 00:00:00 +0700 CONSTRUCTING THE ADVANCED GUZHENG GUIDEBOOK FOR TEACHING 4TH-YEAR STUDENTS CONSERVATORY OF MUSIC, HUBEI ENGINEERING UNIVERSITY, HUBEI PROVINCE, THE PEOPLE’S REPUBLIC OF CHINA https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266969 <p><strong>Introduction:</strong> Guzheng is an ancient Chinese string instrument with over 2,500 years of history. Known for its soft and melodious sound, it is played by plucking strings and remains a symbol of Chinese music with growing global recognition. <strong>Objective:</strong> (1) To study the technique of playing advanced Guzheng. (2) To construct the advanced Guzheng Guidebook. (3) To experiment teaching by using advanced Guzheng Guidebook. (4) To find out the advanced Guzheng Guidebook. <strong>Method:</strong> This mixed-methods study involved interviews with experts and a teaching experiment using an advanced Guzheng guidebook with 16 fourth-year music students. Learning outcomes were assessed through formative and summative tests.</p> <p><strong>Results:</strong> The use of the advanced Guzheng guidebook with 16 fourth-year students proved effective in enhancing both technical skills and musical expression. Post-test scores increased by an average of 24.8% compared to pre-test scores, indicating the guidebook’s suitability for instructional use. <strong>Conclusion:</strong> The study indicates that fourth-year students showed significant improvement in Guzheng performance skills after instruction using the Advanced Guzheng Guidebook, which is specifically designed for their level. The guidebook effectively enhanced both technical proficiency and musical expressiveness. These findings suggest the potential for adopting the Advanced Guzheng Guidebook in other educational institutions or individual learning contexts.</p> Gao Lei, Pranote Meeson ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266969 Mon, 22 Sep 2025 00:00:00 +0700 THE IMPACTS OF DIGITAL TRANSFORMATION ON COLLEGE TEACHERS' COMPETENCIES IN EDUCATIONAL TECHNOLOGY https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271004 <p><strong>Introduction:</strong> This study attempts to analyze the problems of teachers' educational technology competence in Chinese higher education under digital transformation, and to provide theoretical support for the future development of university teachers as well as the digital transformation of universities.<strong> objectives: </strong>1) to assess the competency level of university teachers in utilizing educational technology tools. (2) To identify the key factors affecting university teachers' ability to effectively integrate technology in their teaching. (3) To provide suggestions and strategies for improving the educational technology competence of university teachers. <strong>Method:</strong> This study used a questionnaire to survey college teachers in Sichuan Province, and 520 people were randomly selected as the survey sample. <strong>Resultes:</strong> Content Knowledge (CK) .108 .083.113 1.293 .016Through regression analysis, it was found that Technological Pedagogical Content Knowledge (Technological Knowledge, Pedagogical Knowledge (Blended Learning, Gamification, Learning Analytics), and Content Knowledge) on the dependent variables: Educational Digital Transformation, Resulte Teaching Effectiveness, Student Learning Outcomes <strong>Conclusion:</strong> Strengthening top-level design and improving strategic planning for Education Digital Transformation at the national, university, and college teacher levels; Boosting the Educational Technology Capacity of College Teachers with a New Digital Ecological Environment; Promote the training of college teachers' educational The main objective of this project is to improve the quality of education and the quality of the teaching profession, and to improve Conclusion: the quality of the teaching profession by providing a better quality of teaching and learning; Strengthening their own subjective initiative and improving their self-learning and development ability.</p> Xingjia Cui, Sujin Butdisuwan, Piyapan Santhaweesuk ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/271004 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อเสริมสร้างการปรับตัว ในผู้ต้องขังรับใหม่ ทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275613 <div>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวของผู้ต้องขังรับใหม่ระหว่างก่อนกับหลังเข้าร่วมการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยม (2) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวระหว่างผู้ต้องขัง</div> <div>รับใหม่ที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยม โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ อายุระหว่าง&nbsp;</div> <div>20-50 ปี ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร จากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 16 คน ที่มีคะแนนการประเมินการปรับตัวต่ำกว่าเกณฑ์ แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล</div> <div>ประกอบด้วยแบบประเมินการปรับตัวในผู้ต้องขังรับใหม่และการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวะนิยม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย&nbsp;</div> <div>Wilcoxon Signed-Rank Test for Match Paired และ Mann-Whitney U Test&nbsp;</div> <div>ผลการวิจัยพบว่า</div> <div>1) หลังเข้าร่วมการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยม ผู้ต้องขังรับใหม่กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</div> <div>2) หลังเข้าร่วมการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยม ผู้ต้องขังรับใหม่กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวสูงกว่าผู้ต้องขังรับใหม่กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</div> <p>&nbsp;</p> ประภัทษร มารักษ์, พีสสลัลฌ์ ธำรงศ์วรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/275613 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700