วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC <p><em>วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร</em> ISSN 2985-248X (Online) รับตีพิมพ์ บทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ ได้แก่ นิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ครุศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ทัศนศิลป์ การท่องเที่ยวและการโรงแรม และจิตวิทยา โดยตีพิมพ์ 4 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 [มกราคม-มีนาคม] ฉบับที่ 2 [เมษายน-มิถุนายน] ฉบับที่ 3 [กรกฎาคม-กันยายน] และฉบับที่ 4 [ตุลาคม-ธันวาคม] <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโ<em>ดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 - 3 คน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review) ที่มาจากหลากหลายสถาบัน</em></strong></p> th-TH <blockquote> <p><strong><em>** ข้อความ ข้อคิดเห็น หรือข้อค้นพบ ในวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร</em></strong><strong><em>เป็นของผู้เขียน ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากบทความและงานวิจัยนั้น ๆ โดยมิใช่ความรับผิดชอบ</em></strong><strong><em>ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี **</em></strong></p> </blockquote> sandusit.b@rbru.ac.th (Sandusit Brorewongtrakhul) sandusit.b@rbru.ac.th (Ratchanok Patnimit) Mon, 20 May 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 วีดีโอสตรีมมิ่ง: การวิเคราะห์กระบวนการสื่อสารของธุรกิจสื่อบันเทิงออนไลน์ กับการเปลี่ยนแปลงหลังยุคโควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/269532 <p>ตั้งแต่ปี 2019 ที่มนุษย์โลกได้พบกับวิกฤติการณ์โควิด-19 เป็นต้นมา ส่งผลให้วิถีชีวิตของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งความเป็นอยู่ การกิน รวมไปถึงการเสพสื่อบันเทิงประเภทภาพยนตร์ เมื่อก่อนเรารับชมภาพยนตร์ด้วยการซื้อบัตรเดินเข้าไปรับชมในโรงภาพยนตร์ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์โควิด-19 เป็นต้นมา โรงภาพยนตร์ก็ถูกปิดไปในระยะเวลาหนึ่ง และผู้คนก็เริ่มต้องถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน รูปแบบการรับชมภาพยนตร์เริ่มเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นการชมภาพยนตร์ที่บ้านมากขึ้น สื่อภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่งเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับชีวิตผู้คนมากขึ้น และหลังจากวิกฤติการณ์โควิด-19 ผ่านไป โรงภาพยนตร์ได้กลับมาเปิดให้บริการแบบปรกติอีกครั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วคือพฤติกรรมของมนุษย์ คนหลายกลุ่มเลือกที่จะเสพสื่อทั้งสองระบบคือทั้งในโรงภาพยนตร์และระบบสตรีมมิ่งโดยรับชมอยู่ที่บ้าน สิ่งที่น่าสนใจคือระบบสตรีมิ่งจะต่อสู้กับโรงภาพยนตร์ที่กลับมาเปิดได้อย่างไร</p> <p> จากการศึกษาพบว่า หลังจากที่โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการดังเดิม ระบบสตรีมมิ่งไม่ได้ประสบภาวะขาดทุนเลย นอกจากนี้ ยังมีกำไรและมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นด้วย เหตุเพราะระบบสตรีมมิ่งได้เปลี่ยนพฤติกรรมการรับชมภาพยนตร์ของผู้คนไปแล้ว อีกทั้ง ยังมีไม้เด็ดคือการที่มีภาพยนตร์ที่เรียกว่า “ออริจินัล” อันเป็นลิขสิทธ์และฉายเฉพาะในระบบสตรีมมิ่งเท่านั้น และด้วยความน่าสนใจของภาพยนตร์ออริจินัลนี้ทำให้ผู้ชมที่รับชมระบบสตรีมมิ่งยังคงสมัครสมาชิกอย่างเหนียวแน่น ซึ่งผู้เขียนจะขอยกกระบวนการสื่อสาร SMCR ของ เดวิด เค เบอร์โล (Devid K. Berlo) มาวิเคราะห์ในงานครั้งนี้โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากการที่ผู้ผลิตสื่อสตรีมมิ่งทุกเจ้านั้น นำรูปแบบการผลิตแบบเดิมมาใช้โดยใช้รูปแบบลักษณะพิเศษซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าออริจินัลคอนเทนท์ แต่การสื่อสารนั้นก็เป็นแบบเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่มีการเพิ่มเติมเทคนิคเข้าไป ทำให้กลุ่มผู้รับสารมีช่องทางในการเลือกรับสารได้มากขึ้น ซึ่งการแข่งขันกันนี้ผลประโยชน์นั้นก็จะตกอยู่ที่ผู้รับสารอย่างไม่ต้องสงสัย</p> สุเทพ เดชะชีพ, บริรักษ์ บุณยรัตพันธุ์, พิณทิพย์ สัตย์เพริศพราย, วรเชษฐ์ มูฮัมหมัดสอิ๊ด Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/269532 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 ศักยภาพของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของ ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ จังหวัดจันทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/269352 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของผู้ประกอบการ ความสามารถในการแข่งขันของของธุรกิจ และเพื่อศึกษาศักยภาพของผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ จังหวัดจันทบุรี โดยประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับจังหวัดจันทบุรีที่จดทะเบียนกับพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี จำนวน 212 คน โดยมีวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม นำข้อมูลมาวิเคราะห์ในประเด็นต่าง ๆ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>ผู้ประกอบการธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี และมีรายได้เฉลี่ยนต่อเดือนระหว่าง 30,001-50,000 บาท มีระดับศักยภาพของผู้ประกอบการโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะศักยภาพแห่งความสำเร็จ และระดับความสามารถในการแข่งขันโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ตัวแปรศักยภาพผู้ประกอบการ อัญมณีและเครื่องประดับในจังหวัดจันทบุรีที่ส่งต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมี 3 ปัจจัย คือ ศักยภาพแห่งอำนาจ ศักยภาพแห่งการวางแผน และศักยภาพแห่งความสำเร็จ</p> กฤษณา ถนอมธีระนันท์, ปัญญาณัฐ ศิลาลาย, ณรงค์ อนุพันธ์, ธนภ จิตรแจ้ง, ธีรวุฒิ สุทธิประภา Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/269352 Mon, 20 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะและพฤติกรรมด้านการสอนต่อประสิทธิผลการสอน ของอาจารย์พิเศษทางคลินิกกายภาพบำบัดในประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/264550 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาปัจจัยสมรรถนะและพฤติกรรมด้านการสอนที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการสอนของอาจารย์พิเศษทางคลินิกกายภาพบำบัด 2)หาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะและพฤติกรรมด้านการสอนของอาจารย์พิเศษทางคลินิกกายภาพบำบัด โดยมีรูปแบบการวิจัยแบบผสมวิธีรูปแบบขั้นตอนเชิงอธิบาย ซึ่งใช้การวิจัยเชิงปริมาณด้วยการเก็บแบบสอบถามกับอาจารย์พิเศษทางคลินิกกายภาพบำบัด จำนวน 268 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติ Multiple Regression Analysis ตามด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1)ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการสอนทางคลินิก คือ สมรรถนะของอาจารย์พิเคษทางคลินิกด้านความรู้และทักษะทางวิชาชีพ ด้านภาวะผู้นำ และพฤติกรรมด้านการสอนช่วงก่อนปฏิบัติงานทางคลินิก ระหว่างปฏิบัติงานทางคลินิก และหลังปฏิบัติงานทางคลินิก</p> <p>2)แนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านความรู้และทักษะทางวิชาชีพโดยการเข้ารับการอบรมเพิ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านร่วมกับการพัฒนาทักษะด้านการวิจัย ด้านภาวะผู้นำโดยการพัฒนาตามที่หน่วยงานวางแผน และการพัฒนาพฤติกรรมด้านการสอนผ่านหลักสูตรการพัฒนาอาจารย์พิเศษทางคลินิกขั้นต้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานต้นสังกัดของอาจารย์พิเศษทางคลินิก องค์กรวิชาชีพ และสถาบันการศึกษาเพื่อให้มีแนวทางการควบคุมการฝึกปฏิบัติงานทางคลินิกที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน</p> นันท์ อุดมเฉลิมภัทร, อิทธิกร ขำเดช Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/264550 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การจัดจำหน่ายเสาวรสในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265776 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัญหาการจัดจำหน่ายเสาวรส ในอำเภอเขาค้อจังหวัดเพชรชรบูรณ์ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยการจัดจำหน่ายเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ 3. เพื่อวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาดการจัดจำหน่ายเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การพยากรณ์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า ส่วนมากเป็นเพศหญิง มีอายุ 30 – 39 ปี การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. อาชีพลูกจ้างบริษัทเอกชน ส่วนมากมีรายได้ 20,001 – 30,000 บาท</li> <li>ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด (7Ps) กลยุทธ์การจัดจำหน่ายเสาวรส มีระดับการตัดสินใจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการ ด้านราคา ด้านส่งเสริมการตลาด มีด้านบุคลากร ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านลักษณะทางกายภาพ ตามลำดับ</li> <li>ผลวิเคราะห์ข้อมูลการกระจายสินค้าเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ การกระจายสินค้าเสาวรส โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ห้างสรรพสินค้า ทางโทรศัพท์ ร้านขายของที่ระลึกในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางอินเทอร์เน็ต สถานีขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ศูนย์ผลิตของที่ระลึก งานแสดงสินค้าในจังหวัดเพชรบูรณ์ ศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป และถนนคนเดินในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตามลำดับ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดการจัดจำหน่ายเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ Sig. เท่ากับ .030 ด้านราคา Sig. เท่ากับ .000 ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย Sig. เท่ากับ .000 ด้านบุคคล Sig. เท่ากับ .043 ด้านกระบวนการ Sig. เท่ากับ .033 ด้านลักษณะทางกายภาพ Sig. เท่ากับ .020 มีผลต่อการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์</li> <li>การกระจายสินค้าเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป Sig. เท่ากับ .000 งานแสดงสินค้าในจังหวัดเพชรบูรณ์ Sig. เท่ากับ .000 Sig. เท่ากับ .0001 ทางโทรศัพท์ Sig. เท่ากับ .000 ทางอินเทอร์เน็ต Sig. เท่ากับ .000 ถนนคนเดินในจังหวัดเพชรบูรณ์ Sig. เท่ากับ .0001 ห้างสรรพสินค้า Sig. เท่ากับ .000 มีผลต่อการกระจายสินค้าเสาวรส ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์</li> </ol> ภาคภูมิ สายโสภา, ณัฏฐวัฒน์ แซงภูเขียว, ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265776 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 การปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเข้าสู่สังคมออนไลน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/267464 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเข้าสู่สังคมออนไลน์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ สื่อมวลชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10 คน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>สภาพปัญหาของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น สถานีวิทยุชุมชน และหนังกลางแปลง ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านงบประมาณขาดทุนในการดำเนินการ ปัญหาด้านเทคโนโลยีขาดความรู้ในการใช้เทคโนโลยี มีปัญหาในการใช้แพลตฟอร์มบนสื่อออนไลน์ ปัญหาด้านระบบการทำงาน การทำงานยังไม่เป็นระบบ และปัญหาด้านลักษณะเนื้อหาที่เน้นข่าวสารในท้องถิ่น หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมีปัญหาในการใช้ถ้อยคำใช้ภาษาไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม ส่วนของสถานีวิทยุชุมชนมีปัญหาการโฆษณาพูดเกินจริง</li> <li>การใช้สื่อสังคมออนไลน์และการเข้าสู่สังคมออนไลน์ของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การใช้สื่อออนไลน์ สื่อมวลชนท้องถิ่นยึดถือจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนเป็นหลัก มีมาตรฐานและเกณฑ์ในการตัดสินใจคัดเลือกและตรวจสอบข้อมูลก่อนการนำเสนอข่าว และมีการใช้เครื่องมือสื่อออนไลน์อย่างเหมาะสม</li> <li>การปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ทิศทางการปรับตัวของสื่อมวลชน คือ การเป็นต้นแบบที่ดีในการนำเสนอข้อมูล เป็นผู้นำเสนอความจริง การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลส่งผลให้สื่อออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลดึงดูดความสนใจผู้รับสารได้มาก การทำงานของสื่อมวลชนเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนจึงต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารในสังคมออนไลน์และต้องผลิตเนื้อหาข่าวสารให้สามารถเข้าถึงความสนใจของผู้รับสารด้วยเช่นกัน</li> </ol> พิสิษฐ์ ชาญเจริญ, ภูริพัฒน์ แก้วตาธนวัฒนา , จำเริญ คังคะศรี , นิสากร ยินดีจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/267464 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้ของเยาวชนผู้ชมรายการแดร็ก เรซ ไทยแลนด์ ต่อภาพตัวแทน ความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265789 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการรับรู้ของเยาวชนผู้ชมรายการแดร็ก เรซ ไทยแลนด์ ต่อภาพตัวแทน ความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นเยาวชนผู้ชม จำนวน 36 คน ใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) และแบบการแนะนำต่อ ๆ กัน (Snowball sampling ) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เอกสารทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีแก่นสาระและการตรวจสอบสามเส้า </p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า</p> <p>การรับรู้ของเยาวชนผู้ชมรายการแดร็ก เรซ ไทยแลนด์ต่อภาพตัวแทนของผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นเชิงบวกคือเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการให้ความบันเทิง มีความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับจากครอบครัว เป็นกลุ่มบุคคลที่ปกติและเกิดการตระหนักถึงสิทธิทางเพศเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเยาวชนรับรู้ว่าภาพตัวแทนมีความบิดเบี้ยวไม่ตรงกับความจริง ความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศลดลง เนื่องจากการขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งของสื่อและผลประโยชน์ทางธุรกิจของผู้ผลิตรายการ ปัจจัยของกระแสโลกที่มีต่อประเด็นความหลากหลายทางเพศและการพัฒนาของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การรับรู้ของเยาวชนต่อความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศเพิ่มขึ้น</p> วัฒณี ภูวทิศ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265789 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืน : กรณีศึกษาประมงชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263694 <p>งานวิจัยนี้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้คือ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการ<br />การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมต่อการทำประมงของไทย และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนามาตรการทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืนของไทย วิธีวิทยาการวิจัยใช้การศึกษาแนวสหวิทยาการ <br />ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและเก็บข้อมูลภาคสนามโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประมง เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการประมงประจำจังหวัด และชาวประมงในพื้นที่</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และแก้ไขเพิ่มเติม ทำให้การทำการประมงชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกประสบปัญหาในเชิงปฏิบัติการของการบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนของบทบัญญัติ มีข้อกำหนดการทำประมงที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวประมง ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาในการเตรียมการ และไม่มีการช่วยเหลือทางการเงินตามแนวคิดการชดเชยในกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐ <br />2) การพัฒนามาตรการทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืนของไทย ควรมีเป้าหมายหลักคือเพื่อการส่งเสริมการทำประมงของไทยให้มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคมและรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำและสภาพแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม ป้องกันมิให้มีการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยเจตนา ส่งเสริมสนับสนุนผู้ทำการประมงให้ได้รับความสะดวกและได้รับการคุ้มครองในการประกอบอาชีพ ได้รับการชดเชยในกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐ มีการจัดระเบียบการประมงให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบด้วย การบริหารจัดการด้านการประมง การทำการประมงในน่านน้ำไทย มาตรการอนุรักษ์และบริหารจัดการ การควบคุมเฝ้าระวัง สืบค้นและตรวจสอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรการทางปกครอง และบทกำหนดโทษ</p> อาทิตยา โภคสุทธิ์, ขวัญศิริ เจริญทรัพย์, พิมุข สุศีลสัมพันธ์, วิชา มหาคุณ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263694 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 แนวทางในการจัดการของผู้ประกอบการโรงแรมในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263988 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1)เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการ 2)เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการ และ 3)เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการจัดการของผู้ประกอบการโรงแรมในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ใช้รูปแบบการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ โดยทำการศึกษาจากผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ อ.เกาะช้าง จำนวน 12 คน คัดเลือกด้วยการเจาะจงและมีการปรึกษากันระหว่างผู้วิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสัมภาษณ์โดยนำข้อมูลที่ได้มาสรุปความตามประเด็นสำคัญ (Content Analysis) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการจัดการโรงแรม ในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p> 1.เมื่อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ผู้ประกอบการโรงแรมทุกระดับได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของรัฐบาลและความหวาดวิตกของนักท่องเที่ยวส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายแห่งต้องปิดกิจการและอีกหลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการ โดยเฉพาะการบริการ การตลาด และการสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงด้านราคา</p> <ol start="2"> <li>การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหมดเกิดปัญหาและอุปสรรคในการจัดการกับโรงแรม เมื่อไวรัสโควิด-19 ได้มีการแพร่ระบาดในพื้นที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง ได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า เนื่องจากการแพร่ระบาดนั้นมีหลายระลอกและมีการออกมาตรการที่ล่าช้าจากภาครัฐ ทำให้เกิดการวิตกกังวลที่มาจากนักท่องเที่ยวและมาจากทั้งตัวผู้ประกอบการเอง ทำให้เกิดเป็นปัญหาและอุสรรคในการจัดการโรงแรม แต่ทางผู้ประกอบการก็ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับปัญหาและอุปสรรคให้เข้ากับสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19</li> <li>เมื่อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ผู้ประกอบการโรงแรมทุกระดับได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของรัฐบาลทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมในเขตพื้นที่ อ.เกาะช้าง ต้องมีการพัฒนาแนวทางในการจัดการกับวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านราคา การจัดการ การตลาด และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว</li> </ol> สหรัฐ ทักษ์คีรี, จักรชัย สื่อประเสริฐสิทธิ์, อนุรัตน์ อนันทนาธร, พงษ์เสฐียร เหลืองอลงกต Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263988 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสมญานามที่สื่อมวลชนตั้งให้ตำรวจ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/267708 <p>การวิจัยเรื่อง “การศึกษาสมญานามที่สื่อมวลชนตั้งให้ตำรวจ” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมญานามที่สื่อมวลชนตั้งให้ตำรวจ และเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบในการตั้งสมญานามให้ตำรวจในปี พ.ศ. 2566 เป็นการวิจัยเอกสาร (Document Research) ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรายวัน 2 ฉบับ ได้แก่ ไทยโพสต์ และ ไทยรัฐ โดยศึกษาช่วงระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.​ 2566</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>องค์ประกอบในการสร้างสมญานาม 2 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบแรก ชื่อเล่น ประกอบด้วย 6 สมญานาม ได้แก่ 1) “ต่อ เฟรนลี่” 2) “โจ๊ก รอได้” 3) “หลวงโดดปราบยา” 4) “บิ๊กอรรถกัดไม่ปล่อย” 5) “ที่สุดของแจ้” และ 6) “เชอร์ล็อคนพ” องค์ประกอบที่สอง คือ พฤติกรรม ประกอบด้วย 5 สมญานาม ได้แก่ 1)“เพชฌฆาตโจรไซเบอร์” 2) “มือปราบกังฉิน” 3) “โคนันนครบาล” 4) “สุภาพบุรุษสีกากี” และ 5) “จ้าว แข็งโป๊ก”</p> ทรงยศ บัวเผื่อน Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/267708 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาทางกฎหมายในการสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263556 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ 1.) เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี และความสำคัญของการสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน 2.) เพื่อศึกษาถึงกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการสอบสวนเปรียบเทียบ 3.) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาในการสอบสวนเปรียบเทียบ 4.) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสอบสวนเปรียบเทียบ</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p> การสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินยังมีปัญหาและความไม่ชัดเจนในการดำเนินการ ได้แก่ ขอบเขตของการสอบสวนเปรียบเทียบซึ่งไม่มีการให้ความหมายของการสอบสวนเปรียบเทียบไว้ ระยะเวลาในการสอบสวนเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบให้ชัดเจนข้อเสนอแนะของงานวิจัยนี้ ได้เสนอแนะเพิ่มเติม โดยกำหนดความหมายของการสอบสวนเปรียบให้มีความชัดเจน กำหนดระยะเวลาดำเนินการ และกำหนดคุณสมบัติของเจ้าพนักงานที่ดินผู้ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น</p> เรวัต พลรักษา, สุระทิน ชัยทองคำ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263556 Sun, 23 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการป้องกันและการแก้ไขการติดยาไอซ์ของวัยรุ่นหญิง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/260487 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาถึงปัญหาประสบการณ์และบทเรียนชีวิตของวัยรุ่นหญิงที่เกี่ยวข้องกับยาไอซ์ และ 2) เพื่อการพัฒนารูปแบบและการประเมินรูปแบบ โดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 36 คน ได้แก่ วัยรุ่นหญิงที่ต้องโทษอยู่ในทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงธัญบุรี ทัณฑสถานธนบุรี ทัณฑสถานชลบุรี ครอบครัว และเพื่อนบ้านในละแวกชุมชนของวัยรุ่นหญิงที่ต้องโทษอยู่ในทัณฑสถานทั้ง 3 แห่ง จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดชลบุรี เครื่องมื่อใช้ในการวิจัยผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาเฉพาะกรณี วิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความเชิงตรรกะและการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p> วัยรุ่นหญิง เกิดปัญหาจากตนเอง ครอบครัว สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และทัศนคติ การมีส่วนร่วมในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาไอซ์ ด้านครอบครัว/ชุมชนยังไม่ดีพอถึงแม้จะรับรู้ถึงปัญหามีความต้องการร่วมป้องกัน แก้ไขให้เด็กวัยรุ่นหญิง และคนในชุมชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเพื่อให้ชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติด ด้านเจ้าที่ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหายาเสพติดในชุมชน กลไกการทำงาน รูปแบบและวิธีการขับเคลื่อนนโยบายไปปฏิบัติ ยังขาดความเชื่อมโยงในการดำเนินงานทำให้วิธีการป้องกัน และการแก้ไขปัญหายาไอซ์ของวัยรุ่นหญิง ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดแนวทางดำเนินงานที่มุ่งสร้างสังคมปลอดภัยจากยาเสพติด</p> ฐิตชา ผ่องไพบูลย์ , พีระพงษ์ ภักคีรี, กล้าหาญ ณ น่าน, วิจิตรา ศรีสอน Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/260487 Sun, 23 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 ศึกษากรณีโทษปรับทางอาญา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263917 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมา ความหมาย แนวความคิด ทฤษฎีหลักการบังคับใช้กฎหมายการขุดดินและถมดิน ปัญหาและอุปสรรคการบังคับใช้มาตรการทางอาญา รวมถึงศึกษาบทความ เอกสารและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายดังกล่าว</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p> การเปรียบเทียบปรับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 กำหนดให้เป็นดุลพินิจเจ้าพนักงานท้องถิ่นทำการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งเป็นการให้อำนาจการใช้ดุลพินิจที่กว้างเกินไป ประกอบกับ ไม่มีวิธีการ หลักเกณฑ์กำหนดอัตราค่าปรับไว้ชัดเจนทำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติงานได้โดยยาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนความผิดของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ปัญหาเรื่องหลักเกณฑ์และอัตราโทษปรับยังไม่เหมาะสม และปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย </p> <p> ข้อเสนอแนะของการศึกษาครั้งนี้เห็นควรยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 มาตรา 42 ให้มีคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับในเขตกรุงเทพมหานครและในเขตจังหวัดอื่น เพื่อถ่วงดุลพินิจการเปรียบเทียบปรับของเจ้าพนักงานท้องถิ่น และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 33 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสอบสวนและมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อลดภาระงานของพนักงานสอบสวน เกิดความรวดเร็วเป็นธรรมต่อระบบกระบวนการยุติธรรมและส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> กฤษฎี รักษาทรัพย์ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263917 Sun, 23 Jun 2024 00:00:00 +0700 LEGAL MEASURES TO PROTECT FOREIGN WORKERS: A CASE STUDY OF WORKERS IN THE CHANTHABURI FRUIT PROCESSING INDUSTRY https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266189 <p>The objectives of this article were 1) To study the background, conditions, and theory of legal measures to protect foreign workers, 2) To study legal measures to protect foreign workers, and 3) To find solutions and have legal measures to protect foreign workers. The research employed the qualitative approach by using documentary research.</p> <p> <strong>The results of the research found that:</strong></p> <p><strong> </strong>The study found that legal measures to protect foreign workers in Thailand, especially in the industrial sector of the Chanthaburi Province, still need to be improved. More legal clarity is also needed regarding how much protection should still be required to ensure effective law enforcement, for instance, illegal foreign workers, and the different treatment of Thai and foreign workers. The approaches to solving these problems are specific legislation that protects foreign workers in the industrial sector to be more clearly and comprehensively enabled to operate, the establishment of agencies that oversee the work of the employer in the case of foreign labor, and extension of the protection of the social insurance program in the event of foreign workers engaged in the occupation. Moreover, a social insurance fund for foreign workers should be established, and the principle of claiming damages for claims or proceedings relating to unemployment should be used to punish an employer who acts intentionally or deliberately against an employee in the event of a foreign worker being a victim.</p> Kulapranee Gonvitit, Visitsak Nueangnong , Thitirat Itthimechai , Songporn Pramarn Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266189 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาระบบประกันสุขภาพเอกชนที่เป็นธรรม : กรณีศึกษากลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในจังหวัดจันทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265093 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาของระบบประกันสุขภาพเอกชนในปัจจุบัน 2) วิเคราะห์สภาพปัญหาของระบบประกันสุขภาพเอกชนตามแนวคิดในมิติสหวิทยาการ และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบประกันสุขภาพเอกชนที่เป็นธรรม โดยใช้การวิจัยแนวสหวิทยาการ เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงผสมผสาน โดย 1) การวิจัยเชิงคุณภาพใช้แนวสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 28 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สาระ 2) การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม สอบถามผู้เอาประกันภัยจำนวน 110 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p> ผู้เอาประกันภัยซื้อประกันสุขภาพเอกชนโดยไม่มีความรู้เรื่องมูลค่าเงินตามเวลา และปกปิดข้อมูลสุขภาพ ตัวแทนประกันชีวิตขายประกันสุขภาพเอกชนโดยไม่อธิบายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าเงินตามเวลา ไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณตัวแทนประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตออกแบบเอกสารเบี้ยและผลประโยชน์ประกันภัยโดยไม่แสดงข้อมูลมูลค่าเงินตามเวลา และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ถูกต้องตามสัญญา โรงพยาบาลเอกชนรักษาพยาบาลเกินมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์ และดำเนินงานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเบิกค่าสินไหมทดแทนไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องปรับปรุงหลักการและความรับผิดชอบของกลุ่มผู้มีผู้ส่วนได้ส่วนเสียโดยบูรณาการกับองค์ความรู้สหวิทยาการ โดยแนวทางการพัฒนาระบบประกันสุขภาพเอกชนที่เป็นธรรม ประกอบด้วย 1) ต้องพัฒนาผู้เอาประกันภัยด้านความรู้เรื่องประกันชีวิต ประกันสุขภาพ การลงทุน และสร้างความตระหนักเรื่องความสุจริตอย่างยิ่งของผู้เอาประกันภัย 2) ต้องกำกับดูแลตัวแทนประกันชีวิตด้านความรู้เรื่องการลงทุนประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และสร้างระบบการบังคับใช้จรรยาบรรณตัวแทนประกันชีวิต 3) ต้องสร้างกระบวนการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันชีวิตให้เป็นไปตามสัญญา และผลิตสัญญาประกันสุขภาพเอกชนที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์พื้นฐานของสัญญาตามกฎหมาย และ 4) ต้องกำกับกระบวนการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนให้เป็นไปตามมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์ และดำเนินการส่วนที่เกี่ยวข้องกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ครบถ้วน ถูกต้อง</p> ปรทิพย์ จันทร์แจ่มศรี, ธันวา จิตต์สงวน, อดิศร กุลวิทิต, ขวัญศิริ เจริญทรัพย์ Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/265093 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เชื่อมโยงความรับผิดชอบต่อสังคม ชื่อเสียงองค์การคุณภาพชีวิตในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์การ และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีมุมมองของพนักงานองค์การธุรกิจอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/258314 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ตรวจสอบความสอดคล้องของรูปความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 2) ศึกษาอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลรวมของปัจจัยความรับผิดชอบต่อสังคม และปัจจัยชื่อเสียงองค์การ ที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีพนักงานโดยผ่านคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ มุมมองของพนักงานองค์การธุรกิจอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก และใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสนับสนุนข้อค้นพบ เก็บข้อมูลแบบสอบถามจำนวน 542 คน วิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> </p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) โมเดลวิจัยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2) ความรับผิดชอบต่อสังคมมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ และมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีโดยผ่านคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญ และ 3) ชื่อเสียงองค์การมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ และมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีโดยผ่านคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้สามารถให้ข้อมูลอ้างอิงที่เป็นประโยชน์แก่บริษัท บุคคลที่ทำงานในองค์การ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> สุนีรัตน์ นาสมชัย, สุรสิทธิ์ บุญชูนนท์, อนุวัตร แจ้งชัด Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/258314 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจของนักศึกษาจีนในระดับปริญญาตรีที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ของ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/262495 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาจีนในระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณจำนวน 49 คน ที่ศึกษาในระหว่างปีการคึกษา 2560 – 2563 รูปแบบการเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามนักศึกษาจีน คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามออนไลน์ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท มีทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านหลักสูตร 2. ด้านอาจารย์ผู้สอน 3. ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 4. ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 5. ด้านการวัดและการประเมินผล 6. ด้านการจัดการเรียนการสอน วิเคราะห์เป็นข้อมูล โดยหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) โดยผลรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากในด้านการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จำแนกตามปัจจัยในแต่ละด้าน พบว่าความพึงพอใจด้านหลักสูตรอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจด้านคณาจารย์มากที่สุด ความพึงพอใจด้านกิจกรรมการเรียนการสอนมากที่สุด ความพึงพอใจด้านสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด ความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนมากที่สุด ความพึงพอใจด้านวัดและประเมินผลมากที่สุด</p> เมธีวัฒน์ วัฒนศรี , สุกัญญา บูรณเดชาชัย, ขจรศักดิ์ กั้นใช้ , วรินทร แจ้งโรจน์, ชนณเกษม โคตรบัวศรี Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/262495 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 การดัดแปลงตัวละครจากวรรณคดีไทยเพื่อสร้างสรรค์บทละครสะท้อนปัญหาสังคม เรื่อง Night at the library the ชะเอิงเงย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/262623 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการดัดแปลงตัวละครจากวรรณคดีไทย เพื่อสร้างสรรค์บทละครสะท้อนปัญหาสังคมเรื่อง Night at the library the ชะเอิงเงยซึ่งผู้วิจัย ได้ทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ที่ใช้การสังเคราะห์ตีความสร้างเป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้ที่ประกอบด้วยผลงานการแสดงที่สร้างความหมายใหม่กับวงการศิลปะ โดยผู้วิจัยเป็นผู้เขียนบทละครร่วมสมัย เพื่อ ค้นหา วิธีการ ดัดแปลงบทละคร จากตัวละครในวรรณคดีไทย มาสะท้อนปัญหาสังคมปัจจุบัน งานวิจัยนี้ มีขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลและการเขียนบท จนไปถึง การจัดแสดงจริง โดยมี การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลคนสำคัญ </p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong><strong> </strong></p> <p>การดัดแปลงตัวละครจากวรรณคดีไทย เพื่อสร้างสรรค์บทละครสะท้อนปัญหาสังคม สามารถใช้ การดัดแปลง ตัวละครจากวรรณคดีไทย ที่มีปัญหา เทียบเคียงกับ ตัวละครในสังคมปัจจุบันได้ เป็นอย่างดี แต่ผู้เขียนบท จำเป็นที่จะต้องศึกษา แก่นแท้ ของวรรณคดีในแต่ละเรื่องให้เป็นอย่างดี แล้วจึงขยายความตัวละครนั้น ขึ้นมาสร้างเป็นบทละครเรื่องใหม่ต่อไป</p> กษาปณ์ ปัทมสูต, พิมพ์ภิรดา ปัทมสูต Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/262623 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266893 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ให้บริการขนส่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ใช้รูปแบบการวิจัยแบบปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ใช้บริการขนส่งในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม จำนวน 385 คน ได้มาจากการสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ul> <li>ผู้ใช้บริการขนส่งในนครปฐมพึงพอใจกับคุณภาพการให้บริการโดยรวม โดยความน่าเชื่อถือเป็นด้านที่ได้รับการประเมินสูงที่สุด</li> <li>ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่งในนครปฐมไม่แตกต่างตามเพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษา แต่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญตามอาชีพ</li> <li>การศึกษาแสดงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างคุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการขนส่งในนครปฐม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าใจและการรู้จักลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความพึงพอใจ</li> </ul> <p>การนำผลวิจัยไปใช้ต้องมุ่งเน้นการฝึกพนักงานให้เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและพัฒนากระบวนการขนส่งและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ ส่วนการวิจัยครั้งต่อไปควรขยายขอบเขตการศึกษาและสำรวจปัจจัยใหม่ๆ พร้อมใช้เทคนิควิจัยหลากหลายเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นต่อความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้า</p> กิตติอำพล สุดประเสริฐ, ฉัตร์รวี อภิวรางค์พงศ์, บุญญิสา ถึงถิ่น Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/266893 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700 DIAGNOSING ENGLISH READING ABILITY IN CAMBODIAN LOWER SECONDARY SCHOOL STUDENTS https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263083 <p>Cambodian lower secondary school students’ deficits in English learning have raised concerns in the educational field. Despite the improvement in most of the study subjects by the Education Reform, most students are still struggling to learn English, particularly reading. This current study identifies their strengths and weaknesses in English reading and seeks some practical guidelines that can be applied to enrich their reading ability. This study answered these two research aims through quantitative and qualitative research designs. The study recruited both lower secondary school students and their teachers of English in a Cambodian high school to participate in a reading test, questionnaire, and interviews. The data analysis employed descriptive statistics and content analysis to offer the key results.</p> <p><strong> </strong><strong>The results of the research found that: </strong></p> <p><strong> </strong>1) Lower secondary school students had very strong demographic backgrounds, such as living with educated parents, being literate in their first language, or having a high interest in English reading, and they also had strong motivation for English reading. However, they were weak in grammar and word recognition and very weak in reading comprehension and vocabulary, respectively.</p> <p> 2) Six teaching guidelines: ensuring students’ foundation of English, focusing on students’ vocabulary, explaining grammar in reading texts, ensuring students’ reading fluency, teaching reading sub-skills, and helping learners set goals were suggested.</p> Kakada Sem, Natthaphon Santhi Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/view/263083 Mon, 24 Jun 2024 00:00:00 +0700