https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/issue/feed วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร 2025-06-30T09:56:34+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สายสุดา เตียเจริญ np.boonkoum@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร</strong></p> <p><strong>Online ISSN : </strong>2697-4541 <strong>Print ISSN : </strong>1906-8255</p> <p><strong>นโยบายวารสาร</strong></p> <p> วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร มีเป้าหมายในการเผยแพร่งานวิจัย บทความวิชาการ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาและสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงวิชาการวารสารมุ่งเน้นคุณภาพของบทความโดยมีการประเมินและตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ (peer review) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกบทความมีมาตรฐานที่สูงและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาการศึกษาในยุคปัจจุบัน</p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p>บทความวิจัย, บทความวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์เผยแพร่</strong></p> <p>วารสารตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/277811 การทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร 2025-03-25T08:29:14+07:00 อัญชิษฐา เชียงนิยม olemorning@gmail.com ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ TONWIMONRAT_S@SU.AC.TH <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) แนวทางการพัฒนาการทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร ประชากร คือ โรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 16 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 3 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการ จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์การทำงานเป็นทีมของครู ตามแนวคิดของยุคล์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก<br />2. แนวทางการพัฒนาการทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนในสำนักงานเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นพหุแนวทาง ซึ่งยกตัวอย่างในแต่ละด้านได้โดยสังเขปดังนี้ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาให้ครูกำหนดเป้าหมายและวางแผนกลยุทธ์การทำงานร่วมกัน 2) การพัฒนาวิชาชีพครูด้วยการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 3) ครูเข้ารับการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินและการจัดทำแผนฉุกเฉิน 4) การจัดกิจกรรมและการอบรมเกี่ยวกับเครือข่ายการศึกษาเพื่อให้ครูสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายภายนอก 5) การสำรวจความต้องการของครูเพื่อจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่มีความเหมาะสมตามบริบทของโรงเรียน 6) การจัดกิจกรรมสัมพันธ์และการสื่อสารอย่างเปิดเผยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู 7) ครูมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อทัศนคติที่ดีต่อกัน 8) ครูออกแบบแผนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและประชุมทบทวนผลงาน 9) ผู้บริหารสถานศึกษาให้ครูมีส่วนร่วมในการทำงานและระดมความคิดในกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบร่วมมือ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/277219 สมรรถนะเพื่อความความสำเร็จของผู้อำนวยการโรงเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : กรณีศึกษาสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มที่ 4 2025-03-26T08:29:04+07:00 นิสาชล จุลศิริ nisachon.jul@ku.th วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง wanwisa.seu@ku.th สุดารัตน์ สารสว่าง sudarat.sar@ku.th <p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะแห่งความสำเร็จสำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของครูที่ต้องการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับสมรรถนะแห่งความสำเร็จสำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างกลุ่มครูที่ต้องการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนากรอบสมรรถนะแห่งความสำเร็จสำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและอนาคต กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูจาก 11 โรงเรียน จากการใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกนและการสุ่มแบบกลุ่ม โดยการเลือกผู้บริหารหลังรับตำแหน่งได้ไม่เกิน 3 ปี จำนวน 18 คนและครูที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 116 คน รวม 134 คน สำหรับการตอบแบบสอบถาม และผู้บริหาร (ตามความสมัครใจ) 14 คน ตอบแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์แก่นสาระ<br />ผลการวิจัยพบว่า ระดับสมรรถนะของครูที่ต้องการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุดในด้านความเป็นเลิศส่วนบุคคล ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.30, S.D. = 0.62) และภาวะผู้นำทางการเรียนการสอน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.24, S.D. = 0.67) ขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาหลังรับตำแหน่งไม่เกิน 3 ปี มีระดับสมรรถนะสูงกว่า โดยเฉพาะด้านความเป็นเลิศส่วนบุคคล ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.53, S.D. = 0.50) และภาวะผู้นำทางการเรียนการสอน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.51, S.D. = 0.49) การเปรียบเทียบสมรรถนะ ด้วย t-test พบว่าผู้บริหารสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยสมรรถนะ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.510) สูงกว่าครู ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.031) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05)แนวทางพัฒนากรอบสมรรถนะแห่งความสำเร็จสำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและอนาคตควรครอบคลุมสมรรถนะการบริหารการเปลี่ยนแปลง การใช้เทคโนโลยี การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการเสริมภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/278502 การนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 2025-04-28T16:30:06+07:00 กะรัต ทองใสพร karatann2535@gmail.com มัทนา วังถนอมศักดิ์ nong_sunshine@yahoo.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบการนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 2) เพื่อทราบแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 ประชากรที่ศึกษาคือข้าราชการครูในศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือข้าราชการครู จำนวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. การนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 อยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน และระดับมาก 4 ด้าน เรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ การปฏิบัติการนิเทศ การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ การวางแผนการนิเทศ การสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ และการประเมินผลและรายงานผล ตามลำดับ</li> <li>แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนของศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 ดังนี้ 1) การจัดประชุมสรุปผลการนิเทศเพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำมาเป็นแนวทางในการกำหนดค่าเป้าหมายที่จะพัฒนา ส่งเสริมให้นำผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา (SAR) มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ 2) กำหนดแนวทางการดำเนินงานนิเทศภายในที่ชัดเจน โดยการจัดทำเอกสารคู่มือการนิเทศภายในโรงเรียน นำนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 มาเป็นแนวทางในการวางแผนการนิเทศภายในโรงเรียน กำหนดวิธีการนิเทศภายในที่หลากหลาย 3) ส่งเสริมให้ครูได้พัฒนาการสร้างสื่อและเครื่องมือการนิเทศ 4) สร้างความร่วมมือในกลุ่มส่งเสริมประสิทธิภาพโรงเรียนพนมทวน 3 อบรมครูเพื่อพัฒนาการดำเนินงานการนิเทศภายในโรงเรียน 5) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูได้ร่วมประกวดแข่งขันสื่อการเรียนการสอนในระดับต่างๆ คัดเลือกผลงานครูผู้สอนที่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติที่ดีที่เป็นผลมาจากการนิเทศ มาเผยแพร่ในช่องทางต่างๆ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ</li> </ol> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/278890 การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฏ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี 2025-05-15T14:16:10+07:00 ธนภูมิ มากแก้ว tanapoommarkkaew@gmail.com มัทนา วังถนอมศักดิ์ nong_sunshine@yahoo.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฏ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี และ 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฏ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู จำนวน 76 คน โดยใช้ใช้เทคนิคการเลือกตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบแบ่งประเภท (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ประเภท คือ แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฏ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากร 2) ด้านการวางแผนอัตรากำลัง 3) ด้านการพัฒนาบุคลากร และ 4) ด้านการบำรุงขวัญและส่งเสริมกำลังใจ<br />2. แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนคุรุราษฎร์รังสฤษฏ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี พบว่า ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ควรมีการจัดทำแบบประเมินผลอัตรากำลังของครูและบุคลากรภายในโรงเรียน ด้านการพัฒนาบุคลากร ควรมีการจัดกิจกรรมพัฒนาครูและบุคลากรภายในโรงเรียนที่หลากหลาย ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากร ควรมีการวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรรายบุคคล และนำผลการวิเคราะห์นั้นตั้งเป้าหมายผ่านการจัดทำข้อตกลงการปฏิบัติงานของครูและบุคลากร และด้านการบำรุงขวัญและส่งเสริมกำลังใจ ควรเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์แบบประเมินผลการจัดกิจกรรมบำรุงขวัญและส่งเสริมกำลังใจ และผลการประเมินกิจกรรมบำรุงขวัญและส่งเสริมกำลังใจที่จัดขึ้นในโรงเรียน รวมถึงควรมีการจัดประชุมเพื่อหาแนวทางในการพัฒนากิจกรรมบำรุงขวัญและส่งเสริมกำลังใจที่จัดขึ้นในโรงเรียน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/278837 การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม 2025-05-15T14:15:46+07:00 วรรณภา นิลพันธ์ nillapan_w@su.ac.th วรกาญจน์ สุขสดเขียว jee1199@yahoo.com <p> การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม 2) แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นตามระดับชั้นเรียน คือ ผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 จำนวน 265 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของโรงเรียนหัวหินวิทยาคม 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของโรงเรียนหัวหินวิทยาคม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการศึกษาพบว่า <br />1. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม โดยภาพรวม <br />อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียง ค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) ด้านร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรหลาน 2) ด้านร่วมในบรรยากาศการเรียนการสอนของสถานศึกษา 3) ด้านร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตร 4) ด้านร่วมจัดทำหลักสูตรและติดตามผล และ 5) ด้านร่วมสนับสนุนกิจการการศึกษา <br />2. แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม <br />มีทั้งหมด 6 ข้อ รวมแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวหินวิทยาคม ทั้งหมด 12 แนวทาง ดังนี้ 1) โรงเรียนควรทำหนังสือเชิญถึงผู้ปกครองในการขอความอนุเคราะห์ หรือระดมทุนจากผู้ปกครองเพื่อจัดหาหนังสือที่ตรงกับความต้องการของนักเรียน 2) ครูประจำชั้นควรกล่าวถึง การจัดหาหนังสือในการประชุมผู้ปกครองเพื่อให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในเรื่องนี้มากขึ้น 3) การลง ประชาสัมพันธ์ตามช่องทางต่าง ๆ ของโรงเรียน 4) เมื่อโรงเรียนได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นแล้ว ควรลงประชาสัมพันธ์ตามช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ปกครองรับทราบ 5) โรงเรียนควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานในหลักสูตรท้องถิ่น 6) โรงเรียนควรทำหนังสือเชิญผู้ปกครองโรงเรียนจะดำเนินการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อให้ผู้ปกครองได้เตรียมตัวและหาเวลาว่างมาเพื่อเข้าร่วมประชุม 7) เมื่อโรงเรียนได้จัดทำหลักสูตรท้องถิ่นแล้ว ควรประชาสัมพันธ์ในวันประชุมผู้ปกครอง และขอความคิดเห็นจากผู้ปกครองเพื่อนำมาพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน 8) การประชุมควรจัดให้มีแค่ครูประจำชั้น และผู้ปกครองเพื่อดึงความคิดเห็นจากผู้ปกครองออกมาได้ง่ายขึ้น 9) หากโรงเรียนมีความประสงค์ให้ผู้ปกครองเข้าร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักเรียน ตามถนัดและเชี่ยวชาญของผู้ปกครองท่านนั้น ๆ โรงเรียนต้องลงประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่าง ๆ หรือให้ครูประจำชั้นหรือครูที่ปรึกษา เป็นผู้ประสานกับผู้ปกครอง <br />10) โรงเรียนควรจัดประชุมผู้ปกครอง (จัดเฉพาะครูประจำชั้นหรือครูที่ปรึกษากับผู้ปกครอง) 11) โรงเรียนควรเปิดรับสมัครผู้ปกครองที่จะอาสาเข้ามาช่วยบริหารจัดการงานต่างๆร่วมกับโรงเรียน 12) ผู้ปกครองมีความประสงค์ให้จัดตั้งสมาคม ผู้ปกครอง และจัดให้มีการประชุมกันในสมาคม</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/279424 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ของครูโรงเรียนญามีอุ้ลอิควาน 2025-05-29T15:05:00+07:00 พฤติยา เชื้อผู้ดี 6680100627@student.chula.ac.th พงษ์ลิขิต เพชรผล Ponglikit.P@chula.ac.th <p> ทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับครูในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริบทของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเทคโนโลยีมีผลต่อการศึกษาอย่างมาก การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลาทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ครูจึงต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ในโลกแห่งความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ของครูโรงเรียนญามีอุ้ลอิควาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนจำนวน 1 คน และครูจำนวน 17 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ใช้การเก็บข้อมูลเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ความถี่ และร้อยละ <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. สภาพปัญหาของการพัฒนาทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ของครูโรงเรียนญามีอุ้ลอิควาน แบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ได้แก่ 1) ช่วงความสนใจของผู้เรียนลดลง 2) ความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนลดลง 3) ความพร้อมในการเรียนรู้ของนักเรียน 4) ความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ของครู และโรงเรียน<br />2. ทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ ที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด มี 3 ทักษะ ได้แก่ 1) การสื่อสาร 2) การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน และ3) การสร้างสรรค์ รองลงมา คือ การวางแผน และการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และทักษะผู้อำนวยการเรียนรู้ ที่มีความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด คือ การสังเกต</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/279723 การนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2025-06-10T10:14:28+07:00 อัครยา สิมะกุล ann.akkaraya@gmail.com ประเสริฐ อินทร์รักษ์ p_intarak@yahoo.co.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ประชากรสำหรับการวิจัยคือโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 จำนวน 15 โรง โรงเรียนละ 3 คน ประกอบด้วย 1) ผู้อำนวยการโรงเรียน /รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน 2) ครูที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้างานวิชาการ และ 3) ครู รวม 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับการนิเทศภายในตามแนวคิดของหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา การสร้างแบบสอบถามโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุงแก้ไขและมีการทดลองใช้เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <br />2. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 เป็นพหุแนวทาง โดยมีทั้งหมด 5 ข้อ รวมแนวทางในการพัฒนาการนิเทศภายในของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนกำแพงแสน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ทั้งหมด 10 แนวทาง จัดเป็นด้าน ได้ 5 ด้าน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/279599 การบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา 2025-06-06T22:43:59+07:00 ปิยธิดา หวังพงษ์ piyatida.h@wrk.ac.th ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ sakdipan55@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร และครูโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา รวมผู้ให้ข้อมูล 118 คน ผู้วิจัยใช้ผู้บริหารและครูเป็นหน่วยวิเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 2 ประเภท คือ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างตามตัวแปรที่ศึกษาทั้ง 5 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เพื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงตามลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการมีแผนกลยุทธ์ ด้านการสร้างความร่วมมือเพื่อสร้างคนเก่ง ด้านการสร้างแรงจูงใจและการพัฒนา ด้านการวิเคราะห์แผนการดำเนินงาน และการรักษาคนเก่ง และด้านระบบการสรรหาและคัดเลือก ตามลำดับ<br />2. แนวทางในการพัฒนาการบริหารคนเก่งของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา พบว่า ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับกระบวนการบริหารคนเก่งทั้ง 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการมีแผนกลยุทธ์ ควรจัดทำแผนกลยุทธ์การบริหารคนเก่ง ที่สอดคล้องกับนโยบายการบริหารของโรงเรียน และระบุลงในแผนพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาทั้งในระยะสั้นและระยาว 2) ด้านระบบการสรรหาและคัดเลือก ควรมีการประชาสัมพันธ์ความต้องการบุคลากรในตำแหน่งงานสำคัญที่ขาดไป เพื่อสรรหาผู้ที่สนใจทั้งภายในและภายนอก และคัดเลือกโดยการสอบข้อเขียน การสัมภาษณ์ การประเมินผลการปฏิบัติงาน และจัดลำดับความสามารถของบุคคลเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งงานที่ต้องการ 3) ด้านการสร้างแรงจูงใจและการพัฒนา ผู้บริหารสร้างแรงจูงใจ โดยยกย่องชมเชยเมื่อคนเก่งประสบความสำเร็จ ประชาสัมพันธ์ และเปิดโอกาสให้คนเก่งมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน อีกทั้งสถานศึกษาต้องพัฒนาคนเก่ง โดยกระตุ้นให้คนเก่งมีความคิดแบบก้าวหน้า กล้าแสดงความคิดเห็น ปฏิบัติงานที่ท้าทาย จัดการศึกษาดูงาน และส่งเสริมให้ทุกคนทำแผนพัฒนารายบุคคลทุกปีการศึกษา 4) ด้านการวิเคราะห์แผนการดำเนินงานและการรักษาคนเก่ง ควรจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อเก็บข้อมูลของคนเก่งและให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และควรมีแนวทางการรักษาคนเก่ง โดยการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการปฏิบัติงาน สร้างกลยุทธ์ในการเลื่อนเงินเดือน การจ่ายค่าตอบแทน และสวัสดิการแก่คนเก่งให้เหมาะสมกับความสามารถ และ 5) ด้านการสร้างความร่วมมือเพื่อสร้างคนเก่ง ควรให้คนเก่งมีการนิเทศการปฏิบัติงานทุกภาคเรียน มีการสอนงานและการแบ่งปันข้อมูลงานระหว่างกัน ภายนอกสถานศึกษาควรสร้างเครือข่ายทางการศึกษากับสถานศึกษาและชุมชน เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาความรู้ โดยการเข้าร่วมอบรมหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาศักยภาพคนเก่งให้โดดเด่นยิ่งขึ้น</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/279633 สมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา 2025-06-06T22:45:37+07:00 กิตติศักดิ์ บุญพระ kittisak.b@wrk.ac.th ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ sakdipan55@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) สมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา รวมทั้งสิ้น 118 คน ผู้วิจัยใช้ผู้บริหารและครูโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา เป็นหน่วยวิเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ประเภท คือ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยาตามแนวคิดของรูเบน 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้นำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. สมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด จำนวน 1 ด้าน คือ สมรรถนะตามตำแหน่ง และอยู่ในระดับมาก จำนวน 4 ด้าน โดยเรียงตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ สมรรถนะส่วนบุคคล สมรรถนะการคิดวิเคราะห์ สมรรถนะการจัดการองค์การ และสมรรถนะการสื่อสาร ตามลำดับ<br />2. แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา พบว่า ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับสมรรถนะการสื่อสาร โดยจำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการจูงใจในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ร่วมงานเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งควรศึกษาเทคนิคการพูดหรือหลักทางจิตวิทยาในการโน้มน้าวใจเพิ่มเติมควบคู่ไปพร้อมกัน และควรรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นอย่างตั้งใจ เนื่องจากการมีเทคนิคการพูดที่ดี เริ่มจากการฟังที่ดี เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงความต้องการหรือตัวตนที่แท้จริงของผู้พูด ซึ่งเมื่อรับรู้แล้วนั้น การใช้เทคนิคการพูดโน้มน้าวใจหรือการเจรจาต่อรองก็จักประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น รวมถึงควรส่งเสริมวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำเข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสื่อสารกับผู้ร่วมงานอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม ผสมผสานกับการมีจิตใจโอบอ้อมอารี จริงใจ และเป็นกัลยาณมิตรต่อผู้อื่น ตลอดจนไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติงาน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/279544 ความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศภายใน ของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ 2025-06-10T12:51:42+07:00 อคิราภ์ เลิศภิยโยวงศ์ akira_-_@hotmail.com นิวัตต์ น้อยมณี Niwat.N@bsu.ac.th กัญภร เอี่ยมพญา kanporn.aie@rru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศภายใน ของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศภายใน ของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำนวน 155 คน ใช้วิธีการแบ่งชั้นตามสัดส่วน จากนั้นใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม 5 ระดับ มีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวน<br />ทางเดียว <br />ผลการวิจัย พบว่า ความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศภายใน ของโรงเรียนขนาดพิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศภายใน ของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ อำเภอบางบ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำแนกตามเพศ พบว่า โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนวุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน พบว่า โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/view/280021 การจัดการความหลากหลายของโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ 2025-06-24T11:33:24+07:00 อับดุลลาตีฟ บินน์คมสัน iamusuallylate@gmail.com ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ sakdipan55@gmail.com <p class="iThesisabstractthcontent"> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การจัดการความหลากหลายของโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ และ 2) แนวทางการส่งเสริมการจัดการความหลากหลายของโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษาครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง โรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการจำนวน 94 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 2 ประเภทคือ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการความหลากหลายของโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ตามแนวคิดของเมลโล่ 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. การจัดการความหลากหลายของมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ พบว่าอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการนิยามความหลากหลายและระดับของความครอบคลุม ด้านการเชื่อมโยงความหลากหลายกับพันธกิจและเป้าหมายของโรงเรียน ด้านการกำหนดเหตุผลในการจัดการความหลากหลาย ด้านการกำหนดรูปแบบหรือแนวทางการดำเนินโครงการด้านความหลากหลาย ด้านการตัดสินใจว่าจะมีการดำเนินการพิเศษสำหรับกลุ่มเฉพาะ และด้านการประเมินสถานะของกลุ่มที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ตามลำดับ<br />2. แนวทางในการส่งเสริมการจัดการความหลากหลายของโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ มีแนวทางพัฒนาที่สำคัญอยู่ 6 แนวทางคือ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้เหตุผลในการจัดการความหลากหลายแก่บุคลากรในโรงเรียนทุกคน 2) ผู้บริหารสถานศึกษาควรนำการจัดการความหลากหลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจและเป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่เป็นทางเลือก 3) ผู้บริหารสถานศึกษาควรนิยามความหลากหลายและระดับของความครอบคลุมเพื่อความเท่าเทียมและประโยชน์ของโรงเรียน 4) โรงเรียนควรมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการพิเศษสำหรับกลุ่มเฉพาะ 5) การเก็บข้อมูลต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกและทันสมัย 6) ควรมีการดำเนินโครงการด้านความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร