https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/issue/feed วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2020-12-31T14:54:44+07:00 Assist.Prof.Saowanee Sirisooksilp saotri@kku.ac.th Open Journal Systems <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กองบรรณาธิการ วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยินดีต้อนรับ คณาจารย์ นักศึกษา นักวิจัยทุกท่าน และขอเชิญสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับข่าวสาร&nbsp; ร่วมส่งบทความตีพิมพ์ในวารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น&nbsp;วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ ทัศนะ แนวคิด นวัตกรรม ข้อค้นพบทางการบริหารการศึกษาแก่คณาจารย์ นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจในลักษณะบทความวิชาการ บทความวิจัย และอื่นๆ</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/241900 แนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 2020-12-31T14:54:33+07:00 จันทร์ประภา ผลประพฤติ chanchanp.02@gmail.com วรชัย วิภูอุปรโคตร chanchanp.02@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 ประจำปีการศึกษา 2562จำนวน &nbsp;286 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.889 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) วัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า 8 ด้านอยู่ในระดับมาก มีเพียง 2 ด้านที่อยู่ในระดับ&nbsp;&nbsp; ปานกลาง คือ ด้านความหลากหลายของบุคลากรและการตัดสินใจ 2) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน &nbsp;8 คน เกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา พบว่า &nbsp;ผู้บริหารและครูควรวิเคราะห์ SWOT ของสถานศึกษา กำหนดเป้าหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและทันต่อสถานการณ์ จัดทำโครงการและกิจกรรมรองรับมาตรฐานที่ตั้งไว้ให้ครบถ้วน บริหารงานแบบกระจายอำนาจ &nbsp;เปิดโอกาสให้ครูรับผิดชอบโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ โดยกำหนดรูปแบบและกระบวนการในการทำงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานของสถานศึกษา ส่งครูอบรมเพื่อพัฒนาตนเอง สนับสนุนให้ครูนำวิธีการจัดการเรียนการสอนใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ปลูกฝังให้ทุกคนในสถานศึกษารักในองค์กรและมุ่งมั่นในการทำงาน ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม จัดกิจกรรมให้ครูได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ผู้บริหารต้องสร้างค่านิยมที่ดีของสถานศึกษา รณรงค์ให้ครูและบุคลากรในสถานศึกษาปฏิบัติตามค่านิยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหล่อหลอมให้เกิดแนวทางการปฏิบัติวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพ</p> <p>&nbsp;</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/241918 ความต้องการจำเป็นในการบริหารโรงเรียนตามแนวคิดโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคม 2020-12-31T14:54:34+07:00 อิสราภรณ์ สืบสาย itsaraphon.su@gmail.com สืบสกุล นรินทรางกูร ณ อยุธยา itsaraphon.su@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารโรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคมตามแนวคิดโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยใช้กรอบแนวคิดการบริหารโรงเรียน โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงบรรยาย จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 75 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 5 คน และครู จำนวน 70 คน โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ในการสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การบริหารโรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคมตามแนวคิดโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x ̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการการบริหารโรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคมตามแนวคิดโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x ̅ = 3.44) และ ระดับมาก (x ̅ = 4.32) ตามลำดับ โดยด้านที่มีลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ (PNImodified = 0.332) รองลงมา คือ ด้านการวางแผน (PNImodified = 0.231) และด้านการประเมินผล (PNImodified = 0.211) ในองค์ประกอบของโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่มีลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสูงสุดคือ ปรัชญาของชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PNImodified = 0.290) รองลงมาคือระบบกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PNImodified = 0.254) และ วิสัยทัศน์ของชุมชนแห่งการเรียนรู้มีลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาน้อยสุด (PNImodified = 0.225) ซึ่งโรงเรียนสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการวางแผนแนวทางการบริหารโรงเรียนที่ส่งเสริมให้โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้</p> 2020-12-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242155 สภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนเทศบาลสู่ความเป็นเลิศ 2020-12-31T14:54:34+07:00 กฤชณรงค์ ด้วงลา rongkrit@hotmail.co.th ชญาพิมพ์ อุสาโห rongkrit@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพที่พึงประสงค์ของรูปแบบการบริหารโรงเรียนเทศบาลสู่ความเป็นเลิศ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มประชากรโดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ ทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และความคลาดเคลื่อน ±5% ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 259 โรงเรียน และดำเนินการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi Stage random sampling) และสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling ) จำแนกตามกลุ่มจังหวัดการศึกษาท้องถิ่น ทั้งหมด 18 กลุ่ม ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการ/รองผู้อำนวยการ และครู จำนวนทั้งสิ้น 689 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า สภาพที่พึงประสงค์องค์ประกอบของรูปแบบการบริหารโรงเรียนเทศบาลสู่ความเป็นเลิศ จำแนกตามองค์ประกอบของรูปแบบการบริหาร 8 องค์ประกอบ ในภาพรวม พบว่า องค์ประกอบของรูปแบบการบริหารมีสภาพที่พึงประสงค์ที่สูงสุด คือ แบบของภาวะผู้นำที่เกี่ยวข้อง รองลงมา คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าประสงค์ต่อการตัดสินใจ ลักษณะของโครงสร้าง ลักษณะของผู้นำ ระดับของการกำหนดเป้าประสงค์ ลักษณะของกระบวนการตัดสินใจ กระบวนการกำหนดเป้าประสงค์ และความเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อม ตามลำดับ เมื่อพิจารณาจำแนกตามเกณฑ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การดำเนินการที่เป็นเลิศด้านการศึกษา 7 หมวด ในภาพรวม พบว่า หมวดที่มีสภาพที่พึงประสงค์ที่สูงสุด คือ การนำองค์กร รองลงมา คือ กลยุทธ์ การมุ่งเน้นการปฏิบัติงาน การมุ่งเน้นผู้เรียนผู้มีส่วนได้เสีย ผลลัพธ์ การมุ่งเน้นบุคลากร และการวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ ตามลำดับ</p> 2020-12-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242248 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 17 จังหวัดจันทบุรี 2020-12-31T14:54:35+07:00 ธฤตมน บุญญานนท์ kruthidtamon@gmail.com วรชัย วิภูอุปรโคตร thidtamonboonyanon@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานของครูผู้สอน และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 17 จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 17 จังหวัดจันทบุรี ปีการศึกษา 2562 โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน จำนวน 278 คน โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่ได้มาจากการประยุกต์ข้อคำถามมาจากคู่มือการประเมินสมรรถนะครู สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ปรับปรุงและแก้ไข และนำไปทดลองใช้เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น และนำผลมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 17 จังหวัดจันทบุรี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านสมรรถนะภาวะผู้นำครู มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนมีดังนี้&nbsp; (1) ด้านสมรรถนะด้านการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ครูจะต้องคำนึงถึงผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเป้าหมายสำคัญ (2) ด้านสมรรถนะการพัฒนาผู้เรียน ครูจะต้องประยุกต์ใช้หลักการเรียนการสอน วิธีสอน รูปแบบการเรียนการสอน ให้เหมาะสมกับระดับวัยของผู้เรียนและเนื้อหาสาระ (3) ด้านสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน ครูต้องมีการบริหารจัดการชั้นเรียนให้มีประสิทธิภาพ (4) ด้านสมรรถนะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน ครูต้องมีการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอ (5) ด้านสมรรถนะภาวะผู้นำครู ครูต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำทางวิชาการและและพัฒนาความสามารถด้าน การครองตน ครองคน ครองงานเป็นแบบอย่างที่ดี (6) ด้านสมรรถนะการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจัดการเรียนรู้ ครูต้องมีความสัมพันธ์และร่วมมือที่ดีกับชุมชนเพื่อการจัดการเรียนรู้</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242510 การศึกษาองค์ประกอบการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดขอนแก่น 2020-12-31T14:54:36+07:00 พรนภา พูนสวัสดิ์ aupoonsawat@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) มีวิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย 1) การศึกษาเอกสาร (documentary research) 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนเอกชนจังหวัดขอนแก่น ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น ผู้บริหารโรงเรียเอกชนจังหวัดขอนแก่น และศึกษานิเทศก์สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ตรวจสอบคุณภาพของประเด็นการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการตรวจสอบความเที่ยงตรงโดยผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ร่วมกับการใช้หลักการตีความ (interpretive analysis) และสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ประมวลผลข้อมูลโดยใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) ตรวจสอบยืนยันข้อมูลด้วยวิธีการประเมินตามกระบวนการอ้างอิงผู้ทรงคุณวุฒิและปรับตามข้อเสนอแนะ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาองค์ประกอบการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดขอนแก่น&nbsp; ประกอบด้วย&nbsp; 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การนำองค์กร พบว่า ผู้บริหารกำหนดทิศทางนโยบาย วิสัยทัศน์ ค่านิยมโรงเรียน มุ่งเน้นด้านวิชาการในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นตามบริบทของสังคมไทย โดยเน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากร 2) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ พบว่า ผู้บริหารมีกระบวนการวางแผนเชิง&nbsp; กลยุทธ์โดยใช้หลักการวิเคราะห์ SWOT ที่กำหนดทิศทางของโรงเรียนตามกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลประโยชน์ วางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม 3) การมุ่งเน้นผู้เรียน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่า ผู้บริหารมีการจัดหลักสูตรการเรียนที่มีความโดดเด่นและหลากหลาย ตอบสนองความสนใจของผู้เรียน ประเมินความพึงพอใจและความผูกพันของผู้เรียน ผู้ปกครองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4) การวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ พบว่า ผู้บริหารจัดทรัพยากรสารสนเทศและเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพเพียงพอพร้อมต่อการใช้งาน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายโรงเรียนเอกชนและหน่วยงานภายนอกเพื่อร่วมส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน 5) การมุ่งเน้นบุคลากร พบว่า ผู้บริหารส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม สร้างความมั่นคงในอาชีพมีระบบประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างเป็นรูปธรรม 6) การมุ่งเน้นการปฏิบัติ พบว่า โรงเรียนมีระบบและกลไกในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ กำกับ ติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงแก้ไขเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จอย่างมีคุณภาพ และ 7) ผลลัพธ์ พบว่า ผู้บริหารมีระบบการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้นักเรียนมีคุณภาพมาตรฐานมุ่งสู่ความเป็นเลิศ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีความพึงพอใจ ส่งผลต่อความมั่นคงและชื่อเสียงของโรงเรียน</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242560 การศึกษาองค์ประกอบของเครือข่ายการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน 2020-12-31T14:54:36+07:00 เสมา บุ้งทอง semabungthong@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของเครือข่ายการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย ดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 การศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องเครือข่ายการเรียนรู้ นำไปวิเคราะห์ข้อมูลและศึกษาองค์ประกอบของเครือข่ายการเรียนรู้ ระยะที่ 2 การสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ได้แก่ ประธานเครือข่ายการเรียนรู้ จำนวน 1 คน ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 1 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชน จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า โดยทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบแนวคิดขององค์ประกอบของเครือข่ายการเรียนรู้ ระยะที่ 3 การสร้างและตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบของเครือข่ายชองการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ได้แก่ ศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น จำนวน 1 คน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น จำนวน 1 คน ประธานเขตการศึกษาโรงเรียนเอกชน จังหวัดขอนแก่น จำนวน 1 คน ศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบประเมิน เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของเครือข่ายการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน 2) การบริหารจัดการการศึกษา 3) หลักการดำเนินงานของเครือข่าย และ4) การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242728 สภาพปัจจุบันการบริหารหลักสูตรสาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของโรงเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษาที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 2020-12-31T14:54:37+07:00 ปิยะนันท์ ธิโสภา Piyanant_mw@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการบริหารหลักสูตรสาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) โรงเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษาที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 2 ดำเนินการวิจัยโดยการศึกษาเอกสาร วิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากนั้นทำการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เมื่อดำเนินการทั้ง 2 วิธีการนั้นทำให้ได้มาซึ่งการร่างแบบสอบถามสภาพปัจจุบันการบริหารหลักสูตรสาระเทคโนโลยี&nbsp; (วิทยาการคำนวณ) กลุ่มตัวอย่างคือ โรงเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษาที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 2 จำนวน 14 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ 1) แบบสอบถามตรวจสอบรายการ 2) แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.991 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วนำเสนอเป็นความเรียง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ หาค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันการบริหารหลักสูตรสาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) โรงเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษาที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเรียงลำดับมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ 1) หลักสูตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การสอน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) คู่มือการใช้หลักสูตร ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 4) การเรียนรู้ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>&nbsp;</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/242981 รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2020-12-31T14:54:38+07:00 อนุวัฒน์ สุวรรณมาตย์ m.watsu@hotmail.co.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานสภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2. สร้างและหาคุณภาพรูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน 3. ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และ 4. ประเมินคุณภาพผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ประชากรที่ใช้วิจัย ได้แก่ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) ผู้บริหารโรงเรียน ครูวิชาการ ครูกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยีจำนวน 339 คน 2) ผู้บริหารโรงเรียน ครูวิชาการ ครูกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยีและศึกษานิเทศก์ จำนวน 25 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3) ครู นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3,6 จำนวน 348 คน 4) ผู้บริหาร ครู นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3,6 และผู้ปกครอง จำนวน 508 คน ได้มาด้วยวิธีการเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1. แบบสอบถามสภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ 2. แบบสัมภาษณ์ 3. แบบประเมินทักษะ 4. แบบสอบถามความเหมาะสมและเป็นไปได้ 5. แบบสอบถามความเหมาะสมคู่มือ 6. แบบประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) 7. แบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 8. แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์<br>เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน พบว่า สภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ระดับที่ไม่ปฏิบัติ คิดเป็นร้อยละ 64 และระดับที่มีการปฏิบัติ คิดเป็นร้อยละ 36</li> <li class="show">รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน<br>ที่สร้างขึ้น พบว่า รูปแบบมี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) สมาร์ททีวี 2) อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 3) เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์<br>4) ครูผู้สอน 5) แผนจัดการเรียนรู้ 6) การจัดการเรียนรู้ 7) การนิเทศ กำกับ ติดตาม และ 8) การวัดและประเมินผลรูปแบบ<br>มีความเหมาะสม และเป็นไปได้ระดับมากที่สุด และคู่มือการใช้รูปแบบ มีความเหมาะสมระดับมาก</li> <li class="show">การทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน พบว่า ครูมีทักษะการปฏิบัติระดับมากที่สุด ผลการประเมินระดับชาติขั้นพื้นฐาน (NT) มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 53.19 และผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 42.21</li> <li class="show">การประเมินคุณภาพผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน พบว่า คุณภาพผลการประเมินระดับชาติขั้นพื้นฐาน (NT) นักเรียนมีคุณภาพระดับดีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 52.77 คุณภาพผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) สูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 8.2 และผล<br>การประเมินความพึงพอใจของครู นักเรียน และผู้ปกครองมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด</li> </ol> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/243475 วัฒนธรรมคุณภาพที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดหนองคาย 2020-12-31T14:54:39+07:00 วริศรา โยธา warissarayotha@kkumail.com วัลลภา อารีรัตน์ warissarayotha@kkumail.com เกื้อจิตต์ ฉิมทิม warissarayotha@kkumail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมคุณภาพ 2) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะครู และ 3) เพื่อวิเคราะห์วัฒนธรรมคุณภาพที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองคาย จำนวน 174 ศูนย์ ประชากรทั้งหมด 489 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารจำนวน 10 คน และครูดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดหนองคาย จำนวน 209 คน รวมจำนวนทั้งหมด 219 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยใช้ขนาดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นเกณฑ์ เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .961 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบ Pearson Product Coefficient และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br>ผลการวิจัยพบว่า <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. วัฒนธรรมคุณภาพโดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับ“มาก”เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายด้านพบว่า ด้านภาวะผู้นำคุณภาพ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (X ̅ = 4.36) รองลงมาคือด้านการพัฒนาบุคลากร มีค่าเฉลี่ย (X ̅=4.32) และด้านการทำงานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (X ̅= 4.29)<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. สมรรถนะครูโดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับ “มาก” เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายด้านพบว่า ด้านการพัฒนาผู้เรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (X ̅= 4.37) รองลงมาคือ ด้านการมีจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ มีค่าเฉลี่ย (X ̅= 4.36) ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน มีค่าเฉลี่ย (X ̅ = 4.34) และ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (X ̅= 4.30)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;3. วัฒนธรรมคุณภาพด้านการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้ ด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพด้านการพัฒนาผู้เรียน และด้านการบริหารจัดการเรียนรู้ สามารถพยากรณ์ได้ทุกตัวมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.866 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถพยากรณ์สมรรถนะครูได้ ร้อยละ 75.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ ดังนี้<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Z’ = 0.363(Zx2) +0.375(Zx3) +0.214(Zx1)</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/243547 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 2020-12-31T14:54:40+07:00 ธีรสรรค์ สาระคำ thirasan1@gmail.com หทัย น้อยสมบัติ thirasan1@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต 3 2) ศึกษาการทำงานเป็นทีมของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต 3 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต 3 และ 4) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาการประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต 3 จำนวน 337 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 28 คน และครู จำนวน 309 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ .928 และแบบสอบถามการทำงานเป็นทีมของครู เท่ากับ .912 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การทำงานเป็นทีมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการเป็นแบบอย่างที่เหมาะสม ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ และคะแนนมาตรฐานได้ ดังนี้<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ (Unstandardized Score) <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Y´ = 1.285 + 0.312X + 0.209X +0.184X <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน (Standardized Score) <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Z´y = 0.299ZX1 + 0.230ZX5 + 0.198ZX3</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/243587 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 2020-12-31T14:54:41+07:00 อรพิน โคตวิทย์ orapin.kotwit@kkumail.com วัลลภา อารีรัตน์ orapin.kotwit@kkumail.com เกื้อจิตต์ ฉิมทิม orapin.kotwit@kkumail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่พึงประสงค์เกี่ยวกับกรอบความคิดแบบเติบโตของครู และ 2) ความต้องการจำเป็นของกรอบความคิดแบบเติบโตของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารและครู จำนวน 339 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น และกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample size) จากการใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเนื้อหา (Content Validity) เพื่อหาค่า IOC ได้ค่าตั้งแต่ .06 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.969วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่พึงประสงค์เกี่ยวกับกรอบความคิดแบบเติบโตของครู ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.15) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดลำดับแรก คือ ด้านความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน (x ̅ = 4.40) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับสุดท้าย คือ ด้านการสร้างความท้าทายในงานให้ตนเอง (x ̅ = 3.86) ส่วนของสภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดลำดับแรก คือ ด้านความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน (x ̅ = 4.62) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับสุดท้าย คือ ด้านการสร้างความท้าทายในงานให้ตนเอง (x ̅ = 4.39) และ 2) ผลการจัดลำดับความต้องการจำเป็นของการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 พบว่า ด้านที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุดลำดับแรก คือ ด้านการสร้างความท้าทายในงานให้ตนเอง รองลงมา คือ ด้านการเรียนรู้จากอุปสรรค ด้านการมีแบบอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการเรียนรู้จากคำวิจารณ์และข้อติชม และด้านที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นลำดับสุดท้าย คือ ด้านความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/243952 การบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ภาคปฏิบัติ ของนักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 6 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 2020-12-31T14:54:42+07:00 อลิษา ตั้งพิพัฒนพรชัย siakl.pang@gmail.com แพรวพรรณ แก้วเพ็ชร alisa.kla@mahidol.ac.th อนล สถาพรสถิต alisa.kla@mahidol.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 ที่มีต่อการบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ ภาคปฏิบัติ (OSCE) ปีการศึกษา 2561 ใน 2 ด้าน คือ ด้านกระบวนการสอบ และด้านขั้นตอนการจัดสอบ 2) เปรียบเทียบการบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ภาคปฏิบัติ จำแนกตามเพศ ครั้งที่จัดสอบ รอบการสอบ และวงสอบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 ปีการศึกษา 2561 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จำนวนทั้งหมด 284 คน ซึ่งผู้เข้าสอบแต่ละคนได้สอบ 2 ครั้ง/ปีการศึกษา โดยแต่ละรอบการสอบจะมีผู้เข้าสอบดังนี้ รอบที่ 1 = 198 คน, รอบที่ 2 = 201 คน, รอบที่ 3 = 199 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test และ One-Way ANOVA</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ภาคปฏิบัติ (OSCE) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean = 4.37) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ภาคปฏิบัติ (OSCE) อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านกระบวนการจัดสอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และด้านขั้นตอนการจัดสอบมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 2) นักศึกษาแพทย์ที่เข้าสอบในครั้งจัดสอบ รอบการสอบ และวงสอบที่ต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการสอบประมวลความรอบรู้ภาคปฏิบัติ (OSCE) ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/244057 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ความต้องการและแนวทางการบริหารโรงเรียน บนพื้นที่สูงและทุรกันดาร 2020-12-31T14:54:42+07:00 จงกล แก้วโก khawnja@hotmail.com รักษิต สุทธิพงษ์ khawnja@hotmail.com สมบัติ นพรัก khawnja@hotmail.com ฉลอง ชาตรูประชีวิน khawnja@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ความต้องการและแนวทางการบริหารโรงเรียนบนพื้นที่สูงและทุรกันดาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน จำนวน 368 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซีและมอร์แกน การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเนื้อหา (Content Validity) เพื่อหาค่า IOC ได้ค่าตั้งแต่ 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ .97 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา <a href="https://www.spu.ac.th/research/files/2015/03/5.%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2.pdf">(Content Analysis)</a></p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">สภาพแวดล้อมการบริหารโรงเรียนบนพื้นที่สูงและทุรกันดาร พบว่า จุดแข็งคือจัดโครงสร้างการบริหารงานโรงเรียนที่ชัดเจน จุดอ่อนคือครูมีภาระงานมากทั้งงานสอนและงานสนับสนุน โอกาสคือหน่วยงานภายนอกส่งเสริมและสนับสนุนโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการศึกษา อุปสรรคคือนักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเชื่อและค่านิยมที่แตกต่างกัน ครอบครัวมีฐานะยากจน ผู้ปกครองประกอบเกษตรกรรมเพื่อยังชีพ</li> <li class="show">ความต้องการการบริหารโรงเรียนบนพื้นที่สูงและทุรกันดาร มี 5 ด้านประกอบด้วยด้านวิชาการ ด้านบุคลากร ด้านแผนและงบประมาณ ด้านบริหารทั่วไปและด้านโครงการพระราชดำริ พบว่าภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านบุคลากร</li> <li class="show">แนวทางการบริหารโรงเรียนในพื้นที่ภูเขาสูงและทุรกันดาร พบว่า 1) ปรับโครงสร้างหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา 2) เปิดห้องเรียนสาขาตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล 3) ใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนการสอน 4) สร้างภาคีเครือข่ายการมีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษา 5) เพิ่มเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัว ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนพักนอน 6) ทำข้อตกลงร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาจัดนักศึกษาฝึกสอน 7) เพิ่มค่าครองชีพ ค่าตอบแทนให้กับบุคลากร 8) กำหนดเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครูให้เป็นกาลเฉพาะ 9) พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน</li> </ol> <p><strong>&nbsp;</strong></p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/244386 ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ 2020-12-31T14:54:43+07:00 ผุสชนี ปัญญา puchanee2405@gmail.com นันทิยา น้อยจันทร์ puchanee2405@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ 2) ศึกษาระดับแนวทางการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ 3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหารและครู จํานวน 320 คน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ จากการกำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ เครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารที่โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .962 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก 2) ระดับแนวทางการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.850 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.723 และมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 0.721 โดยเขียนสมการได้ ดังนี้<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการในรูปแบบคะแนนดิบ <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; y ̂ = 1.667 + 0.320(X4) + 0.245(X1) + 0.108(X5)<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมการในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; z ̂ = 0.540(X4) + 0.419(X1) + 0.177(X5)</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMKKU/article/view/244395 แนวทางการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัย ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2020-12-31T14:54:44+07:00 นันทิยา น้อยจันทร์ nuntiya.no@ssru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเพื่อพัฒนาแนวทางการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Method Research) โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนอยู่ระดับชั้นอนุบาล 1 และ 2 ปีการศึกษา 2561 สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการเลือกจากผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โครงการความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามระดับการให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่า&nbsp;&nbsp; ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ระดับการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัย ภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( = 3.51, S.D. =.768) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ระดับการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัย ได้แก่ ด้านการเลี้ยงดู อยู่ในระดับมาก ( = 4.33, S.D. =.819) รองลงมา ได้แก่ ด้านการให้ความร่วมมือกับโรงเรียน อยู่ในระดับมาก ( = 4.00, S.D. =.822) และระดับการให้ความรู้ด้านการสื่อสาร อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.98, S.D. =.845) ส่วนน้อยที่สุด ด้านการเรียนรู้ที่บ้าน อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.70, S.D. =.654)&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; แนวทางการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัย ความรู้ด้านการเลี้ยงดู ด้านการให้ความร่วมมือกับชุมชน ด้านการสื่อสาร และด้านการเรียนรู้ที่บ้าน ผลการวิจัยได้องค์ประกอบแนวทางให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง เป็น 4P Model ดังนี้&nbsp; P1-การวางแผน สำรวจความต้องการจำเป็น กำหนดเนื้อหารสาระ และวิธีการให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง P2-การมีส่วนร่วม (Participation) การจัดประชุมร่วมกันระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนและชุมชน P3-ปฏิบัติการให้ความรู้ (Practice of Education) ดำเนินการจัดการให้ความรู้ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จัดทำเอกสารความรู้ แผ่นพับ ป้ายนิเทศ นิทรรศการ การจัดโครงการอบรมสัมมนาร่วมเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ปกครองด้านการเลี้ยงดู การศึกษาดูงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง &nbsp;P4-การติดตามการดำเนินงาน (Pay- Attention) ติดตามประเมินผลการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล</p> <p>&nbsp;</p> 2020-12-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น