วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ <p><strong>EDKKUJ</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ</p> <p>ISSN: 0857-1511, E-ISSN: 2673-0847</p> th-TH edkkuj@gmail.com (Assist.prof. Dr. Parama Kwangmuang, Ph.D.) edkkuj@gmail.com (Mathu-rose Muangsuk) Tue, 30 Sep 2025 16:33:51 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาบอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/277739 <p>การวิจัยนี้เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบทักษะชีวิตและจิตสาธารณะของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนและนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 ที่ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนละลมโพธิ์ และโรงเรียนบ้านคนชุม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 30 คน ได้มาจากการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง จำนวน 5 สัปดาห์ รวมระยะเวลา 10 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) บอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้เรื่องทักษะชีวิตและจิตสาธารณะ 3) แบบประเมินทักษะชีวิต 4 องค์ประกอบ 4) แบบประเมินจิตสาธารณะ และ 5) คำถามสัมภาษณ์นักเรียนและครูที่มีต่อบอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า t-test dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาบอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 81.60/82.40 2) นักเรียนมีค่าเฉลี่ยทักษะชีวิตและจิตสาธารณะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ครูผู้สอนและนักเรียนมีความคิดเห็นทางบวกต่อบอร์ดเกมฝึกทักษะชีวิตและจิตสาธารณะสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 คือ มีความพึงพอใจมาก นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน ไม่ปฏิเสธการเรียนรู้ และมองเห็นประโยชน์ที่ได้จากการเรียน</p> ฐิติกาญจน์ บุญรักษา อินทาปัจ, จุฬาพัฒน์ มณีสุวรรณ์, ธนาวรรณ นุ่นจันทร์, สัณห์ รังสรรค์, ณปภัช บรรณาการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/277739 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้กิจกรรมแพทเทิร์นบล็อกต่อการพัฒนาการให้เหตุผลเชิงปริภูมิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/278593 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมแพทเทิร์นบล็อกต่อการพัฒนาการให้เหตุผลเชิงปริภูมิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยเป็นรูปแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านโสกแต้ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 15 คน ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการกิจกรรมแพทเทิร์นบล็อก 7 แผน แบบทดสอบการให้เหตุผลเชิงปริภูมิ และแบบสังเกตพฤติกรรมการให้เหตุผลเชิงปริภูมิ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังทดลอง และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาตามกรอบการให้เหตุผลเชิงปริภูมิของ Cotabish et al. (2024) ผลการวิจัยพบว่ากิจกรรมแพทเทิร์นบล็อกที่จัดภายใต้แนวทางการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิดมีผลต่อการพัฒนาการให้เหตุผลเชิงปริภูมิหลังทำกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพพบว่านักเรียนมีพัฒนาการใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การมองเห็นเชิงพื้นที่ นักเรียนสามารถจัดรูปทรงให้สัมพันธ์กับพื้นที่ว่างได้ดีขึ้น 2) การหมุนภาพในใจ นักเรียนสามารถจินตนาการและพลิกรูปทรงในใจได้ 3) การปรับทิศทางเชิงพื้นที่ นักเรียนสามารถเปลี่ยนมุมมองและจัดตำแหน่งรูปทรงให้เหมาะสมกับโจทย์ที่ซับซ้อน และ 4) การรับรู้เชิงพื้นที่ นักเรียนสามารถประเมินขนาด รูปแบบ และความสัมพันธ์ของรูปทรงในพื้นที่ที่จำกัดได้อย่างถูกต้อง ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมที่เน้นการลงมือปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงปริภูมิ ทั้งยังสามารถขยายผลในระดับชั้นอื่นหรือวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และเทคโนโลยี ที่เน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์เชิงพื้นที่</p> ยุทธพิชัย ข่าทิพย์พาที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/278593 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/278762 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการจำเป็น ปัญหาในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) ทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนฯ และ 4) ประเมินและรับรองรูปแบบการเรียนการสอนฯ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) มี 4 ระยะ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนนาข่าวิทยาคม จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) รูปแบบการเรียนการสอนฯ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบวัดการคิดวิเคราะห์ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ 6) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐาน และ 7) แบบประเมินรูปแบบ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับน้อย สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น เรียกว่า APACEF Model ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ (Principles) 2) วัตถุประสงค์ (Objectives) 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน (Teaching Process) และ 4) การวัดและประเมินผล (Evaluation) โดยขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน (Teaching Process) มี 6 ขั้น ได้แก่ (1) ขั้นการทบทวนความรู้เดิม (2) ขั้นเผชิญปัญหา (3) ขั้นการลงมือกระทำ (4) ขั้นการสร้างองค์ความรู้ (5) ขั้นการวัดและประเมินผล และ (6)</p> <p> </p> <p>ขั้นสะท้อนผล ผลการทดลองใช้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด 4) ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินว่ารูปแบบมีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้ในระดับมากที่สุด</p> วาสนา ไวจำปา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/278762 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279229 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นที่เกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ และ 4) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ ระเบียบวิธีวิจัยใช้การวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&amp;D) แบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบ ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ และระยะที่ 4 ประเมินและรับรองรูปแบบ ผู้เข้าร่วมการวิจัยในระยะที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ 68 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 ใช้กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ จำนวน 74 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาที่โรงเรียนชุมพลวิทยาสรรคภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 297 คน จากประชากร 1,297 คน โดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกนและการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ระยะที่ 4 กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามสภาพปัญหา แบบประเมินความสอดคล้อง แบบประเมินทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ตามกรอบ 3R8C แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินและรับรองรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการผสมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) t-test for dependent samples และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 2.45, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.87) สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.75, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.51) ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือการพัฒนาสื่อและแหล่งเรียนรู้ (PNI<sub>modified</sub> = 0.499) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้ หลักการและเหตุผลของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบหลักของรูปแบบ แนวทางการประเมินรูปแบบ และเงื่อนไขความสำเร็จฯ ผลการทดลองใช้พบว่า ครูประเมินรูปแบบในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.66, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.41) นักเรียนมีทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.67, S.D. = 0.42) ผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการส่งผลให้ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ผลของความพึงพอใจของครู (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" />= 4.66, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.39) และนักเรียน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.66, S.D. = 0.39) อยู่ในระดับมากที่สุด และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินและรับรองรูปแบบในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.72, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.44)</p> กิตติชัย แผ่นจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279229 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของการวิจัยสะเต็มศึกษาในระดับอุดมศึกษา: การวิเคราะห์แนวโน้ม ช่องว่าง และปัจจัยการบูรณาการในมุมมองของไทยและต่างประเทศ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/277567 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวโน้ม ช่องว่าง และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบูรณาการสะเต็มศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยดำเนินการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบจากบทความวิจัย 42 บทความที่รวบรวมจากฐานข้อมูลสากล Scopus และฐานข้อมูล ThaiJo ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า งานวิจัยในต่างประเทศให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเชิงระบบ มุ่งลดช่องว่างทางการเรียนรู้ ส่งเสริมความหลากหลาย และวางแนวทางการพัฒนาสายอาชีพอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ยังพบช่องว่างสำคัญหลายด้าน ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาสาขาสะเต็มศึกษา โอกาสในการทำวิจัยระดับปริญญาตรี การเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็น ตลอดจนการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ในส่วนของประเทศไทย งานวิจัยส่วนใหญ่มุ่งเน้นการวางรากฐาน โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของผู้สอน การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาครู และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ แต่ยังพบข้อจำกัดในด้านการขาดการศึกษาระยะยาว การติดตามประเมินผล และการบูรณาการข้ามศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ จากผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเทศไทยควรปรับทิศทางสู่การวิจัยเชิงระบบให้มากขึ้น เพิ่มการศึกษาในระยะยาว ขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมสาขาวิชาอื่นนอกเหนือจากวิทยาศาสตร์และการศึกษา พัฒนาการบูรณาการระหว่างศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและชุมชนให้เข้มแข็ง ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างศักยภาพบัณฑิตให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในตลาดแรงงานแห่งศตวรรษที่ 21</p> กชกร มั่งมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/277567 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ออนไลน์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโปะหมอ (พรหมเทพราษฎร์บํารุง) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาเขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279246 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ออนไลน์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงติดตามคุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยตนเอง 8 ด้านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโปะหมอ (พรหมเทพราษฎร์บำรุง) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครู 4 คน และนักเรียนที่สนใจเรียนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ออนไลน์ แบบสำรวจความต้องเรียนวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) แบบฝึกหัดรายหน่วยและทดสอบ Pretest – Posttest แบบประเมินความพึงพอใจและแบบสัมภาษณ์การติดตามการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) แผนการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design เครื่องมือวัดมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมค่าความยากง่ายของแบบทดสอบอยู่ระหว่าง 0.27–0.75 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.34–0.57 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.71 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่าสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 80.42/88.50 นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด และแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองในทั้ง 8 ด้านอย่างครอบคลุมผลการวิจัยนี้สามารถใช้ประโยชน์ในการออกแบบสื่อการเรียนรู้และส่งเสริมพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองในระดับประถมศึกษา</p> ภัทรกันย์ พรหมเกตุ, ศักรินทร์ ชนประชา, โอภาส เกาไศยาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279246 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU English Exit-Exam และ MSU IT Exit-Exam มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279356 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU English Exit-Exam 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU IT Exit-Exam มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การวิจัย ได้แก่ นิสิตระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 419 คน แบ่งเป็นนิสิตที่สอบผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษ 258 คน และนิสิตที่สอบผ่านเกณฑ์เทคโนโลยี 161 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบโควตา โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการส่งแบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) ด้วย Google Form ทาง E-mail เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU English Exit-Exam ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ แรงจูงใจในการเรียน ความเชื่อมั่นในตนเอง เจตคติต่อการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU IT Exit-Exam มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านส่วนบุคคล ด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ด้านอาจารย์ผู้สอน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU English Exit-Exam โดยรวม พบว่า กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.00) กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.04) ทุกด้าน และกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.79) 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน MSU IT Exit-Exam มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยรวม พบว่า กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.07) กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พบว่า มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.04) ทุกด้าน และกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.96) 3) การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยรวม พบว่า กลุ่มคณะที่ส่งผลต่อการสอบผ่านคะแนนภาษาอังกฤษสูงสุด โดยกลุ่มคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (c=0.020) และกลุ่มคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (b=0.011) ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการสอบผ่านคะแนนภาษาอังกฤษสูงสุด ได้แก่ ปัจจัยด้านเจตคติต่อการเรียน แรงจูงใจในการเรียน และด้านความเชื่อมั่นในตนเอง กลุ่มคณะที่ส่งผลต่อการสอบผ่านคะแนนทางด้านเทคโนโลยีสูงสุด โดยกลุ่มคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (b=0.014) และกลุ่มคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ab=0.026) ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการสอบผ่านคะแนนด้านเทคโนโลยี ได้แก่ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (b=0.022) และด้านอาจารย์ผู้สอน (b=0.022) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วันเพ็ญ อมรสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279356 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ผสมผสานความเป็นจริงเสริมตามแนวทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษและความคงทนจดจําคําศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279469 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ผสมผสานความเป็นจริงเสริมตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษและความคงทนจดจำคำศัพท์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 5 การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพัฒนา Richey &amp; Klein (2007) แบบ Type I โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกม ระยะที่ 2 การประเมินคุณภาพบอร์ดเกม และ ระยะที่ 3 การตรวจสอบความตรงบอร์ดเกม โดยการวิจัยครั้งนี้อยู่ใน ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 คือ กระบวนการออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกม และการประเมินคุณภาพบอร์ดเกม กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 44 คน ปีการศึกษา 2567 ครูผ้สอนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนหนองบัววิทยายน จำนวน 1 คน ระยะที่ 2 ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินคุณภาพบอร์ดเกม ด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบ และด้านสื่อและเทคโนโลยี จํานวนด้านละ 3 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 47 คน โรงเรียนหนองบัววิทยายน ปีการศึกษา 2567 เพื่อตรวจสอบคุณภาพบอร์ดเกมการเรียนรู้ ผลการวิจิย พบว่า การออกแบบและพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ฯ มีการศึกษาหลักการทฤษฎีและศึกษาบริบท จากนั้นนําข้อมูลที่ได้ มาสังเคราะห์กรอบแนวคิดทฤษฎี สังเคราะห์กรอบแนวคิดการออกแบบ และนําไปสร้างบอร์ดเกมการเรียนรู้ฯ โดยมี 6 องค์ประกอบ คือ 1) สถานการณ์ปัญหา ได้แก่ การ์ดสถานการณ์ปัญหา (Situation Card) การ์ดคำศัพท์ (Vocab Card) การ์ดภารกิจ (Mission Card) การ์ดตัวอักษร (Alphabet Card) และกระเป๋าสมบัติ (Treasure Bag) 2) แหล่งการเรียนรู้ ได้แก่ Explorer’s Vocab book 3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (การเล่นเป็นกลุ่ม) 4) ศูนย์ส่งเสริมความสามารถและความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ ได้แก่ ศูนย์ฝึกนักรบ (Wordwall Training) 5) ฐานความช่วยเหลือ ได้แก่ สมุด Magical Lexicon Land Handbook และ 6) ศูนย์ให้คำแนะนำ ได้แก่ การโค้ช และผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีสอดคล้องกันในทุกด้าน ผลการประเมินบริบทการใช้บอร์ดเกมฯ พบว่า บอร์ดเกมสอดคล้องกับบริบทการนำไปใช้ในทุกด้าน</p> ชรินรัตน์ แดงนา, พรสวรรค์ วงค์ตาธรรม, สามารถ สิงห์มา, สุชาติ วัฒนชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/279469 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700